พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1457 ดาวโดดเดี่ยว

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1457 ดาวโดดเดี่ยว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เหมียวอี้ที่ได้ทราบว่าปราสาทดำเนินนภายินดีรับ ‘งาน’ ต้องการจะเตรียมตัวจริงๆ เขาต้องการล้างเลือดลัทธิปีศาจ มาร ผี เซียน พุทธะที่ร้านค้าในตลาดสวรรค์ แต่ก็ไม่อาจฆ่าอนุภรรยาของตัวเองไปพร้อมกันจนหมดได้ จะต้องเตรียมการแยกอีกอย่างหนึ่ง ที่ต้องติดต่อปราสาทดำเนินนภาก่อนก็เป็นเพราะไม่รู้ว่าปราสาทดำเนินนภาจะรับงานนี้หรือไม่ หลังจากแน่ใจแล้วว่ารับ เขาถึงจะได้เตรียมแผนส่วนหลังได้สะดวก นี่คือเงื่อนไขข้อแรก

แต่ครั้งนี้เขาก็ไม่คิดที่จะบอกให้อวิ๋นจือชิวรู้ ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อใจอวิ๋นจือชิว ในทางกลับกัน อวิ๋นจือชิวคือคนที่เขาเชื่อใจมากที่สุด เขาแค่ไม่อยากให้อวิ๋นจือชิวรู้แล้วลำบากใจก็เท่านั้นเอง อย่างไรเสียการลงมือครั้งนี้ก็อาจจะเกิดสถานการณ์ทำให้บุคคลอื่นได้รับบาดเจ็บโดยประมาทได้ เขารู้ว่าอวิ๋นอ้าวเทียนไม่ได้พาลูกๆ ทั้งหมดเข้าแดนอเวจี เหลือบางส่วนไว้ข้างนอกด้วย คนพวกนั้นล้วนเป็นญาติผู้ใหญ่ของอวิ๋นจือชิว

ถ้าอวิ๋นจือชิวรู้เรื่อง ถ้าอวิ๋นจือชิวไม่ห้าม แบบนั้นอวิ๋นจือชิวจะกลายเป็นอะไรไปล่ะ? ก่อนอื่นเลยก็คือหนีข้อหาอกตัญญูไม่พ้นแล้ว

ถึงแม้จะรู้ว่าฆ่าคนในครอบครัวของอวิ๋นจือชิวแล้วจะทำให้อวิ๋นจือชิวเสียใจ แต่ครั้งนี้เหมียวอี้ก็ยังตัดสินใจที่จะทำแบบนี้ เขารู้ว่าครั้งนี้ไม่สั่งสอนหกลัทธิสักหน่อยคงไม่ได้ จะต้องลั่นระฆังเตือนพวกเขา

ถึงแม้จะทำให้อวิ๋นจือชิวเสียใจ แต่เขากับอวิ๋นจือชิวก็เป็นสามีภรรยากันมาหลายปี ต่างก็เข้าใจกันและกันดี  อวิ๋นจือชิวเป็นคนที่ปากร้ายใจอ่อนกับเขา ดูเหมือนเข้มงวดแต่ที่จริงแล้วผ่อนรนให้เขามาก ความรักส่วนนั้นเป็นสิ่งที่เข้าใจได้แต่บรรยายออกมาไม่ได้ เขาเชื่อว่าสุดท้ายอวิ๋นจือชิวจะให้อภัยเขา

และก็เพราะเหตุนี้เอง ตอนที่เขาหยิบระฆังดาราออกมาจะติดต่อกับอวิ๋นจือชิว เขาจึงรู้สึกลังเลอีกแล้ว

เขาก้าวช้าๆ เดินออกจากถ้ำที่ซ่อนตัว มองดูเฮยทั่นเล่นน้ำในทะเลสาบอย่างสนุกสนาน หลังจากเงียบไปนาน สุดท้ายก็หลับตาลงช้าๆ ถอนหายใจออกมาเบาๆ

เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะลงมือฆ่าญาติตัวเอง ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาไม่ทำแบบนี้แน่นอน อย่าบอกนะว่าสักวันหนึ่งข้าจะกลายเป็นแบบพวกมู่ฝานจวิน ตัดขาดไมตรีเพื่อผลประโยชน์? ถึงขั้นต้องใช้ประโยชน์จากความรักที่อวิ๋นจือชิวมีต่อเขามาลงมือฆ่าคนของตระกูลอวิ๋นเลยเหรอ?

พอนึกถึงท่าทางเศร้าสลดของอวิ๋นจือชิวหลังจากเรื่องนี้จบ แล้วนึกถึงท่าทางดีอกดีใจเหมือนสาวน้อยเพราะถูกปะเหลาะด้วยคำสัญญาอันงดงามจากตนที่ทะเลทรายท่านเมฆาในปีนั้น เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขื่นขมแล้วส่ายหน้า สุดท้ายก็ทำใจลงดาบที่หัวใจของอวิ๋นจือชิวไม่ได้ จึงเปลี่ยนการตัดสินใจอีกครั้ง

เขาหยิบระฆังดาราที่ถือไว้ข้างหลังออกมา แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่าติดต่อกับอวิ๋นจือชิวแล้ว

พออวิ๋นจือชิวส่งข่าวมาก็พูดหยอกล้อทันที : หนิวเอ้อร์ ยังโกรธอยู่อีกเหรอ?

เหมียวอี้ : น้องชิว มอบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งล้านคันนั่นให้พวกเขาไปเถอะ แบ่งให้ลัทธิละหนึ่งแสนห้าหมื่นคัน เหลือไว้ให้ข้าสำรองใช้สักหนึ่งหมื่นคันด้วย

อวิ๋นจือชิวตกตะลึงมากอย่างเห็นได้ชัด : ทำไมล่ะ? ถ้าครั้งนี้ไม่ให้บทเรียนพวกเขาสักหน่อย พวกเขาจะไม่คิดว่าเราเป็นลูกพลับอ่อนบีบง่ายหรอกเหรอ?

เหมียวอี้ : ทำแบบนี้ก็ให้บทเรียนอะไรพวกเขาไม่ได้อยู่ดี พวกเขาควรจะทำยังไงก็ยังจะทำอยู่อย่างนั้น เจ้าไม่รู้จักปู่ตัวเองเหรอ? ถ้าหากจำเป็น การฆ่าหลานเขยอย่างข้าก็คงเป็นเรื่องที่ง่ายแบบไม่ต้องกะพริบตาด้วยซ้ำ มีคนไหนใจดีมีเมตตาบ้างล่ะ? เรื่องสั่งสอนเอาไว้ทีหลังเถอะ ครั้งนี้ทำตามที่ข้าบอกก่อนก็แล้วกัน

นอนเคียงหมอนกันมาหลายปี อวิ๋นจือชิวสังเกตได้ถึงความผิดปกติทันที สามีของตัวเองกลายเป็นคนมีเมตตาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน ต่อให้จะพูดง่ายแต่ก็ไม่น่าจะพูดง่ายขนาดนี้ ขนาดเวลานางรับมือด้วยยังต้องใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งควบคู่กันเลย ไม่อย่างนั้นก็สยบไม่ได้ นางจึงถามว่า : มีเรื่องอะไรใช่มั้ย?

เหมียวอี้ : มีเรื่องนิดหน่อยจริงๆ ถึงแม้จะให้ของกับพวกเขาได้ แต่ก็ไม่ได้เอาไปง่ายๆ ขนาดนั้นอยู่ดี ข้ามีอะไรจะบอก

อวิ๋นจือชิว : เจ้าว่ามา ข้าจะตั้งใจฟังแต่โดยดี แต่ข้าจะขอบอกไว้ก่อนเลยนะ ถ้าเจ้าอยากจะเล่นลูกไม้อะไรก็ไม่ต้องมาหาข้า ไปหาเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์โน่น

เหมียวอี้อึ้งไปครู่หนึ่ง ตอนแรกก็ยังไม่เข้าใจความหมาย พอฟังถึงตอนหลังแล้วมีชื่อเชียนเอ๋อร์โผล่มา ก็เข้าใจทันทีว่าอวิ๋นจือชิวกำลังแอบสื่อถึงเรื่องอะไร

ผู้หญิงตัวแสบ! เหมียวอี้กลอกตามองบน ชัดเจนว่ากำลังยั่วยวนเขา เกือบจะโดนทำให้คิดเพ้อเจ้อแล้ว เรียกได้ว่าทั้งโมโหทั้งอยากขำ แต่เขาก็รู้ว่าอวิ๋นจือชิวกลัวเขาจะยังโมโห จึงเปลี่ยนวิธีการปลอบใจเขา

เหมียวอี้ : รอข้ากลับไปแล้วค่อยจัดการเจ้าทีหลังแล้วกัน! อย่าเบี่ยงประเด็น เจ้าฟังข้าให้ดีนะ เดี๋ยวเจ้าพาลูกน้องเก่าข้างกาย เรียกญาติผู้ใหญ่ของตระกูลอวิ๋น พวกจีเหม่ยลี่ แล้วก็เยว่เหยาด้วย พาทุกคนไปที่ดาวไร้ลักษณ์

อวิ๋นจือชิว : มีเรื่องอะไรให้พวกเราต้องไปที่ดาวไร้ลักษณ์? แล้วอีกอย่างนะ น้องสาวคนนั้นของเจ้าอาจจะไม่เชื่อฟังข้า

เหมียวอี้ : งั้นเจ้าก็ติดต่อมู่ฝานจวิน ให้มู่ฝานจวินกดดัน บอกนางว่า ถ้าอยากได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้นก็ทำตามที่ข้าบอก แล้วข้าจะให้ของพวกเขา แต่มีบางอย่างที่ข้าต้องพูดให้ชัดเจน

อวิ๋นจือชิว : มีเรื่องอะไรต้องไปคุยที่ดาวไร้ลักษณ์?

เหมียวอี้ : ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะพูด รอให้ไปถึงดาวไร้ลักษณ์แล้วข้าจะบอกเจ้าเอง ถึงตอนนั้นเดี๋ยวเจ้าก็เข้าใจเองว่าเป็นเรื่องอะไร

อวิ๋นจือชิว : ทำลับๆ ล่อๆ คงไม่คิดจะวางกับดักจับพวกเราทีเดียวหรอกใช่มั้ย?

เหมียวอี้ : ข้าไม่ได้ล้อเล่นกับเจ้านะ

อวิ๋นจือชิว : ได้ๆ ข้าเข้าใจแล้ว

เหมียวอี้ : เออใช่ แบ่งธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ส่วนหนึ่งในมือส่งไปที่พิภพเล็กด้วย ให้เยารั่วเซียนศึกษาค้นคว้าอย่างละเอียดสักหน่อย ดูว่าเขาจะหลอมสร้างออกมาได้หรือเปล่า

อวิ๋นจือชิว : สามารถเตรียมคนให้ส่งของไปได้ แต่เจ้าก็อย่าหวังอะไรนักเลย ต่อให้เยารั่วเซียนสามารถหลอมสร้างออกมาได้ก็ไม่มีความหมายอะไรอยู่ดี อาวุธแบบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ถ้าหากใช้ได้ไม่ได้ตามปริมาณก็แสดงประโยชน์ได้ไม่เยอะเท่าไร และถ้าจะหลอมสร้างชุดใหญ่ เจ้าเคยคิดถึงทรัพยากรที่ต้องใช้หรือเปล่าล่ะ? นี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องเงินแล้ว ลำพังแค่ยาเจี๋ยตันที่ต้องใช้ เกรงว่านอกจากสองท่านนั้นที่ควบคุมใต้หล้า ก็ไม่มีใครแบกรับไหวแล้ว แม้แต่ตระกูลเซี่ยโห้วก็คงเหลือกำลัง!

เหมียวอี้เงียบไป คิดไปคิดมาก็พบว่าเป็นแบบนี้จริงๆ อย่างน้อยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ก็ต้องใช้ยาเจี๋ยตันขั้นห้าถึงจะมีอานุภาพเพียงพอ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์คันหนึ่งต้องใช้หลายเม็ด ถ้าคนทั่วไปอยากจะมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ในจำนวนมาก ก็เป็นเรื่องเพ้อเจ้อทั้งนั้น มีแค่การเปลี่ยนยุคสมัยเปลี่ยนประมุขแล้วเกิดการบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ถึงจะรวบรวมทรัพยากรแบบนั้นได้ และต่อให้ตำหนักสวรรค์ควบคุมใต้หล้า แต่ก็ไม่อาจทำให้ทุกคนติดอาวุธนี้ได้ทั้งหมด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่นเลย เกรงว่านี่คงจะเป็นสาเหตุที่คนมากมายคิดอยากได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของตำหนักสวรรค์

เขาพบว่าตัวเองคิดมากไปหน่อย ทำได้เพียงให้อวิ๋นจือชิวไปจัดการเองตามเห็นสมควร

หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จได้ไม่นาน จินม่านก็ส่งข่าวมาอีกแล้ว บอกข่าวว่าตำหนักสวรรค์ระดมกำลังพลกลุ่มใหญ่ไปกำจัดทะเลดาวสับสนออกจากดาราจักรเพื่อที่จะจับตัวไป๋เฟิ่งหวง

เหมียวอี้ได้ยินข่าวแล้วตกใจอยู่บ้าง เคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้เชียวเหรอ?

ถ้าไป๋เฟิ่งหวงตกอยู่ในมือตำหนักสวรรค์ก็จะไม่เป็นผลดีต่อเขา แล้วอีกอย่าง ในมือไป๋เฟิ่งหวงก็มีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้นที่เขายังไม่ได้มา จึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อไป๋เฟิ่งหวงทันที ให้ไป๋เฟิ่งหวงได้เตรียมตัวแต่เนิ่มๆ

หลังจากรู้ข่าวแล้ว ไป๋เฟิ่งหวงก็ยืนอยู่บนดาวเคราะห์หินหยกดวงหนึ่ง ในมือกำระฆังดารา เรียกได้ว่าแค้นจนกัดฟันกรอด ที่ประมุขชิงทำแบบนี้เพราะต้องการจะตัดทางหนีทีไล่ของนาง มีแค่การหลบอยู่ในทะเลดาวสับสนเท่านั้น นางถึงจะอยู่อย่างอิสระได้ พอออกจากทะเลดาวสับสนแล้วจะอยู่อย่างอิสระได้อย่างไร ถึงแม้ใต้หล้าจะกว้างใหญ่ แต่ก็เกรงว่าจะต้องหลบหนีตลอดไป ที่ยุ่งยากกว่านั้นก็คือในใต้หล้ามีอำนาจตั้งไม่รู้กี่ฝ่ายที่อยากตามหานาง ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็อันตรายทั้งนั้น ต่อให้นางส่งธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ออกไปหมดแล้ว แต่ก็เกรงว่าคงจะไม่มีใครเชื่อนางอยู่ดี อย่างน้อยก็ต้องจับตัวนางให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน

นางรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่มีเรื่องกับประมุขชิงไม่ไหว นางไม่อยากจะยั่วโมโหเกินไปเช่นกัน แต่ตอนนั้นคิดสั้นเก็บยึดแหวนของกำลังพลตำหนักสวรรค์ไป ผลก็คือได้สร้างปัญหาใหญ่แล้ว ตอนนี้นางนึกเสียใจทีหลังแทบแย่

แต่นางจะไม่รีบหนีก็ไม่ได้ ถ้าตกอยู่ในมือประมุขชิงขึ้นมา ต่อให้ไม่ตายแต่ก็อย่าหวังว่าจะได้อยู่ดีมีสุขเลย เวลาประมุขชิงเล่นบทโหดแล้วน่ากลัวขนาดไหน นางก็เคยได้บทเรียนมาแล้ว

นางเรียกรวมปีศาจหินหยกกลุ่มหนึ่ง แล้วทิ้งบ้านหนีไปอย่างหดหู่ใจ…

จงหลีค่วยที่กำลังรออยู่ ในที่สุดก็ได้ข่าวจากเหมียวอี้แล้ว เหมียวอี้บอกเป้าหมายโดยละเอียดแล้ว

จงหลีค่วยรีบไปที่ตำหนักนภาคราม แล้วบอกสถานการณ์โดยละเอียดให้เวินหวนเจินรู้

หลังจากจงหลีค่วยออกจากตำหนักนภาครามแล้ว เหยียนเกอที่อยู่ข้างๆ ก็กุมหมัดคารวะถามเวินหวนเจินที่ยืนเงียบอยู่ในตำหนัก “ท่านอาจารย์ ตอนนี้สามารถลงมือได้แล้วเหรอ?”

“ไม่รีบ รออีกหน่อย” เวินหวนเจินตอบอย่างใจเย็น

เหยียนเกอฉงนใจ ไม่รู้ว่าท่านอาจารย์ต้องรออะไร

หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือนเต็มๆ จงหลีค่วยก็ถูกเรียกมาที่ตำหนักนภาครามอีกครั้ง เวินหวนเจินบอกว่า  “บอกเขาไปสิ บอกว่าจากการที่พวกเราแอบตรวจสอบร้านค้าห้าร้านนั่น พบว่าร้านค้าทั้งห้าร้านล้วนมีฐานปฏิบัติการลับแยกอีกต่างหาก คนที่ซ่อนเอาไว้มีเยอะกว่าร้านค้าห้าร้านนั่นแน่นอน ไปเตือนเขาสักหน่อย บอกว่าถ้าจะแตะต้องร้านค้าที่ตลาดสวรรค์ ก็จะทำให้ปราสาทดำเนินนภาโดนเปิดโปงง่ายเกินไป ดีไม่ดีอาจจะทำให้เขาลำบากไปด้วย เปลี่ยนจากล้างเลือดห้าร้านค้านั่นเป็นล้างเลือดฐานปฎิบัติการที่อยู่เบื้องหลังร้านค้าแทนได้มั้ย”

ถ้าเป็นคำพูดของอาจารย์ปู่ จงหลีค่วยก็ไม่กล้าลังเลสงสัย ย่อมติดต่อไปหาเหมียวอี้ทันที

เหมียวอี้ได้ข่าวแล้วพูดไม่ออก สาเหตุที่เขาลงมือกับร้านค้าห้าร้านนั่น ก็เป็นเพราะเขารู้จักแค่ฐานปฏิบัติติการของห้าลัทธิห้าแห่งนี้ ทั้งยังรู้เพราะเป็นที่อยู่ของอนุภรรยาตัวเองด้วย ส่วนเรื่องฐานปฏิบัติติการอื่นๆ ของห้าลัทธิ เขาก็ไม่รู้เลยแม้แต่น้อย

เขาต้องการแค่สั่งสอนห้าลัทธินั่น ไม่ได้คิดจะกัดห้าร้านค้านั่นไม่ปล่อย ถ้าทำให้สำเร็จได้โดยไม่ต้องเสี่ยงก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ เขาย่อมตอบตกลงอยู่แล้ว

เพียงแต่พอเป็นแบบนี้ เขาก็รู้สึกเสียดายอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าผลจะเป็นแบบนี้ เขายังจำเป็นจะต้องเสียธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้นเพื่อล่อพวกอวิ๋นจือชิวออกไปด้วยเหรอ?

พวกอวิ๋นจือชิวยังอยู่ระหว่างทาง ยังไม่ถึงดาวไร้ลักษณ์ เขากำลังครุ่นคิดว่าจะให้อวิ๋นจือชิวกลับคำพูดดีไหม

หลังจากเหมียวอี้นั่งขัดสมาธิคิดไปคิดมาอยู่ในถ้ำแล้ว ก็ส่ายหน้ายิ้มเจื่อนอีกครั้ง บอกไปแล้วว่าธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งล้านคันอยู่ในมือของฝั่งนี้ ถ้าจะให้ห้าลัทธิยอมทิ้งอีก ก็เกรงว่าคงจะไม่ง่ายขนาดนั้น เกรงว่าแม้แต่อวิ๋นจือชิวก็จะต้านทานความอยากของพวกเขาไม่ไหว ตอนนี้ก็ทำได้เพียงคิดไปในทางที่ดี ถ้าทำเรื่องแบบนี้ เมื่อถึงเวลานั้นต่อให้ไม่บอก ห้าลัทธิก็รู้อยู่ดีว่าตนกำลังสั่งสอน ให้ผู้เหลือรอดของหกลัทธิที่อยู่นอกแดนอเวจีใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์สร้างความวุ่นวายให้ตำหนักสวรรค์สักหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร เพาะฉะนั้นก็ให้ไปเถอะ

“อาจารย์ปู่ เขาตอบตกลงแล้ว” จงหลีค่วยเก็บระฆังดารา แล้วกุมหมัดคารวะตอบ

เวินหวนเจินลูบเคราพลางยิ้มบางๆ ดาวโดดเดี่ยวช่างคาดการณ์ไม่ผิดเลยสักนิด หนิวโหย่วเต๋อนั่นตอบตกลงแล้วจริงๆ

เขาหันกลบัมาพยักหน้าเบาๆ ให้เหยียนเกอลูกศิษย์ใหญ่ “จัดการเรื่องนี้ให้สะอาดเรียบร้อยหน่อย อย่าทิ้งปัญหาอะไรเอาไว้ทีหลัง!”

“รับทราบ!” เหยียนเกอกุมหมัดคารวะแล้วถอยออกไป

ปราสาทดำเนินเซียน ท่ามกลางทิวทัศน์มหัศจรรย์ราวกับแดนเซียน

ในตำหนักเมฆาเลื่อนลอยที่เงียบสงบ โหยวอี ประมุขปราสาทดำเนินเซียนกำลังนั่งขัดสมษธิอยู่กลางตำหนักค่อยๆ ลืมตาสองข้าง พลิกมือรองระฆังดาราอันหนึ่งที่กำลังสั่นขึ้นมา แล้วพึมพำว่า “ดาวโดดเดี่ยว…”

สำหรับตัวละครที่ลึกลับคนนี้ เขาไม่ได้ติดต่อด้วยเป็นครั้งแรกแล้ว ครั้งก่อนก็เป็นดาวโดดเดี่ยวที่บอกให้เขาออกหน้าไปขัดขวางไป๋เฟิ่งหวงด้วยตัวเอง

หลังจากเขย่าระฆังดาราคุยกันสักพักจนเข้าใจเจตนาที่อีกฝ่ายติดต่อมาหาตน เขาก็สะบัดแขนเสื้อให้ประตูตำหนักเปิดออกอย่างช้าๆ

ด้านนอกมีเด็กชายคนหนึ่งที่ผิวกายละเอียดขาวดุจหยกเข้ามาทำความเคารพอย่างระมัดระวัง “ปรมาจารย์!”

“ให้ผู้อาวุโสใหญ่มาพบข้า” โหยวอีกล่าวเสียงเรียบ

“ขอรับ!” เด็กชายตอบด้วยเสียงดังฟังชัด

ปราสาทดำเนินจันทร์ที่อยู่ในจุดลึกของดาราจักรอันไกลโพ้น ในตำหนักเก้าจันทราใต้ม่านราตรีที่มีดวงจันทร์เก้าดวงส่องสว่าง บนเตียงพระจันทร์เสี้ยวใต้เพดานโค้งผลึกใสที่มีแสงจันทร์ลอดผ่านจนเหมือนเป็นเสาแสงต้นหนึ่ง สตรีผู้งดงามเลิศล้ำเรือนร่างอ้อนช้อยในชุดผ้ามุ้งสีเงินกำลังนอนเท้าแขนหนุนศีรษะหลับลึกอยู่ภายใต้แสงจันทร์พลันลืมตาขึ้น นางกระดกนิ้วชี้เรียวยาวขึ้นมาอย่างสง่างาม ระฆังดาราอันหนึ่งที่ลอยวนอยู่ตรงปลายนิ้วเปลี่ยนเป็นใหญ่ขึ้น เปลี่ยนเป็นระฆังดาราขณะปกติแล้วสั่นสะเทือน

ดวงตางามเย็นชาที่กำลังจ้องระฆังดาราเริ่มฉายแววตกตะลึงทีละนิด แล้วอุทานว่า “ดาวโดดเดี่ยว!อย่าบอกนะว่าเขากลับมาแล้ว…”

แทบจะเป็นวันเดียวกัน ประมุขของสิบปราสาทดำเนินที่เคยมีชื่อเสียงสะท้านใต้หล้าและอยู่อย่างเงียบสงบมาไม่รู้ตั้งกี่ปี ตอนนี้ทั้งหมดถูกทำให้ตกใจตื่นแล้ว…

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด