พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1608 เสียศักดิ์ศรีเกินไปแล้ว

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1608 เสียศักดิ์ศรีเกินไปแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ค่อนข้างนึกไม่ถึง เหมียวอี้นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าตัวเองมอบหมายภารกิจสำคัญให้หยางชิ่ง และหยางชิ่งก็สามารถวางแผนระยะยาวขนาดนี้ออกมาได้ สิ่งนี้ทำให้เขาตกตะลึงแล้ว ยัดกำลังพลนับร้อยล้านเข้าแดนอเวจี แค่คิดก็ตกใจแล้วไม่ใช่เหรอ?

เขาไม่กลัวหรอกว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอะไร เพราะว่ายัดคนเข้าแดนอเวจี ไม่ได้ยัดเข้าพิภพใหญ่ โดยส่วนใหญ่คนของพิภพเล็กก็ไม่รู้สถานการณ์ของพิภพใหญ่อยู่แล้ว ไม่กังวลด้วยว่าจะมีข่าวหลุดอะไรพัวพันไปถึงเขา ถ้าแดนอเวจีจะเผยแพร่ชื่อเหมียวอี้ก็ไม่เป็นอะไร เพราะอยู่ที่พิภพใหญ่เขาชื่อหนิวโหย่วเต๋อ ยิ่งไปกว่านั้นพวกอวิ๋นอ้าวเทียนก็ย่อมต้องรักษาความลับเพื่อคุมคนอยู่แล้ว ไม่มีทางหาเรื่องใส่ตัวเอง

เพียงแต่การโยนแผนการใหญ่โตขนาดนี้ออกมา ก็ทำให้เหมียวอี้แทบหายใจไม่ออก

ครุ่นคิดเล็กน้อย ใช้ดุลพินิจซ้ำไปซ้ำมาภายใต้สายตาที่จับจ้องสังเกตของหยางชิ่ง ก็พบว่าไม่มีอะไรไม่เหมาะสม ที่หยางชิ่งพูดก็มีเหตุผลเหมือนกัน สุดท้ายเหมียวอี้ก็พยักหน้าพร้อมกล่าวด้วยเสียงจริงจังว่า “ดี! จัดการตามที่เจ้าบอก เรื่องนี้ส่งต่อให้เจ้าจัดการก็แล้วกัน ส่งมอบอำนาจให้เจ้าจัดการทั้งหมด ภายในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ เจ้าลองร่างวิธีการย้ายคนออกมาสักฉบับ”

หยางชิ่งยังนึกว่าเขาต้องใช้เวลาไตร่ตรองสักสองสามวัน นึกไม่ถึงว่าจะตอบตกลงอย่างตรงไปตรงมาขนาดนี้ ความเชื่อใจนี้ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นหัวใจ จึงกุมหมัดคารวะกล่าวว่า “ข้าน้อยรับรองว่าจะพยายามทำอย่างเต็มที่ ไม่ทำให้นายท่านผิดหวังแน่นอน!”

เหมียวอี้พยักหน้า แล้วหันตัวมากล่าวเสียงต่ำอีกว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง การมาครั้งนี้ ข้าเตรียมจะรับเยว่เหยา ลูกศิษย์คนเล็กของมู่ฝานจวินมาเป็นอนุภรรยา เจ้าคิดว่ายังไงบ้าง?” รู้สึกอับอายที่จะเอ่ยปาก เมื่อมาถึงด่านนี้แล้ว จะไม่พูดก็ไม่ได้ ต่อไปก็ต้องรู้กันหมด

หยางชิ่งไม่รู้สึกเหนือความคาดหมายเลยสักนิด ตอบอย่างใจเย็นว่า “ก่อนหน้านี้ฮูหยินบอกข้าไว้แล้ว ข้าน้อยมีข้อมูลในใจแล้ว ข้าน้อยปลอบใจเวยเวยแล้ว”

“เขาเองก็ไม่อยากให้เหมียวอี้รับอนุภรรยาเข้าบ้านมาเป็นโขยงเหมือนกัน เพราะสิ่งนี้จะส่งผลกระทบต่อลูกสาวของเขา แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ห้าม เมื่ออยู่ในระดับเหมียวอี้แล้ว จะมีผู้หญิงเยอะก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ตอนแรกที่ลูกสาวดึงดันจะแต่งงานกับเหมียวอี้ให้ได้ เขาก็เตรียมใจกับด้านนี้ไว้นานแล้ว”

เขาไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เหมียวอี้ถึงรับเยว่เหยาที่ไม่ค่อยได้ติดต่อกันมาเป็นอนุภรรยา เป็นเพราะความสวยเหรอ? เขารู้สึกว่าไร้สาระ ระดับเหมียวอี้ไม่ต้องกลัวว่าจะหาผู้หญิงสวยไม่ได้แล้ว คนที่เหมียวอี้ฝืนยัดมาให้เขาก็เป็นยอดหญิงงามเช่นกัน และตอนที่อวิ๋นจือชิวออกหน้ามาหาเขาเพื่อคุยเรื่องนี้ เขาก็ตระหนักได้ว่าเหมียวอี้ไม่ได้ชอบความสวยของเยว่เหยา ติดต่อกันมานานหลายปีขนาดนี้ ทำให้เขารู้จักอวิ๋นจือชิวดี เวลาจะปากจัดอารมณ์ร้ายขึ้นมาก็ไม่เกรงใจ เวลาที่ควรจะอ่อนก็ไม่พาลหาเรื่องเช่นกัน ลงน้ำหนักได้ดีมาก ดูแลทั้งคนในคนนอกของตระกูลเหมียวจนหมอบราบคาบแก้ว อย่างน้อยเวลาจะให้อนุภรรยาในบ้านทำอะไร ก็ไม่มีใครกล้าพูดพร่ำทำเพลง แม้แต่ลูกสาวของหยางชิ่งเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ถ้าอวิ๋นจือชิวสั่งคำเดียวว่าให้ฉินเวยเวยไปวิ่งจนขาหัก เวยเวยก็ไม่กล้าบ่นเหมือนกัน ตามที่เขารู้มา แม้แต่คนที่บุ่มบ่ามง่ายอย่างเหมียวอี้ก็ยังกลัวเมียเลย ควบคุมอนุภรรยาที่มีภูมิหลังเหมือนกันให้สามัคคีปรองดองกันได้ ไม่เคยได้ยินว่ามีความขัดแย้งอะไรระหว่างกันเลย ว่ากันว่าถ้าในบ้านปรองดอง งานทุกอย่างก็สำเร็จราบรื่น ความสามารถที่ดูเหมือนจะธรรมดานี้ ในความเป็นจริงกลับไม่มีผู้หญิงคนไหนชำนาญได้เท่านี้แล้ว เรื่องในบ้านอวิ๋นจือชิวเอาอยู่จริงๆ เป็นผู้หญิงที่ปกป้องบ้านได้ ไม่มีทางปล่อยให้เหมียวอี้ทำซี้ซั้วโดยไม่สนใจ ดังนั้นถ้าอวิ๋นจือชิวไม่อนุญาต ก็เป็นไปไม่ได้ที่เยว่เหยาจะได้แต่งงานเข้าบ้าน ในเมื่ออวิ๋นจือชิวออกหน้าจัดการด้วยตัวเองแล้ว แสดงว่าในนั้นก็จะต้องมีสาเหตุอะไรแน่นอน

อวิ๋นจือชิวไม่ได้บอก เขาก็ไม่สะดวกจะถามมาก ที่อีกฝ่ายมาบอกก็ถือว่าให้เกียรติเขาแล้ว ถ้าไม่บอกเขา เขาก็ไม่สะดวกจะไปห้ามอยู่ดี

“ฮูหยินบอกเจ้าแล้วเหรอ?” เหมียวอี้งงงัน นึกไม่ถึงว่าเบื้องหลังอวิ๋นจือชิวจะช่วยเขาจัดการหยางชิ่งให้ เขายังกังวลอยู่เลยว่าจะยั่วให้หยางชิ่งไม่พอใจแล้วเสียงานใหญ่หรือเปล่า พอเป็นแบบนี้ก็ลดความยุ่งยากไม่ต้องให้ตนเปลืองคำพูดเยอะแล้ว

“ขอรับ!” หยางชิ่งพยักหน้า

พอเห็นทั้งสองออกจากห้องหลัก ก็เห็นฉินเวยเวยรออยู่ข้างนอกแล้ว หยางชิ่งส่งสายตาให้ฉินซี ฉินซีรู้อยู่แก่ใจ ว่าสองคนนี้ห่างกันไปนานก็เหมือนคู่แต่งงานใหม่ อย่าไปรบกวนเรื่องดีๆ ของทั้งคู่เลย หลังจากทำความเคารพเหมียวอี้แล้วก็รีบเดินออกไป

เมื่อไม่มีคนนอกแล้ว ฉินเวยเวยก็หมดความกังวล โผเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดเหมียวอี้ด้วยความดีใจ “นายท่าน ฮูหยินให้ข้ามาอยู่เพื่อนนายท่านให้ดีค่ะ”

รู้สึกได้ว่ายอดเขาสองลูกที่เบียดอยู่ตรงหน้าอกเหมือนจะบีบรัดยิ่งกว่าเมื่อก่อน เหมียวอี้รู้สึกเปรี้ยวปาก กอปรกับหญิงงามมีอารมณ์รักเข้มข้นยากจะปฏิเสธ ทำให้เขาโน้มตัวอุ้มฉินเวยเวยขึ้นมาและเดินก้าวยาวไปที่ตำหนักนอนอย่างไม่ลังเล “อ๋า!” ฉินเวยเวยที่อุทานตกใจใช้สองมือคล้องคอเขา เคยผ่านเรื่องนี้มาแล้ว ย่อมรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น อารมณ์รักลึกซึ้งแทบจะเอ่อล้นออกมาจากดวงตาที่เขินอาย นางมองเขาตาปริบๆ ปล่อยให้เขาทำตามใจแล้ว

เสื้อผ้าปลิวว่อน ปิ่นปักผมถูกดึงออก ผมยาวสยายตกลงประหัวไหล่ที่ขาวเกลี้ยงเกลา ตรงหว่างขาที่เป็นจุดซ่อนเร้นของผู้หญิงทั่วไปล้วนมีกอหญ้า สองแขนกำลังปิดยอดเขาทั้งคู่ ทว่าบั้นท้ายที่แข็งแรงนั้นยากจะปิดบัง ใบหน้าเขินอายช่างมีเสน่ห์เย้ายวน ในขณะที่เหมียวอี้เดินวนมองสำรวจชื่นชมอย่างกำเริบเสิบสาน ฉินเวยเวยก็มีสีหน้าอับอายเกินทน ร่างงามที่อวบอัดยิ่งกว่าปีก่อนสั่นเทิ้มเล็กน้อย โดนมองจนแทบจะยืนไม่ไหวแล้ว สุดท้ายก็บ่นว่า “นายท่าน…”

ตอนที่ในห้องมีเสียงครวญครางที่ยากจะควบคุมไหวดังออกมา หงเหมียนกับลู่หลิวก็สบตากันแล้วกลั้นขำ ยิ่งเสียงดังมากเท่าไร สองสาวก็ยิ่งร้อนผ่าวใบหน้า รู้ว่าไม่ง่ายเลยกว่าเหมียวอี้จะกลับมาสักครั้ง วันหลังอย่างน้อยก็ต้องมาหาพวกนางสองคนบ้าง

ขณะกำลังคิดเพ้อฝัน พอเห็นลูกน้องกำลังเดินไปเดินมา ทั้งสองก็รีบไล่ไป

“วันต่อมา ฮูเหยียนไท่เป่าออกจากแดนโพ้นสวรรค์มาต้อนรับเยว่เหยา หลังจากเหมียวอี้มาถึงพิภพเล็กแล้ว ถึงได้ติดต่อทางมู่ฝานจวินว่าต้องการจะจัดงานแต่งงานกับเยว่เหยาที่พิภพเล็ก ตอนนี้มู่ฝานจวินไม่อยู่ที่พิภพเล็ก ทำได้เพียงให้ลูกศิษย์คนโตสุดเป็นตัวแทนฝ่ายบ้านเจ้าสาวมารับตัวไปทำพิธี

หลังจากเจอกับฮูเหยียนไท่เป่าแล้ว เหมียวอี้ก็ตัวติดกับฉินเวยเวยอีก ไปท่องเที่ยวชมธรรมชาติด้วยกัน เหมือนนกเป็ดน้ำที่อยู่เคียงคู่กันทุกที่ ราวกับต้องการจะชดเชยเวลาให้ ทำให้ฉินเวยเวยที่อยู่อย่างแห้งแล้งมานานได้ชุ่มฉ่ำสุดๆ ใบหน้าสดใสมีราศี เมื่อได้รับอนุญาตจากอวิ๋นจือชิวแล้ว เหมียวอี้ก็เรียกได้ว่าปล่อยตัวปล่อยใจ ด้วยการช่วยเหลือจากฉินเวยเวย หงเหมียนกับลู่หลิวก็ได้อาศัยบารมีไปด้วย

หลังจากกลับมาที่นภาอู๋เลี่ยงแล้ว ตอนที่ใกล้จะถึงวันแต่งงาน เหมียวอี้ก็แอบพาเหยียนซิวไปที่ตำหนักดาวกลาง

จูเก๋อชิงที่สวมชุดกระโปรงยาวสีขาวถูกกักบริเวณไว้อย่างโดดเดี่ยว ต่อให้ใบหน้าไร้เครื่องประทินโฉม แต่ก็ยากที่จะปิดบังความงามล่มเมืองของนางได้ เหมียวอี้เห็นแล้วแอบเสียดาย

เมื่อได้เจอเหมียวอี้อีกครั้ง จูเก๋อชิงก็ปลาบปลื้มดีใจจนน้ำตาคลอ สุดท้ายก็คุกเข่าร้องไห้อย่างปวดใจตรงหน้าเหมียวอี้ “ประมุขปราชญ์ ข้าสำนึกผิดแล้ว ขอให้ฮูหยินระงับโทสะด้วย! ขอประมุขปราชญ์สงสาร ช่วยพูดขอร้องให้ข้าด้วย…”

ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ทรัพยากรฝึกตนก็ให้นางไม่เคยขาด แต่นางก็ยังคิดหาทางออกไปจากที่นี้ ไปพูดคุยกับทหารยามอยู่เป็นระยะ หลังจากอวิ๋นจือชิวรู้ก็ทำให้อวิ๋นจือชิวโมโหมาก เมื่อออกคำสั่งแล้ว ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครกล้าคุยกับนางอีกเลย แม้แต่หญิงรับใช้ก็ถูกปลดไปแล้ว ทำให้ทั้งตำหนักดาวกลางไม่มีใครคุยกับนางสักคน ไม่รู้ข่าวสารภายนอกเลยสักนิด สำหรับเจ้าสำนักที่มีหน้ามีตาคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นผู้หญิงที่มั่นใจในความสวยของตัวเอง การถูกกักบริเวณอยู่ที่นี่เป็นรสชาติทรมานที่ยากจะรับไหว แทบจะทำให้คนสติแตกแล้ว

“ลุกขึ้นเถอะ เดี๋ยวข้าจะคุยกับฮูหยินเอง” เหมียวอี้ประคองนางให้ลุกขึ้นมา

“ขอบคุณประมุขปราชญ์!” จูเก๋อชิงกล่าวขอบคุณ แล้วกระโจนเข้าไปร้องไห้ในอ้อมอกเหมียวอี้

สำหรับนางที่เคยควบคุมดูแลสำนักมาก่อน นางมีความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์ รู้ว่าข้อได้เปรียบของตัวเองอยู่ตรงไหน และรู้ด้วยว่าต้องฝากความหวังเดียวที่จะรอดออกจากที่นี่เอาไว้ที่ใคร ด้วยความตั้งใจของนาง บวกกับเป็นคนสวยมาก จะไม่ให้เหมียวอี้อยากอยู่ที่นี่นานก็คงยาก ถึงแม้จูเก๋อชิงจะไม่ใช่โสเภณี แต่กลับมีความสามารถในการปรนนิบัติดีมาก ทำให้เหมียวอี้อดใจไม่ไหว

ทว่าสุดท้ายก็ยากที่จะเสพสุขกับหญิงงามได้ หลังจากสุขสำราญกับฝั่งนี้แล้ว หลังจากกลับไปที่นภาอู๋เลี่ยง เหมียวอี้ก้ทำได้เพีบงแข็งใจไปปรึกษากับอวิ๋นจือชิว หวังว่าอวิ๋นจือชิวจะตอบตกลงที่จะคืนอิสระให้จูเก๋อชิง

เมื่อได้ฟังแบบนี้ อวิ๋นจือชิวที่กำลังยิ้มอย่างเป็นกันเองก็สีหน้าจืดจางลงแล้ว “เรื่องนี้ไม่ได้หรอก! ข้าไม่ฆ่านางก็ถือว่าไว้หน้าเจ้าแล้ว อย่ากดดันข้า!”

เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วถามว่า “เจ้าขังนางไว้แบบนี้ตลอดแล้วจะได้อะไรขึ้นมา?”

อวิ๋นจือชิวตอบว่า “หรือว่านายท่านลืมคำสัญญาแล้ว ลืมไปแล้วเหรอว่าข้ามีอำนาจตัดสินใจเรื่องผู้หญิงในบ้าน? จะปล่อยนางเมื่อไร ควรจะปล่อยนางไปหรือไม่ ข้าย่อมมีข้อมูลในใจอยู่แล้ว อีกไม่นานก็จะถึงงานมงคล นายท่านเอาความคิดไปใช้กับเจ้าสาวคนใหม่ดีกว่า เรื่องอื่นไม่ต้องคิดมากแล้ว”

เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “อวิ๋นจือชิว ขนาดเยว่เหยาเจ้ายังตอบตกลงเลย ทำไมเจ้าต้องกลั่นแกล้งนางด้วย?”

อวิ๋นจือชิวทำสีหน้าหงุดหงิดใส่ “ข้าเป็นผู้หญิง เข้าใจผู้หญิงมากกว่าเจ้า ผู้หญิงแบบไหนที่ปล่อยให้เข้าบ้านได้ ผู้หญิงแบบไหนที่ให้เข้าบ้านไม่ได้ ข้าย่อมป้องกันอยู่แล้ว ถ้าเจ้าไม่อยากให้ต่อไปในบ้านวุ่นวาย ก็อย่าเอ่ยเรื่องนี้อีก”

เหมียวอี้ยักไหล่สองข้าง “นางสำนึกผิดแล้ว ปล่อยนางออกมาแล้วจะทำไมล่ะ เจ้ากลัวนางรึไง? ในปีนั้นข้าทำผิดไปแล้ว เจ้าเองก็ขังนางไว้หลายปีแล้ว ยังไม่หายโมโหเชียวหรือ?”

อวิ๋นจือชิวหันตัวมาเผชิญหน้า จ้องตาเหมียวอี้พร้อมบอกอย่างชัดเจน “ถ้าเจ้าดึงดันจะปล่อยนางออกมา ข้าก็ขัดขวางเจ้าไม่ได้หรอก แต่ถ้าเจ้าผิดคำพูดแบบนี้ ข้าก็ไม่ทางดูแลบ้านนี้ได้อีกแล้ว! ถ้าจะจะปล่อยนางออกมา ก็เอาหนังสือหย่ามาให้ข้า ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ไม่ต้องยุ่งเรื่องนี้ ข้าจะขังนางจนกว่าจะรู้สึกอยากปล่อยนางออกมา”

“อวิ๋นจือชิว…”

“ไม่ต้องพูดอะไรมากกว่านี้แล้ว ไม่มีทางเหลือให้เจ้าเจรจาหรอก! ขังนางไว้ที่นั่นต่อไป หรือจะไล่ข้าไป เจ้าก็เลือกเอาเอง ข้าไม่บังคับเจ้า!”

เมื่อเห็นนางแน่วแน่ขนาดนี้ ใบหน้าเหมียวอี้ก็เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ เขาชี้หน้าอวิ๋นจือชิว ส่วนอวิ๋นจือชิวก็เชิดคางใส่ เผชิญหน้าด้วยสายตามีพลัง ไม่ยอมหลีกทางให้เลย!

เหมียวอี้กัดฟันแล้วสะบัดแขนเสื้อ หันตัวเดินออกไปอย่างกระฟัดกระเฟียด

ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวจะพูดเติมเชื้อไฟอีก “เจ้าฟังข้าให้ดีนะ ต่อไปนี้ถ้าข้าไม่อนุญาต เจ้าก็ห้ามไปหานางอีก ข้าไม่ถือสาที่จะเอาร่างไร้วิญญาณที่ไม่ดับสลายไว้ให้เจ้าดูเป็นที่ระลึกที่ตำหนักดาวกลาง!”

เหมียวอี้ที่เดินมาถึงประตูระงับไฟโกรธไว้ไม่ไหวแล้ว หันกลับมาด่าอย่างโมโหว่า “ไม่มีเหตุผล นางผู้หญิงอารมณ์ร้าย!”

“สารเลว! เจ้าด่าใคร? อย่าหนีนะ!” อวิ๋นจือชิวไม่พูดพร่ำทำเพลง หยิบถ้วยชาใบหนึ่งบนโต๊ะโยนเข้าไป ไม่เกรงใจเลยสักนิด

เหมียวอี้หัวหัวหลบ แล้วเดินก้าวยาวออกไป ข้างน้องมีเสียงดังเพล้ง ถ้วยชาแตกกระจายเต็มพื้น

ที่จริงเขาก็อยากให้อวิ๋นจือชิวซ้อมสักยก มีแต่ต้องยอมให้อวิ๋นจือชิวซ้อมเท่านั้น ตามหลักการแล้ว ก็ยังพอมีหวังจะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้ แต่ยามอวิ๋นจือชิวแสดงท่าทีชัดเจนว่าจะคุยประเด็นสำคัญเท่านั้น แบบนี้กลับทำให้เขาปวดหัว ยิ่งเป็นแบบนี้เขาก็ยิ่งทำให้อวิ๋นจือชิวตอบตกลงไม่ได้

ด้วยท่าทีแบบนี้ของอวิ๋นจือชิว ถ้าจะให้เขาหย่ากับอวิ๋นจือชิวแล้วปล่อยจูเก๋อชิงออกมาก็เป็นไปไม่ได้ ไม่ต้องคิดมากเลยว่าอะไรสำคัญกว่า มีอวิ๋นจือชิวคุมอยู่แบบนี้ ทำให้แม้แต่ผู้หญิงที่เขาเคยนอนด้วยก็เอาเข้าบ้านไม่ได้ ทำให้เขาปวดหัวมาก เสียศักดิ์ศรีเกินไปแล้ว

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1608 เสียศักดิ์ศรีเกินไปแล้ว

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1608 เสียศักดิ์ศรีเกินไปแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ค่อนข้างนึกไม่ถึง เหมียวอี้นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าตัวเองมอบหมายภารกิจสำคัญให้หยางชิ่ง และหยางชิ่งก็สามารถวางแผนระยะยาวขนาดนี้ออกมาได้ สิ่งนี้ทำให้เขาตกตะลึงแล้ว ยัดกำลังพลนับร้อยล้านเข้าแดนอเวจี แค่คิดก็ตกใจแล้วไม่ใช่เหรอ?

เขาไม่กลัวหรอกว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอะไร เพราะว่ายัดคนเข้าแดนอเวจี ไม่ได้ยัดเข้าพิภพใหญ่ โดยส่วนใหญ่คนของพิภพเล็กก็ไม่รู้สถานการณ์ของพิภพใหญ่อยู่แล้ว ไม่กังวลด้วยว่าจะมีข่าวหลุดอะไรพัวพันไปถึงเขา ถ้าแดนอเวจีจะเผยแพร่ชื่อเหมียวอี้ก็ไม่เป็นอะไร เพราะอยู่ที่พิภพใหญ่เขาชื่อหนิวโหย่วเต๋อ ยิ่งไปกว่านั้นพวกอวิ๋นอ้าวเทียนก็ย่อมต้องรักษาความลับเพื่อคุมคนอยู่แล้ว ไม่มีทางหาเรื่องใส่ตัวเอง

เพียงแต่การโยนแผนการใหญ่โตขนาดนี้ออกมา ก็ทำให้เหมียวอี้แทบหายใจไม่ออก

ครุ่นคิดเล็กน้อย ใช้ดุลพินิจซ้ำไปซ้ำมาภายใต้สายตาที่จับจ้องสังเกตของหยางชิ่ง ก็พบว่าไม่มีอะไรไม่เหมาะสม ที่หยางชิ่งพูดก็มีเหตุผลเหมือนกัน สุดท้ายเหมียวอี้ก็พยักหน้าพร้อมกล่าวด้วยเสียงจริงจังว่า “ดี! จัดการตามที่เจ้าบอก เรื่องนี้ส่งต่อให้เจ้าจัดการก็แล้วกัน ส่งมอบอำนาจให้เจ้าจัดการทั้งหมด ภายในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ เจ้าลองร่างวิธีการย้ายคนออกมาสักฉบับ”

หยางชิ่งยังนึกว่าเขาต้องใช้เวลาไตร่ตรองสักสองสามวัน นึกไม่ถึงว่าจะตอบตกลงอย่างตรงไปตรงมาขนาดนี้ ความเชื่อใจนี้ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นหัวใจ จึงกุมหมัดคารวะกล่าวว่า “ข้าน้อยรับรองว่าจะพยายามทำอย่างเต็มที่ ไม่ทำให้นายท่านผิดหวังแน่นอน!”

เหมียวอี้พยักหน้า แล้วหันตัวมากล่าวเสียงต่ำอีกว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง การมาครั้งนี้ ข้าเตรียมจะรับเยว่เหยา ลูกศิษย์คนเล็กของมู่ฝานจวินมาเป็นอนุภรรยา เจ้าคิดว่ายังไงบ้าง?” รู้สึกอับอายที่จะเอ่ยปาก เมื่อมาถึงด่านนี้แล้ว จะไม่พูดก็ไม่ได้ ต่อไปก็ต้องรู้กันหมด

หยางชิ่งไม่รู้สึกเหนือความคาดหมายเลยสักนิด ตอบอย่างใจเย็นว่า “ก่อนหน้านี้ฮูหยินบอกข้าไว้แล้ว ข้าน้อยมีข้อมูลในใจแล้ว ข้าน้อยปลอบใจเวยเวยแล้ว”

“เขาเองก็ไม่อยากให้เหมียวอี้รับอนุภรรยาเข้าบ้านมาเป็นโขยงเหมือนกัน เพราะสิ่งนี้จะส่งผลกระทบต่อลูกสาวของเขา แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ห้าม เมื่ออยู่ในระดับเหมียวอี้แล้ว จะมีผู้หญิงเยอะก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ตอนแรกที่ลูกสาวดึงดันจะแต่งงานกับเหมียวอี้ให้ได้ เขาก็เตรียมใจกับด้านนี้ไว้นานแล้ว”

เขาไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เหมียวอี้ถึงรับเยว่เหยาที่ไม่ค่อยได้ติดต่อกันมาเป็นอนุภรรยา เป็นเพราะความสวยเหรอ? เขารู้สึกว่าไร้สาระ ระดับเหมียวอี้ไม่ต้องกลัวว่าจะหาผู้หญิงสวยไม่ได้แล้ว คนที่เหมียวอี้ฝืนยัดมาให้เขาก็เป็นยอดหญิงงามเช่นกัน และตอนที่อวิ๋นจือชิวออกหน้ามาหาเขาเพื่อคุยเรื่องนี้ เขาก็ตระหนักได้ว่าเหมียวอี้ไม่ได้ชอบความสวยของเยว่เหยา ติดต่อกันมานานหลายปีขนาดนี้ ทำให้เขารู้จักอวิ๋นจือชิวดี เวลาจะปากจัดอารมณ์ร้ายขึ้นมาก็ไม่เกรงใจ เวลาที่ควรจะอ่อนก็ไม่พาลหาเรื่องเช่นกัน ลงน้ำหนักได้ดีมาก ดูแลทั้งคนในคนนอกของตระกูลเหมียวจนหมอบราบคาบแก้ว อย่างน้อยเวลาจะให้อนุภรรยาในบ้านทำอะไร ก็ไม่มีใครกล้าพูดพร่ำทำเพลง แม้แต่ลูกสาวของหยางชิ่งเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ถ้าอวิ๋นจือชิวสั่งคำเดียวว่าให้ฉินเวยเวยไปวิ่งจนขาหัก เวยเวยก็ไม่กล้าบ่นเหมือนกัน ตามที่เขารู้มา แม้แต่คนที่บุ่มบ่ามง่ายอย่างเหมียวอี้ก็ยังกลัวเมียเลย ควบคุมอนุภรรยาที่มีภูมิหลังเหมือนกันให้สามัคคีปรองดองกันได้ ไม่เคยได้ยินว่ามีความขัดแย้งอะไรระหว่างกันเลย ว่ากันว่าถ้าในบ้านปรองดอง งานทุกอย่างก็สำเร็จราบรื่น ความสามารถที่ดูเหมือนจะธรรมดานี้ ในความเป็นจริงกลับไม่มีผู้หญิงคนไหนชำนาญได้เท่านี้แล้ว เรื่องในบ้านอวิ๋นจือชิวเอาอยู่จริงๆ เป็นผู้หญิงที่ปกป้องบ้านได้ ไม่มีทางปล่อยให้เหมียวอี้ทำซี้ซั้วโดยไม่สนใจ ดังนั้นถ้าอวิ๋นจือชิวไม่อนุญาต ก็เป็นไปไม่ได้ที่เยว่เหยาจะได้แต่งงานเข้าบ้าน ในเมื่ออวิ๋นจือชิวออกหน้าจัดการด้วยตัวเองแล้ว แสดงว่าในนั้นก็จะต้องมีสาเหตุอะไรแน่นอน

อวิ๋นจือชิวไม่ได้บอก เขาก็ไม่สะดวกจะถามมาก ที่อีกฝ่ายมาบอกก็ถือว่าให้เกียรติเขาแล้ว ถ้าไม่บอกเขา เขาก็ไม่สะดวกจะไปห้ามอยู่ดี

“ฮูหยินบอกเจ้าแล้วเหรอ?” เหมียวอี้งงงัน นึกไม่ถึงว่าเบื้องหลังอวิ๋นจือชิวจะช่วยเขาจัดการหยางชิ่งให้ เขายังกังวลอยู่เลยว่าจะยั่วให้หยางชิ่งไม่พอใจแล้วเสียงานใหญ่หรือเปล่า พอเป็นแบบนี้ก็ลดความยุ่งยากไม่ต้องให้ตนเปลืองคำพูดเยอะแล้ว

“ขอรับ!” หยางชิ่งพยักหน้า

พอเห็นทั้งสองออกจากห้องหลัก ก็เห็นฉินเวยเวยรออยู่ข้างนอกแล้ว หยางชิ่งส่งสายตาให้ฉินซี ฉินซีรู้อยู่แก่ใจ ว่าสองคนนี้ห่างกันไปนานก็เหมือนคู่แต่งงานใหม่ อย่าไปรบกวนเรื่องดีๆ ของทั้งคู่เลย หลังจากทำความเคารพเหมียวอี้แล้วก็รีบเดินออกไป

เมื่อไม่มีคนนอกแล้ว ฉินเวยเวยก็หมดความกังวล โผเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดเหมียวอี้ด้วยความดีใจ “นายท่าน ฮูหยินให้ข้ามาอยู่เพื่อนนายท่านให้ดีค่ะ”

รู้สึกได้ว่ายอดเขาสองลูกที่เบียดอยู่ตรงหน้าอกเหมือนจะบีบรัดยิ่งกว่าเมื่อก่อน เหมียวอี้รู้สึกเปรี้ยวปาก กอปรกับหญิงงามมีอารมณ์รักเข้มข้นยากจะปฏิเสธ ทำให้เขาโน้มตัวอุ้มฉินเวยเวยขึ้นมาและเดินก้าวยาวไปที่ตำหนักนอนอย่างไม่ลังเล “อ๋า!” ฉินเวยเวยที่อุทานตกใจใช้สองมือคล้องคอเขา เคยผ่านเรื่องนี้มาแล้ว ย่อมรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น อารมณ์รักลึกซึ้งแทบจะเอ่อล้นออกมาจากดวงตาที่เขินอาย นางมองเขาตาปริบๆ ปล่อยให้เขาทำตามใจแล้ว

เสื้อผ้าปลิวว่อน ปิ่นปักผมถูกดึงออก ผมยาวสยายตกลงประหัวไหล่ที่ขาวเกลี้ยงเกลา ตรงหว่างขาที่เป็นจุดซ่อนเร้นของผู้หญิงทั่วไปล้วนมีกอหญ้า สองแขนกำลังปิดยอดเขาทั้งคู่ ทว่าบั้นท้ายที่แข็งแรงนั้นยากจะปิดบัง ใบหน้าเขินอายช่างมีเสน่ห์เย้ายวน ในขณะที่เหมียวอี้เดินวนมองสำรวจชื่นชมอย่างกำเริบเสิบสาน ฉินเวยเวยก็มีสีหน้าอับอายเกินทน ร่างงามที่อวบอัดยิ่งกว่าปีก่อนสั่นเทิ้มเล็กน้อย โดนมองจนแทบจะยืนไม่ไหวแล้ว สุดท้ายก็บ่นว่า “นายท่าน…”

ตอนที่ในห้องมีเสียงครวญครางที่ยากจะควบคุมไหวดังออกมา หงเหมียนกับลู่หลิวก็สบตากันแล้วกลั้นขำ ยิ่งเสียงดังมากเท่าไร สองสาวก็ยิ่งร้อนผ่าวใบหน้า รู้ว่าไม่ง่ายเลยกว่าเหมียวอี้จะกลับมาสักครั้ง วันหลังอย่างน้อยก็ต้องมาหาพวกนางสองคนบ้าง

ขณะกำลังคิดเพ้อฝัน พอเห็นลูกน้องกำลังเดินไปเดินมา ทั้งสองก็รีบไล่ไป

“วันต่อมา ฮูเหยียนไท่เป่าออกจากแดนโพ้นสวรรค์มาต้อนรับเยว่เหยา หลังจากเหมียวอี้มาถึงพิภพเล็กแล้ว ถึงได้ติดต่อทางมู่ฝานจวินว่าต้องการจะจัดงานแต่งงานกับเยว่เหยาที่พิภพเล็ก ตอนนี้มู่ฝานจวินไม่อยู่ที่พิภพเล็ก ทำได้เพียงให้ลูกศิษย์คนโตสุดเป็นตัวแทนฝ่ายบ้านเจ้าสาวมารับตัวไปทำพิธี

หลังจากเจอกับฮูเหยียนไท่เป่าแล้ว เหมียวอี้ก็ตัวติดกับฉินเวยเวยอีก ไปท่องเที่ยวชมธรรมชาติด้วยกัน เหมือนนกเป็ดน้ำที่อยู่เคียงคู่กันทุกที่ ราวกับต้องการจะชดเชยเวลาให้ ทำให้ฉินเวยเวยที่อยู่อย่างแห้งแล้งมานานได้ชุ่มฉ่ำสุดๆ ใบหน้าสดใสมีราศี เมื่อได้รับอนุญาตจากอวิ๋นจือชิวแล้ว เหมียวอี้ก็เรียกได้ว่าปล่อยตัวปล่อยใจ ด้วยการช่วยเหลือจากฉินเวยเวย หงเหมียนกับลู่หลิวก็ได้อาศัยบารมีไปด้วย

หลังจากกลับมาที่นภาอู๋เลี่ยงแล้ว ตอนที่ใกล้จะถึงวันแต่งงาน เหมียวอี้ก็แอบพาเหยียนซิวไปที่ตำหนักดาวกลาง

จูเก๋อชิงที่สวมชุดกระโปรงยาวสีขาวถูกกักบริเวณไว้อย่างโดดเดี่ยว ต่อให้ใบหน้าไร้เครื่องประทินโฉม แต่ก็ยากที่จะปิดบังความงามล่มเมืองของนางได้ เหมียวอี้เห็นแล้วแอบเสียดาย

เมื่อได้เจอเหมียวอี้อีกครั้ง จูเก๋อชิงก็ปลาบปลื้มดีใจจนน้ำตาคลอ สุดท้ายก็คุกเข่าร้องไห้อย่างปวดใจตรงหน้าเหมียวอี้ “ประมุขปราชญ์ ข้าสำนึกผิดแล้ว ขอให้ฮูหยินระงับโทสะด้วย! ขอประมุขปราชญ์สงสาร ช่วยพูดขอร้องให้ข้าด้วย…”

ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ทรัพยากรฝึกตนก็ให้นางไม่เคยขาด แต่นางก็ยังคิดหาทางออกไปจากที่นี้ ไปพูดคุยกับทหารยามอยู่เป็นระยะ หลังจากอวิ๋นจือชิวรู้ก็ทำให้อวิ๋นจือชิวโมโหมาก เมื่อออกคำสั่งแล้ว ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครกล้าคุยกับนางอีกเลย แม้แต่หญิงรับใช้ก็ถูกปลดไปแล้ว ทำให้ทั้งตำหนักดาวกลางไม่มีใครคุยกับนางสักคน ไม่รู้ข่าวสารภายนอกเลยสักนิด สำหรับเจ้าสำนักที่มีหน้ามีตาคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นผู้หญิงที่มั่นใจในความสวยของตัวเอง การถูกกักบริเวณอยู่ที่นี่เป็นรสชาติทรมานที่ยากจะรับไหว แทบจะทำให้คนสติแตกแล้ว

“ลุกขึ้นเถอะ เดี๋ยวข้าจะคุยกับฮูหยินเอง” เหมียวอี้ประคองนางให้ลุกขึ้นมา

“ขอบคุณประมุขปราชญ์!” จูเก๋อชิงกล่าวขอบคุณ แล้วกระโจนเข้าไปร้องไห้ในอ้อมอกเหมียวอี้

สำหรับนางที่เคยควบคุมดูแลสำนักมาก่อน นางมีความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์ รู้ว่าข้อได้เปรียบของตัวเองอยู่ตรงไหน และรู้ด้วยว่าต้องฝากความหวังเดียวที่จะรอดออกจากที่นี่เอาไว้ที่ใคร ด้วยความตั้งใจของนาง บวกกับเป็นคนสวยมาก จะไม่ให้เหมียวอี้อยากอยู่ที่นี่นานก็คงยาก ถึงแม้จูเก๋อชิงจะไม่ใช่โสเภณี แต่กลับมีความสามารถในการปรนนิบัติดีมาก ทำให้เหมียวอี้อดใจไม่ไหว

ทว่าสุดท้ายก็ยากที่จะเสพสุขกับหญิงงามได้ หลังจากสุขสำราญกับฝั่งนี้แล้ว หลังจากกลับไปที่นภาอู๋เลี่ยง เหมียวอี้ก้ทำได้เพีบงแข็งใจไปปรึกษากับอวิ๋นจือชิว หวังว่าอวิ๋นจือชิวจะตอบตกลงที่จะคืนอิสระให้จูเก๋อชิง

เมื่อได้ฟังแบบนี้ อวิ๋นจือชิวที่กำลังยิ้มอย่างเป็นกันเองก็สีหน้าจืดจางลงแล้ว “เรื่องนี้ไม่ได้หรอก! ข้าไม่ฆ่านางก็ถือว่าไว้หน้าเจ้าแล้ว อย่ากดดันข้า!”

เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วถามว่า “เจ้าขังนางไว้แบบนี้ตลอดแล้วจะได้อะไรขึ้นมา?”

อวิ๋นจือชิวตอบว่า “หรือว่านายท่านลืมคำสัญญาแล้ว ลืมไปแล้วเหรอว่าข้ามีอำนาจตัดสินใจเรื่องผู้หญิงในบ้าน? จะปล่อยนางเมื่อไร ควรจะปล่อยนางไปหรือไม่ ข้าย่อมมีข้อมูลในใจอยู่แล้ว อีกไม่นานก็จะถึงงานมงคล นายท่านเอาความคิดไปใช้กับเจ้าสาวคนใหม่ดีกว่า เรื่องอื่นไม่ต้องคิดมากแล้ว”

เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “อวิ๋นจือชิว ขนาดเยว่เหยาเจ้ายังตอบตกลงเลย ทำไมเจ้าต้องกลั่นแกล้งนางด้วย?”

อวิ๋นจือชิวทำสีหน้าหงุดหงิดใส่ “ข้าเป็นผู้หญิง เข้าใจผู้หญิงมากกว่าเจ้า ผู้หญิงแบบไหนที่ปล่อยให้เข้าบ้านได้ ผู้หญิงแบบไหนที่ให้เข้าบ้านไม่ได้ ข้าย่อมป้องกันอยู่แล้ว ถ้าเจ้าไม่อยากให้ต่อไปในบ้านวุ่นวาย ก็อย่าเอ่ยเรื่องนี้อีก”

เหมียวอี้ยักไหล่สองข้าง “นางสำนึกผิดแล้ว ปล่อยนางออกมาแล้วจะทำไมล่ะ เจ้ากลัวนางรึไง? ในปีนั้นข้าทำผิดไปแล้ว เจ้าเองก็ขังนางไว้หลายปีแล้ว ยังไม่หายโมโหเชียวหรือ?”

อวิ๋นจือชิวหันตัวมาเผชิญหน้า จ้องตาเหมียวอี้พร้อมบอกอย่างชัดเจน “ถ้าเจ้าดึงดันจะปล่อยนางออกมา ข้าก็ขัดขวางเจ้าไม่ได้หรอก แต่ถ้าเจ้าผิดคำพูดแบบนี้ ข้าก็ไม่ทางดูแลบ้านนี้ได้อีกแล้ว! ถ้าจะจะปล่อยนางออกมา ก็เอาหนังสือหย่ามาให้ข้า ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ไม่ต้องยุ่งเรื่องนี้ ข้าจะขังนางจนกว่าจะรู้สึกอยากปล่อยนางออกมา”

“อวิ๋นจือชิว…”

“ไม่ต้องพูดอะไรมากกว่านี้แล้ว ไม่มีทางเหลือให้เจ้าเจรจาหรอก! ขังนางไว้ที่นั่นต่อไป หรือจะไล่ข้าไป เจ้าก็เลือกเอาเอง ข้าไม่บังคับเจ้า!”

เมื่อเห็นนางแน่วแน่ขนาดนี้ ใบหน้าเหมียวอี้ก็เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ เขาชี้หน้าอวิ๋นจือชิว ส่วนอวิ๋นจือชิวก็เชิดคางใส่ เผชิญหน้าด้วยสายตามีพลัง ไม่ยอมหลีกทางให้เลย!

เหมียวอี้กัดฟันแล้วสะบัดแขนเสื้อ หันตัวเดินออกไปอย่างกระฟัดกระเฟียด

ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวจะพูดเติมเชื้อไฟอีก “เจ้าฟังข้าให้ดีนะ ต่อไปนี้ถ้าข้าไม่อนุญาต เจ้าก็ห้ามไปหานางอีก ข้าไม่ถือสาที่จะเอาร่างไร้วิญญาณที่ไม่ดับสลายไว้ให้เจ้าดูเป็นที่ระลึกที่ตำหนักดาวกลาง!”

เหมียวอี้ที่เดินมาถึงประตูระงับไฟโกรธไว้ไม่ไหวแล้ว หันกลับมาด่าอย่างโมโหว่า “ไม่มีเหตุผล นางผู้หญิงอารมณ์ร้าย!”

“สารเลว! เจ้าด่าใคร? อย่าหนีนะ!” อวิ๋นจือชิวไม่พูดพร่ำทำเพลง หยิบถ้วยชาใบหนึ่งบนโต๊ะโยนเข้าไป ไม่เกรงใจเลยสักนิด

เหมียวอี้หัวหัวหลบ แล้วเดินก้าวยาวออกไป ข้างน้องมีเสียงดังเพล้ง ถ้วยชาแตกกระจายเต็มพื้น

ที่จริงเขาก็อยากให้อวิ๋นจือชิวซ้อมสักยก มีแต่ต้องยอมให้อวิ๋นจือชิวซ้อมเท่านั้น ตามหลักการแล้ว ก็ยังพอมีหวังจะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้ แต่ยามอวิ๋นจือชิวแสดงท่าทีชัดเจนว่าจะคุยประเด็นสำคัญเท่านั้น แบบนี้กลับทำให้เขาปวดหัว ยิ่งเป็นแบบนี้เขาก็ยิ่งทำให้อวิ๋นจือชิวตอบตกลงไม่ได้

ด้วยท่าทีแบบนี้ของอวิ๋นจือชิว ถ้าจะให้เขาหย่ากับอวิ๋นจือชิวแล้วปล่อยจูเก๋อชิงออกมาก็เป็นไปไม่ได้ ไม่ต้องคิดมากเลยว่าอะไรสำคัญกว่า มีอวิ๋นจือชิวคุมอยู่แบบนี้ ทำให้แม้แต่ผู้หญิงที่เขาเคยนอนด้วยก็เอาเข้าบ้านไม่ได้ ทำให้เขาปวดหัวมาก เสียศักดิ์ศรีเกินไปแล้ว

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+