พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1529 ใครกล้าก่อกบฏ!

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1529 ใครกล้าก่อกบฏ! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มาจนป่านนี้แล้ว นอกเสียจากเบื้องบนจะตะโกนสั่งให้หยุดเท่านั้น แต่นี่ก็คือจุดที่ทำให้เหมียวอี้แอบร้องออย่างขื่นขม เขาจงใจปิดบังเบื้องบน หลอกลวงเบื้องล่าง ทางนี้เพิ่งจะรายงานไปที่อวี่จ้งเจินเช่นกัน บอกว่าไม่แน่ว่าเบื้องบนของน่านฟ้าระกาติงอาจจะยังไม่รู้สถานการณ์ชัดเจนก็ได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดสภาพอย่างนี้ เผชิญหน้ากับลูกน้องเก่าของฉู่จื่อซาน จะถ่วงเวลาได้นานขนาดนั้นเหรอ?

หรือพูดได้อีกอย่างก็คือ ต่อให้เบื้องบนของน่านฟ้าระกาติงจะรู้แล้ว คาดว่าคงจะเดือดดาลมากเช่นกัน เป็นเพราะฝั่งเหมียวอี้เล่นนอกกติกาเกินไป ใครจะไปรู้ว่าเบื้องบนของน่านฟ้าระกาติงจะเอาคืนด้วยวิธีการเดียวกันหรือเปล่า แสร้งทำเป็นไม่รู้เพื่อให้ลูกน้องกู้หน้ากลับมาสักหน่อย

เหมียวอี้เข้าใจดี ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ถ้ามีเหตุไม่คาดคิดขึ้นมาก็อาจจะทำให้ฝ่ายตัวเองพ่ายแพ้ยับเยินได้เลย

บนฟ้ามีคนตะโกนอย่างเดือดดาลว่า “น่านฟ้าระกาติงของข้าไม่เกี่ยวข้องกับกองทัพองครักษ์เหมือนน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง มิหนำซ้ำท่านหัวหน้าภาคก็มีพื้นเพมาจากกองทัพองครักษ์ ทำไมต้องลงมือสังหารกำลังพลน่านฟ้าระกาติงของพวกเรา?”

เหมียวอี้โบกทวนชี้ไป แล้วตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ฉู่จื่อซานจงใจวางแผนก่อกบฏ กองทัพองครักษ์ได้รับคำสั่งให้ปราบ หรือพวกเจ้าก็คิดจะวางแผนก่อกบฏเช่นกัน?”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ทัพใหญ่หนึ่งล้านแต่ละคนที่ล้อมไว้ก็สีหน้าเปลี่ยนทันที วางแผนก่อกบฏเหรอ? แต่ละคนพึมพำในใจว่า มิน่าล่ะคนของกองทัพองครักษ์ถึงลงมือ

ทุกคนของกองมังกรดำแอบร้องว่าดีมาก มู่อวี่เหลียนหันกลับไปมองเหมียวอี้ ในใจนางแอบชื่นชมเช่นกัน ความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของท่านแม่ทัพภาคไม่ธรรมดาจริงๆ มิน่าล่ะก่อเรื่องมากมายแต่อยู่รอดมาถึงวันนี้ได้ อาศัยคำว่า ‘วางแผนก่อกบฏ’ เกรงว่าคู่ดคำนี้ก็จะทำให้ทุกคนรอดพ้นหายนะได้แล้ว!

ทว่าเหมียวอี้กลับไม่กล้าเอาชีวิตฝากไว้กับความใจอ่อนของคนอื่นเสียทั้งหมด พูดจาร้ายแรงแบบนั้นไปก็เพื่อจะถ่วงเวลาเท่านั้น แล้วแอบถ่ายทอดเสียงบอกลูกน้องว่า “สั่งให้ทุกคนแบ่งงานกันกำหนดเป้าหมายที่แน่นอน เล็งลูกธนูดาวตกไปที่มือธนูของฝ่ายตรงข้าม ถ้ามีการลงมือขึ้นมา ก็กำจัดมือธนูนับหมื่นของอีกฝ่ายทิ้งทันที! ยิงมือธนูก่อนแล้วค่อยยิงแม่ทัพเกราะม่วงของอีกฝ่าย ตัดภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดออกไปก่อน! ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อรอฟังคำสั่งข้า!”

มู่อวี่เหลียนแอบกล่าวชมในใจ ขอเพียงกำจัดมือธนูพวกนั้นกับแม่ทัพเกราะม่วงฝ่ายตรงข้ามได้ ก็จพลดภัยคุกคามให้ทุกคนได้เยอะแล้ว นางรีบปฏิบัติตามทันที

แม่ทัพหลายคนที่อยู่บนฟ้าหันไปมองปฏิกิริยาลูกน้องตัวเอง เห็นได้ชัดว่าจิตใจทหารสั่นคลอนแล้ว สีหน้าทุกคนเปลี่ยนไปแล้ว หลังจากพวกเขาส่งสายตาให้กัน หนึ่งในนั้นก็ตะโกนอีกว่า “อย่าพูดจาเหลวไหล หัวหน้าภาคฉู่เป็นคนที่มาจากกองทัพองครักษ์เหมือนกัน จะวางแผนก่อกบฏได้ยังไง? เจ้าเป็นใคร รีบรายงานชื่อแซ่มาก!”

ตอนนี้เหมียวอี้ไม่มีทางที่จะเปิดเผยตัวตนกับคนของฉู่จื่อซาน ไม่อย่างนั้นอาจจะทำให้โดนล้างแค้นในทันที เพราะเรื่องบางเรื่องมัวรอคิดทบทวนไม่ไหว เขาแสยะยิ้มบอกทันทีว่า “เป็นใครก็ไม่สำคัญหรอก ส่วนฉู่จื่อซานจะวางแผนก่อกบฏหรือไม่อีกไม่นานก็จะได้รู้เอง ถ้าพวกเจ้ามีอะไรสงสัยก็ติดต่อไปถามผู้บังคับบัญชาของพวกเจ้าตอนนี้ได้เลย”

เขาอยากจะกดดันให้อีกฝ่ายติดต่อกับท่านโหวของตัวเอง ขอเพียงลูกน้องรายงานสถานการณ์ขึ้นไปต่อหน้าฝูงชน ต่อให้ท่านโหวคนนั้นจะแกล้งโง่ไม่รู้เรื่อง แต่ก็จะแกล้งโง่ต่อไปไม่ได้แล้ว เมื่อรู้สถานการณ์แล้วก็จะต้องจัดการแก้ไขปัญหา วิธีแก้ไขปัญหาจะต้องไม่ใช่การยุยงให้หน่วยงานในตำหนักสวรรค์ฆ่ากันเองแน่นอน ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมา ท่านโหวคนนั้นก็จะรอดพ้นความผิดได้ยาก

เขาพอจะสงสัยรางๆ แล้วว่าท่านโหวเตรียมตัวปิดตาข้างเดียว เพราะเขาเห็นเองกับตาว่าลูกน้องส่วนหนึ่งของฉู่จื่อซานหนีรอดไปได้ ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะรายงานขึ้นไปเบื้องบน หรือพูดได้อีกอย่างว่าท่านโหวคนนั้นรู้สถานการณ์เบื้องลึกแล้ว แต่ดูจากท่าทางของคนพวกนี้แล้ว ก็เหมือนจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย

คนคนนั้นไม่ได้สนใจคำพูดของเขาเลย ตะโกนอีกครั้งว่า “ไม่จำเป็นต้องรายงานเบื้องบนหรอก ในเมื่อเจ้าบอกว่าหัวหน้าภาคของพวกเราวางแผนก่อกบฏ แล้วทำไมไม่ปล่อยตัวหัวหน้าภาคของพวกเราออกมาสืบสวนต่อหน้าล่ะ?”

ปล่อยฉู่จื่อซานออกมาเหรอ? พอได้ยินคำนี้ เหมียวอี้ก็พลันเบิกตากว้าง ตระหนักได้ถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ระหว่างทางอีกฝ่ายจะไม่ติดต่อกับฉู่จื่อซาน จะต้องรู้แน่นอนว่าฉู่จื่อซานจบเห่ไปแล้ว แต่กลับแกล้งโง่ให้เขาปล่อยตัวฉู่จื่อซาน

มู่อวี่เหลียนเองก็สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลเช่นกัน หันกลับไปมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง ในแววตาซ่อนความกระวานกระวายเอาไว้อย่างปิดบังได้ยาก

ฝั่งเหมียวอี้ยังไม่ทันตอบคำถาม แม่ทัพหลายคนของฝ่ายตรงข้ามก็ตะโกนเสียงดังติดต่อกันแล้วว่า “หัวหน้าภาคฉู่อยู่ที่ไหน…รีบปล่อยตัวหัวหน้าภาคออกมาตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อหน้า…”

“ปล่อยตัว!” มีคนโบกดาบตะโกนเสียงดังนำ

“ปล่อยตัว!”

“ปล่อยตัว!”

“ปล่อยตัว!”

เมื่อมีหนึ่งคนนำ ลูกน้องที่อยู่ในตำแหน่งหลักก็ตะโกนเสียงดังตามทันที ตามติดด้วยทัพใหญ่หนึ่งล้านที่โบกอาวุธในมือตาม มีเสียงตะโกนให้ปล่อยตัวดังต่อเนื่องเป็นระลอก ลักษณะพลังอำนาจราวกับคลื่นยักษ์โหมซักสาดเข้ามา ราวกับประสบเหตุทหารก่อกบฎ ทำให้กำลังพลห้าหมื่นของกองมังกรดำรู้สึกกดดันทางจิตใจอย่างใหญ่หลวง

ทันใดนั้น ก็มีบางคนสายตาไปหยุดอยู่ตรงจุดไกลๆ ที่กำลังพลกลุ่มหนึ่รวมตัวกันอยู่ ตรงนั้นมีสิบกว่าศพโดนตัดหัว จึงอุทานเสียงดังว่า “นั่นคือพวกแม่ทัพภาคเว่ยนี่ นั่นใช่นายท่านหัวหน้าภาครึเปล่า?”

ท่ามกลางเสียงตะโกนที่ดังต่อเนื่องไม่หยุด กำลังพลบนฟ้าทยอยกันใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไปทางนั้น บรรดาศีรษะที่คุ้นเคยนั่นย่อมไม่ผิดแน่ ทั้งยังมีร่างที่โดนเฉือนจนแทบจะเหลือแต่โครงกระดูกด้วย เนื้อหนังบนตัวไม่มีแล้ว แต่ศีรษะกลับยังสมบูรณ์ กำลังเอนล้มอยู่บนพื้น หน้าตายังมีเค้าให้เห็นอยู่บ้าง เป็นฉู่จื่อซานที่โดนลงโทษสับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้น

ขุนพลที่อยู่บนฟ้าคำรามอย่างเกรี้ยวกราดทันที โบกทวนชี้เหมียวอี้ “เจ้าฆ่าท่านหัวหน้าภาคของพวกเราเหรอ?”

เหมียวอี้ตะโกนตอบเสียงดังว่า “ฉู่จื่อซานวางแผนก่อกบฏ ขัดขืนการจับกุมอย่างโจ่งแจ้ง จึงโดนประหารคาที่!”

คนคนนั้นตะโกนว่า “เหลวไหล! เห็นได้หลังว่าหัวหน้าภาคฉู่ตกอยู่ในมือพวกเจ้าตอนยังมีชีวิตอยู่ ตอนหลังถึงโดนโทษประหาร เลือดที่เกลื่อนเต็มพื้นก็เป็นหลักฐานแล้ว! หัวหน้าภาคฉู่เป็นหัวหน้าภาคที่เฝ้าอาณาเขตให้ตำหนักสวรรค์ ในเมื่อตกอยู่ในมือพวกเจ้าทั้งเป็นๆ แล้ว ต่อให้ทำผิดมหันต์แต่ก็ต้องสืบสวนหาความผิดก่อนแล้วค่อยสังหาร เจ้ามีอำนาจอะไรมาถือวิสาสะประหาร?”

หนึ่งในนั้นที่อยู่ข้างๆ ตะโกนว่า “เหล่าพี่น้อง กองทัพองครักษ์จะทำเรื่องแบบบนี้ได้ยังไง เป็นไปได้สูงว่าคนพวกนี้จะปลอมตัวมา”

มีอีกหนึ่งคนตะโกนว่า “พวกเราไม่สนใจว่าพวกเจ้าจะเป็นคนของกองทัพองครักษ์หรือไม่ คนในตำหนักสวรรค์ต่อให้จะมีตำแหน่งสูงขนาดไหนแต่ก็ต้องมีเหตุผล ไม่มีใครที่มีอำนาจฆ่าคนได้ตามอำเภอใจ ฆ่าผู้บริสุทธิ์ตามใจชอบ ไม่อย่างนั้นจะมีกฏสวรรค์ไว้ทำไม! เรื่องนี้เกิดขึ้นวันนี้ต่อให้ราชันสวรรค์จะสั่งมา แต่ก็ต้องให้คำอธิบายที่ฟังขึ้นกับทุกคน! ถ้าพวกเจ้าเป็นกองทัพองครักษ์จริงๆ ก็วางอาวุธแล้วยอมแพ้เดี๋ยวนี้ ถ้าสืบจนรู้ชัดแล้วว่าหัวหน้าภาควางแผนก่อกบฏหรือไม่ ก็จะไม่แตะต้องพวกเจ้าแม้แต่ปลายผม! แต่ถ้ากล้าขัดขืน ก็แสดงว่าในใจมีเจตนาไม่ดี พวกเจ้าจะต้องตายแบบไม่มีหลุมฝังศพ!”

“วางอาวุธแล้วยอมแพ้ซะ!” มีบางคนตะโกนนำ

“วางอาวุธแล้วยอมแพ้ซะ!”

“วางอาวุธแล้วยอมแพ้ซะ!”

ทัพใหญ่หนึ่งล้านต่อโกนเสียงดังเป็นระลอกอีกครั้ง พลังเสียงที่ดังดุจคลื่นโหมซัดสาดประชิดเข้ามาอีกครั้ง ทำให้กำลังพลหลายหมื่นของเหมียวอี้สีหน้าเปลี่ยนไปมาก

เหมียวอี้เองก็ไม่ใช่คนโง่ เขาตระหนักได้แล้วว่าสถานการณ์ที่ไม่ชอบมาพากล สาเหตุที่อีกฝ่ายให้พวกเขาวางอาวุธ ก็เพราะหวาดกลัวธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ห้าหมื่นคันในมือของพวกเขาเท่านั้นเอง กังวลว่าหลังจากลงมือแล้วฝ่ายนั้นจะเสียหายหนัก และถ้าฝ่ายเหมียวอี้วางอาวุธยอมแพ้เมื่อไร ก็จะตกอยู่ในมือของอีกฝ่ายทันที แบบนั้นความเป็นความตายก็จะขึ้นอยู่กับปากของอีกฝ่ายแล้ว หาข้ออ้างอะไรสักอย่างก็สามารถประหารพวกเขาจนเละเป็นเนื้อบดได้เลย

เห็นได้ชัดว่าฝั่งนั้นกำลังยั่วเย้าอารมณ์โกรธของฝูงชน กำลังกระตุ้นทหารก่อนทำศึก ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่การลงมือกับศัตรู ถ้าให้ลูกน้องบุ่มบ่ามลงมือกับกองทัพองครักษ์ ไม่ว่าใครก็ต้องเคลือบแคลงในใจทั้งนั้น ดังนั้นแล้ว สถานการณ์ล่อแหลมมา ราวกับฟืนแห้งที่โดนสะเก็ดไฟนิดเดียวก็ลุกโชนได้ หางตาของเหมียวอี้จึงเหลือบมองปฏิกิริยาของมู่อวี่เหลียนอละคนอื่นๆ อยู่ตลอด

ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน สุดท้ายมู่อวี่เหลียนก็หันหน้ามองมา แล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “นายท่าน เตรียมตัวเสร็จแล้ว…จะลงมือแล้วจริงๆ เหรอ?”

ท่ามกลางคลื่นเสียงที่โหมเข้ามาราวกับคลื่นยักษ์โหมสาดซัด เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงตวาดว่า “เจ้าคิดว่าหัวหน้าพวกนั้นไม่รู้เหรอว่าฉู่จื่อซานตายแล้ว? เป็นไปไม่ได้ที่ก่อนหน้านี้พวกเขาจะไม่ติดต่อกัน เห็นได้ชัดว่าจงใจยุยงก่อเรื่อง เจ้าคิดว่าพวกเรายังมีทางรอดชีวิตอีกมั้ย? ถ้าสู้ก็ยังมีความหวังอยู่บ้าง แต่ถ้าไม่สู้ จุดจบของฉู่จื่อซานก็จะกลายเป็นจุดจบของพวกเจ้า!”

พอนึกภาพว่าผู้หญิงอย่างตัวเองโดนถอดเสื้อผ้าแล้วสับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้น มู่อวี่เหลียนก็ตัวสั่นหวาดกลัว

นางเองก็เข้าใจเช่นกัน ว่าถ้าฝ่ายนี้ยอมแพ้เมื่อไร ถ้าอีกฝ่ายต้องการจะทำซี้ซั้วขึ้นมาจริงๆ ต่อให้จะปล่อยคนอื่นรอดไปได้ แต่ไม่มีทางปล่อยผู้นำอย่างนางกับเหมียวอี้ไปแน่นอน จากสภาพของอีกฝ่ายที่เหมือนทหารก่อกบฏ เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการให้จบลงด้วยดี

เหมียวอี้บอกอีกว่า “ถ่ายทอดคำสั่งของพ่อลงไป ว่าพวกเราเป็นกองทัพองครักษ์ของราชันสวรรค์ ไม่มีเหตุผลที่จะยอมแพ้! ถ้ายอมแพ้แล้ว กองทัพองครักษ์จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ราชันสวรรค์จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ต่อให้ยอมทุกอย่างเพื่อแลกกับชีวิตตอนนี้ แต่กองทัพองครักษ์จะมีที่เหลือให้พวกเราเหรอ ฝ่าบาทจะปล่อยพวกเราไปเหรอ!” เขาเองก็ปลุกปั่นทหารก่อนออกรบเช่นกัน ห้าหมื่นคนสู้กับหนึ่งล้านคน ถ้าจะบอกว่าทุกคนไม่ขี้ขลาดสักนิดเลยก็แสดงว่าพูดจาเหลวไหลแล้ว เขาต้องการจะตัดทางถอยของทุกคน ทุบหม้อข้าว จมเรือเพื่อกดดันให้ทุกคนทุ่มชีวิตทำศึกนี้!

มู่อวี่เหลียนกัดฟัน แล้วหันกลับไป รีบถ่ายทอดคำพูดของเหมียวอี้ลงไปทีละระดับ จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อน คำสั่งนี้ไปถึงหูทุกคนอย่างรวดเร็ว คนในทัพใหญ่ห้าหมื่นเริ่มทำสายตามีหวังแล้ว

เสียงดังดั่งคลื่น มีพลังน่าตกใจ เมื่อเห็นว่าส่งเสียงได้พอสมควรแล้ว ขุนพลหัวหน้าที่อยู่บนฟ้าก็ยกมือขึ้น เสียงของฝูงชนเงียบลง แล้วเขาก็จ้องเหมียวอี้พร้อมตะโกนว่า “จะยอมหรือไม่ยอม?”

เหมียวอี้ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “กองทัพองครักษ์เคยยอมตั้งแต่เมื่อไรกัน!”

ขุนพลที่เป็นหัวหน้าสีหน้าดุร้ายทันที ตะโกนไปทางซ้ายและขวาว่า “พี่น้อง ถ้าคนพวกนี้ไม่ได้มีความคิดไม่ซื่อในใจ ก็แสดงว่าไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาเลย คิดว่าพวกเราเป็นเนื้อปลาที่ยอมให้คนอื่นสับได้! ถ้าเรื่องในวันนี้ไม่ได้รับคำอธิบาย ถ้าแม้แต่แม่ทัพตายแล้วยังไม่สะทกสะท้าย ต่อไปทั้งน่านฟ้าระกาติงจะไม่ถูกทั้งใต้หล้าหัวเราะเยาะหรอกเหรอ!”

ข้างๆ มีคนตะโกนว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ จะไม่ให้คำอธิบายได้เหรอ?”

มีคนขานรับเสียงดังทันทีว่า “ไม่ได้!”

“ไม่ได้!”

“ไม่ได้!”

ทัพใหญ่หนึ่งล้านกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน มีพลังอำนาจน่าตกใจ

“ใครกล้าก่อกบฏ!” เหมียวอี้พลันเปล่งเสียงตะโกนเกรี้ยวกราดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ระเบิดพลังเสียงออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า “ใครกล้าก่อกบฏ! ใครกล้าก่อกบฏ!ใครกล้าก่อกบฏ!”

เขาโบกทวนชี้ไปรอบวง พร้อมตะโกนสี่ครั้งติดต่อกัน

มู่อวี่เหลียนโบกทวนตะโกนตามอย่างเกรี้ยวกราด ส่งเสียงแหลมเล็กของผู้หญิง”ใครกล้าก่อกบฏ!”

“ใครกล้าก่อกบฏ!”

“ใครกล้าก่อกบฏ!”

“ใครกล้าก่อกบฏ!”

กำลังพลห้าหมื่นตะโกนตามทันที

พลังเสียงโต้ตอบ พอยัดข้อหาใหญ่อย่าง ‘ใครกล้าก่อกบฏ’ ออกมา ก็ทำให้พลังเสียงฝั่งทัพใหญ่หนึ่งล้านอ่อนแอลง มีคนไม่น้อยที่หุบปากแล้ว เอาแต่มองหน้ากันเลิกลั่กอยู่อย่างนั้น ไม่น่าเชื่อว่าเสียงของทัพใหญ่หนึ่งล้านจะโดนเสียงของทัพห้าหมื่นข่มแล้ว

แม่ทัพเกราะม่วงหลายคนสีหน้าเปลี่ยนอย่างฉับพลัน ในดวงตาของคนที่เป็นหัวหน้าใหญ่เริ่มฉายแววดุร้าย

เหมียวอี้จ้องคนออกคำสั่งของอีกฝ่ายอยู่ตลอด พอเห็นสถานการณ์ดังนี้ จู่ๆ ก็ตะโกนเสียงดัง “กองมังกรดำทุกคนฟังคำสั่ง!”

เสียงของฝั่งกองมังกรดำทยอยเงียบลง เสียงของทัพใหญ่หนึ่งล้านที่ล้อมไว้ก็เงียบลงพอสมควรแล้วเช่นกัน ต่างก็อยากฟังว่าเขาจะพูดอะไร

ใครจะคิดว่าตอนที่อีกฝ่ายกำลังใจลอย เหมียวอี้ก็พลันตะโกนเสียงดังว่า “ยิงธนู!”

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด