พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1478 อวี้ซา

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1478 อวี้ซา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ยังต้องถามอีกเหรอว่าคิดยังไง? ทั้งสองไม่อยากพาเขาไปด้วยแน่นอน

ดูจากท่าทางของอั้นโยวหลิน พอเห็นอวี้ซาท่านนี้แล้วก็เหมือนจะตกใจจนไม่กล้าพูด เหมียวอี้จึงไม่หวังว่านางจะมีวิธีการอะไรแล้ว บอกไปตรงๆ เลยว่า “พวกเราก็อยากจะไปดูรังหงส์สักหน่อย เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำยังไงถึงจะได้เข้าไป หวังว่าผู้อาวุโสจะชี้แนะสักหน่อย”

อวี้ซามองเขาพลางยิ้มบางๆ “ตอนอยู่ต่อหน้าข้า เล่นละครแบบนี้ไม่สนุกหรอก ถึงข้าจะโดนหิมะผนึกไว้ แต่ก็เห็นเจ้าร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมไฟหยินแท้นั่นได้ ถือโอกาสตอนที่ข้ายังทนไหว อย่ายั่วโมโหข้าเลย”

“แล้วถ้าข้าไม่พาเจ้าไปล่ะ?” เหมียวอี้ถาม

อวี้ซาบอกว่า “งั้นข้าก็ทำได้เพียงอาศัยกายหยาบของเจ้าแล้วค่อยคิดหาทางเข้าไป แต่ในเมื่อเจ้ามีวิชาควบคุมไฟแล้ว ข้าจำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนั้นด้วยเหรอ ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าทำไมเจ้าถึงพาวิญญาณนี่เข้าไปด้วย แต่เดาว่าเจ้าก็คงจะมีจุดหมายของตัวเอง พวกเรามาร่วมงานกันเถอะ หลังจากเข้าไปแล้วก็ต่างคนต่างเอาสิ่งที่ต้องการ เป็นยังไง?”

“ทำงานร่วมกันเหรอ? แต่สิ่งที่ข้าเห็นคือการขู่คุกคามนะ” เหมียวอี้บอก

อวี้ซาโบกมือเบาๆ “ผิดแล้ว! ถ้าไม่ได้การช่วยเหลือจากข้า อาศัยวรยุทธ์อย่างเจ้าน่ะ เกรงว่าจะเข้าไปได้ยากมาก หรือเจ้าคิดว่าตรงนี้มีแค่ข้าคนเดียวที่อยากเข้าไปในรังหงส์?”

เหมียวอี้กับอั้นโยวหลินมองไปรอบๆ โดยจิตใต้สำนึก แล้วเหมียวอี้ก็ถามว่า “อย่าบอกนะว่าที่นี่ยังมีคนอื่นซ่อนอยู่อีก?”

อวี้ซาพยักหน้า “เกรงว่าเจ้าคงจะโดนคนอื่นจับตามองตั้งนานแล้วน่ะสิ เป็นเพราะพวกเจ้าผ่านอาณาเขตที่ข้าคุมพอดี พวกเขาไม่รู้ตื้นลึกหน้าบางของข้าก็เลยไม่กล้าบุ่มบ่ามก็เท่านั้นเอง ดังนั้นเจ้าจึงต้องการใครสักคนเพื่อเบิกทางให้เจ้า ข้าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวนะ”

“หมายความว่า ข้ายังสามารถเลือกคนอื่นมาร่วมงานได้อีกเหรอ” เหมียวอี้กล่าว

อวี้ซายิ้มบางๆ “เจ้าตกอยู่ในมือข้าแล้ว เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ?” จู่ๆ สายตาก็กวาดไปที่อั้นโยวหลิน ปราณสังหารที่ดุร้ายกลุ่มหนึ่งพลันปล่อยออกมาพร้อมกัน ควบคุมอั้นโยวหลินไว้ทั้งตัว

ถึงแม้เป้าหมายที่เล็งไว้จะไม่ใช่เหมียวอี้ แต่ปราณสังหารที่ล่องหนนั้นก็ทำให้เหมียวอี้รู้สึกเจ็บแปลบ ราวกับมีมีดล่องหนกำลังกรีดเนื้อตัวเองอยู่

“เอื้อ…” อั้นโยวหลินครางเสียงต่แสดงความเจ็บปวดทันที ทำสีหน้าขื่นขมทรมาน แต่กลับโดนควบคุมจนไม่มีทางหลุดพ้นได้ ปล่อยให้อีกฝ่ายจัดการอยู่อย่างนั้น

ที่น่ากลัวก็คือ ผิวภายนอกของอั้นโยวหลินราวกับมีรอยแยก ราวกับกำลังจะโดนบางอย่างฉีกให้ขาด

“หยุดนะ!” เหมียวอี้พลันตะคอก

ปราณสังหารหายไปอย่างไร้ร่องรอย อั้นโยวหลินที่โล่งเหมือนยกหินออกจากอกนั่งคุกเข่าบนพื้น ร่างกายสั่นไปทั้งตัว รีบร่ายอิทธิฤทธิ์เยียวยาบาดแผล รอยแยกบนผิวหนังสมานตัวอย่างช้าๆ เงยหน้ามองไปทางอวี้ซาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

อวี้ซามองเหมียวอี้พลางหรี่ตายิ้ม “พูดแบบนี้ แสดงว่าตอบตกลงแล้วเหรอ?”

“ข้ามีทางเลือกรึไงล่ะ?” เหมียวอี้ถาม

อวี้ซาเชิดคางไปทางภูเขาน้ำแข็งที่สูงต่ำสลับกันเป็นพืด “งั้นก็ไม่ต้องเสียเวลาแล้ว ข้ารอมาหลายปีแล้ว รอไม่ไหวแล้วจริงๆ”

“เจ้าไม่ถามหน่อยเหรอว่าข้าเป็นใคร?” เหมียวอี้ถาม

อวี้ซายิ้มเบาๆ “สามารถผ่านทางที่ตำหนักสวรรค์ปิดล้อมเข้ามาได้ นอกจากคนของตำหนักสวรรค์แล้วจะเป็นใครไปได้อีก เจ้าเป็นใครก็ไม่สำคัญสำหรับข้าหรอก สิ่งที่ข้าต้องการก็คือเข้าไปในรังหงส์แล้วได้รับพลังที่แข็งแกร่งกว่านี้มาต่อต้านการกวาดล้างครั้งต่อไปของตำหนักสวรรค์”

เหมียวอี้ยังอยากอ้างฐานะตำหนักสวรรค์มาขู่สักหน่อย แต่ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้สึกอะไร เลยไม่มีหนทางอื่น ทำได้เพียงหยิบเกราะรบออกมาสวมบนตัว

“เกราะรบของเจ้าดูไม่เลวเลยนะ” อวี้ซายิ้มมุมปาก และหยิบเกราะรบผลึกแดงออกมาสวมใช่เช่นกัน เป็นเกราะรบเครื่องแบบของตำหนักสวรรค์

เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองสองครั้ง เห็นได้ชัดว่าตำหนักสวรรค์ไม่ได้มอบให้เขา หรือพูดได้อีกอย่างว่า มีแม่ทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์ตายด้วยน้ำมือของชายคนนี้

อั้นโยวหลินที่ลุกขึ้นยืนอีกครั้งก็หยิบเกราะรบขึ้นมาสวมเช่นเดียวกัน

เหมียวอี้กับอั้นโยวหลินยังไม่ทันเตรียมตัวเสร็จ จู่ๆ อวี้ซาก็ใช้สองมือตบบ่าทั้งสองแล้วบอกว่า “ไปทางบกจะปลอดภัยและมั่นใจกว่า เหาะบนท้องฟ้าดึงดูดสายตาคนอื่นเกินไป ถ้าโดนล้อมโจมตีขึ้นมาจะแย่ ไม่ใช่แค่คนอื่นที่จ้องอยากได้ ในภูเขายังมีสัตว์ประหลาดมากมายซ่อนตัวอยู่ ข้าเคยเห็นเองกับตาว่าหลังจากมียอดฝีมือเข้าไปแล้วก็มีเสียงต่อสู้ดังขึ้น น้องชาย เรื่องเบิกทางให้ข้าจัดการเถอะ เจ้าแค่รับหน้าที่ควบคุมไฟหยินแท้”

ไม่รอให้เหมียวอี้ตอบตกลง ทั้งสามก็ไถลไปยังจุดลึกของทุ่งน้ำแข็งแล้ว เมื่อเจอเนินหรือทางกั้นก็จะกระโดดเบาๆ เป็นแนวครึ่งวงกลมผ่านไป รวดเร็วถึงขีดสุด

ในขณะนี้เอง เหมือนจะมีคนทนไม่ไหวแล้ว ทางซ้ายมีเงาคนสองคน ทางขวามีเงาคนหนึ่งคน พุ่งเข้ามาเร็วมากราวกับดาวตก

ทั้งสามหยุดอย่างกะทันหัน อวี้ซาใช้ฝ่ามือสองข้างกด เหมียวอี้กับอั้นโยวหลินราวกับเป็นตะปูสองตัว มีเสียงดังปั้ง ใช้หน้าอกไถลพื้นหยุดพร้อมกัน แล้วจมลงในผิวน้ำแข็งด้านล่าง

อวี้ซาที่กวาดสายตามองซ้ายมองขวายืนนิ่งไม่ขยับอยู่ที่เดิม ผมยาวปลิวไสวอยู่ใต้เกราะหัว เหมียวอี้กับอั้นโยวหลินรู้สึกได้ถึงพลังอิทธิฤทธิ์อันแข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งที่ปกป้องพวกเขาเอาไว้

จนกระทั่งสามคนนั้นจู่โจมเข้ามาใกล้ อวี้ซาก็พลันหมุนตัวราวกับลม ราวกบัมีเงามายาพันมือ หมื่นนิ้วดีดพร้อมกัน รอบกายมีแสงกระบี่สีเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนกลืนเข้าคายออก สามคนที่พุ่งเข้ามาป้องกันไม่ทัน ชั่วพริบตาเดียวก็โดนกลืนหายไปแล้ว

“อา…อา…อา…”  มีเสียงกรีดร้องสามครั้งดังทั่วทั้งทุ่งน้ำแข็ง

อวี้ซาที่กำลังหมุนตัวด้วยความเร็วสูงพลันหยุดกะทันหัน สองฝ่ามือที่ยกแบขึ้นทางซ้ายและขวาจีบเป็นรูปดอกไม้ รอบกายมีแสงกระบี่สีเลือดยาวร้อยจั้งจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งก่อตัวขึ้นจากปราณสังหาร ทำให้เขาดูเหมือนเม่น รอจนกระทั่งตอนที่เขาวางมือสองข้างลงอย่างช้าๆ แสงกระบี่ที่อยู่รอบกายก็จางลงไปทีละนิดราวกับเงามายา ทั้งสามที่ดิ้นพล่านอยู่กลางอกาศทยอยกันตกลงพื้นแล้ว

แต่กลับเห็นอวี้ซาดีดนิ้วสามครั้งติดต่อกัน เงานิ้วสามเงาถูกปล่อยออกมาราวกับเป็นแสงกระบี่อีกครั้ง เหมือนมีอัสนีบาตสีเลือดสามสายแวบกะพริบอยู่กลางอากาศ ตัดศีรษะสามคนนั้นตกลงพื้นแล้ว

ปราณสังหารดุจกระบี่ เมื่อดีดนิ้วออกมา ก็ราวกับอัสนีบาตฟาดเปรี้ยงๆ กำจัดทิ้งในชั่วพริบตาเดียว!

อั้นโยวหลินทำสายตาตระหนกตกใจกลัว เหมียวอี้สูดหายใจอย่างตกตะลึง เขาเห็นกับตาว่าสามคนที่บุกเข้ามาเป็นนักพรตระดับบงกชกลายเหมือนกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนอวี้ซากำจัดทิ้งเพียงชั่วดีดนิ้วแล้ว เมื่ออยู่ข้างนอกวรยุทธ์อวี้ซาอาจจะไม่นับว่าสูงมาก แต่ถ้าอยู่ข้างนอกก็นับว่ามีศักยภาพน่าหวาดกลัวจริงๆ!

ในที่สุดตอนนี้เขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมตอนอั้นโยวหลินได้ยินชื่อ ‘อวี้ซา’ แล้วมีท่าทางหวาดกลัวขนาดนั้น

ในที่ลับตรงจุดไกลๆ ยังมีอีกคนที่กำลังแอบมอง ถ้าจะพูดให้ถูกคือรอจังหวะลงมือ แต่พอเห็นวิธีการของอวี้ซาที่ลงมือกับจัดได้ในชั่วพริบตาเดียว ทุกคนก็พากันตกใจ แล้วก็หายตัวไปอย่างเงียบๆ เหมือนจะเดาตัวตนของอวี้ซาได้แล้ว ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะไปมีเรื่องด้วยไหว

อวี้ซาที่กวาดสายตามองซ้ายมองขวาแสยะยิ้ม การโจมตีนี้เรียกได้ว่าใช้กำลังทั้งหมดที่มี ทั้งเป็นการเปิดเผยฐานะ ทั้งเป็นการเขย่าขวัญพวกที่คิดไม่ซื่อว่าอย่าอยากได้อะไรซี้ซั้ว

โจมตีครั้งเดียวก็ได้ผล ทำให้คนที่แอบมองอยู่ในที่ลับตกใจจนถอยออกไป จากนั้นอวี้ซาก็โบกมือให้สามศพบนพื้นลอยขึ้นมา แล้วโบกมือกวาดเข้ากำไลเก็บสมบัติตัวเอง จากนั้นขยุ้มฝ่ามือสองข้างไปทางผิวน้ำแข็ง เหมียวอี้กับอั้นโยวหลินถูกถึงขึ้นมาจากผิวน้ำแข็งแล้ว ตกอยู่ในมือของเขาอีกครั้ง

เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “มิน่าล่ะเจ้าถึงรอดจากการกวาดล้างของตำหนักสวรรค์ได้ มีศักยภาพจริงๆ”

อวี้ซาบอกว่า “นั่นเป็นเพราะข้าหลบไวต่างหาก ไม่อย่างนั้นต่อให้มีศักยภาพขนาดไหนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตำหนักสวรรค์อยู่ดี” สายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่ตัวอั้นโยวหลิน “การไปหุบเขาน้ำแข็งครั้งนี้ ยังไม่รู้ว่าจะมีสถานการณ์อะไรโผล่มาอีก ข้าทั้งต้องปกป้องเจ้า ทั้งต้องปกป้องนาง กลัวก็แต่จะเกิดเหตุไม่คาดคิด ในเมื่อมีข้าร่วมเดินทางปกป้อง ก็ไม่จำเป็นต้องพานางไปด้วยแล้ว วิญญาณอาฆาตเล็กๆ แบบนี้จะกลายเป็นตัวถ่วง ไม่เอาก็ได้หรอก เกราะรบของนางยกให้เจ้าแล้ว”

อั้นโยวหลินตกใจมาก รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะลงมือสังหารนาง เหมียวอี้ก็ตกใจเช่นกัน จิตใต้สำนึกสั่งให้ตะโกนว่า “หยุดนะ!”

อวี้ซาเหมือนไม่ค่อยเข้าใจ “นางยังมีประโยชน์อะไรอีกล่ะ? ข้ารู้ว่าตอนพวกเจ้าอยู่ข้างนอกมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรัก’ ระหว่างชายหญิง เจ้าคงไม่ได้ชอบนางหรอกใช่มั้ย? คนหน้าตายอย่างนางทำให้เจ้าหวั่นไหวได้วยเหรอ? อย่าบอกนะว่าสดใสมีชีวิตชีวากว่าผู้หญิงที่อยู่ข้างนอก?”

ที่จริงเหมียวอี้ก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงต้องปกป้องอั้นโยวหลิน เขาเองก็อธิบายไม่ได้เช่นกัน มีเพียงเหตุผลเดียวที่ปกป้องเขาได้ นั่นก็คือเดี๋ยวตอนที่ต้องไปถ้ำมังกรก็ยังต้องใช้งานนางอีก แต่ในความเป็นจริงน่ะเหรอ? ตอนนี้เขาเห็นเงาคนอีกคนหนึ่งปรากฏขึ้นในแววตาสิ้นหวังของอั้นโยวหลิน เงาของคนที่เขาทิ้งไปที่อุทยานหลวง คนคนนั้นก็เคยมองเขาด้วยแววตาสิ้นหวังแบบนี้เช่นกัน…

“ให้นางเข้ามาอยู่ในกำไลเก็บสมบัติของข้าก็ได้ ไม่จำเป็นต้องฆ่านางเสมอไป” เหมียวอี้กล่าว

อวี้ซาเลิกคิ้ว เขาไม่อยากเก็บอั้นโยวหลินไว้ ต่อให้สามารถไปที่รังหงส์ได้อย่างราบรื่น เขาก็ยังจะฆ่านางทิ้งอยู่ดี เขาจะปล่อยให้วิญญาณชั่วร้ายดวงอื่นมาแบ่งแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายกับเขาได้อย่างไร เพียงแต่ตอนนี้ยังต้องการความร่วมมือจากเหมียวอี้ ดังนั้นเขาจึงวางมือลง ปล่อยนางแล้ว

เหมียวอี้พลิกมือถือกำไลเก็บสมบัติหันไปทางอั้นโยวหลิน นาพยักหน้าให้เขาด้วยความซาบซึ้ง นับว่าตอบตกลงแล้ว

เหมียวอี้จึงโบกมือเก็บนางใส่ไวในกำไลเก็บสมบัติ

อั้นโยวหลินเป็นวิญญาณอาฆาต สภาพแวดล้อมในกำไลเก็บสมบัติทำอะไรนางไม่ค่อยได้

หลังจากจัดการเรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ก็หันกลับมาบอกว่า “ไปกันเถอะ!”

อวี้ซาวางฝ่ามือบนบ่าเขา แล้วทั้งสองก็ถลันตัวไปด้วยกัน ไถลอยู่ในภูเขาน้ำแข็งที่สูงต่ำไม่เสมอกันด้วยความเร็ว

หุบเขาน้ำแข็งที่อยู่ในภูเขา ประหลาดอันตรายเกินคาดเดา บางครั้งก็ยื่นออกมา บางครั้งก็กว้างใหญ่ บางครั้งก็สูงชัน โครงสร้างที่เกือบจะเหมือนภาพมายาเผยสีน้ำเงินที่งดงามให้เห็นทุกที่

หลังจากบุกเข้ามากลางหุบเขาน้ำแข็งแล้ว การมีเหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ปัดเป่าธาตุไฟหยินที่เข้มข้นก็เรียกได้ว่าทำให้อวี้ซาโล่งอกมาก ไม่อย่างนั้นถ้าอาศัยวรยุทธ์ของเขาอย่างเดียว ต่อให้จะมีศักยภาพมากกว่านี้ แต่เกราะอิทธิฤทธิ์ก็ทนการกัดกร่อนไม่ไหวอยู่ดี ถึงอย่างไรธาตุไฟหยินประหลาดนี้ก็ข่มเขาเหมือนกัน

ระดับความหนาวเหน็บเข้ากระดูกในหุบเขาน้ำแข็งทำให้เหมียวอี้แปลกใจอยู่บ้าง ถ้าไม่ใช่เพราะเขาฝึกวิชาธาตุไฟจึงต้านทานความหนาวได้ เขาก็คงรู้สึกหนาวเหน็บไร้ที่เปรียบเช่นกัน ตอนที่ทั้งสองหยุดพักเพื่อจำแนกทิศทาง เหมียวอี้ก็ยื่นมือไปบิหน่อน้ำแข็งต้นหนึ่ง แต่พยายามออกแรงแล้วก็ยังทำให้หักไม่ได้ ยังต้องใช้พลังอิทธิฤทธิ์ไม่น้อยเลยกว่าจะหักได้

เสียงแกร๊กดังก้องอยู่ในหุบเขานานมาก เหมียวอี้มองไปรอบๆ แล้วก็มองดูหน่อน้ำแข็งที่หักไว้ในมืออีก แล้วก็ใช้นิ้วเคาะ เหมือนจะนึกไม่ถึงว่ามันจะแข็งแรงทนทานขนาดนี้

อวี้ซาที่กำลังแยกแยะทิศทางหันมามองแวบหนึ่งแล้วบอกว่า “น้ำแข็งที่นี่ไม่ใช่น้ำแข็งธรรมดา แต่เป็นน้ำแข็งหนา มีมาตั้งแต่เกิดแดนดึกดำบรรพ์แล้ว จะบอกว่าเป็นน้ำแข็งหนาร้อยล้านปีก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป มันย่อมแข็งแรงทนทานเป็นธรรมดา” เสียงพูดของเขาดังก้องอยู่ในหุบเขาน้ำแข็ง

ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง เหมียวอี้แอบพยักหน้า แล้วจู่ๆ ร่างกายก็ขยับ โดนอวี้ซาลากไปข้างหน้าต่อแล้ว

เพื่อหลีกเลี่ยงอะไรบางอย่างตามที่ปากอวี้ซาบอก ทั้งสองทะลุไปยังจุดที่สภาพพื้นที่ค่อนข้างต่ำตลอดทาง พยายามหลีกเลี่ยงที่สูงเพราะสะดุดตาเกินไป

ทว่าตอนที่เพิ่งผ่านแนวภูเขาแถบหนึ่งได้ไม่นาน จู่ๆ อวี้ซาก็กดบ่าเหมียวอี้ ทั้งสองหยุดนิ่งพร้อมกัน เห็นเพียงอวี้ซากวาดมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าระแวดระวัง

เหมียวอี้จึงถามว่า “เป็นอะไรไป? เพิ่งจะสิ้นเสียง ก็ได้ยินเสียงหัวเราะ “คิกคัก” ดังแว่วมา เสียงใสดุจระฆัง เป็นเสียงหัวเราของผู้หญิง ทั้งยังเป็นผู้หญิงกลุ่มหนึ่งด้วย

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด