พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1495 มวลวิกฤต

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1495 มวลวิกฤต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ที่ตีนเขานอกประตูใหญ่ทิศตะวันออกของถ้ำมังกร บนหินก้อนหนึ่งที่ยืนออกมาบนผิวทะเลสาบหินหนืด ถูกปกคลุมไปด้วยไอหมอกกลุ่มหนึ่งที่มีสีขาวกับสีแดง

ตรงผิวทะเลสาบและตีนเขาทางทิศตะวันออก วิญญาณอัคคีทั้งหมดถอยออกไป วิญญาณอัคคีของเขตพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นฝ่ายทำให้ตัวเองว่างเปล่าแล้ว ไม่หนีไปไม่ได้จริงๆ พอเข้าใกล้ตรงนี้ ร่างของวิญญาณอัคคีที่สังเกตเห็นเขาก็มีแนวโน้มที่จะหายไป พวกเขาตกใจจนทนไม่ไหว

วิญญาณอัคคีกลุ่มหนึ่งที่เดินผ่านบนภูเขาพลันหยุดนิ่ง มีบางคนชี้ลงมาที่ตีนเขา วิญญาณอัคคีบางส่วนสังเกตพบว่าไอหมอกสีขาวแดงที่ปกคลุมอยู่ที่ตีนเขากำลังหดหายไปอย่างรวดเร็ว

เหมียวอี้ที่นั่งอยู่บนหินที่ยื่นออกมาบนผิวทะเลสาบเริ่มเผยโฉมหน้าที่แท้จริงทีละนิด สัญลักษณ์พลังอิทธิฤทธิ์รูปดอกบัวดอกหนึ่งที่มีเก้ากลีบตรงหว่างคิ้วมีหนึ่งวง ถ้ามีหนึ่งวงก็คือขั้นหนึ่ง ถ้ามีครบเก้าวงก็คือขั้นเก้า

เหมียวอี้พลันลืมตาสองข้าง ปิดบังสีหน้าที่เต็มไปด้วยความปลาบปลื้มดีใจไม่อยู่ บงกชรุ้งขั้นหนึ่ง ในที่สุดตัวเองก็บรรลุระดับบงกชรุ้งขั้นหนึ่งแล้ว!

อยู่ที่ตีนเขาถ้ำมังกรของหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญมาเป็นเวลาสี่ร้อยกว่าปีแล้ว จุดดาวสีฟ้าและสีแดงที่จับคู่หมุนวนกันอยู่ในร่างกายเพิ่มขึ้นสองร้อยสิบ้ล้านกว่าคู่แล้ว ตอนนี้ความเร็วในการดูดซับยาแก่นเซียนในแต่ละวันของเขาเกือบจะเป็นสามพันเม็ดแล้ว ลองคิดย้อนไปถึงตอนที่เพิ่งบรรลุระดับบงกชทองขั้น ตอนนั้นความเร็วในการดูดซับยาแก่นเซียนคือวันละสามร้อยหกสิบเม็ดเท่านั้น อยู่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์มาเก้าร้อยปี ทำให้ความเร็วในการฝึกตนเพิ่มขึ้นแล้วแปดเท่า

พอลงนับนิ้วคำนวณ คาดว่าถ้าจะบรรลุระดับบงกชรุ้งขั้นสองก็ต้องใช้ยาแก่นเซียนอีกแปดร้อยล้านกว่าเม็ด เกือบจะเก้าร้อยล้านเม็ด

ความดีใจเป็นแค่เรื่องชั่วคราว เหลืออีกประมาณยี่สิบปีก็จะครบกำหนดเวลากักขังหนึ่งพันปีแล้ว โอกาสในการฝึกตนแบบนี้หาพบได้ยาก เขาไม่อยากปล่อยทิ้งให้เสียของ

หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ยาแก่นเซียนกลุ่มหนึ่งก็ลอยขึ้นมา วนรอบตัวเขาแล้วระเบิดออก เขาจมอยู่ท่ามกลางพลังจิตวิญญาณที่เข้มข้นอีกครั้ง…

หลังจากนั้นสิบปี เขากลับจำเป็นต้องหยุดฝึกวิชา เพราะใช้ยาแก่นเซียนบนตัวหมดแล้ว

ก็เป็นอย่างที่บอก เขาไม่อยากปล่อยโอกาสในการฝึกตนอันล้ำค่าแบบนี้ไป เมื่อไม่มียาแก่นเซียนแล้วก็ยังใช้อย่างอื่นได้ บนตัวเขายังมีลูกแก้วพลังปรารถนาอีกจำนวนมาก

ถ้าถามว่าบนตัวเขามีลูกแก้วพลังปรารถนาอยู่เท่าไร ก็ตอบได้เลยว่าไม่น้อย เขามีเยอะมาก

ตอนที่เขาเป็นผู้บัญชาการที่ตำหนักสวรรค์ ค่าจ้างของเขาในแต่ละปีก็คือลูกแก้วพลังปรารถนาระดับสูงหนึ่งล้านลูก ลูกแก้วพลังปรารถนาระดับสูงหนึ่งลูกเท่ากับลูกแก้วพลังปรารถนาระดับกลางสิบลูก เท่ากับลูกแก้วพลังปรารถนาระดับต่ำหนึ่งร้อยลูก หรือพูดได้อีกอย่างว่าตอนที่เขาเป็นผู้บัญชาการ ในแต่ละปีได้ค่าจ้างเป็นลูกแก้วพลังปรารถนาระดับต่ำหนึ่งร้อยล้านลูก

ตอนที่เป็นผู้บัญชาการไม่ถือว่าใช้เวลานานสักเท่าไร แต่ตอนที่เขาเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตำหนักสวรรค์ก็ถือว่ายาวพอสมควร เป็นเวลาหลายพันปี

ค่าจ้างของตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่กับแม่ทัพภาคก็ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ตำแหน่งผู้บัญชาการจะเทียบคิด นอกจากบางส่วนที่นำมาเป็นรางวัลให้ลูกน้อง ลูกแก้วพลังปรารถนาที่เขาได้มาหลายปีก็แทบจะไม่เคยใช้เลย เมื่อมียาแก่นเซียนเพียงพอแล้ว ใครจะยังไปใช้ลูกแก้วพลังปรารถนาอีกล่ะ

ตอนนี้ในมือเขายังมีลูกแก้วพลังปรารถนาระดับสูงอีกหกพันล้านกว่าลูก เท่ากับลูกแก้วพลังปรารถนาระดับต่ำหกแสนล้านลูก และลูกแก้วพลังปรารถนาระดับต่ำหนึ่งแสนลูกก็เท่ากับยาแก่นเซียนหนึ่งเม็ด หรือพูดได้อีกอย่างว่า ในมือเขามีลูกแก้วพลังปรารถนาเกือบเท่ายาแก่นเซียนหกล้านกว่าเม็ด

อาศัยความเร็วในการฝึกวิชาของเขาในตอนนี้ ลูกแก้วพลังปรารถนาพวกนี้ก็เพียงพอจะให้เขาใช้ได้หลายปี

ลูกแก้วพลังปรารถนาระดับสูงที่ใหญ่เท่าไข่กระทาลอยออกมาอย่างหนาแน่น แล้วก็ถูกเคล็ดวิชาอัคนีดารากลั่นกรองอย่างรวดเร็ว เรียกพลังจิตวิญญาณฟ้าดินท่ามกลางความลี้ลับ

เพียงแต่ใช้ยาแก่นเซียนมาจนชินแล้ว วิธีการที่ต้องกลั่นกรองเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาในลูกแก้วพลังปรารถนาอย่างช้าๆ ทำให้เขารำคาญนิดหน่อย

เป็นเรื่องธรรมชาติอยู่แล้ว เขากำลังคิดว่ายังไม่ต้องสนใจเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่อยู่ในนั้นหรอก สนใจแค่ดูดซับจิตวิญญาณฟ้าดินรวมทั้งเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาเข้ามาในร่างกายพร้อมกันก็พอ อาศัยความสามารถในการควบคุมของเคล็ดวิชาอัคนีดาราในตอนนี้ ตอนสุดท้ายค่อยกำจัดเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาทิ้งรวดเดียวก็สิ้นเรื่องแล้ว

เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำแบบนี้จะได้ผลหรือเปล่า ไม่รู้ถึงความสามารถในการแบกรับของตัวเองหลังจากสะสมเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาเอาไว้

แต่เขาก็ยังตัดสินใจที่จะลองดู หลังจากมีความคิดแบบนี้แล้ว เขาก็เริ่มทดลองอย่างเต็มที่ทันที

ทันใดนั้น ทันใดนั้นพวกวิญญาณอัคคีในภูเขาถ้ำมังกรรวมทั้งในทะเลสาบหินหนืดก็พากันโผล่หัวออกมา แล้วมองไปรอบๆ อย่างตกตะลึง มีบางคนชี้ไปโดยรอบเป็นระยะ

มีไอหมอกลอยขึ้นมาแล้ว!

รวมทั้งในภูเขาถ้ำมังกรด้วย เริ่มมีไอหมอกปกคลุมอย่างช้าๆ ไอหมอกยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ห่างออกไปไม่กี่จั้งก็มองเห็นไม่ชัดเจนแล้ว

“แปลกจัง! หุบเขาฟ้าไม่ดับสูญมีอุณหภูมิสูงขนาดนี้ เป็นไปได้ยังไงที่จะมีหมอก ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็โดนย่างจนแห้งแล้วสิ?”

“เป็นพลังจิตวิญญาณ! ทุกคนรีบมาดูสิ เป็นพลังจิตวิญญาณ!”

“นี่…นี่มันเรื่องอะไรกัน มันคือพลังจิตวิญญาณ เป็นพลังจิตวิญญาณฟ้าดินจริงๆ!”

“เป็นอะไรไปแล้ว? เป็นอะไรไป ทำไมอยู่ดีๆ มีพลังจิตวิญญาณฟ้าดินโผล่มาได้ล่ะ?”

กลุ่มวิญญาณอัคคีส่งเสียงฮือฮาทันที เรียกได้ว่าทั้งประหลาดใจทั้งดีใจ

“มีพลังจิตวิญญาณมาให้ถึงที่ จะปล่อยให้พลาดได้ยังไง พลังจิตวิญญาณที่เข้มข้นขนาดนี้ ทุกคนดูดซับเพื่อเพิ่มวรยุทธ์ได้พอดีเลย”

“เจ้าโง่เอ๊ย! เกิดเรื่องประหลาดขึ้น ต้องมีเงื่อนงำแน่ รีบไปรายงานสิ!”

ผ่านไปไม่นาน ก็มีวิญญาณอัคคีสองคนรีบวิ่งไปในตำหนักใหญ่ถ้ำมังกร รายงานต่อบ่อเพลิงมังกรที่ลุกโชนโชติช่วงว่า “ผู้อาวุโส พวกข้าน้อยมีเรื่องจะรายงาน”

เปลวเพลิงรูปมังกรเลื้อยกลายเป็นหัวมังกรเพลิงอย่างรวดเร็ว ดวงตาเพลิงที่เต็มไปด้วยความน่าเกรงขามจ้องลงมา “มีเรื่องอะไร?”

ชายผมแดงคนหนึ่งตอบว่า “จู่ๆ ด้านนอกก็มีพลังจิตวิญญาณโผล่มา เหมือนทะเลหมอกเลย ครอบคลุมภูเขาเอาไว้ทั้งลูกขอรับ”

“ทะเลหมอกพลังจิตวิญญาณปิดภูเขา…ไม่เคยเห็นมานานแล้ว โผล่มาอีกแล้ว เป็นผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวคนนั้นจริงๆ ด้วย!” หัวมังกรเพลิงพึมพำ ดวงตาเพลิงที่ล้ำลึกพลันเปล่งประกายอีกครั้ง จากนั้นก็มีเสียงของหลายคนกล่าวอย่างช้าๆ พร้อมกันว่า “รู้แล้ว บอกทุกคนมาว่าตื่นตูม ต้องดูแล้วว่าใครบางคนจะใจกว้างหรือเปล่า ถ้าใจกว้าง ก็ให้ทุกคนได้ตักตวงผลประโยชน์นี้ไว้สักหน่อย แต่ถ้าไม่ใจกว้าง ก็ให้รีบหายไป” พอพูดจบ เขาเองก็หายไปแล้ว เปลวเพลิงเดือดกลับมาเป็นรูปมังกรเลื้อยเหมือนเดิม

ผ่านไปไม่นาน ทุกที่บนถ้ำมังกรและริมทะเลสาบหินหนืดก็เต็มไปด้วยวิญญาณอัคคีที่กำลังนั่งสมาธิ ดื่มด่ำธาตุไฟและพลังจิตวิญญาณพร้อมกัน

เหมียวอี้ที่ตรงหว่างคิ้วปรากฏภาพมายาบงกชรุ้งขั้นหนึ่งพลันลืมตาขึ้น แล้วมองดูพลังจิตวิญญาณที่ปกคุลมฟ้าดินราวกับหมอก จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะปาดเหงื่อด้วยความอับอาย

หลังจากเขาฝึกตนอย่างเต็มที่ ในขณะที่กลั่นกรองลูกแก้วพลังปรารถนากองใหญ่ ผลก็คือพบว่าใช้พลังในการเรียกพลังจิตวิญญาณฟ้าดินแรงเกินไป ตอนนี้พลังจิตวิญญาณฟ้าดินมืดฟ้ามัวดินเข้ามาแล้ว เลยเกิดเป็นหมอกพลังจิตวิญญาณอย่างที่เห็น

เมื่อเห็นว่าตัวเองก่อเรื่องเข้าแล้ว เขาถึงได้รู้ตัว ว่าพลังจิตวิญญาณในยาแก่นเซียนกำลังระเบิดอยู่รอบกายเพื่อให้ตนได้ดูดซับ ลูกแก้วพลังปรารถนาไม่ได้มีพลังจิตวิญญาณแฝงอยู่ แต่อาศัยพลังปรารถนาเรียกพลังจิตวิญญาณ ตัวเองต้องการความไว ครั้งแรกที่ทำแบบนี้จึงไม่ได้ประเมินแรงที่ใช้ลงมือ ใช้แรงเยอะเกินไปในรวดเดียว ความเร็วในการดูดซับของตัวเองก็มีขีดจำกัด ผลจากการยับยั้งครั้งแล้วครั้งเล่าจึงกลายเป็นแบบนี้

ทำแบบนี้สิ้นเปลืองลูกแก้วพลังปรารถนาเกินไปแล้ว เดิมทีก็ยิ่งไม่พอใช้อยู่ ไม่ได้การละ แบบนี้ต้องควบคุมไว้!

เหมียวอี้พึมพำในใจ แล้วค่อยๆ ควบคุมความเร็วในการกลั่นกรองลูกแก้วพลังปรารถนาตามความเร็วในการดูดซับของตัวเอง

ผ่านไปไม่นาน กลุ่มวิญญาณอัคคีที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ทั้งบนทั้งล่างภูเขาก็พลันลืมตาขึ้น พวกเขาพบว่าหมอกพลังจิตวิญญาณตรงหน้าเริ่มบางเบาลงทีละนิด เริ่มมองเห็นสิ่งที่อยู่ไกลๆ ชัดเจนแล้ว

รอจนกระทั่งหมอกพลังจิตวิญญาณหายไปจนหมดสิ้น ทุกคนก็มองเห็นทิศทางสุดท้ายที่หมอกพลังจิตวิญญาณพวกนั้นลอยไปอย่างชัดเจน ทั้งหมดไปรวมอยู่บนตัวชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งสมาธิอยู่บนก้อนหินที่ยืนออกมา พลังจิตวิญญาณที่เข้มข้นดุจน้ำนมล้อมรอบชายคนนั้นเอาไว้ ในนั้นมีหมอกสีแดงปะปนด้วย

ทั้งล่างทั้งบนภูเขา ทุกคนไม่มีส่วนในพลังจิตวิญญาณแล้ว มีเพียงเหมียวอี้ด้านล่างภูเขาที่ชื่นอกชื่นใจ

“คนที่ผู้อาวุโสพูดถึงคือเขาจริงๆ ด้วย”

“ยังหวังจะให้เขาใจกว้างกว่านี้สักหน่อย งกจริงๆ”

ชายหญิงผมแดงคู่หนึ่งที่นั่งตรงไหล่เขาสุมหัวนินทาอยู่สักพัก แล้วมองยังเหมียวอี้ตรงตีนเขาด้วยแววตาดูถูก

ไม่มีอะไรให้เล่นแล้ว ได้ดีใจเพียงประเดี๋ยวเดียวเอง กลุ่มวิญญาณอัคคีพากันทำสีหน้าผิดหวัง ทยอยกันลุกขึ้นหายไปแล้ว

หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วยาม วิญญาณอัคคีบริเวณถ้ำมังกรก็ทำสีหน้าประหลาดใจอีก พบว่าหมอกพลังจิตวิญญาณที่ค่อยๆ ขยายบริเวณกว้างโผล่มาอีกแล้ว

จนกระทั่งตอนที่กลุ่มวิญญาณอัคคีเตรียมจะอาศัยบารมีอีกครั้ง ก็พบว่าหมอกพลังจิตวิญญาณเจือจางลงอีกแล้ว พวกเขาผิดหวังอีกครั้ง

ที่แปลกเหมือนเห็นผีก็คือ ผ่านไปไม่นานก็เกิดสถานการณ์แบบนี้อีกแล้ว เป็นแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก

ชายหญิงผมแดงบางคู่ที่รู้สถานการณ์เบื้องลึกเริ่มโมโหแล้ว สงสัยใครบางคนจะกำลังปั่นหัวพวกเขาเล่น แต่โชคดีที่หลังจากทำซ้ำแบบนี้ไม่กี่ครั้ง ก็ไม่เกิดเหตุการณ์นี้อีกแล้ว

ทว่าเหมียวอี้ที่อยู่ท่ามกลางหมอกพลังจิตวิญญาณเข้มข้นกลับเบะปากข้างเดียว อดไม่ได้ที่จะยิ้มเบาๆ มุมปากกระตุกเล็กน้อย ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเขาเกือบจะขำออกมาแล้ว

ไม่ได้แล้ว! เขารีบหยุดร่ายอิทธิฤทธิ์ฝึกตน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปตัวเองต้องโดนจิตมารเข้าแทรกแน่นอน

หลังจากหยุดแล้ว เขาก็มองดูพลังจิตวิญญาณรอบกายที่กระจายไปเพราะไม่ถูกควบคุม แต่เขาก็ไม่ปวดใจหรอก กลับยิงฟันขาวอยู่ท่ามกลางไอหมอกด้วยซ้ำ หัวเราะจนตัวกระตุก เรียกได้ว่าหัวเราะเหมือนคนโง่

จะไม่ให้ดีใจคงไม่ได้แล้ว เขาไม่ได้ดีใจเพราะได้แกล้งวิญญาณอัคคีพวกนั้น ความจริงเขาไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังแกล้งวิญญาณอัคคีพวกนั้นอยู่ แต่เขาค้นพบข้อดีในการใช้ลูกแก้วพลังปรารถนาฝึกวิชา

อาศัยวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ ระดับความสามารถเล็กน้อยในการควบคุมเคล็ดวิชาอัคนีดารา เขาพบว่าต่อให้เจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่แฝงอยู่ในลูกแก้วพลังปรารถนามาสะสมอยู่ในร่างกายเขา แต่ก็จะไม่เกิดผลร้ายอะไรต่อเขาอยู่ดี เมื่อครู่นี้ทดลองดูแล้ว แค่รอบเดียวก็กวาดล้างได้ยอดเยี่ยมมาก กวาดล้างเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่สะสมอยู่ในร่างกายเขาจนหมดเกลี้ยง การใช้ลูกแก้วพลังปรารถนาไม่ส่งผลต่อความเร็วในการฝึกของเขา แค่ปรับขั้นตอนการฝึกตนนิดหน่อยก็พอแล้ว

แน่นอน นี่ไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ทำให้เขาหัวเราะจนตัวกระตุก ถ้าเรื่องแค่นี้ทำให้หัวเราะได้ นั่นก็แสดงว่าสำหรับเขาแล้ว ลูกแก้วพลังปรารถนากับยาแก่นเซียนมีประสิทธิภาพพอๆ กันเท่านั้นเอง ไม่จำเป็นต้องแอบหัวเราะเหมือนคนโง่

เป็นเพราะเขาค้นพบความมหัศจรรย์ในการใช้ลูกแก้วพลังปรารถนา ก่อนหน้านี้ตอนใช้ลูกแก้วพลังปรารถนาแล้วกลั่นกรองเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาทีละนิดก็ยังไม่รู้เลย ครั้งนี้พอลองไม่สนใจภัยของเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาแล้วย่อยลูกแก้วพลังปรารถนาอย่างเต็มที่ เขาก็ค้นพบ ‘มวลวิกฤต[1]’ แล้ว

ทำไมถึงเรียกว่ามวลวิกฤตน่ะเหรอ? ก็เป็นเพราะตอนที่ใช้ลูกแก้วพลังปรารถนาทีละนิดก็จะมีประสิทธิภาพที่ตายตัว แต่พอใช้รวมกันที่ละเยอะๆ ประสิทธิภาพในการเรียกรวมพลังจิตวิญญาณก็ไม่ได้เพิ่มแค่หนึ่งเท่าสองเท่าตามที่จินตนาการไว้ แต่เพิ่มเป็นสามเท่า สี่เท่า ถึงขั้นห้าเท่าเลยด้วยซ้ำ

ตอนที่เรียกพลังปรารถนาออกมาได้เยอะมากพอ พลังจิตวิญญาณที่เกิดจากการตอบสนองก็ไม่ใช่สิ่งที่พลังปรารถนาเล็กน้อยนี้จะเทียบติด นี่ก็คือ ‘มวลวิกฤต’ ที่เขาค้นพบ

เมื่อครู่นี้เขาแค่ทดลองซ้ำนิดหน่อย เขาเชื่อว่าถ้าเพิ่มพลังปรารถนาตอนเรียกอีก การตอบสนองก็จะยิ่งน่าตกใจ สามารถเกิดผลมหัศจรรย์ที่ซ้อนทับกันหลายชั้นได้อย่างไร้ขีดจำกัด

มีข้อดีมากขนาดนี้ เขาจะไม่หัวเราะเหมือนคนโง่ได้ยังไงล่ะ?

ลูกแก้วพลังปรารถนาระดับสูงหนึ่งพันลูกสามารถแลกยาแก่นเซียนได้หนึ่งเม็ด ใช้ลูกแก้วพลังปรารถนานั้นยุ่งยาก ทุกคนล้วนเต็มใจจะแลกลูกแก้วพลังปรารถนาเป็นยาแก่นเซียน กลัวก็แต่ว่าคนที่มียาแก่นเซียนอยู่ในมือจะไม่ยอมแลกกับเขา พอเป็นแบบนี้ ก็จินตนาการได้ถึงผลดีที่อยู่ในนั้นเลย

…………………………

[1] มวลวิกฤต Critical mass มวลน้อยที่สุดของวัสดุที่เกิดการแบ่งแยกนิวเคลียสได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด