พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1455 มีงานใหญ่ จะรับหรือไม่รับ

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1455 มีงานใหญ่ จะรับหรือไม่รับ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ไม่ว่าจะเป็นความเข้าใจผิดหรือไม่ ไป๋เฟิ่งหวงก็ต้องติดต่อเหมียวอี้เพื่อขอคำอธิบายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หลังจากเล่าสถานการณ์คร่าวๆ แล้ว ไป๋เฟิ่งหวงก็ถามว่า : หนิวโหย่วเต๋อ ข้ารักษาคำพูดทำตามสัญญาแล้ว แต่คนที่เจ้าส่งมากลับต้องการจะจับตัวข้า เจ้าทำแบบนี้หมายความว่ายังไงกันแน่?

พอเหมียวอี้ได้ฟังก็เข้าใจเจตนาของหกลัทธิทันที เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งล้านคันนั่น อยากจะฉวยโอกาสเอามาไว้ในมือทั้งหมดอย่างง่ายดาย

หลังจากคิดจนรู้สาเหตุแล้ว ในใจเหมียวอี้ก็เดือดดาลทันที ไม่น่าเชื่อว่าหกลัทธิจะทำเรื่องแบบนี้ลับหลังโดยไม่ปรึกษาตนก่อนเลยสักนิด น่ารังเกียจจริงๆ ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรลับหลังเขาอีกบ้าง เห็นได้ชัดว่านึกว่ากำลังบีบจุดอ่อนของเขาอยู่และคิดว่าเขาไม่กล้าใช้กำลังพลของตำหนักสวรรค์ทำอะไรพวกเขาได้ ถึงได้กล้าทำเรื่องแบบนี้โดยไม่ผ่านการอนุญาตจากเขาก่อน ชัดเจนว่าไม่กลัวเพราะมีที่พึ่งพิง

ถ้าไม่ให้บทเรียนคนพวกนี้สักหน่อยคงไม่ได้แล้ว! เหมียวอี้ยิ่งคิดก็ยิ่งเดือดดาล

ถึงแม้ในใจจะเดือดดาลมาก แต่เหมียวอี้ก็ยังต้องปลอบใจไป๋เฟิ่งหวงต่อไป ไม่อย่างนั้นถ้าปีศาจตนนี้เปิดเผยเรื่องระหว่างนางกับเขาออกไปก็จะแย่ : ไป๋เฟิ่งหวง เรื่องนี้จะต้องมีการเข้าใจผิดอะไรกันแน่นอน รอข้าตรวจสอบให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อยว่ากัน

ไป๋เฟิ่งหวง : เข้าใจผิดเหรอ? ถ้าเมื่อครู่ข้าไม่ได้อยู่ที่ทะเลดาวสับสนจนข้าโชคดีหนีพ้นมาได้ เกรงว่าตอนนี้ข้าคงไม่มีสิทธิ์รู้ความจริงด้วยซ้ำ

เหมียวอี้ : แล้วเจ้าคิดจะทำยังไง?

ดูพูดเข้าสิ ไป๋เฟิ่งหวงก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะทำอย่างไรกับเขา พอนึกนึกโหยวอีที่สามารถมารออยู่ตรงหน้านางได้ทุกเมื่อ นางก็หวาดระแวงกลัวแล้ว สุดท้ายนางก็ตอบกลับไปว่า : เจ้าจัดการตามเห็นสมควรแล้วกัน

เหมียวอี้ : ถึงยังไงก็ช่วยเจ้ากำจัดบุรุษจัญไรหกเนตรทิ้งแล้ว แล้วธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่เหลืออยู่ เจ้าเตรียมจะจบการซื้อขายยังไง?

ไป๋เฟิ่งหวง : ยังคิดจะเอาธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่เหลืออีกเหรอ เจ้าก็ช่างกล้าพูดเนอะ?

ที่จริงถ้าเหมียวอี้ดึงดันจะเอาของจากนางให้ได้ นางก็ให้ได้ด้วยสาเหตุบางอย่าง ทว่าเหมียวอี้รู้สึกว่าฝั่งหกลัทธิทำเกินไปหน่อย ถ้าเปลี่ยนเป็นเขา เขาก็ไม่ตอบตกลงเช่นกัน จึงตอบไปว่า : ให้ข้าทำความเข้าใจสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน

หลังจากทั้งสองหยุดติดต่อกันไม่ได้นาน อวิ๋นจือชิวก็ส่งข่าวมาแล้ว คุยเรื่องที่ไป๋เฟิ่งหวงบอก เหมียวอี้ค่อนข้างโมโห ถามอวิ๋นจือชิวว่าทำแบบนี้หมายความว่าอะไร ตอนนี้ไป๋เฟิ่งหวงไม่ยอมให้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แปดล้านคันที่เหลือแล้ว

อวิ๋นจือชิวอธิบายว่า นางเองก็เพิ่งได้รับข่าวจากลัทธิมาร ถึงได้รู้ว่าระหว่างทางเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น ทางลัทธิมารให้นางมาอธิบาย ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ คนที่ลงมือพวกนั้นแค่เชื่อฟังคำสั่งที่มาจากแดนอเวจี ที่ลงมือไปเป็นเพราะคำสั่งของแดนอเวจี แดนอเวจีวางแผนไว้ตั้งนานแล้ว ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับอวิ๋นจือชิวเลย นางถามพวกจีเหม่ยลี่แล้ว พบว่ามีสถานการณ์เหมือนกัน

เหมียวอี้เดือดดาลมาก : แล้วยังจำเป็นต้องอธิบายกับข้าด้วยเหรอ? อธิบายทำบ้าอะไรล่ะ! เห็นว่าข้าทำอะไรพวกเขาไม่ได้น่ะสิ เห็นว่าข้าเป็นลูกพลับอ่อนที่บีบง่าย ครั้งหน้าก็ยังไม่รู้เลยว่าพวกจะทรยศอะไรข้าบ้างยามช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ!

จะไม่ให้เขาโกรธคงไม่ได้ เขาเคยโดนพวกมู่ฝานจวินทรยศมาแล้วหนึ่งครั้ง แทบจะสิ้นชีวิตด้วยน้ำมือพวกเขา เรื่องในอดีตยังไม่ทันลืม เรื่องใหม่ก็เกิดขึ้นอีกแล้ว เจ้าพวกนี้เล่นตุกติกลับหลังเขา เล่นไม่รู้จักจบจักสิ้น

อวิ๋นจือชิว : เรื่องนี้ก็ทำให้ข้ากับท่านปู่ทะเลาะกันไปยกหนึ่งเหมือนกัน ข้าโมโห เจ้าโมโหไปก็ไม่มีระโยชน์ ได้แต่ค่อยๆ วางแผน จะใจร้อนไม่ได้ แล้วก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะไม่สูญเสียอะไร ข้าบอกพวกเขาไว้แล้ว บอกว่าตอนนี้แม้แต่ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งล้านคันนั่นไป๋เฟิ่งหวงก็ไม่ยอมให้ ข้าจะได้ถือโอกาสยึดธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งล้านคันไว้ในมือได้พอดี ถือไว้ให้บทเรียนกับพวกเขายาวๆ

เหมียวอี้ : บทเรียนยาวๆ บ้าบออะไรล่ะ! พวกเขาก็ได้แต่โทษว่าตัวเองเตรียมตัวไม่ดี ถ้าให้โอกาสพวกเขาอีกครั้ง พวกเขาก็จะทำเรื่องพวกนี้อีกแน่นอน เจ้าคิดว่าพวกเขาจะใจอ่อนเหรอ?

อวิ๋นจือชิว : หนิวเอ้อร์ มีหรือที่ข้าจะไม่รู้ ตอนนี้เรื่องก็เป็นแบบนี้ไปแล้ว เจ้ามาโมโหใส่ข้าก็เปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ไม่ได้อยู่ดี เออใช่ อีกประเดี๋ยวพวกจีเหม่ยลี่จะต้องไปอธิบายกับเจ้าแน่ เจ้าเถียงกับข้าก็ไม่เป็นไรหรอก ข้าไม่เก็บมาใส่ใจ แต่เจ้าอย่าไปโมโหใส่พวกนางเกินไปเชียว ระหว่างเจ้ากับอาจารย์พวกนาง อย่างน้อยก่อนหน้านี้พวกนางก็ไม่ได้มีท่าทีเอนเอียงไปฝั่งอาจารย์เสียทีเดียว เจ้าอย่าผลักพวกนางออกไปเชียวนะ ถ้าความสัมพันธ์เป็นอัมพาต พอถึงเวลาจะฟื้นฟูอีกครั้งก็ยากแล้ว และถ้าพูดจากอีกมุมหนึ่ง อาจารย์ของพวกนางก็ทำแบบนี้เพราะไม่สนใจสถานการณ์ของพวกนาง จะให้พวกนางทนความรู้สึกได้ยังไงล่ะ เจ้าก็ใจกว้างให้อภัยหน่อย พวกนางจะได้รู้ว่าใครกันแน่ที่จริงใจกับพวกนาง เข้าใจมั้ย?

เหมียวอี้ : ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แปดล้านคันหายไปแบบนี้แล้ว ไอ้พวกเวรนี่ รอพ่อก่อนเถอะ คอยดูว่าเดี๋ยวกลับไปพ่อจะจัดการพวกเจ้ายังไง!

อวิ๋นจือชิวก็ทำได้เพียงเกลี้ยกล่อมให้เขาระงับโทสะ แล้วกำชับว่าอย่าทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพวกจีเหม่ยลี่แข็งทื่อ นางไม่คิดจริงจังกับคำพูดเหมียวอี้เช่นกัน ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็โดนขังอยู่ในแดนมรณะอเวจี ถ้ามีเรื่องอะไรก็ต้องรอให้เขากลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน

พอทั้งสองติดต่อกันเสร็จ จีเหม่ยลี่และอนุภรรยาที่เหลือก็ส่งข่าวมาอย่างที่คาดไว้ พวกนางทั้งอธิบายทั้งขอโทษ

เหมียวอี้อยากจะโมโหใส่พวกนางมาก แต่ก็เข้าใจว่าบางเรื่องบางเรื่องไม่อาจไปโทษพวกนางได้ กอปรกับก่อนหน้านี้อวิ๋นจือชิวชี้แนะนทางไว้ทัน คิดคิดมาก็ทำตามที่อวิ๋นจือชิวบอก คือใช้คำพูดดีๆ ปลอบโยน บอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกนาง เป็นอาจารย์ของพวกนางที่ต่ำช้าเกินไป ถ้าจะผิดก็ผิดที่ฮูหยินเอกอย่างอวิ๋นจือชิว ที่ไม่ยอมสื่อสารให้ดีก่อนล่วงหน้า เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้ว แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่รู้เรื่องล่วงหน้าเลยสักนิด

ไม่ใช่ว่าเหมียวอี้กำลังผลักความรับผิดชอบไปที่อวิ๋นจือชิว แต่อวิ๋นจือชิวเองขอให้เหมียวอี้พูดแบบนี้ ให้เหมียวอี้เป็นฝ่ายผลักความรับผิดชอบมาให้นางต่อหน้าพวกอนุภรรยา

หลังจากติดต่อกับพวกอนุภรรยาเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อจินม่านทันที พอติดต่อได้ ก็ถามทันทีว่า : เรื่องไป๋เฟิ่งหวงน่ะ ทำไมไม่บอกข้าก่อน พวกเจ้าทำแบบนี้หมายความว่ายังไง ล้อเล่นกับคำว่า ‘ประมุขปราชญ์’ ของข้าใช่มั้ย?

จินม่านกำลังเรียกกงซุนลี่เต้าและคนอื่นๆ มาปรึกษาเรื่องนี้กันอยู่พอดี ขณะกำลังลังเลว่าจะติดต่อเหมียวอี้เพื่ออธิบายเรื่องนี้หรือไม่ ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะเป็นฝ่ายมาเอาเรื่องก่อนแล้ว

จินม่านอธิบายว่า : ประมุขปราชญ์ เรื่องนี้พวกเราไม่รู้สถานการณ์ล่วงหน้าจริงๆ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าอีกห้าลัทธิจะทำอะไรหักมุม แต่พวกเราก็รับรองกับท่านได้ ว่าตอนนั้นที่ลงมือก็ไม่มีคนของพวกเราลงมือกับไป๋เฟิ่งหวงเลย เพียงแต่ไม่ได้ห้ามพวกเขาเท่านั้นเอง

เหมียวอี้ใช้มือข้างหนึ่งถือระฆังดาราติดต่อนาง พร้อมใช้มืออีกข้างถือระฆังดาราติดต่ออวิ๋นจือชิว ให้อวิ๋นจือชิวสืบมาสักหน่อยว่าตอนนั้นคนของลัทธิอู๋เลี่ยงไม่ได้ลงมือจริงหรือไม่

อวิ๋นจือชิวติดต่อคนของลัทธิมารที่เข้าร่วมปฏิบัติการครั้งนี้ทันที ยืนยันแล้วว่าผู้ที่รอดชีวิตของลัทธิอู๋เลี่ยงไม่ได้ลงมือกับไป๋เฟิ่งหวงจริงๆ

เพื่อป้องกันไม่ให้ฝั่งหกลัทธินัดกันทำเรื่องไม่ดี เหมียวอี้จึงติดต่อไป๋เฟิ่งหวงเพื่อยืนยันสถานการณ์ในตอนนั้นอีกครั้ง

ไป๋เฟิ่งหวงเห็นว่าเจ้าหมอนี่ติดตามเรื่องนี้ไม่หยุด ก็เริ่มเชื่อแล้วว่าเหมียวอี้ไม่รู้สถานการณ์ล่วงหน้าจริงๆ เดิมทีตอนแรกนางก็สงสัยเหมือนกัน รู้สึกว่าเหมียวอี้ไม่มีเหตุผลทที่จะต้องจับตัวนาง เพราะนางตอบตกลงที่จะให้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ทั้งหมดกับเขาแล้ว นอกเสียจากจะไม่วางใจกลัวนางเล่นตุกติก

ไป๋เฟิ่งหวงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนที่โจมตีนางในตอนนั้นเป็นคนของใคร นางถึงขั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่มาเจอกับนางคือใคร แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่นางแน่ใจได้ นั่นก็คือตอนที่นางโดนโจมตี ในเหตุการณ์นั้นมีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้เข้าร่วมโจมตีด้วยจริงๆ

เมื่อมีคำให้การจากคนในที่เกิดเหตุอย่างไป๋เฟิ่งหวง ไฟโกรธในใจเหมียวอี้ก็นับว่าเบาลงแล้วนิดหน่อย อย่างน้อยลัทธิอู๋เลี่ยงก็ไม่ทำให้คำว่า ‘ประมุขปราชญ์’ ของเขาแย่จนเกินไป ยังรู้จักไว้หน้าเขาอยู่

แต่เหมียวอี้ที่กำลังหัวร้อนก็พูดจาอย่างไม่เกรงใจเช่นกัน เตือนโดยเรียกชื่อตรงๆ เลย : จินม่าน ไม่ว่าเจ้าจะเข้าร่วมเรื่องนี้หรือไม่ แต่ถ้าครั้งหน้าเกิดเรื่องแบบนี้อีก ข้าหวังว่าเจ้าจะบอกให้ข้ารู้ข่าวทันที ไม่ใช่รอให้ข้ามาถามพวกเจ้า!

จินม่าน : ประมุขปราชญ์โปรดระงับโทสะ ข้าน้อยจะจดจำไว้!

หลังจากติดต่อกันเสร็จแล้ว จินม่านก็มองพวกกงซุนลี่เต้าอย่างจนใจ

ว่ากันตามตรง ถึงแม้ก่อนหน้านี้อีกห้าลัทธิจะปิดบังฝั่งนี้ แต่ฝั่งนี้ก็เดาออกแล้วว่าอีกห้าลัทธิจะทำแบบนี้ ถึงอย่างไรก็คบค้ากันมาหลายปี พอจะเข้าใจนิสัยใจคอกันอยู่บ้าง เมื่อเห็นโอกาสแบบนี้แล้ว มีหรือที่อีกห้าลัทธิจะปล่อยให้พลาดไป จะต้องดูจากสถานการณ์ว่าจะสามารถนำธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ทั้งหมดมาไว้ในมือได้หรือไม่ และที่ฝ่ายนี้ไม่ได้บอกเหมียวอี้ก็เป็นเพราะแกล้งโง่ล้วนๆ ใช่ว่าจะไม่อยากเห็นเรื่องนี้สำเร็จ

พอเหมียวอี้ติดต่อบ้านนี้เสร็จแล้ว ก็ติดต่อไปอีกบ้านหนึ่ง หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อจงหลีค่วยแล้ว

จงหลีค่วย : ทำไมถึงคิดได้แล้วล่ะว่าจะติดต่อมาหาข้า? ได้ยินว่าเจ้าไปที่แดนมรณะอเวจีแล้ว เจ้าคงไม่ได้ติดต่อข้าที่แดนมรณะอเวจีหรอกใช่มั้ย?

เหมียวอี้ : มีงานใหญ่จะเสนอปราสาทดำเนินนภา จะรับหรือไม่รับ?

ครั้งนี้เขาเดือดดาลเพราะพวกมู่ฝานจวินแล้วจริงๆ พวกมู่ฝานจวินอาศัยว่าเขาไม่กล้าใช้คนของตำหนักสวรรค์ไปสู้กับพวกเขา เป็นการมองข้ามฐานะของเขาจริงๆ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปคงแย่แน่ ครั้งนี้เขาตัดสินใจแล้วว่าจะยอมทุ่มสุดตัวเพื่อให้บทเรียนกับพวกมู่ฝานจวินสักหน่อย

จงหลีค่วยปวดประสาทแล้ว ไม่รู้ว่าเจ้าเวรนี่มีเรื่องอะไรถึงมาหาเขาอีก จึงถามว่า : งานใหญ่ขนาดไหน?

เหมียวอี้ : มีร้านค้าห้าร้านที่ตลาดสวรรค์ ข้าเห็นแล้วขัดตา ล้างเลือดให้ข้าหน่อย คนในร้านอย่าให้เหลือรอดสักคน ไม่ว่าพวกท่านจะใช้วิธีการไหน ข้าจะออกเงินให้เอง!

ไสหัวไปเลย! จงหลีค่วยอยากจะตะโกนคำนี้ออกมามาก เห็นปราสาทดำเนินนภาของข้าเป็นอะไรไปแล้ว ทว่าเขาไม่มีสิทธิ์ตอบไปแบบนั้น ทำได้เพียงตอบว่า : เจ้ารอก่อน ข้าต้องขอคำแนะนำจากสำนักก่อน ดูว่าจะรับงานนี้ได้รึเปล่า!

เหมียวอี้ย่อมเต็มใจที่จะรอคำตอบอยู่แล้ว

ปราสาทดำเนินนภา ในตำหนักนภาครามที่กว้างโล่ง ประมุขปราสาทดำเนินนภาเวินหวนเจินสวมชุดคลุมสีน้ำเงินเขียว ใบหน้าซูบผอม ตรงหว่างคิ้วราวกับมีไฝสีแดงชาดอยู่จุดหนึ่ง กำลังนั่งสมาธิฝึกตนอย่างสงบใจอบยู่บนเตียงหยก

จงหลีค่วยเดินตามเจ้าสำนักฝูเสี่ยนเข้ามาในตำหนักนภาครามแล้วทำความเคารพ เรื่องบางเรื่องแม้แต่ฝูเสี่ยนที่อยู่ในฐานะเจ้าสำนักก็ไม่อาจตัดสินใจเองได้

หลังจากจงหลีค่วยบอกเรื่องที่เหมียวอี้ขอแล้ว เวินหวนเจินก็ขมวดคิ้วนานมาก สุดท้ายก็กล่าวเสียงต่ำว่า  “ตอบตกลงเขาได้ แต่เรื่องเงินไม่ต้องเอาหรอก ให้เขาจ่ายเป็นอย่างอื่น เจ้าบอกไปแบบนี้…”

หลังจากจงหลีค่วยเข้าใจความหมายแล้ว ก็ติดต่อเหมียวอี้ไปบอกว่า : งานนี้พวกเราจะรับไว้ แต่พวกเราไม่เอาเงิน ปราสาทดำเดินนภาของพวกเราไม่ได้เข้าไปที่แดนมรณะอเวจีนานแล้ว ต่อไปหลังจากทำสำเร็จแล้ว เจ้าก็บอกสถานการณ์ปัจจุบันของแดนมรณะอเวจีให้พวกเรารู้อย่างละเอียดด้วย

เหมียวอี้ตอบตกลงทันที : ได้!

เรื่องนี้ก็นับว่าตกลงกันแบบนี้แล้ว เดี๋ยวรายละเอียดค่อยปรึกษากันอีกที

ตลาดผี ตึกศาลาสัตยพรต ลูกน้องที่เฝ้าอยู่หน้าประตูน้ำรีบเดินทำความเคารพพ่อบ้านใหญ่ที่เดินออกมาจากตึกศาลาสัตยพรต

ชายชราชุดเขียวพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะออกจากประตูอุโมงค์และเดินลงบันได คนขับเรือชราที่จอดเรือเทียบท่าอยู่ด้านข้างหัวเราะเบาๆ พลางกล่าวอย่างเคารพทันที : “นายท่านชี เชิญด้านในขอรับ!”

ชายชราชุดเขียวขึ้นเรือ พอเข้าไปในห้องโดยสารเรือ ก็นั่งลงอย่างเอื่อยเฉื่อย

เรือออกมาจากอุโมงค์น้ำ ออกจากตึกศาลาสัตยพรต หลังจากลอยบนผิวน้ำออกไปไกลแล้ว คนขับเรือที่ร่ายอิทธิฤทธิ์ให้เรือแล่นก็เข้ามารินน้ำชาให้ชายชราชุดเขียวในห้องโดยสารเรือ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ถ่ายทอดเสียงถามว่า “นำของมาหรือยังขอรับ?”

ชายชราชุดเขียวรับถ้วยน้ำชาที่เขายื่นให้ สองนิ้วอยู่ในถ้วยน้ำชาถือโอกาสยื่นแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งใส่ฝ่ามือคนขับเรือ ขณะเปิดฝาถ้วยน้ำชา ก็แอบถ่ายทอดเสียงบอกว่า “หกลัทธินอกจากลัทธิอู๋เลี่ยงแล้ว ฐานปฎิบัติการสำคัญของอีกห้าลัทธิที่อยู่ข้างก็มีฝั่งละสองแห่ง ฐานปฎิบัติการสิบแห่งนี้ซ่อนยอดฝีมือไว้จำนวนหนึ่ง มีกำลังเกือบสองส่วนจากกำลังทั้งหมดของห้าลัทธิที่อยู่ข้างนอก ในนี้เป็นรายชื่อและสถานการณ์โดยละเอียด”

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด