พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1480 ถ้าไม่เอาก็เสียของเปล่าๆ

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1480 ถ้าไม่เอาก็เสียของเปล่าๆ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บึ้ม! อวี้ซาโบกแขนระเบิดปราณสังหารอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง สะเทือนจนผนึกน้ำแข็งแตกกระจาย จากนั้นก็ใช้มือข้างเดียวก่อกวนซ้ำๆ ปราณสังหารไหลหมุนวนราวกับมังกรคลั่ง จากนั้นก็เสียง ‘วึง’ ปราณสังหารราวกับเป็นลม ครอบทั้งสองเอาไว้ในนั้นแล้ว

ภูเขาน้ำแข็งที่ยังระเบิดไม่หมดผนึกพวกเขาเอาไว้อีกแล้ว ราวกับถูกผนึกไว้ในลูกกลมสีเลือดขนาดใหญ่

อัคคีน้ำแข็งร้อยสายพ่นทะลุภูเขาน้ำแข็งเข้ามา สาดอ้อมปราณสังหารที่ครอบคลุมทั้งสองเอาไว้ราวกับเป็นลูกกลมสีเลือด ชั่วพริบตานั้นปราณสังหารที่ก่อตัวรวมกันถูกเผาอย่างรวดเร็วแบบที่ตาเปล่าสังเกตได้ ไม่สามารถต้านทานการโจมตีจากอัคคีน้ำแข็งได้เลย

อวี้ซาที่อาศัยเกราะปราณสังหารกั้นจนเป็นรูปทรงกลมอยู่ในภูเขาน้ำแข็งทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว รู้ว่าอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงออกแรงเขย่าบ่าเหมียวอี้พร้อมตะโกนอย่างโมโหว่า “เจ้ายังไม่ลงมืออีก จะยืนรอความตายเฉยๆ รึไง?”

เหมียวอี้โบกมือร่ายอิทธิฤทธิ์นิดหน่อย แต่กลับไม่เห็นว่าจะเกิดผลอะไรกับอัคคีน้ำแข็ง จึงกล่าวอย่างตกใจเช่นกันว่า “ข้าเพิ่งเคยเห็นเปลวเพลิงสีฟ้านี่เป็นครั้งแรก ถ้าจะรับมือกับมัน ก็ต้องให้เวลาข้าคิดหลายๆ วันหน่อย”

“หลายวันเหรอ?” อวี้ซาคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ตอนนี้เขาถึงขั้นอยากจะฆ่าเหมียวอี้แล้ว ขนาดอยู่ในสถานการณ์แบบนี้แล้ว เห็นๆ อยู่ว่ากำลังจะโดนอัคคีน้ำแข็งโจมตีฝ่าเข้ามาได้ แค่ตอนนี้ยังต้านทานลำบากเลย ตอนนี้เจ้ามาบอกข้าว่าขอเวลาหลายวันงั้นเหรอ? ทำไมเจ้าไม่ไปตายซะล่ะ?

เมื่อเห็นเขามองตนด้วยสายตาโมโห เหมียวอี้ก็บอกเสียงดังทันทีว่า “หนึ่งวัน ให้เวลาข้าหนึ่งวัน ข้าจะจัดการมันได้แน่นอน!”

อวี้ซาโมโหจนหัวเราะ มองไปที่ปราณสังหารอบกายที่เริ่มเปราะบางลงทีละนิด เขาจะต้านทานได้หนึ่งวันก็แปลกแล้ว จึงหันกลับมาจ้องเหมียวอี้อีก แล้วลงมือมือราวกับกับแลบ รีบผนึกพลังอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้ แล้วโยนไว้ในกำไลเก็บสมบัติของตัวเองโดยตรง

ข้างกายขาดตัวถ่วงไปชั่วคราว อวี้ซาหมุนตัวด้วยควาเร็วสูง ปราณสังหารที่พัดม้วนอยู่บนตัวกระเพื่อมออกมาอีกครั้ง ปราณสังหารราวกับเกราะลม ระเบิดลำแสงนับหมื่นสายออกมาอย่างบ้าคลั่ง

บึ้ม! ผนึกน้ำแข็งโดนระเบิดอีกแล้ว อัคคีน้ำแข็งที่พ่นอยู่รอบกายโดนบีบให้ถอยกลับไปด้วยการใช้วิธียอมทุ่มทุกอย่างของเขา

ลำแสงคล้ายอัสนีบาตสีเลือดที่ปล่อยออกมาจากนิ้วกวาดล้างอยู่ระหว่างฟ้าดิน ทำให้ผนึกน้ำแข็งที่ก่อรูปขึ้นในชั่วพริบตาเดียวระเบิดพังไม่หยุด อัสนีบาตสีเลือดพุ่งออกมา ลักษณะอุกอาจราวกับเทพขวางฆ่าเทพ พระขวางฆ่าพระ ถึงแม้อัคคีน้ำแข็งที่หงส์เฟิ่งหวงนับร้อยพ่นออกมาจากลดทอนอานุภาพของอัสนีบาตสีเลือดที่ยิงเข้ามาไปไม่น้อย แต่อานุภาพยังคงอยู่

แทบจะชั่วพริบตาเดียว หงส์เฟิ่งหวงสีฟ้าร้อยตัวระเบิดออกพร้อมกัน ร่างแยกกลางอากาศ เพลิงสีฟ้าระเบิดเต็มท้องฟ้า

อวี้ซาที่ยอมทุ่มทุกอย่างเพื่อโจมตีป้องกันใช้ ‘แสงกระบี่’ ไม่หยุดราวกับตัวจะกลายเป็นเม่น ดันทุรังฝ่าผนึกน้ำแข็งที่ปิดล้อมเขาไว้ไม่หยุด ใช้วิธีหมุนร่างกายที่เต็มไปด้วยเข็มพุ่งกำจัดสิ่งขีดขวางทุกอย่างและทะลวงฝ่าวงล้อม

จุดแสงเจ็ดสีที่แยกตัวกลางอากาศกลับมาร่วมตัวเป็นรูป ‘นกบิน’ อีกครั้ง อัคคีน้ำแข็งที่ระเบิดออกก็จะมารวมตัวเติมเต็มให้กลายเป็นเลือกเนื้อเช่นกัน ชั่วพริบตาเดียวหงส์อัคคีน้ำแข็งก็ฟื้นชีพอีกครั้ง แล้วไล่ตามพ่นอัคคีน้ำแข็งล้อมปราบต่อ

โดนกดดันถึงขั้นนี้แล้ว อวี้ซาแทบจะเป็นบ้าประสาทเสีย ไม่เสียดายที่จะใช้พลังอิทธิฤทธิ์ทั้งหมดเพื่อฝ่าวงล้อม ถ้าอยู่ต่อไปก็จะมีแต่ตายสถานเดียว รังหงส์ที่อยู่ในจุดลึกของทุ่งน้ำแข็ง ตอนนี้เขาไม่กล้าไปแล้ว มีแต่ต้องคิดหาทางฝ่าออกไปก่อน รอให้เหมียวอี้คิดวิธีรับมือได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน

สาวน้อยวิญญาณน้ำแข็งนับไม่ถ้วนรอบกายที่โผเข้ามาไม่หยุดได้หายไปแล้ว ไม่ว่าอวี้ซาจะฝ่าสิ่งกีดขวางด้มากขนาดไหน พวกนางก็ยังกลายเป็นภูเขาน้ำแข็งหลายลูกมาผนึกเขาไม่หยุด ต่อให้ถ่วงความเร็วในการฝ่าวงล้อมของอวี้ซาได้เพียงเล็กน้อยก็ตาม เห็นให้ชัดว่าอยากจะกำจัดอวี้ซาให้สิ้นซาก

สิ่งหนึ่งคืออุปสรรคขัดขวางที่ไม่มีขีดจำกัด สิ่งหนึ่งกำลังทุ่มทุกอย่างเพื่อฝ่าวงล้อม ความเคลื่อนไหวที่ทำให้ฟ้าถล่มดินทลายได้สะเทือนไปถึงพวกวิญญาณชั่วร้ายที่อยู่ไกลๆ ให้เหาะขึ้นมา พากันมองมาทางนี้อย่างประหลาดใจสงสัย ที่อยู่ไกลเกินไปก็มองไม่ชัดมาเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เห็นเพียงตรงเส้นขอบฟ้ามีปราณสังหารพุ่งขึ้นฟ้าท่ามกลางแสงสีฟ้าโชติช่วงผืนหนึ่ง

เหมียวอี้ที่ถูกโยนเข้าในกำไลเก็บสมบัติแค้นจนกัดฟันกรอด เขาเห็นอวี้ซาตกอยู่ในสภาพที่ถูกตัดขาด เลยอยากจะกดดันให้อวี้ซาปล่อยเขาออกไป ต่อให้จะโยนเขาออกไปเป็นโล่ป้องกันก็ยังดี นึกไม่ถึงว่าไอ้สารเลวอวี้ซาจะผนึกวรยุทธ์ของเขาแล้วโยนไว้ในกำไลเก็บสมบัติ เหมือนอวี้ซาจะตัดสินใจแล้วว่าถ้าตัวเองรอดออกจากตรงนี้ไปไม่ได้ เหมียวอี้ก็อย่าได้คิดเลยว่าจะได้รอดออกไป

“ไอ้เวรเอ๊ย ขนาดจะตายก็ยังลากข้าไปรับกรรมด้วย…” เหมียวอี้ด่าเขา

พอมองไปรอบๆ แวบหนึ่ง ก็พบว่าในกำไลเก็บสมบัติวงนี้กองของเอาไว้เต็ม คาดว่าคงจะเป็นของที่อวี้ซาเก็บสะสมจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์มาหลายปี ที่สะดุดตาที่สุดก็คือวิญญาณชั่วร้ายามดวงที่โดนฆ่าตอนเข้ามาในทุ่งน้ำแข็งก่อหน้านี้ ยังไม่จัดได้จัดการนับของเลย

ตอนนี้เหมียวอี้ไม่สนใจของในกำไลเก็บสมบัติ ที่สำคัญคือต่อให้สนใจก็เอาไปด้วยไม่ได้ ตัวเองโดนผนึกพลังอิทธิฤทธิ์แล้ว ใช้บ่าแบกกับมือถือจะขนไปได้สักเท่าไรเชียว?

คิดหาทางหลุดพ้นก่อนต่างหากที่เป็นหนทางที่ถูกต้อง ก็อย่างที่บอก ตอนนี้เขาใช้พลังอิทธิฤทธิ์ไม่ได้ ไม่สามารถออกจากกำไลเก็บสมบัติวงนี้ได้เลย

ทำยังไงดีล่ะ? เหมียวอี้เดินไปเดินมาอบ่างกระวนกระวาย ถ้าไม่รีบออกไป จะตกอยู่ในมืออวี้ซาเหมือนเดิม หรือจะตกอยู่ในมือของวิญญาณน้ำแข็งพวกนั้น หรือจะโดนขังอยู่ในกำไลเก็บสมบัติตลอดไป อาศัยพพลังอิทธิฤทธิ์ของเขาในตอนนี้ การโดนผนึกแบบนั้นอาจจะทำให้ตายได้

ถ้าอยากจะหลุดพ้น อันดับแรกก็ต้องคลายผนึกพลังอิทธิฤทธิ์บนตัวก่อน ต้องมีคนช่วยเขาคลายผนึกพลังอิทธิฤทธิ์บนตัว

เขามองกำไลเก็บสมบัติที่อยู่บนข้อมือตัวเอง เขามีลูกมืออยู่สองคน นั่นก็คืออั้นโยวหลินกับย่วนต๋า แต่ที่สำคัญคือพลังอิทธิฤทธิ์โดนผนึกไว้ เขาไม่สามารถเรียกสองคนนี้ออกมาได้

เพี้ยะ! จู่ๆ เหมียวอี้ก็ตบหน้าผากตัวเองอย่างดีใจ ก้มหน้ามองกระเป๋าสัตว์ที่อยู่ตรงเอว ลืมไปได้อย่างไรว่าในมือยังมีเฮยทั่นอยู่อีกตัว

ของอย่างอื่นเขาอาจจะไม่สามารถเรียกออกมาจากกระเป๋าสัตว์ได้ แต่เฮยทั่นกับเขานั้นรู้ใจกันที่สุด

เขารีบสงบสติอารมณ์โดยเร็ว แล้วตบกระเป๋าสัตว์ตรงแล้ว ตบแรงขึ้นเรื่อบๆ นี่เป็นจังหวะการร้องขอความช่วยเหลือ

แคว่ก จู่ๆ บนกระเป๋าสัตว์ก็มีรูโหว่ ตามติดด้วยเสียง “ปั้ง” กระเป๋าสัตว์ระเบิดออกแล้ว

เฮยทั่นสั่นหัวส่ายหางแหวกกระเป๋าสัตว์ออกมาเอง มันส่ายหางสั่นหัวอยู่ท่ามกลางหมอกควันที่ระเบิดออก มันหันกลับมามองเหมียวอี้ที่อยู่ข้างหลังแวบหนึ่ง แล้วหันตัวเดินเข้ามาใกล้ จากนั้นมองไปรอบๆ แล้วถามว่า “นี่คือพื้นที่ว่างในกำไลเก็บสมบัติเหรอ? มันเรื่องอะไรกัน?”

เหมียวอี้โบกมือ่หมอกควันที่ตลบอบอวล แล้วใช้นิ้วส่งสัญญาณว่าไม่ให้มันพูด เขากำลังรวบรวมสามธิสนใจความเคลื่อนไหวของอวี้ซา

ผลปรากฏว่าไม่เห็นปฏิกิริยาใดๆ ของอวี้ซาแล้ว เขาเข้าใจทันที ถ้าไม่ใช่เพราะอวี้ซากำลังอยู่ในสภาวะฉุกเฉินจนไม่มีเวลามาสนใจ ก็แปลว่าอวี้ซาตายแล้ว ไม่อย่างนั้นยามเกิดความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ในกำไลเก็บสมบัติ ก็เป็นไปไม่ได้ที่อวี้ซาจะไม่สังเกตเห็น

ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน เหมียวอี้ก็รู้ว่าจำเป็นต้องรีบแล้ว รีบรูดกำไลเก็บสมบัติที่ใส่อั้นโยวหลินไว้ก่อนหน้านี้ออกมา แล้วโยนไว้บนพื้น “รีบเปิดกำไลเก็บสมบัติวงนี้ เร็วเข้า!”

“ทำให้พังไปเลยเหรอ?” เฮยทั่นถาม

“เออ! มัวพูดมากอะไรอยู่ได้ เร็วๆ หน่อย ไม่อย่างนั้นจะตายกันหมด!” เหมียวอี้คำรามใส่

เฮยทั่นใช้กรงเล็บแหลมมสองข้างเสียบเข้าไปในกำไลเก็บสมบัติทันที พอกรงเล็บแหลมคมที่สวมเกราะรบแหลมสำหรับกรงเล็บฉีกดึง ก็มีเสียงระเบิดดังปั้ง ผงผลึกตลบอบอวล อั้นโยวหลินกลิ้งออกมา แล้วมองไปรอบๆ อย่างงุนงงตกตะลึง จากนั้นร่ายอิทธิฤทธิ์กวาดหมอกหนาตรงหน้า พอเห็นเหมียวอี้ นางก็ตะลึงงันทันที

เหมียวอี้รีบบอกว่า “ข้าโดนอวี้ซาผนึกพลังอิทธิฤทธิ์แล้ว เร็วเข้า รีบคลายผนึกให้ข้า ไม่อย่างนั้นจะต้องตายอยู่ที่นี่กันหมด”

อั้นโยวหลินไม่มีเวลามาถามอะไรแล้ว รีบลงมือช่วยคลายผนึกวรยุทธ์บนตัวเขา

พอพลังอิทธิฤทธิ์กลับมาแล้ว เหมียวอี้ก็ดีใจมาก หยิบกำไลเก็บสมบัติอีกวงออกมา แล้วบอกอั้นโยวหลินว่า “รีบเข้าไปหลบ”

เดิมทีอั้นโยวหลินอยากจะถามว่าเขาเป็นอะไรไป แต่พอเห็นเขารีบร้อนขนาดนี้ ก็ไม่ถามอะไรมากแล้ว เพราะนางเชื่อว่าเหมียวอี้จะไม่ทำร้ายนาง จึงมุดเข้าไปในกำไลเก็บสมบัติทันที

เหมียวอี้ใส่กำไลเก็บสมบัติไว้บนข้อมือ แล้วหยิบทวนเกล็ดย้อนออกมา หลังจากกระโดดขึ้นขี่เฮยทั่นแล้ว ก็หยิบเจดีย์งามวิจิตรออกมา ขณะกำลังจะพุ่งตัวออกไป จู่ๆ สายตาก็เหลือบไปมองของจำนวนมากที่กองอยู่ในพื้นที่ว่างของที่นี่ แววตาเขาเป็นประกายทันที ถ้าไม่เอาก็จะเสียของ

เขาโบกมือกวาดต่อเนื่องกันหลายครั้ง เก็บของที่กองรวมกันเข้าในกำไลเก็บสมบัติของตัวเองทั้งหมด ไม่ปล่อยผ่านเลยสักชิ้น แม้แต่ของที่อยู่บนตัวศพวิญญาณชั่วร้ายทั้งสามนั่นก็เก็บไปพร้อมกันเลย จากนั้นก็โบกทวนชี้แล้วตะโกนว่า “โจรอ้วน โจมตีบุกออกไป!”

เฮยทั่นวิ่งตะบึงออกมาอย่างบ้าคลั่ง เกราะรบที่แหลมคมทั้งตัวชนใส่ผนังอย่างดุดัน

วัสดุที่ใช้หลอมสร้างกำไลเก็บสมบัติไม่ใช่ของระดับสูงเท่าไรนัก มีหรือที่จะต้านทานเกราะรบผลึกแดงบนตัวเฮยทั่นได้….

อวี้ซาที่กำลังทุ่มเททุกอย่างเพื่อฝ่าวงล้อมออกไปพบว่าบนข้อมือมีเสียงระเบิดดัง “ปั้ง” ตามด้วยฝุ่นควันที่ระเบิดออกมาอย่างตลบอบอวล

อวี้ซาเดือดดาลมาก ย่อมเดาออกแล้วว่าใครบางคนเล่นตุกติก ก่อนหน้านี้เขาสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวในกำไลเก็บสมบัติแล้ว เดาออกแล้วเช่นกันว่าเหมียวอี้ไม่ยอมถูกควบคุม แต่เขากำลังโดนล้อมโจมตี จึงไม่ได้แบ่งสมาธิมาสนใจว่าเหมียวอี้ที่อยู่ข้างในกำลังทำอะไร

อย่างน้อยก็มีอยู่จุดหนึ่งที่เขาแน่ใจ นั่นก็คือเหมียวอี้ไม่กล้าหนีไปจากเขา อยู่ที่นี่ถ้าไม่มีเขาปกป้องก็จะตายสถานเดียว

แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะโจมตีฝ่ากำไลเก็บสมบัติของเขาโดยตรง เขาคิดไม่ตกว่าเหมียวอี้หลุดออกจากผนึกวรยุทธ์ของเขาได้อย่างไร

ท่ามกลางฝุ่นควันที่ระเบิดออกมีบางสิ่งปรากฏขึ้น อวี้ซาที่กำลังหมุนตัวฝ่าวงล้อมดีดนิวปล่อยอัสนีบาตสีเลือดออกมาสามสาย โจมตีสิ่งที่หนีออกมาอย่างบ้าคลั่ง

ใครจะคิดว่าสิ่งที่หนีออกมาจะไม่ใช่เหมียวอี้ แต่เป็นเจดีย์วิเศษผลึกแดงหลังหนึ่ง เจดีย์โดนลำแสงดรรชนีสามสายของเขาโจมตีจนแสงอ่อน เจดีย์วิเศษขนาดใหญ่ลอยฝ่าผนึกน้ำแข็งที่โจมตีลงมาราวกับดาวตก แล้วไปเสียบอยู่บนภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยจั้ง

วิญญาณน้ำแข็งกับหงส์เฟิ่งหวงสีฟ้าที่ล้อมโจมตีไม่สนว่าจะเป็นเจดีย์วิเศษอะไร สนใจแค่โจมตีอวี้ซา ถ้าในเจดีย์วิเศษมีอะไรโผล่ออกมา ก็ย่อมมีคนไปรับมืออยู่แล้ว

กำไลเก็บสมบัติบนข้อมือของตัวเองคือสมบัติทั้งหมดที่เขามี แต่ไม่เห็นของอย่างอื่นตกพื้นเลย เห็นเพียงเจดีย์วิเศษหลังหนึ่งที่ตนไม่เคยเห็นหนีออกมา อวี้ซาไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามีคนม้วนเก็บสมบัติเขาไปหมดแล้ว ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเหมียวอี้หลบอยู่ในเจดีย์วิเศษหลังนั้น

อวี้ซาโมโหจนเป็นบ้าแล้วจริงๆ เขาที่กำลังฝ่าวงล้อมอยู่ที่เดิม ไม่น่าเชื่อว่าจะยอมทุ่มทั้งชีวิตแล้ว โจมตีไปยังเจดีย์วิเศษที่อยู่บนยอดเขาไกลๆ

เหมียวอี้ที่อยู่ในเจดีย์งามวิจิตรตกใจมาก เฮยทั่นที่เขาขี่อยู่กำลังพลิกแม่น้ำคว่ำทะเล วิ่งหลบกระแสน้ำที่อุกอาจบนผืนแผ่นดิน สภานการณ์ข้างในเหมือนฟ้าถล่มแผ่นดินแยกจริงๆ

เห็นได้ชัดว่าเขาสัมผัสได้ว่าเจดีย์งามวิจิตรกำลังโอนเอนใกล้จะล้ม พลังงานที่เหลืออยู่ทำให้ประคับประคองต่อไปไม่ไหวแล้ว

เขาเดาว่าถ้าออกไปก็มีโอกาสสูงที่จะโดนโจมตี ดังนั้นจึงไม่ได้ใช้ ‘ลูกกลมตีไม่พัง’ ถ้าใช้ ‘ลูกกลมตีไม่พัง’ จริงๆ ไม่ได้ทนทานเท่าผลึกแดงอย่างเจดีย์งามวิจิตรเลย หลบอยู่ใน ‘ลูกกลมตีไม่พัง’ ยามเจอกับยอดฝีมือบงกชกลายก็มีโอกาสได้รับบาดเจ็บหนัก

แต่เจดีย์งามวิจิตรนี้ต่างออกไป ไม่ใช่แค่หนาทนทานเท่านั้น ข้างในยังมีพื้นที่ว่างที่สร้างขึ้นเองด้วย พลังโจมตีจากข้างนอกยากที่จะมาถึงตัวเขาได้โดยตรง

แต่เขานึกไม่ถึงว่าพอเจดีย์งามวิจิตรออกมาแล้วจะโดนโจมตีจนโอนเอนทันที พลังงานแทบจะหมดแล้ว เห็นได้ชัดว่าระดับแกนของเจดีย์งามวิจิตรต่ำเกินไป เขาไม่ได้กังวลว่าเจดีย์งามวิจิตรจะโดนโจมตีพัง เพราะของวิเศษผลึกแดงที่แข็งแกร่งทนทานขนาดนี้ไม่ได้โดนโจมตีฟังง่ายๆ แต่ถ้าพลังงานที่โคจรประคับประคองไม่ไหว เจดีย์งามวิจิตรก็จะกลับสู่รูปร่างเดิม ถ้าไม่มีคนร่ายอิทธิฤทธิ์ช่วยเหลือ เขาก็จะโดนขังอยู่ในนี้ตลอดไป

เขาอยู่ข้างในถึงแม้จะควบคุมเจดีย์วิเศษได้ แต่กลับไม่สามารถเติมพลังงานให้เจดีย์วิเศษได้

ไม่ออกไปไม่ได้แล้ว เพราะไม่อย่างนั้นจะต้องโดนขังตายอยู่ในนี้ ยิ่งไปกว่านั้นสัญชาตญาณของเขาบอกว่าแค่อยากจะอาศัยเจดีย์วิเศษเพื่อหลบการโจมตีระลอกนี้เฉยๆ

“โจรอ้วน ถึงเวลาสู้ตายแล้ว ไป!” เหมียวอี้ตะโกนเสียงดัง แล้วโบกทวนชี้ ข้างหน้าพลันปรากฏช่องว่าง เฮยทั่นทะยานขึ้นฟ้าออกไปโดยตรง

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด