พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1589 จับตัวมา!

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1589 จับตัวมา! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อแน่ใจในท่าทีของฝั่งตึกศาลาสัตยพรตแล้ว จัดการฝั่งวัดพระกษิติครรภ์ได้แล้ว เหมียวอี้ที่กลับมาถึงจวนแม่ทัพภาคก็แจกจ่ายงานทันที

ให้พวกหยางชิ่งรีบจัดระเบียบข้อมูลสถานการณ์ที่ตลาดผี เพราะเขาจะต้องรายงานสถานการณ์ขึ้นไปข้างบน เขาเองก็บอกกับหยางชิ่งไว้ชัดเจนแล้ว ว่ารออยู่ที่นี่เพียงหนึ่งปีเท่านั้น หลังจากนี้หนึ่งปีก็จะพากลับพิภพเล็กด้วยกัน ถ้ามีของอะไรที่จะนำกลับไปด้วยก็ต้องรีบเร่งมือให้เร็วที่สุด

จากนั้นก็ติดต่อหกลัทธิอีก ให้กำลังพลของหกลัทธิที่อยู่ภายนอกรวบรวมทรัพยากรฝึกตนที่จะนำเข้าไปในแดนอเวจี และบอกอย่างเป็นทางการว่าเขามีวิธีการเข้าแดนอเวจี ให้เวลาพวกเขาเตรียมตัวสองปี หลังจากนี้สองปีเขาจะกลับนรก จะถือโอกาสนำของเขาไปให้พวกเขาด้วย

หกลัทธิได้ยินแล้วตกตะลึง ยืนยันกับเหมียวอี้หลายครั้ง ว่าหาทางนำทรัพยากรฝึกตนเข้าไปได้จริงๆ หรือเปล่า

จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ เหมียวอี้บอกเอาไว้ชัดเจน ว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะถ่อเข้าไปในแดนอเวจีบ่อยๆ ให้พวกเขาตัดสินใจเอาเองตามเห็นสมควร แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่เขาย้ำไว้อย่างชัดเจน ว่าจะให้กำลังพลของหกลัทธิที่อยู่ข้างนอกรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาที่หกลัทธิไม่ได้

ส่วนเหตุผลว่าทำไมเขาถึงกล้าเปิดเผยความลับนี้ให้หกลัทธิรู้ ก็เพราะปราสาทดำเนินนภาโจมตีหกลัทธิจนบาดเจ็บสาหัส สิ่งนี้ได้มอบความมั่นใจให้เขาแล้ว เขามีความสามารถที่จะควบคุมหกลัทธิแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่กล้าทำอย่างนี้หรอก

ขณะเดียวกันก็สั่งกลุ่มอำนาจของหกลัทธิที่อยู่ข้างนอกว่าให้ตุนลูกแก้วพลังปรารถนาช้าๆ นี่คือสิ่งที่เขาต้องการ เขาจะไม่ทำให้หกลัทธิเสียเปรียบ เขาจะนำของที่มีมูลค่าเท่ากันไปแลก

จากนั้นก็ให้อวิ๋นจือชิวตุนยาเสริมพลังชีวิตและยาแก่นเซียนภายในหนึ่งปีว่าได้จำนวนเท่าไร เขาจะนำกลับพิภพเล็กไปแลกเป็นลูกแก้วพลังปรารถนา หลังจากนี้ไปเขาจะเหมาลูกแก้วพลังปรารถนาของพิภพเล็กเอาไว้คนเดียว ถึงแม้ลูกแก้วพลังปรารถนาที่พิภพเล็กจะมีไม่เยอะก็ตาม

อวิ๋นจือชิวย่อมเข้าใจว่าทำไมเขาต้องการทำแบบนี้ ตอนนี้เหมียวอี้กำลังใช้ลูกแก้วพลังปรารถนาฝึกตนเพื่อความได้เปรียบ สามารถประหยัดทรัพยากรฝึกตนได้ไม่น้อยเลย

ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปสามเดือน

โรงเตี๊ยมไร้กังวล เป็นโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่อยู่เยื้องกับจวนแม่ทัพภาคตลาดผี

ชายวัยกลางคนหน้าขาวคนหนึ่งที่ทำเรื่องเข้าพักออกมาจากออกพักแขกแล้ว เขามองไปรอบๆ เดินวนอยู่ตรงทางเดินข้างในครึ่งรอบ พออ้อมมาฝั่งตรงข้ามแล้ว ก็เดินเนิบนาบไปที่หน้าประตูห้องห้องหนึ่ง “แค่กๆ” ไปเบาๆ สองครั้งอย่างเป็นจังหวะ

แกร๊ก! มีเสียงกลอนประตูเด้งออกจากหลังประตู ชายวัยกลางคนหน้าขาวมองซ้ายมองขวา แล้วก็ผลักประตูเดินเข้าไป ก่อนจะปิดประตูอย่างรวดเร็ว

ข้างหน้าต่างในห้องที่เปิดไว้เล็กน้อย ชายหนวดหยิกคนหนึ่งหันตัวมองมา จากนั้นชายวัยกลางคนหน้าขาวก็ส่งสัญญาณมือ แล้วชายหนวดหยิกก็ส่งสัญญาณมือตอบ

หลังจากแน่ใจแล้วว่าเป็นคนที่ติดต่อกัน ชายหนวดหยิกก็ถ่ายทอดเสียงถามอย่างไม่ค่อยพอใจ “รายงานสถานการณ์ขึ้นไปตั้งนานแล้ว ทำไมเจ้าเพิ่งมาตอนนี้?”

ชายวัยกลางคนหน้าขาวตอบว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าจับตาดูทั้งวันทั้งคืนด้วยตัวคนเดียวไม่ไหว แต่เบื้องบนสั่งมาแล้ว ว่าตึกศาลาสัตยพรตก็ไม่ใช่เล่นๆ ถ้าอยากจะเล่นตุกติกอะไรที่ตลาดผีก็ต้องระวังแล้วระวังอีก ยอมให้ช้าหน่อยดีกว่า อย่าทำให้คนสงสัยเลย”

ชายหนวดหยิกไม่ได้พูดอะไรมากอีก เดินไปหน้าเตียงข้างๆ แล้วนั่งขัดสมาธิ จากนั้นถอนหายใจหนักๆ  ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้เขาสูญเสียพลังจนแทบทนไม่ไหว

ชายวัยกลางคนหน้าขาวมานั่งตำแหน่งแทนเขา หันตัวยืนไปทางริมหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ครึ่งหนึ่ง แล้วมองไปด้านนอก มองเห็นความเคลื่อนไหวของคนที่เข้าออกจวนแม่ทัพภาคพอดี เขาถามว่า “มีสถานการณ์อะไรจะส่งต่อมั้ย?”

ชายหนวดหยิกที่กำลังหลับตากล่าวช้าๆ ว่า “เจ้าแค่ต้องบันทึกทุกเหตุการณ์ตอนที่มีเข้าออกจวนแม่ทัพภาคเอาไว้ เน้นไปที่ฮูหยินของหนิวโหย่วเต๋อ ถ้านางออกมาแล้วบอกข้าทันที ส่วนคนอื่นเจ้าไม่ต้องสนใจ”

“เน้นฮูหยินของหนิวโหย่วเต๋อเหรอ? นี่พวกเรากำลังทำอะไรอยู่?” ชายวัยกลางคนหน้าขาวถาม

“อย่าถามสิ่งที่ไม่ควรถาม” ชายหนวดหยิกตอบ

ชายวัยกลางคนหน้าขาวพูดไม่ออก ได้แต่หันกลับไปจ้องนอกหน้าต่างต่อไป

ตึกศาลาสัตยพรต พ่อบ้านชีเจวี๋ยรีบเดินไปหน้าประตูห้องเถ้าแก่ เคาะประตูอย่างเป็นจังหวะ แล้วเอ่ยเรีบก “เถ้าแก่”

“เข้ามา!” มีเสียงของเฉาหม่านดังมาจากในห้อง

ชีเจวี๋ยผลักประตูเข้ามาแล้วก็ปิดประตูอีก เดินมาถึงข้างกายเฉาหม่านที่กำลังนั่งขัดสมาธิ แล้วบอกว่า “ด้านนอกจวนแม่ทัพภาคอาจจะมีสถานการณ์นิดหน่อยขอรับ”

เฉาหม่านที่กำลังหลับตาถามด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า “มีสถานการณ์อะไร?”

ชีเจวี๋ยตอบว่า “ที่โรงเตี๊ยมไร้กังวลที่อยู่เยื้องกับจวนแม่ทัพภาค มีคนคนหนึ่งมาเข้าพักได้สามเดือนแล้ว บังเอิญเข้าพักในห้องที่พวกเราเน้นป้องกันพอดี เพราะตำแหน่งนั้นสามารถสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวของจวนแม่ทัพภาคได้”

“มีความเคลื่อนไหวอะไรผิดปกติหรือเปล่า?” เฉาหม่านถาม

ชีเจวี๋ยตอบว่า “ดูเหมือนปกติ แต่หลังจากพวกลูกน้องสังเกตการณ์แล้วก็พบว่า หน้าต่างห้องนั้นเหมือนจะแง้มเอาไว้ตลอด น่าจะมองเห็นจวนแม่ทัพภาคได้พอดี และคนที่เข้าพักข้างในก็ยิ่งไม่ก้าวออกจากประตูเลย แต่เมื่อวานนี้เอง พวกเราส่งคนเข้าไปในโรงเตี๊ยม แล้วบอกว่ามีแขกคนหนึ่งทำตัวลับๆ ล่อๆ เข้าไปในห้องของคนนั้น จนกระทั่งวันนี้ก็ยังไม่ออกมาเลย ผู้ชายสองคนอุดอู้อยู่ในห้องด้วยกันทั้งวัน ต่อให้มีธุระใหญ่โตแต่ก็หน้าจะคุยเสร็จแล้ว ถึงยังไงทั้งสองก็มีห้องของตัวเอง ทำตัวน่าสงสัยจริงๆ ขอรับ”

เฉาหม่านกล่าวออกมาโดยแทบจะไม่ต้องครุ่นคิดอะไร เป็นคำที่มีความเผด็จการเต็มสิบ “จับตัวมา!”

ชีเจวี๋ยอึ้งทันที “คนของพวกเราจับตาดูอยู่ตลอด พวกเขายังไม่ทันทำอะไร ถ้าจับตัวมาตอนนี้…”

เฉาหม่านพูดตัดบทเสียเลยว่า “จะรอให้เกิดเรื่องขึ้นก่อนแล้วค่อยลงมือเหรอ? ไม่ว่าจะเป็นหัวเชื้ออะไรก็ต้องบีบทิ้งให้ทันเวลา! เฒ่าชี ตอนนี้จะเกิดเรื่องกับหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ อย่างน้อยก็ห้ามเป็นอะไรไปที่ตลาดผี ในถิ่นของคนอื่นข้าไม่สนใจ แต่ถ้าเป็นที่ตลาดผีจะต้องไม่มีปัญหา! ข้าไม่สนว่าเป็นใคร ขอเพียงมีความผิดปกติ ต่อให้สายตามีพิรุธ ก็ต้องจับมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้าจับผิดตัวอย่างมากก็แค่ปล่อยไป ต่อไปนี้จัดการตามนี้”

แค่สายตามิพิรุธก็จับมาให้หมดเหรอ เข้มงวดเกินไปหน่อยรึเปล่า? ชีเจวี๋ยปาดเหงื่อเล็กน้อย แล้วเอ่ยรับคำสั่ง “ขอรับ! ข้าจะไปจัดการตามนี้!”

โรงเตี๊ยมไร้กังวล ชายหนุ่มวัยกลางคนหลายคนเดินก้าวยาวบุกเข้ามาโดยตรง แล้วเดินขึ้นตึกไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

“ลูกค้า!” พนักงานรีบเข้ามาขวางไว้หน้าตึก แล้วยิ้มสู้พร้อมถามว่า “ท่านลูกค้าจะมาเข้าพักหรือจะมาใครหรือขอรับ? ถ้าจะมาหาคนก็รายงานก่อนสักหน่อย ถ้าจะเข้าพักก็จ่ายเงินก่อน” ขณะที่พูดก็ยื่นมือไปทางโต๊ะคิดเงิน

ใครจะคิดว่าด้านนอกโรงเตี๊ยมจะมีคนตามเข้ามาอีก หนึ่งในนั้นเดินตรงไปที่หน้าโต๊ะคิดเงิน แล้วเผยป้ายคำสั่งแผ่นหนึ่งให้ผู้จัดการร้านที่นั่งอยู่หลังโต๊ะดู

ผู้จัดการร้านตกตะลึงอ้าปากค้างในชั่วพริบตาเดียว คนที่ถือป้ายคำสั่งเอียงหน้ามองไปทางบันได แล้วบอกใบ้ “อืม” จากนั้นผู้จัดการร้านก็รีบโบกมือบอกให้หลีกทางทันที

ดังนั้นผู้จัดการร้านรวมทั้งพนักงานในร้านจึงถูกนำไปรวมไปอีกด้านหนึ่งแล้วคอยเฝ้าไว้

มีคนสามคนเดินตรงขึ้นไปบนตึก พอมาถึงชั้นหนึ่งก็เดินต่อไปยังห้องห้องหนึ่งอย่างเปิดเผย คนที่นำหน้ามาใช้มือตบเปิดประตูออกโดยตรง

ในห้องนั้น ชายวัยกลางคนหน้าขาวที่ยืนอยู่ริมหน้าต่าง ชายหนวดหยิกที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ทั้งสองหันกลับมามองอย่างตกใจ พอเห็นว่ามีคนบุกเข้ามา ทั้งสองก็มีปฏิกิริยาทันทีโดยแทบจะไม่พูดพร่ำทำเพลง ชายวัยกลางคนหน้าขาวรีบกระโดดออกหน้าต่าง ส่วนชายหนวดหยิกก็พังเตียงแล้วกระโดดลงพื้นทันที

ที่นอกหน้าต่าง มีเงาสีดำหลายสายแฉลบผ่าน เหาะเข้ามาจากสามทิศทาง มาดักชายวัยกลางคนหน้าขาวเอาไว้

ชายวัยกลางคนหน้าขาวรีบโบกกระบี่ฟันอย่างบ้าคลั่ง ทว่าวรยุทธ์ของผู้ที่เข้ามาขวางแตกต่างกันเกินไป ถูกอีกฝ่ายรับกระบี่ไว้ราวกับฟันแทงไม่เข้าด้วยความเร็วที่เหนือกว่าแล้ว จากนั้นคว้าข้อมือของเขาเอาไว้แล้ว พอบิดข้อมือ ก็มีเสียงกระดูกหักดังกร๊อบ ขั้นต่อมาก็คือถูกดักคอไว้จนกระดิกกระเดี้ยไม่ได้

ชายวัยกลางคนหน้าขาวเบิกตาโต ใช้ฟันออกแรงกัด คนฝั่งนี้ยังไม่ทันตกลงพื้น ในรูจมูกก็มีหมอกสีชมพูลอยออกมาแล้ว จากนั้นก็กลายเป็นสีดำแล้วจมลงในเบ้าตาอย่างรวดเร็ว ดวงตาฉายแววหวานเยิ้มพึงพอใจไร้ที่เปรียบ คนที่กำลังจับเขาตกใจทันที ตะโกนเสียงต่ำไปบนหน้าต่างว่า “ฟันพิษ!”

ในห้องของโรงเตี๊ยม พอชายหนวดหยิกพังเตียง คนที่พุ่งนำเข้ามาก็รีบฟาดแส้เหล็กเข้ามาด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ

พอชายหนวดหยิกพลิกฝ่ามือโบก แส้เหล็กที่ม้วนเข้ามาก็กลายเป็นฝุ่นผงในชั่วพริบตาเดียว จากนั้นก็ก่อตัวเป็นควันอีก กลายเป็นลูกธนูคมหลายดอกยิงกลับออกมา

คนที่พุ่งเข้ามาลงมือตกใจมาก กางแขนสองข้างมาไว้ตรงหน้าอก เกราะลมราวกับมีรูปร่าง ทำให้ลูกธนูที่เข้ามาใกล้ตรงหน้าจมลงแล้ว

คนที่อยู่ทางซ้ายและขวาของเขา ถ้าอยากจะพุ่งเข้ามาลงมืออีกก็สายไปแล้ว ชายหนวดหยิกคนนั้นตกลงพื้นราวกับตกลงในน้ำ จมหายไปในพื้นหินราวกับเป็นระลอกคลื่นน้ำ

ตรงชั้นล่าง พอชายหนวดหยิกตกลงมาจากชั้นหนึ่ง หนึ่งในสามคนที่เอามือไขว้หลังรออยู่ในห้องก็ถลันออกมาราวกับเงาผี แล้วใช้ฝ่ามือตบประทับที่แผ่นหลังของอีกฝ่าย

ชายหนวดหยิกลนลานทำอะไรไม่ถูก นึกไม่ถึงว่าข้างล่างจะยังมีคนรออยู่ ที่จริงแล้วอย่าว่าแต่ข้างล่างเลย ทั้งบนทั้งล่าง ทั้งซ้ายขวาหน้าหลังล้วนมีคนรออยู่ จะไปทางไหนก็หนีไม่พ้น

“อั้ก!” เลือดสดพุ่งออกจากปากคำหนึ่ง ยังไม่ทันรอให้ตัวกระเด็นออกไป ก็มีคนมากักใต้คางเอาไว้แล้ว

คนที่มากักใต้คางเขาไว้ออกแรงที่นิ้วทั้งห้า “อั้ก” ชายหนวดหยิกกระอักเลือดออกมาพร้อมกับฟันทั้งหมดในปาก ร่วงกระจายลงพื้นแล้ว

คนที่ควบคุมเขาดึงมือแล้วยัดเขาเข้าไปในกระเป๋าสัตว์ จากนั้นก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง หันตัวเดินออกไปทันที ทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน

หนึ่งในคนที่อยู่ข้างหลังเขาร่ายอิทธิฤทธิ์เก็บกวาดบนพื้น ฟันที่ตกอยู่เต็มพื้นระเบิดออก ในจำนวนนั้นมีวัตถุคล้ายเม็ดยาสีชมพูเด้งออกมาตกอยู่ในฝ่ามือเขา จากนั้นก็หันตัวเดินจากไปเช่นกัน

คนที่อยู่ทั้งชั้นบนและชั้นล่างมาเจอกันตรงตีนบันได หลังจากพยักหน้าให้กันแล้วก็รีบลงมา แขกที่อยู่ในโรงเตี๊ยมที่กำลังตกใจรีบวิ่งออกมาหมอบหน้ารั้วและยื่นศีรษะออกมาดู พวกเขามองดูฉากนี้อย่างงุนงง ยังไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

ในโถงใหญ่ของชั้นล่าง ขณะที่คนกลุ่มหนึ่งออกมา ก็มีคนถ่ายทอดเสียงบอกผู้จัดการโรงเตี๊ยมว่า “ค่าชดเชยความเสียหายของโรงเตี๊ยม พวกเจ้าไปเอาที่ตึกศาลาสัตยพรตได้” พูดจบก็ออกไปทันที

คนกลุ่มนี้มาไว้ไป ผู้จัดการร้านที่เดินออกมามองคล้อยหลังตรงประตูยังเหม่ออยู่เลย

ตอนที่ชายหนวดหยิกเห็นแสงสว่างอีกครั้ง ก็พบว่าตัวเองตกกระแทกลงบนพื้นแล้ว ไม่รู้ว่าตัวอยู่ที่ไหน รู้เพียงว่าอยู่ในห้องศิลาแหง่หนึ่ง ด้านข้างมีศพร่างหนึ่งที่เหลือแต่โครงกระดูก แค่มองปราดเดียวก็เดาได้แล้วว่าเป็นเพื่อนร่วมงานของตัวเอง เพราะเขารู้ว่าเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์แบบไหนถึงจะกลายเป็นแบบนี้

พอเงยหน้าอีกครั้ง ก็เห็นคนชุดดำยืนเรียงแถวอยู่ตรงหน้า คนที่เป็นหัวหน้าคือชายร่างหมีหน้าดุหนวดเฟิ้ม ตอนนี้กำลังนั่งไขว่ห้างดื่มน้ำชาอย่างเอ้อระเหย

พอชายรูปร่างกำยำวางถ้วยน้ำชาแล้วเอียงหน้า ก็มีคนเข้ามาดึงให้เขาลุกขึ้นทันที จากนั้นก็คลายผนึกบางส่วนบนร่างกายเขา ฉีกหนังปลอมบนใบหน้าลงมา เผยให้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาไม่ธรรมดา ทำให้เลือดที่ไหลออกจากรูจมูกยิ่งเด่นชัดขึ้น

“เฮ้ย! นึกไม่ถึงว่าจะจับตัวไอ้หนุ่มหน้าขาวได้คนหนึ่งแล้ว” ชายรูปร่างกำยำลุกขึ้นแล้วกล่าวหัวเราะ เอาสองมือไขว้หลังพลางพยักหน้า “หนุ่มหน้าขาว จะตอบมาดีๆ หรือจะให้พวกเราง้างปากเจ้า”

หนุ่มหน้าหล่อที่เผยโฉมหน้าที่แท้จริงหอบหายใจ ราวกับนึกอะไรขึ้นได้ กวาดตามองคนที่อยู่ในห้องศิลา แล้วถามว่า “พวกเจ้าเป็นคนของตึกศาลาสัตยพรตเหรอ?”

ชายรูปร่างกำยำแสยะหัวเราะ แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร

การไม่ตอบก็คือการแสดงท่าทีอย่างหนึ่งเช่นกัน หนุ่มหน้าหล่อเข้าใจแล้ว เขาส่ายหน้ายิ้มเจื่อน ตอนนี้ตกอยู่ในมือของตึกศาลาสัตยพรต เอายอดฝีมือมากมายขนาดนี้มาจับตน มิน่าล่ะตนถึงได้เสียเปรียบแบบนี้ เขาหอบหายใจแล้วถามอีกว่า “ข้าไม่เข้าใจ ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น และไม่ได้ล่วงเกินพวกเจ้าด้วย มาจับข้าทำไม?”

“เพราะหน้าต่างห้องเจ้าเปิดนานเกินไปแล้ว พวกเราเห็นแล้วขัดลูกตา!” ชายรูปร่างกำยำกล่าวอย่างใจเย็น

“…” หนุ่มหน้าหล่อพูดไม่ออก แค่เปิดหน้าต่างก็มีความผิดเหรอ แค่ข้าเปิดหน้าต่างนานก็เลยมาจับข้างั้นเหรอ นี่มันใช่เรื่องมั้ย?

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด