พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1413 ถอนตัวออกมาแล้ว

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1413 ถอนตัวออกมาแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เกาก้วนยืนเงียบสงบอยู่อย่างนั้น มุมของผ้าคลุมสีดำที่ห้อยลงมาพลิกขยับตามลมเป็นครั้งคราว ไม่ว่าเผชิญหน้ากับเรื่องอะไรก็มีท่าทางไม่สะทกสะท้านมาตลอด ทำตัวราวกับไม่ได้ยินคำตำหนิของซ่างก่วนชิง

สำหรับสิ่งนี้ ซ่างก่วนชิงค่อนข้างเดือดดาลกับท่าทีของเกาก้วน เขาพุ่งไปตรงหน้าเกาก้วนทันที เกือบจะลงไม้ลงมือแล้ว

ฝั่งหนึ่งคือซ่างก่วนชิงที่สวมชุดสีดำทั้งตัว ลักษณะเริ่มแก่ชรา ผมสีขาวเงินยาวคลุมแผ่นหลัง ตอนนี้กำลังถลึงตาอย่างเดือดดาล ส่วนอีกฝั่งหนึ่งก็คือเกาก้วนที่สวมหมวกสีดำทรงสูง คลุมผ้าสีดำบนบ่า มีสีหน้าเรียบเฉยเย็นชา ทั้งสองกำลังยืนสบตาอยู่ตรงข้ามกัน

ทุกคนที่อยู่นอกคุกล้วนกำลังจ้องมองฉากนี่อย่างวิตกกังวล หากทั้งสองลงมือต่อสู้กันขึ้นมา ทุกคนก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะยืนฝั่งไหน ถึงแม้ที่นี่จะเป็นอาณาเขตของหน่วยตรวจการฝ่ายขวา แต่ซ่างก่วนชิงเป็นผู้การใหญ่ของวังสวรรค์ สามารถพูดได้ว่าเป็นลูกน้องคนสนิทของประมุขชิง

ในดวงตาของเกาก้วนไม่แสดงอารมณ์ใดๆ กำลังสบตากับซ่างก่วนชิงอย่างสงบนิ่ง

ซ่างก่วนชิงกำหมัดแล้วกำหมัดอีก แม้มริมฝีปากตึงแน่น เขาเข้าใจดี ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเกาก้วน เกาก้วนก็เป็นแค่สุนัขรับใช้ที่จงรักภักดีต่อฝ่าบาท เป็นผู้ที่บังคับใช้กฎหมายก็เท่านั้นเอง ดังนั้นสุดท้ายจึงสะบัดแขนเสื้อแล้วหันหลังให้

ชายวัยกลางคนจำนวนสามร้อยกว่าทยอยกันเดินออกมาจากคุก ถ้าตัดสินจากรอยเลือดบนร่างกายและเสื้อผ้าที่ฉีกขาด ก็เหมือนว่าจะมีคนเกินครึ่งที่ผ่านการทรมานมา คนพวกนี้เดินอยู่ข้างหน้า ส่วนคนอีกเกือบครึ่งที่เดินตามหลังมาก็ดูเหมือนไม่เป็นไรสักเท่าไร เพียงแต่ทุกคนสีหน้าแย่จนดูไม่ได้

ที่จริงซ่างก่วนชิงก็เป็นกังวลตั้งแต่แรกแล้วว่าผู้พิพากษาหน้านิ่งอย่างเกาก้วนจะใช้วิธีการทรมานอย่างไร้ความปรานี ดังนั้นจึงกล่าวขอร้องต่อหน้าประมุขชิงมาตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะเขาโน้มน้าวประมุขชิงสำเร็จ ก่อนที่จะสืบเรื่องนี้จนรู้ชัด คนของหน่วยองครักษ์เงาสามร้อยกว่าคนนี้ก็คงไม่มีทางออกมาจากคุกได้เลย

ไม่ว่าจะเป็นหรือจะตาย แต่คนออกมาหมดแล้ว

และไม่นานเกาก้วนกับซ่างก่วนชิงก็มาพบประมุขชิงตรงหน้าตำหนักดาราจักรแล้ว สามารถพูดได้ว่าเกาก้วนถูกซ่างก่วนชิงบังคับให้มาที่นี่ ซ่างก่วนชิงต้องการคำอธิบาย แต่เกาก้วนรักษาธรรมเนียมมาก ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคดี ก็จะไม่ยอมบอกอะไรเป็นการส่วนตัวกับเขาทั้งนั้น ดังนั้นซ่างก่วนชิงจึงทำได้เพียงบังคับเขาให้มาเจอประมุขชิง

ในตำหนักดาราจักร ซ่างก่วนชิงกล่าวโทษเกาก้วน ฟ้องว่าเกาก้วนใช้วิธีการทรมานคนของหน่วยองครักษ์เงาไปเกือบครึ่ง

ประมุขชิงที่นั่งสง่าอยู่เบื้องบนได้ยินแล้วหวาดระแวงกลัว นี่ก็คือเหตุผลที่ซ่างก่วนชิงโน้มน้าวให้เขาปล่อยคนของหน่วยองครักษ์เงา เขาคิดแล้วคิดอีก แต่ก็ยังกังวลว่าผู้พิพากษาหน้านิ่งลูกน้องตัวเองจะทำเกินไป นึกไม่ถึงว่าเกาก้วนจะทำแบบนี้แล้วจริงๆ

ขณะที่ฟังซ่างก่วนชิงฟ้องร้องอย่างกระฟัดกระเฟียด ประมุขชิงก็เอียงหน้ามองไปทางเกาก้วน เห็นเพียงเกาก้วนยืนตัวตรงเงียบๆ ไม่แก้ตัวใดๆ ทั้งนั้น

พูดมาเป็นชุดแล้วแต่เกาก้วนก็ยังไม่ตอบโต้อะไร ซ่างก่วนชิงจึงข่มไฟโกรธไม่ไหว ชี้หน้าเกาก้วนพร้อมตะคอกว่า “เกาก้วน หน่วยองครักษ์เงาเป็นหน่วยกล้าตายของฝ่าบาท เจ้าใช้วิธีทรมานพวกเขาแบบนี้ เจ้ารู้รึเปล่าว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง? เข้ามีเจตนาแอบแฝง จงใจเสี้ยมให้หน่วยองครักษ์เงาไม่ภักดีต่อฝ่าบาท!”

“เกาก้วน เจ้าจะอธิบายอย่างไร?” ประมุขชิงกล่าวถามอย่างเนิบนาบ

“ถ้าไม่ใช่เพราะฝ่าบาทออกคำสั่งให้ปล่อยคน ข้าน้อยก็ไม่มีทางปล่อยพวกเขาออกมาเด็ดขาด” เกาก้วนตอบ

ซ่างก่วนชิงได้ยินแล้วมองด้วยสายตาโกรธเคืองทันที ประมุขชิงขมวดคิ้วถามว่า “หรือว่าตรวจสอบแล้วเจออะไร?”

เกาก้วนตอบว่า “พอนำตัวไปถึงคุกใหญ่ของหน่วยตรวจการฝ่ายขวา พวกเราก็ทำการสืบสวนแยกทันที ตอนแรกก็ไม่ได้คิดจะใช้วิธีการทรมานกับพวกเขา เมื่อสืบรายละเอียดตอนที่พวกเขาต่างคนต่างออกไปข้างนอก บางเรื่องไปปฏิบัติการด้วยกันเป็นกลุ่มแท้ๆ บางคนก็บอกว่าเพื่อนที่ร่วมเดินทางไปด้วยคือใคร แต่บางคน…บางทีก็อาจจะพูดได้ว่าลืมแล้ว หลังจากนำคำให้การมาเปรียบเทียบกัน เนื่องจากฝ่าบาทมอบอำนาจให้ข้าน้อยสืบทุกเรื่องที่สามารถสืบได้ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีบางคนปิดบังเส้นทางการเคลื่อนไหวของตัวเอง”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ซ่างก่วนชิงก็แอบร้องในใจว่าท่าไม่ดีแล้ว เขาเรีบมองไปที่ประมุขชิง เป็นอย่างที่คาดไว้ ประมุขชิงเริ่มหรี่ตาสองข้างแล้ว แววตาเปลี่ยนแปลงหลากหลายอารมณ์

ซ่างก่วนชิงรีบบอกทันทีว่า “บางทีพวกเขาก็อาจจะลืมจริงๆ ก็ได้”

เกาก้วนหันไปมองเขา “ผู้การใหญ่ซ่างก่วน เจ้ากล้ารับประกันต่อหน้าฝ่าบาทหรือเปล่าว่าพวกเขาไม่มีปัญหาเลย?”

“เอ่อ…” ซ่างก่วนชิงพูดไม่ออก อีกฝ่ายยังพูดไม่จบ เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายสืบเจออะไรหรือไม่ ถ้าสืบเจอเบาะแสอะไรขึ้นมาจริงๆ ตัวเองจะรับประกันในเวลาแบบนี้ได้อย่างไร

ประมุขชิงชำเลืองมองซ่างก่วนชิงแวบหนึ่ง แล้วถามเกาก้วนต่อว่า “เรียกคนที่ปิดบังเส้นทางการเคลื่อนไหวมาแล้วหรือยัง?”

เกาก้วนตอบว่า “กับคนพวกนี้ ย่อมต้องใช้วิธีการทรมานอยู่แล้ว มีบางคนที่พอใช้วิธีการทรมานแล้วเริ่มนึกขึ้นได้ มีบางคนที่เพื่อนร่วมงานเห็นแล้วแท้ๆ ว่าไปไหน แต่กลับปากแข็งไม่ยอมรับ ยกตัวอย่างเช่นเซี่ยงจง หัวหน้าหน่วยองครักษ์เงา” เขาพลิกฝ่ามือนำแผ่นหยกยื่นให้ “ในนี้คือบันทึกคำให้การ สืบสวนได้ผู้ต้องสงสัยยี่สิบเจ็ดคนขอรับ”

ประมุขชิงกางนิ้วทั้งห้า ดูดแผ่นหยกกองหนึ่งเข้ามา แล้วอ่านคำให้การที่เรียบเรียงเสร็จแล้วตรงนั้นเลย

การอ่านครั้งนี้ใช้เวลาไปเกือบครึ่งวัน อ่านคำให้การทุกฉบับ ไม่ปล่อยผ่านเลย จะเห็นได้ว่าให้ความสำคัญขนาดไหน

ในระหว่างนั้นเกาก้วนมีสีหน้าสงบนิ่ง แต่ซ่างก่วนชิงกลับเริ่มยืนไม่ติดที่แล้ว สังเกตเห็นว่าประมุขชิงเริ่มสีหน้าแย่ลงทีละนิด

จะไม่ให้ประมุขชิงสีหน้าแย่ก็คงไม่ได้ มีคำให้การฉบับหนึ่งเขียนไว้ว่าเซี่ยงจงหัวหน้าหน่วยองครักษ์เงานำคนทั้งหมดหกคนออกไปข้างนอก อีกห้าคนที่เหลือล้วนยืนยันว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่อยู่โลกมนุษย์ เซี่ยงจงเคยออกจากกลุ่มแล้วไปเดินที่ตรอกแห่งหนึ่งเพียงลำพัง แต่ตอนที่เซี่ยงจงถูกถามถึงเส้นทางการเคลื่อนไหวครั้งนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ยอมเอ่ยถึงเรื่องที่ไปเดินตรอกนั้นเพียงลำพังเลย

ไม่ใช่แค่เซี่ยงจง เรื่องราวประมาณนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับเซี่ยงจงคนเดียวเท่านั้น คนอื่นๆ ก็มีสถานการณ์แตกต่างกันไป

ประมุขชิงวางแผ่นหยกไว้ด้านข้าง แล้วถามเกาก้วนว่า “เจ้าเตรียมจะทำอย่างไรกับยี่สิบเจ็ดคนนี้?”

“เรื่องนี้หน่วยตรวจการฝ่ายขวาไม่คิดจะเข้าไปแทรกแซงอีกขอรับ” เกาก้วนตอบ

ซ่างก่วนชิงมองไปที่เกาก้วนอย่างงุนงง พบว่าการกระทำแบบนี้ไม่เหมือนลักษณะการทำงานของเกาก้วน มีจุดที่น่าสงสัยแต่ไม่สืบต่อแล้วเหรอ?

“เพราะอะไร?” ประมุขชิงก็ถามเช่นกัน

เกาก้วนตอบว่า “เดี๋ยวจะโดนว่าว่าข้าน้อยยุยงหน่วยองครักษ์เงากับฝ่าบาท เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับส่วนรวม ผู้การใหญ่ซ่างก่วนยัดข้อหาใหญ่เกินไปแล้ว ข้าน้อยรับผิดชอบไม่ไหว ข้าน้อยแนะนำให้ส่งต่อเรื่องสืบสวนให้ผู้การใหญ่ซ่างก่วน ให้หน่วยองครักษ์เงาสืบสวนกันเองขอรับ”

“เจ้าไปเรียนรู้การผลักความรับผิดชอบมาตั้งแต่เมื่อไร?” ประมุขชิงถามเสียงต่ำ

เกาก้วนกุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยไม่ได้ผลักความรับผิดชอบขอรับ เพียงแต่ปล่อยวางแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนสมคบกันให้การเท็จแล้วก็ได้ มีความเป็นไปได้สูงว่าความพยายามก่อนหน้านี้ของหน่วยตรวจการฝ่ายขวาจะสูญเปล่า ดาบในมือฝ่าบาทนั้นแหลมคม หากข้าน้อยทำเกินไป เกรงว่าจะส่งผลกระทบอะไร ดังนั้นข้าน้อยจึงแนะนำให้หน่วยองครักษ์เงาตรวจสอบกันเอง สาเหตุก็เพราะว่าผู้การใหญ่ซ่างก่วนคุ้นเคยกับหน่วยองครักษ์เงามากกว่าข้าน้อย บางทีอาจจะใช้วิธีการที่อ่อนโยนกว่าแล้วแก้ไขปัญหาได้โดยไม่ส่งผลกระทบอะไร”

ซ่างก่วนชิงจ้องเกาก้วนอย่างเดือดดาลเล็กน้อย นี่กำลังตำหนิตนว่าทำผิดที่ปล่อยหน่วยองครักษ์เงาออกมางั้นเหรอ?

ประมุขชิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง รู้สึกว่าที่เกาก้วนพูดก็มีเหตุผล จึงพยักหน้าเบาๆ พร้อมบอกว่า “ซ่างก่วน ส่งคำให้การทั้งหมดให้เจ้า พวกเจ้าไปตรวบสอบหน่วยองครักษ์เงากันเอาเองเถอะ”

“ขอรับ!” ซ่างก่วนชิงเอ่ยรับคำสั่ง ไม่ได้ปฏิเสธอะไร เพราะถ้าปล่อยให้เกาก้วนทำต่อไป ก็จะทำให้หน่วยองครักษ์เงาพังแน่นอน

เกาก้วนหันตัวกลับมาแนะนำว่า “ผู้การใหญ่ซ่างก่วน นี่เป็นคำแนะนำเล็กน้อยของข้า ไม่ว่ายี่สิบเจ็ดคนนั้นจะมีปัญหาหรือไม่ ก่อนที่ความจริงจะปรากฏ ข้าแนะนำให้เจ้าสืบสวนแยกยี่สิบเจ็ดคนนั้น สำหรับการสืบคดีประเภทนี้ ทางที่ดีอย่าให้ถูกควบคุมด้วยความรู้สึกของใครคนใดคนหนึ่ง”

ประโยคสุดท้ายทำให้ประมุขชิงยกมือลูบหนวด นี่คือจุดที่เขาชื่นชมเกาก้วนที่สุด ไม่ว่าจะจัดการคดีไหน ตราบใดที่เขาไม่ได้เสนอแนะอะไรเป็นพิเศษ แต่ไหนแต่ไรมาเกาก้วนก็ไม่สนใจฐานะภูมิหลังของคนที่ถูกสืบสวนเลย ไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ใดๆ ทั้งนั้น!

ซ่างก่วนชิงพ่นเสียงทางจมูกแล้วบอกว่า “ข้าจะจดจำความคิดเห็นอันเหนือชั้นของทูตขวาเกาเอาไว้”

ณ หน่วยตรวจการฝ่ายขวา เกาก้วนกลับมาแล้ว จุยหย่วนที่กำลังรออยู่รีบเดินลงจากบันไดตำหนักใหญ่มาต้อย แล้วเดินตามเข้ามาในตำหนักใหญ่

จุยหย่วนเดินตามหลังพร้อมกล่าวเสียงเบาว่า “นายท่าน ความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยองครักษ์เงากับฝ่าบาท…พวกเราใช้การทรมานจนหน่วยองครักษ์เงากลายเป็นแบบนั้น ฝ่าบาทไม่ได้โมโหใช่มั้ยขอรับ?”

เกาก้วนเหล่ตามอง “ฝ่าบาทไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผลเสียหน่อย พวกเราก็ไม่ได้มีใจเห็นแก่ตัว ทำตามกฎตั้งแต่ต้นจนจบ พอตรวจสอบออกมาแล้วว่ามีปัญหาจริงๆ ทำไมจะใช้การทรมานไม่ได้? อย่าบอกนะว่าจะต้องจัดสุราอาหารชั้นเลิศมาประเคนเพื่อขอให้พวกเขาสารภาพ?”

จุยหย่วนแอบปาดเหงื่อในใจ คนอื่นอาจจะไม่รู้ถึงลับลมคมในของเรื่องนี้ แต่พวกเขาเป็นคนที่ทำงานด้านการสืบคดีมานานหลายปี ผ่านคดีต่างๆ มามากมายเรียกได้ว่าทั้งใต้หล้านี้ไม่มีใครรู้จักอาชีพนี้ดีกว่าพวกเขาแล้ว การใช้วิธีสืบสวนคนจำนวนนับร้อยแบบนี้ ต่อให้เดิมทีจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ก็จะเกิดปัญหาเรื่องความน่าสงสัยได้อยู่ดี ยกตัวอย่างเช่นให้คนนับร้อยพูดถึงเรื่องเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งพันปีก่อน ก็จะต้องมีคำให้การของใครบางคนตกหล่นแน่นอน

“แล้วฝ่าบาทได้พูดอะไรหรือเปล่าขอรับ?” จุยหย่วนถามหยั่งเชิง

เกาก้วนเดินมาตรงหน้าบัลลังก์ หันตัวสะบัดชุดคลุมนั่งลง แล้วบอกว่า “จะพูดอะไรก็ไม่สำคัญทั้งนั้น ตอนนี้เรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเราแล้ว ฝ่าบาทส่งต่อให้ผู้การใหญ่ซ่างก่วนไปสืบเองแล้ว เจ้าเองก็ไม่ต้องคิดมาก ตอนนี้เอาสมาธิไปใช้กับเรื่องตลาดผีเถอะ ถ้าเกิกดเหตุการณ์อะไรก็แจ้งให้ข้ารู้ให้ทันเวลา”

“ขอรับ!” จุยหย่วนเอ่ยรับคำสั่ง เขาแอบรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เรื่องราวกลายเป็นแบบนี้แล้ว เขายังกังวลอยู่เลยว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ถึงอย่างไรหน่วยองครักษ์เงากับฝ่าบาทก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาต่อกัน นึกไม่ถึงว่าทูตขวาเกาจะดึงหน่วยตรวจการฝ่ายขวาออกมาจากเรื่องนี้ได้อย่างราบรื่น เขาเองก็โล่งใจขึ้นบ้างแล้ว แต่คิดว่าผู้การใหญ่ซ่างก่วนจะต้องปวดหัวแล้วแน่ๆ

ซ่างก่วนชิงปวดหัวแล้วจริงๆ กำลังถอนหายใจเดินไปเดินมาอยู่ในตำหนักสวรรค์

เขาเป็นคนควบคุมหน่วยองครักษ์เงาด้วยมือตัวเอง เขารู้จักหน่วยองครักษ์เงาดีมาก เดิมทีนึกว่าหน่วยองครักษ์เงาจะไม่มีปัญหาอะไร แต่หลังจากได้อ่านบันทึกการสอบสวนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวา เขาก็พูดไม่ออกมาก นึกมถึงว่าสมาชิกของหน่วยองครักษ์เงาจะมีจุดที่น่าสงสัยมากขนาดนี้

เขาอ่านบันทึกการสอบสวนอย่างละเอียดแล้ว หน่วยตรวจการฝ่ายขวาไม่ได้ทำอะไรที่ไม่เหมาะสม เกาก้วนไม่ได้ทำงานอย่างซี้ซั้วไร้ระเบียบ นอกจากนี้เมื่อดูจากกระบวนการสอบสวน กลับมองออกด้วยซ้ำว่าหน่วยตรวจการฝ่ายขวามีประสบการณ์ในการสืบคดีมาก ที่จริงแล้วคำให้การของคนในหน่วยองครักษ์เงาไม่ตรงกัน ภายใต้สถานการณ์ที่คนกลุ่มใหญ่ล้วนมองออกและชี้ให้เห็นได้ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนไม่ยอมรับสารภาพ แล้วหน่วยตรวจการฝ่ายขวาจะไม่ใช่วิธีการทรมานได้อย่างไร?

เมื่อครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ่างก่วนชิงก็จำต้องเรียกกำลังพลกลุ่มหนึ่งให้มายังสถานที่ควบคุมหน่วยองครักษ์เงาชั่วคราว

พอเขาเข้ามาในลานบ้าน ก็มีพี่น้องของหน่วยองครักษ์เงาเข้ามาล้อมทันที แล้วถามอย่างกระวนกระวายว่า “ผู้การใหญ่ เป็นยังไงบ้างขอรับ?”

ซ่างก่วนชิงทำหน้าตึงพร้อมบอกว่า “ฝ่าบาทให้พวกเราตรวจสอบกันเอง” ทุกคนเพิ่งจะโล่งใจ แต่เขาก็ถามอีกว่า “เซี่ยงจงฟื้นหรือยัง?”

หนึ่งในนั้นตอบว่า “พี่ใหญ่ฟื้นแล้วขอรับ เพียงแต่ถูกหน่วยตรวจการฝ่ายขวาทรมานหนักเกินไป เกรงว่าจะต้องใช้เวลาสักระยะกว่าจะฟื้นตัวได้”

ซ่างก่วนชิงแยกออกจากกลุ่มคน เดินตรงไปยังห้องพักชั่วคราวของเซี่ยงจง

เซี่ยงจงกำลังลืมตานอนมองเพดานอยู่บนเตียงขยับลูกตา พอเห็นว่าเขามาแล้ว ก็ยันตัวลุกขึ้นทันที “ผู้การใหญ่!”

ซ่างก่วนชิงยกมือบอกใบ้ไม่ให้เขาลุก แล้วโบกมือให้ผู้ติดตามข้างหลัง หลังจากบอกใบ้ให้พวกเขาถอยออกไปหมดแล้ว ถึงได้จ้องเซี่ยงจงพร้อมถามว่า “ข้าถามเจ้าหน่อย ตอนที่เจ้าโดนสอบสวนอยู่ในคุกของหน่วยตรวจการฝ่ายขวา เจ้ามีเรื่องปิดบังอะไรที่ไม่ได้บอกไป?”

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด