พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1467 ก่อหายนะอีกแล้ว

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1467 ก่อหายนะอีกแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

จิ้งหูเหนียงเหนียงที่เคยเสียเปรียบไปแล้วครั้งหนึ่งได้เตรียมใจไว้แล้ว พอเห็นเฮยทั่นทำท่าทางแบบนั้นก็รีบถลันตัวหลบอย่างรวดเร็ว

ทว่าเหมียวอี้ยังไม่ยอมปล่อยนางไป ตอนที่เฮยทั่นคลาดผ่านนาง เขาก็ใช้เท้าถีบหลังเฮยทั่นหนึ่งที ตัวเขาเด้งออกไปพร้อมเหยียดทวนโผเข้าใส่ แต่น่าเสียดายที่เหาะไม่ได้จึงเสียเปรียบ ปล่อยให้จิ้งหูเหนียงเหนียงเหาะหนีไปไกลแล้ว

เหมียวอี้ที่ขาดแรงช่วยอยู่กลางอากาศตกลงเป็นแนวเส้นตรง ตุ้บ! ตกกระแทกพื้นอย่างรุนแรง ฝุ่นดินที่อยู่ใต้เท้าปลิวกระจาย เข่าสองข้างที่นั่งยองเหยียดยืนขึ้นอย่างช้าๆ พื้นดินโดนเขาตกกระแทกใส่จนเป็นหลุม

“หึหึ!” จิ้งหูเหนียงเหนียงที่ลอยอยู่กลางอากาศหัวเราะเย้ย นางเรียกได้ว่าได้เปรียบกว่าทุกอย่าง ถ้าอาศัยความสามารถอย่างเดียว แต่อยู่ข้างล่างก็ทำอะไรนางไม่ได้อยู่ดี

ทว่าเสียงหัวเราะพลันหยุดชะงัก ดวงตาเบิกกว้าง บนใบหน้าแสดงอารมณ์ตกใจกลัว

ฉึก! เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ข้างหลังควงทวนปักไว้บนพื้น พลิกมือช้อนธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ออกมา พอง้างลูกธนูดาวตกไว้บนสาย ก็มีลำแสงหมุนวน จากนั้นก็มีเสียงสั่นสะเทือน ลำแสงสายหนึ่งยิงขึ้นไปบนฟ้าแล้ว

จิ้งหูเหนียงเหนียงตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ลุกลี้ลุกลนเลี้ยวหนี ทว่าลูกธนูดาวตกก็เลี้ยวตามทันที ยิงไล่ตามนางต่อไป

“อ๊า…” มีเสียงกรีดร้องอยู่กลางอากาศ เงาคนที่อยู่บนฟ้าพลิกตกลงมา

เหมียวอี้ดึงทวนขึ้นจากพื้นแล้วกระโดดทะยานขึ้นฟ้า เฮยทั่นวิ่งตะบึงรีบร้อนเข้ามา มันกระโดดเล็กน้อยเพื่อใช้หลังรับเหมียวอี้ หลังจากเหยียบลงพื้นแล้วเท้าก็ยังไม่หยุดเคลื่อนไหว แบกเหมียวอี้พุ่งไปหาคนที่ตกจากท้องฟ้าด้วยความรวดเร็ว

คนกับสัตว์พาหนะร่วมมือกันอย่างรู้ใจกันที่สุด ไม่จำเป็นต้องใช้สายตาบอกด้วยซ้ำ พอเข้าสู่สภาวะวิ่งตะบึงเข่นฆ่า ทั้งคู่ก็ก็เรียกได้ว่าจิตใจตรงกัน

จิ้งหูเหนียงเหนียงที่ตกลงมายังไม่ทันถึงพื้น ตอนที่อยู่ห่างจากพื้นสองสามจั้งนางก็ยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว เมื่อเห็นเฮยทั่นสังหารเข้ามา นางก็ตกใจจนขวัญกระเจิงแล้วจริงๆ รีบร้อนทะยานขึ้นฟ้าอีกครั้ง

เหมียวอี้ชูมือขึ้นแล้วโบกหนึ่งที เก็บลูกธนูดาวตกเข้าในกำไลเก็บสมบัติ เฮยทั่นรีบกระโจนขึ้นฟ้าอีกรอบ โผเข้าไปหาจิ้งหูเหนียงเหนียงที่กำลังลุกลี้ลุกลนเหาะหนี

จิ้งหูเหนียงเหนียงที่หลบไม่ทันพลันหันมาเป่าลมใส่หนึ่งที ปราณอาฆาตสีขาวที่พ่นออกมาราวกับไอหมอกพุ่งครอบเหมียวอี้และสัตว์พาหนะ

อยู่ท่ามกลางหมอกหนาทำให้มองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น แต่เหมียวอี้กลับไม่แยแสที่จะมอง ใช้มือข้างเดียวจับทวนโจมตีไปข้างหลัง เสียงมังกรคำรามถูกหยุดไว้ด้วยเสียง “ฉึก” ทวนเสียบเข้าที่หน้าท้องของจิ้งหูเหนียงเหนียงที่หลบไม่ทันแล้ว สังหารจนเกิดเสียงกรีดร้องอีกครั้ง

ถ้าพูดถึงการเข่นฆ่าซึ่งๆ หน้า เหมียวอี้ก็มองจิ้งหูเหนียงเหนียงเหมือนกับไก่กระเบื้องสุนัขดินเผาที่เปราะบางแตกง่าย การเอาชีวิตนางยามได้สู้กันซึ่งๆ หน้าก็ง่ายเหมือนใช้มือล้วงหยิบของในกระเป๋า สามารถเอาชีวิตนางได้ทุกเมื่อ

เฮยทั่นแบกเหมียวอี้พุ่งออกจากปราณอาฆาตที่เป็นหมอกขาว แล้วเหยียบลงพื้นเป็นวิถีโค้ง

จิ้งหูเหนียงเหนียงที่ตกกระแทกพื้นลุกขึ้นมาอีกครั้ง เกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นไม่หยุด “อ๊า…” เสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวดังไม่หยุด บนร่างกายมีควันลอยขึ้นมา

พอเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ มีหรือที่พวกสาวใช้ที่เหลือจะกล้าไปต่อข้างหน้าอีก พวกนางเลี้ยวเปลี่ยนทิศแล้ววิ่งหนีอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง

เหมียวอี้พลิกมือปล่อยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อีกครั้ง สายธนูยิงลำแสงสายหนึ่งออกมาพร้อมเสียงดังปั้ง ยิงจนพวกสาวใช้ตกลงพร้อมเสียงกรีดร้อง

เฮยทั่นวิ่งตะบึงออกไป แต่เหมียวอี้กลับกระโจนตัวขึ้นมา ถีบสาวใช้ที่โดนยิงตกและกำลังจะเหาะหนีอีกครั้งให้กลับลงพื้น

สาวใช้กลิ้งอยู่บนพื้นอีกครั้ง ยังไม่ทันจะได้ลุกขึ้นมา เหมียวอี้ที่ตกลงพื้นตามมาทีหลังเหยียบลงมาอีก เหยียบหน้าอกของนางอย่างแรง รองเท้าเกราะโลหะเหยียบจนนางกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ สาวใช้โบกกระบี่ในมือฟันต้นขาของเหมียวอี้โดยสัญชาตญาณ แต่ก็เกิดเสียงดังสะเทือน เพราะโดนทวนเกล็ดย้อนปัดออก ตอนนี้หัวทวนที่แหลมคมจ่ออยู่บนคอของนางแล้ว

“โปรดไว้ชีวิต…” สาวใช้ตกใจจนร้องขอชีวิต นางไม่กล้าขยับตัวซี้ซั้วอีก ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ส่วนพวกสาวใช้หนีไปทางอื่น พอเห็นเพื่อนตัวเองโดนยิงตกลงมา พวกนางก็ตกใจจนไม่กล้าเหาะขึ้นฟ้าอีก พากันกระโดดลงแม่น้ำหนีไปแล้ว

อ่านนิยาย

หลังจากเหมียวอี้กระโดดลงมา เฮยทั่นก็ยังไม่หยุด มันรีบพุ่งหลาวไล่ตามไป พอไปถึงริมแม่น้ำก็ดีดตัวขึ้นฟ้าทันที แล้วพุ่งลงไล่ตามอยู่ในแม่น้ำ

ไม่สนใจเสียงร้องขอชีวิตของสาวใช้ที่อยู่ใต้เท้า เหมียวอี้หันกลับไปมอง จิ้งหูเหนียงเหนียงยังคงกลิ้งอยู่บนพื้นพลางร้องโหยหวน บนตัวมีควันลอยขึ้นมาไม่หยุด

รอจนกระทั่งเฮยทั่นโผล่พ้นน้ำและกระโดดขึ้นฝั่งวิ่งกลับมา จิ้งหูเหนียงเหนียงก็ไม่มีความเคลื่อนไหวแล้ว ทั้งตัวหายไปแล้ว

เหมียวอี้มองสำรวจเฮยทั่น เมื่อเห็นว่าไม่น่าจะบาดเจ็บอะไร ก็ถามอีกว่า “ตามทันหรือเปล่า?”

เฮยทั่นส่ายหน้าทำเสียงฟึดฟัด “ตอนอยู่ในน้ำข้าไม่เร็วเท่าพวกนาง หนีไปได้แล้ว”

เหมียวอี้ถึงได้หันมามองสาวใช้ใต้เท้าที่ตัวสั่นระริกด้วยความกลัว แล้วถามว่า “จิ้งหูเหนียงเหนียงนั่นเป็นใคร?”

สาวใช้ตอบอย่างหวาดกลัว “เป็นเจ้าถิ่นของน่านน้ำบริเวณนี้ และเป็นหนึ่งในอนุภรรยาสิบสามคนของประมุขค่ายหวังกงแห่งค่ายพยัคฆ์ดำ ครอบครองเก้าขุนเขาสี่ลำน้ำของที่นี่…”

พอได้ยินนางพูดแบบนี้ เหมียวอี้ถึงได้เข้าใจ ว่าอาณาเขตของผู้ที่ชื่อหวังกงนั่นมีภูเขาสูงเก้าลูก ทั้งยังมีทะเลสาบอีกสี่แห่ง แบ่งให้ผู้หญิงทั้งสิบสามคนของตัวเองควบคุม อย่าไปมองว่าเป็นแค่เก้าขุนเขาสี่ทะเลสาบ เพราะความจริงกินพื้นที่ไม่น้อยเลย

สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้เซ็งก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าชื่อรังของประมุขค่ายท่านนี้จะชื่อค่ายพยัคฆ์ดำ สาเหตุที่ตั้งชื่อว่าค่ายพยัคฆ์ดำ ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับธงพยัคฆ์ดำในสังกัดของเหมียวอี้ แต่เป็นเพราะลักษณะภูเขาของที่ตั้งค่ายเหมือนเสือดำนอนหมอบก็เท่านั้นเอง

“แล้วทำไมจิ้งหูเหนียงเหนียงนี่ถึงอยากจะแย่งกายหยาบของข้าไป?” เหมียวอี้ถามอีก

สาวใช้พูดขอร้องว่า “นายท่าน หลังจากบ่าวบอกแล้ว นายท่านจะปล่อยบ่าวไปได้หรือเปล่า?”

“ขอเพียงเจ้าบอกมาอย่างซื่อสัตย์ไม่ปิดบัง ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป” เหมียวอี้ตอบ

“ข้าจะบอก ข้าจะบอก!” สาวใช้ที่นอนอยู่บนพื้นรีบบอกว่า “คงจะอยากยืมกายหยาบนายท่านเข้าไปในถ้ำมังกรกับรังหงส์”

เหมียวอี้ได้ยินแล้วแปลกใจ “กายหยาบของข้าจะช่วยให้นางเข้าไปในถ้ำมังกรกับรังหงส์ได้ยังไง?”

“บ่าวไม่เคยไปถ้ำมังกรกับรังหงส์ ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงหรือเปล่า เพียงแต่เคยได้ยินมาว่าเป็นแบบนี้ ว่ากันว่าที่ตั้งของถ้ำมังกรกับรังหงส์เป็นเป็นแหล่งปล่อยปราณชั่วร้ายของทั้งแดนมรณะดึกดำบรรพ์…” สาวใช้เหมือนเป็นกระบอกไม้ไผ่ที่เทถั่วออก บอกสิ่งที่ตัวเองรู้ออกมาหมด

อ่านนิายาย

ความหมายคร่าวๆ ก็ไม่ได้ยากแก่การทำความเข้าใจ  แดนมรณะดึกดำบรรพ์ถึงแม้เดิทีจะมีปราณชั่วร้ายเข้มข้น แต่ก็มีเผ่าหงส์และมังกรควบคุมแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายเอาไว้ แดนมรณะดึกดำบรรพ์จึงยังไม่ถึงขั้นมีวิญญาณชั่วร้ายเยอะเหมือนอย่างทุกวันนี้ เมื่อนานมาแล้วที่นี่เคยเป็นทำเลทองที่มีธรรมชาติงดงามเช่นกัน ทุกที่เขียวชอุ่ม ตั้งแต่เผ่าหงส์และมังกรออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ไป ไม่มีสองเผ่านี้คอยคุม ปราณชั่วร้ายที่พ่นออกมาจากแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายก็ไม่ได้ถูกจำกัดแล้ว ถึงได้เกิดเป็นวิญญาณชั่วร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนเหมือนอย่างทุกวันนี้ ปราณชั่วร้ายกำเริบเสิบสาน  ทำเลทองที่มีธรรมชาติงดงามแห่งนี้จึงประสบหายนะ สัตว์และพืชพรรณทนการกัดกร่อนของปราณชั่วร้ายไม่ไหว ถึงได้ทำให้แดนมรณะดึกดำบรรพ์กลายสภาพเป็นรกร้างเหมือนอย่างทุกวันนี้

และวิธีการฝึกตนของวิญญาณชั่วร้ายที่นี่ก็แตกต่างกับวิธีการฝึกตนข้างนอกโดยสิ้นเชิง เนื่องจากไม่มีทรัพยากรฝึกตน พวกมันใช้วิธีการดูดกินปราณชั่วร้ายเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตัวเอง ส่วนผู้ที่แข็งแกร่งก็จะอาศัยการกลืนกินวิญญาณชั่วร้ายดวงอื่นๆ เพื่อเสริมพลังให้ตัวเอง ดังนั้นที่นี่จึงเต็มไปด้วยการแบ่งแยกครอบครองดินแดนของผู้ที่แข็งแกร่ง มีการเข่นฆ่ากันไม่หยุด

พอเป็นแบบนี้ สถานที่ฝึกตนที่ดีที่สุดก็ย่อมเป็นแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายที่เผ่าหงส์และมังกรเคยควบคุมไว้ ถ้าสามารถครอบครองแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายแล้วนำมาใช้เป็นที่ฝึกตนได้ แค่คิดก็รู้ถึงผลลัพธ์แล้ว ถามหน่อยว่าในบรรดาวิญญาณชั่วร้ายทั้งแดนมรณะดึกดำบรรพ์ มีใครบ้างที่ไม่อยากเข้าไป? ทว่าที่ตั้งของถ้ำมังกรรังหงส์ก็มีสิ่งที่ทำให้วิญญาณชั่วร้ายพวกนี้หวาดกลัวเช่นกัน เพราะถ้ำมังกรมีไฟหยางแท้ รังหงส์มีไฟหยินแท้ ไม่ว่าจะเป็นไฟหยางหรือว่าไฟหยิน ก็ล้วนแล้วแต่เป็นดาวอริของวิญญาณชั่วร้ายทั้งนั้น ถ้าวิญญาณชั่วร้ายในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ผ่านด่านนี้ไม่ได้ ก็ไม่มีทางเข้าไปครอบครองแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายที่ถ้ำมังกรรังหงส์ได้เลย

ถ้าสามารถแย่งร่างของนักพรตได้ก็จะมีหนทางแล้ว ขอเพียงยึดกายหยาบได้ ก็จะสามารถคิดหาทางผ่านด่านนั้นไปได้ ไม่เหมือนวิญญาณชั่วร้ายที่แค่เข้าใกล้ก็ทนไม่ไหวแล้ว แต่ที่นี่ก็โดนตำหนักสวรรค์ปิดล้อมไว้ หลายปีแล้วที่ไม่มีนักพรตเข้ามา เคยมีเข้ามาครั้งสองครั้ง แต่เป็นกำลังพลของตำหนักสวรรค์ที่มาปราบปรามครั้งใหญ่ที่นี่ ขี่หงส์กับมังกรมาทำศึก กำจัดพวกวิญญาณชั่วร้ายที่วรยุทธ์สูง

ดังนั้นแค่คิดดูก็รู้แล้ว ว่าวิญญาณชั่วร้ายของแดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้แต่หวังลมๆ แล้งๆต่อถ้ำมังกรรังหงส์เท่านั้น ไม่สามารถเข้าไปได้เลย ตอนนี้จู่ๆ ก็มีเหมียวอี้โผล่มา จิ้งหูเหนียงเหนียงนั่นก็ย่อมตื่นเต้นดีใจอยากจะยึดร่างของเขา เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะรับมือด้วยยาก กลับโดนเหมียวอี้ฆ่าตายไปแล้ว

หลังจากได้รู้ความจริงแล้ว เหมียวอี้ก็แอบด่าแม่ มิน่าล่ะถึงได้ส่งข้ามาขังไว้ที่นี่เพื่ออุดปากตระกูลอิ๋ง แบบนี้จะต่างอะไรกับการส่งข้ามาตายล่ะ? ถ้าให้วิญญาณชั่วร้ายที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์รู้ว่ามีข้าอยู่ จะไม่ลุกฮือกันมาแย่งร่างหรอกเหรอ แบบนั้นข้าไม่ตายก็แปลกแล้ว

พอคิดถึงตรงนี้ เขาก็เรียกได้ว่าขนพองสยองเกล้า มองไปรอบๆ แวบหนึ่ง แอบร้องในใจว่าซวยแล้ว สาวใช้พวกนั้นที่หนีรอดไป หลังจากกลับไปแล้วถ้าไม่รายงาน ‘ข่าวดี’ ให้ประมุขค่ายค่ายพยัคฆ์ดำหวังกงอะไรนั่นรู้ก็คงแปลก คนที่ชื่อหวังกงนั้นเป็นใครกัน มีหรือที่จะทิ้งโอกาสในการเข้าถ้ำมังกรรังหงส์!

เหมียวอี้พลันเงยหน้ามองเฮยทั่น เขามองมันด้วยสายตาเดือดดาล รู้สึกแค้นจนกัดฟันกรอด เขาบอกเจ้าเวรนี่ไว้แล้วว่าอย่าเพ่นพ่านไปทั่ว แต่เจ้าเดรัจฉานกลับก่อปัญหาใหญ่ขนาดนี้เพียงเพราะปลาสองตัว เดี๋ยวต่อไปถ้าวิญญาณชั่วร้ายทั้งแดนมรณะดึกดำบรรพ์รู้ข่าวแล้วมาที่นี่ ต่อให้ทั้งสองจะมีปีกบินได้แต่ก็หนีไม่พ้นหรอก

ครั้งก่อนตอนตามหาประตูดวงดาวก็เหมือนกัน เจ้าเวรนี่วู่วามพาเขาพุ่งเข้าใส่ประตูดวงดาว รอจนกระทั่งรู้ตัวก็หันหลังกลับไม่ทันแล้ว ทำให้โดนแรงดึงมหาศาลของประตูดวงดาวดูดเข้าไป ครั้งนั้นโชคดีที่ด้านหลังประตูดวงดาวคือแดนอเวจี ถ้าไปในอาณาเขตดาวนิรนามที่ลำบากยากเข็ญไร้คนช่วยเหลือ เกรงว่าตอนนี้คงจะตายอยู่ที่นั่นไปแล้ว

คิดไปคิดมาก็รู้สึกเดือด ถึงแม้มันจะสร้างปัญหาให้เขา แต่ดันไม่ได้สร้างปัญหาเล็กน้อย มีแต่ปัญหาที่ทำให้ถึงตายทั้งนั้น จะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร!

พอโดนเหมียวอี้ถลึงตาใส่ เฮยทั่นก็ก้มหน้าทำเสียงฟึดฟัดเบาๆ มันฟังสิ่งที่สาวใช้บอกเข้าใจเช่นกัน รู้ว่าตัวเองก่อปัญหาใหญ่แล้ว

ถึงแม้เหมียวอี้จะอยากแทงมันให้ตาย แต่ก็รู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาโมโห เดี๋ยวต่อไปยามจะหนีเอาชีวิตรอดก็ยังต้องพึ่งพาพลังเท้าของมันอีก พึ่งพากันและกันย่อมดีกว่าตัวคนเดียวอยู่แล้ว

ขณะพยายามข่มไฟโกรธไว้ในใจ เหมียวอี้ก็ถามอีกว่า “แล้วประมุขค่ายหวังกงค่ายพยัคฆ์ดำอะไรนั่นมีวรยุทธ์เท่าไร?”

“บงกชรุ้งขั้นสอง!” สาวใช้ตอบ

“เพิ่งบงกชรุ้งขั้นสองเองเหรอ? อย่าบอกนะว่าผู้แข้งแกร่งดูดกลืนวิญญาณชั่วร้ายดวงอื่นๆ แล้วยังเลื่อนขั้นไม่เร็วอีก?” เหมียวอี้ถามอย่างแปลกใจ

สาวใช้ตอบว่า “ผู้แข็งแกร่งส่วนใหญ่ของที่นี่อยู่ในระดับบงกชรุ้งทั้งนั้น มีแค่บางส่วนที่โดนตำหนักสวรรค์ล้อมปราบแล้วหลุดรอดมาได้ที่มีวรยุทธ์สูงกว่านั้น แต่คนประเภทนั้นมีอยู่น้อยมาก และไม่กล้าโอ้อวดเกินไปนัก กลัวว่าจะกลายเป็นเป้าหมายในการโจมตีครั้งต่อไปของตำหนักสวรรค์”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! แบบนี้เหมียวอี้ก็โล่งใจแล้วนิดหน่อย จากนั้นเขาก็ถามเรื่องอื่นๆ อีก

รอจนกระทั่งเขาหมดคำถามแล้ว สาวใช้ที่โดนเหยียบอยู่ใต้เท้าถามเสียงอ่อนว่า “นายท่าน สามารถปล่อยบ่าวไปได้หรือยังคะ?”

เหมียวอี้คิดไปคิดมา แล้วก็คลายเท้าออก “ข้าพูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว”

ใครจะไปคาดคิด ตอนที่สาวใช้คนนั้นเพิ่งจะลุกขึ้นมาได้ เฮยทั่นก็กระโจนเข้ามางับแล้ว อ้าปากที่มีฟันแหลมคมเหมือนบ่อเลือดกัดหัวสาวใช้จนหลุด จากนั้นก็กดร่างที่กระดุกกระดิกแล้วฉีกกัดอย่างต่อเนื่อง เขมือบสาวใช้คนนั้นลงท้องอย่างรวดเร็ว

เหมียวอี้ตกใจจนเหม่อค้าง อุทานถามว่า “โจรอ้วน เจ้าทำอะไร?”

เฮยทั่นกลืนคำสุดท้าย ใช้กรงเล็บลูบปาก แล้วตอบอย่างภาคภูมิใจว่า “ไม่ต้องห่วง ไม่ได้ให้ท่านกินหรอก ท่านบอกว่าจะไว้ชีวิตนาง แต่ข้าไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าจะไว้ชีวิตนาง อย่าบอกนะว่าจะปล่อยนางกลับไปรายงานข่าว? นางก็เป็นวิญญาณชั่วร้ายเหมือนกัน กินแล้วเสริมพลังยิ่งกว่าปลาขาวอีก”

เหมียวอี้โมโหจนตัวสั่น เขาชี้มันด้วยมือที่สั่นเทา พร้อมคำรามด่าอย่างโกรธแค้น “ข้าบอกว่าจะไว้ชีวิตนาง แต่ไม่ได้บอกว่าจะปล่อยนางไป! ไอ้เวรเอ๊ย ข้าไม่คุ้นชินกับวิถีชีวิตที่นี่ ในมือข้ามีนางคนเดียวที่รู้ทางและพาหนีได้สะดวก แต่เจ้ากินนางไปแล้วงั้นเหรอ?”

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด