พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1623 งานพิธีวันเกิด

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1623 งานพิธีวันเกิด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นี่ชมหรือประชด? เหมียวอี้รู้สึกเซ็งในใจ ได้แต่หัวเราะเงียบๆ

ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้วเหรอ? คนอื่นๆ ได้ยินแล้วกลั้นขำ พบว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้ช่างชื่อเสียงฉาวโฉ่จริงๆ!

เมื่อบอกว่าได้ยินเชื่อเสียงมานานแล้ว ทุกคนก็เชื่ออย่างนั้น แต่ที่บอกว่า ‘มีสง่าราศีไม่ธรรมดา’ เดิมทีทุกคนก็คิดว่าเป็นคำหยอกล้อเหมียวอี้ มีคนไม่น้อยรู้สึกดีกับฆราวาสท่านนี้ทันที เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะมีคนไม่ชอบขี้หน้าเหมียวอี้เยอะเกินไป

ถึงแม้จะเอ่ยถึงเหมียวอี้ก่อน แต่ฆราวาสผู่หลันก็ไม่ได้เลือกที่รักมักที่ชัง พูดคุยกับคนอื่นๆ เหมือนกัน

ส่วนเหมียวอี้ก็รักษาความเงียบไว้ตลอด ตอนหลังเขายังอยากจัดการธุระนิดหน่อยที่แดนสุขาวดี ไม่อย่างล่วงเกินคนทางฝั่งนี้

หลังจากพูดคุยกันได้พัก ฆราวาสผู่หลันก็กวาดสายตามองปฏิกิริยาของเหมียวอี้ จากนั้นก็หยุดการพูดคุยตามมารยาทต่อไป “วันนี้เป็นงานวันเกิดของพระโพธิสัตว์หลันเย่ อาตมาไม่สะดวกจะแย่งบทบาทของเจ้าภาพอีก ไม่สู้รองานพิธีของพระโพธิสัตว์เงียบๆ ดีกว่า”

ทุกคนทยอยกันเอ่ยรับ แล้วก็แยกย้ายกันออกไป

ตอนที่เดินลงบันไดพระอุโบสถ อิ๋งหยางก็เหลือบมองเงาหลังของเหมียวอี้แวบหนึ่ง เดินเข้าไปหาพระอรหันต์ตัวลี่ที่กำลังเดินลงบันได แล้วถ่ายทอดเสียงถามว่า “พระอรหันต์รู้สึกว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้เป็นอย่างไร?”

พระอรหันต์ตัวลี่เอียงหน้ามามองอย่างุนงง เคยได้ยินมาบ้างว่าเหมียวอี้เคยมีความขัดแย้งกับตระกูลโค่ว จึงตอบด้วยรอยยิ้มเรียบๆ “อาตมารู้ไม่เยอะ โยมเหมือนจะมีความหมายแฝงในคำพูดนะ?”

อิ๋งหยางบอกว่า “พระอรหันต์รู้อยู่แล้วเหตุใดจึงแกล้งถาม พูดมาให้ชัดเจนเถิด ข้าไม่อยากให้เขารอดชีวิตกลับไป ถ้าเขารอดกลับไป ข้าก็รู้สึกเหมือนมีก้างติดคอ พระอรหันต์มีวิธีการอะไรจะช่วยข้าได้บ้าง?”

ตัวลี่แอบตกใจ “โยมอิ๋งกำลังล้อเล่นรึเปล่า? เขาเป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่ว ใครจะกล้าแตะต้องเขาซี้ซั้ว?”

“ตำหนักสวรรค์ควบคุมอะไรทางแดนสุขาวดีไม่ได้ อ๋องสวรรค์โค่วก็ไม่อยากแตกคอกับแดนสุขาวดีเช่นกัน คาดว่าพระอรหันต์จะต้องมีวิธีการที่เหมาะสมแน่นอน” อิ๋งหยางกล่าว

ตัวลี่ “โยมอิ๋งพูดตลกแล้ว อาตมาไม่เข้าใจว่าโยมอิ๋งหมายความว่าอะไร” นี่เท่ากับปฏิเสธอ้อมๆ แล้ว

อิ๋งหยางกลับไม่ยอมปล่อย “พระอรหันต์เอ่ยเงื่อนไขมาได้เลย ตราบใดที่สมเหตุสมผลก็สามารถเจรจากันได้”

“น้ำใจของโยมอิ๋ง อาตมาซาบซึ้งแล้ว อาตมามีความสามารถจำกัด อามิตตาพุทธ” ตัวลี่กล่าว

อิ๋งหยางแสยะยิ้ม “ข้าได้ยินพ่อบ้านบอกมา ว่าพระอรหันต์ตัวลี่มีความสามารถไม่ธรรมดา มีลูกศิษย์ในมือเยอะมาก ใช้จ่ายทรัพยากรไม่น้อย กิจการบางอย่างที่ตำหนักสวรรค์ก็ดำเนินการได้อย่างเป็นความลับมาก เพื่อช่วยรักษาความลับให้พระอรหันต์ ตระกูลโค่วสิ้นเปลืองพลังความคิดไปไม่น้อย” พูดจบก็สะบัดชายเสื้อก้าวลงบันไดไปหนึ่งขั้น ไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้นแล้ว เหมือนกำลังบอกว่าเจ้าจัดการเองตามเห็นสมควรก็แล้วกัน

พระอรหันต์ตัวลี่คิ้วกระตุกเล็กน้อย ขณะมองเขาหลังของอีกฝ่าย เขาก็ตกอยู่ในความคิด…

งานพิธีวันเกิดใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว แขกในอารามหลันเย่ทยอยกันถูกเชิญไปงานพิธีวันเกิดนอกอาราม

รอบข้างดูไม่ต่างอะไรจากปกติ ทะเลมรกตไร้ขอบเขต เกาะกระจัดกระจายกันเหมือนดาวบนท้องฟ้า เหมียวอี้ไม่ค่อยเข้าใจว่านี่คือการเฉลิมฉลองอะไร

ผ่านไปไม่นาน “เป๋ง…เป๋ง…เป๋ง…” เสียงระฆังดังก้องยอดเขาแล้วก็หยุด

“ลี พอ ลี พอตี คิว ฮอ คิว ฮอตี ทอ ลอ นี ตี…”

คนที่เคยได้ยินเสียงพระโพธิสัตว์หลันเย่พูดต่างก็รู้ว่านี่คือเสียงของใคร

เสียงเปล่งสวดพุทธคัมภีร์ที่ไม่ช้าไม่เร็วของพระโพธิสัตว์หลันเย่พลันดังออกมาจากอารามหลันเย่ เสียงไม่ดัง เหมือนเปล่งสวดเบาๆ อยู่ข้างหูเจ้า แต่กลับลอยละล่องอยู่ระหว่างฟ้าดิน ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆ อยากจะตามหาว่าเสียงนี้มาจากไหนโดยจิตใต้สำนึก

“ป๊อกๆๆๆ…”

ตามติดด้วยเสียงเคาะบักฮื้อที่ดังถี่และหนาแน่นออกมาจากอารามหลันเย่ เสียงเคาะเริ่มเป็นระเบียบทีละนิด กลายเป็นมีจังหวะทำนอง ตอบสนองกับเสียงสวดพุทธคัมภีร์ของพระโพธิสัตว์หลันเย่

จู่ๆ บนผิวทะเลก็มีเสียงเคาะบักฮื้อดังอยู่พักหนึ่ง ดังรวมเข้ามาจากเกาะที่อยู่สี่ด้านแปดทิศ

“ลี พอ ลี พอตี คิว ฮอ คิว ฮอตี ทอ ลอ นี ตี…”

ทันใดนั้น ท่ามกลางเสียงบักฮื้อก็มีเสียงสวดของพระโพธิสัตว์หลันเย่ดังตามมา เสียงสวดจากบนเกาะสี่ด้านแปดทิศรวมกันเข้ามาแล้ว สุดท้ายก็สอดคล้องกับจังหวะพอดี ราวกับรวมตัวกันกลายเป็นกระแสเสียงที่ดังก้องไม่หยุดพักอยู่ระหว่างฟ้าดิน แต่เสียงของพระโพธิสัตว์หลันเย่ก็ดังโดดเด่นอยู่ตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ ทำให้คนแยกเสียงได้ชัดเจนมาก

ไม่รู้ว่ามีนักบวชมากเท่าไรที่ร่วมสวดมนต์บทนี้ด้วยกัน แต่ท่ามกลางเสียงสวดที่ต่ำตื้นก็เหมือนจะแฝง ถึงขั้นทำให้คนรู้สึกกระสับกระส่ายรางๆ ด้วย ในใจราวกับมีจิตมารกำลังโดนกระตุ้นให้กะเทาะเปลือกออกมา

แขกที่แต่งกายแบบฆราวาสหันมองไปทั่ว ทั้งหมดพยายามอดทนความรำคาญใจนี้เอาไว้ ส่วนบรรดาพระธุดงค์ก็ประนมมือหลับตาแล้ว ริมฝีปากขยับเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังสวดอะไรอยู่

“เปรี้ยง!”

ทันใดนั้นก็มีฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ เสียงสะเทือนดังก้องทั่วฟ้าดิน ทำให้กลุ่มคนตกใจทันที ทำลายอารมณ์กลัดกลุ้มใจของกลุ่มคนในชั่วพริบตาเดียว

ทุกคนเงยหน้ามองท้องฟ้า สายฟ้าบนฟ้าหายไปแล้ว แต่ตรงขอบฟ้าไกลโพ้นทั้งสี่ด้านแปดทิศยังมีเสียงฟ้าร้องดังแว่วมา ทุกคนหันไปมอง เห็นเพียงตรงขอบฟ้าทั้งสี่ด้านมีเส้นสีดำวงหนึ่งกำลังปิดล้อมเข้ามา พอใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มอง ถึงได้รู้ว่าเป็นเมฆดำกำลังม้วนกลิ้งเข้ามา

เมฆดำพลิกม้วนเข้ามาพร้อมกับฟ้าแลบฟ้าร้อง เมฆลมกระเพื่อมรุนแรง ไม่นานก็ปกคลุมท้องฟ้าที่สว่างจ้าแล้ว ท้องฟ้าสีครามส่วนเดียวที่ยังเหลืออยู่ก็เริ่มถูกกลบไปทีละนิดเช่นกัน เสาแสงที่ส่องอารามหลันเย่ก็หายไปแล้ว สุดท้ายฟ้าดินก็มืดมิดไปทั้งแถบ ราวกับมีปีศาจมารร้ายกลืนกินฟ้าดินไปหมดแล้ว

“เปรี้ยงๆ” สายฟ้าที่มีเสียงดังขวักไขว่ไปมาไม่หยุดอยู่ท่ามกลางเมฆดำที่พลิกม้วน ฟ้าแลบส่องสว่างใบหน้าของบรรดาแขกในงานพิธีวันเกิด

คนที่ไม่รู้เรื่องรู้อย่างอย่างเหมียวอี้ ในใจรู้สึกตระหนกมาก ไม่รู้ว่าเป็นพลังอภินิหารที่ร้ายกาจขนาดไหนกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถควบคุมปรากฏการณ์ฟ้าดินได้

เห็นได้ชัดเจนมาก ว่าการเปลี่ยนแปลงของปรากฏการณ์ฟ้าดินนี้ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ เห็นได้ชัดว่าเกิดจากฝีมือมนุษย์

ในขณะนี้เอง ก็มีเม็ดฝนตกเปาะแปะลงมาจากท้องฟ้า ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นพายุฝนกระหน่ำ บนตัวแขกมีเกราะลมปราณพรั่งพรูออกมาทันที ป้องกันพายุฝนเอาไว้

ผ่านไปไม่นาน ท่ามกลางพายุฝนที่ชะล้าง บนยอดเขาก็มีกระแสน้ำกลายเป็นกระแสน้ำเชี่ยวกรากพ่นพุ่งลงมา พายุฝนที่ตกลงจากฟ้าราวกับจะชะล้างทั้งอารามหลันเย่

พายุฝนกระหน่ำต่อเนื่องอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ ด้านหลังของกลุ่มคนก็ปรากฏแสงสว่าง ทุกคนหันกลับไปมอง เห็นเพียงพระโพธิสัตว์หลันเย่ผู้มีธรรมลักษณ์น่าเกรงขามกำลังหลับตาสวดมนต์อยู่บนฐานดอกบัวสว่างไสว ฐานดอกบัวกำลังลอยไปทางท้องฟ้าที่มีเมฆดำพลิกม้วนอย่างไม่รีบร้อน

“ของวิเศษขั้นหก” เหมียวอี้พึมพำในใจ สายตากำลังจ้องฐานดอกบัวของพระโพธิสัตว์หลันเย่

บนท้องฟ้าเหนือบัลลังก์แสงสว่าง เมฆดำพลิกม้วนเกิดเป็นช่องโหว่ช่องหนึ่ง ทั้งยังปรากฏท้องฟ้าสีครามวงหนึ่งด้วย พระโพธิสัตว์หลันเย่ที่หลับตาสวดมนต์อยู่บนฐานดอกบัวถูกเสาแสงด้านบนยิงส่องลงมาครอบไว้ แต่รอบข้างกลับเป็นเมฆดำพลิกม้วนที่มีฟ้าร้องฟ้าแลบ พระโพธิสัตว์หลันเย่ราวกับเป็นดาวช่วยชีวิตจาดแดนแสงธรรมที่พุ่งฝ่าความมืด ฉากที่ทั้งอัศจรรย์ทั้งศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์ทำให้คนวู่วามอยากจะก้มกราบโดยจิตใต้สำนึก

และเสียงสวดมนต์ของพระโพธิสัตว์หลันเย่ที่กำลังทะยานขึ้นฟ้าก็ยิ่งโอ่อ่ามากขึ้น เหนือกว่าทุกเสียงสวดข้างล่างรวมกัน

ในขณะนี้ พายุฝนเริ่มซาลงทีละนิด ก่อนจะหายไปโดยสิ้นเชิงฟ้าแลบฟ้าร้องบนท้องฟ้าก็ค่อยๆ เงียบสงบเช่นกัน ฟ้าสีครามเริ่มขยายจากพระโพธิสัตว์หลันเย่ออกไปรอบด้าน เหมือนไม่กล้าดูหมิ่นนาง แล้วก็เหมือนถูดแรงกดดันจากการสยบมารปราบปีศาจของนาง เมฆดำพลิกม้วนไหลออกไป เหมือนมาจากตรงไหนก็กลับไปตรงนั้น

เสาแสงที่ขยายอยู่บนท้องฟ้าครอบคลุมอารามหลันเย่อีกครั้ง ขยายไปทั่วทั้งภูเขา วงแสงกวาดขยายไปทั่วทั้งผิวทะเล

จนกระทั่งเมฆดำพลิกม้วนหายไปจนหมด ท้องฟ้ากลับมาสว่างสดใสอีกครั้ง บนเกาะที่กระจัดกระจายเหมือนหมู่ดาวด้านล่างก็ปรากฏรุ้งกินน้ำหลายสายทันที ปรากฏออกมาด้วยความเร็วอย่างที่คาเปล่าสังเกตเห็นได้ เริ่มจากไกลมาใกล้ สายรุ้งขนาดใหญ่ที่เหมือนสะพานสวรรค์ปรากฏอยู่บนท้องฟ้า วาดเป็นเส้นโค้งอยู่บนท้องฟ้าเหนืออารามหลันเย่

ส่วนพระโพธิสัตว์หลันเย่ก็ราวกับนั่งสมาธิอยู่บนสายรุ้ง ธรรมลักษณ์ สง่างาม ศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์จนทำให้คนรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างหาเหตุผลไม่ได้ ทำให้คนรุ้สึกทึ่งจริงๆ

จู่ๆ กลุ่มคนที่กำลังแอบตกตะลึงก็พากันมองไปที่ผิวทะเลเบื้องล่าง เห็นเพียงมีละอองน้ำกระจายอยู่ทั่วผิวทะเล พอใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไป ก็พบว่ามีปลาหลายตัวกระโดดขึ้นมาเหนือผิวน้ำ กระโดดไม่หยุด ปลาน้อยกระโดดเสียงดังจ๋อม ปลาใหญ่พุ่งขึ้นมาเหนือผิวน้ำไกลมาก ทำให้น้ำกระเด็นลงมาดังตูม

ทั้งผิวทะเลคึกคักราวกับน้ำเดือดปุดๆ ปลาเล็กปลาใหญ่นานาชนิดราวกับกำลังกระโดดอย่างสนุกสนาน เหมือนกำลังเฉลิงฉลองที่พระโพธิสัตว์หลันเย่คืนแสงสว่างให้พวกมัน ขอบคุณพระโพธิสัตว์หลันเย่ที่ขับไล่มารร้ายที่ปกคลุมฟ้าดิน

ประกอบกับฉากอันงดงามของรุ้งกินน้ำหลายสาย ทำให้คนรู้สึกเหมือนฟ้าดินพลิกโฉมหน้าใหม่ หัวใจและจิตวิญญาณของทุกคนราวกับได้ถูกชำระล้าง แต่ละคนได้ลิ้มลองรสชาติความลี้ลับมหัศจรรย์อย่างที่บรรยายออกมาได้ยาก

“อามิตตาพุทธ!” พระโพธิสัตว์หลันเย่ที่นั่งขัดสมาธิหลับตาประนมมืออยู่เหนือสายรุ้งพลันเอ่ยนามพระพุทธาเจ้า เสียงดังก้องทั่วทั้งฟ้าดิน

“เป๋ง…เป๋ง…เป๋ง…” เสียงระฆังดังก้องอยู่ในอารามหลันเย่อีกครั้ง

เสียงเคาะบักฮื้อเงียบลงแล้ว เสียงสวดมนต์เงียบลงแล้ว

รอบข้างพลันเงียบสงบ เสียงลมและเสียงคลื่นบนผิวทะเลดังเข้ามาในหู ชัดเจนจนสามารถได้ยินได้ ทุกคนเกิดความรู้สึกบางอย่าง ราวกับมีดอกไม้หอมซึมซาบเข้ามาในปอด ทำให้คนสดชื่นผ่อนคลายหัวใจ บวกกับฉากอัศจรรย์ของสายรุ้งที่มีอยู่ทั่วทุกที่ตรงหน้า ความรู้สึกนั้นยอดเยี่ยมจนบรรยายเป็นคำพูดไม่ถูกจริงๆ

“รบกวนทุกท่านเดินทางไกลมางานพิธีวันเกิดแล้ว อาตมาขอกล่าวขอบคุณตรงนี้ อามิตตาพุทธ!” พระโพธิสัตว์หลันเย่ประนมมือขอบคุณอยู่บนท้องฟ้า

ทุกคนไม่ว่าจะเป็นนักบวชหรือปุถุชน ต่างก็ประนมมือทำความเคารพกลับ มองดูฐานดอกบัวแบกพระโพธิสัตว์หลันเย่เหาะกลับเข้ามาในอาราม

ไม่มีสุราอาการเลิศรสในงานเลี้ยง งานพิธีที่ดำเนินต่อเนื่องมาได้เกือบหนึ่งชั่วยามจบลงตรงนี้ หมายความว่าการเฉลิมฉลองวันเกิดของพระโพธิสัตว์หลันเย่จบลงแล้ว แต่ก็ยังทำให้คนไม่น้อยขบคิดถึงรสชาติมิรู้ลืม งานพิธีแบบนี้ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้เห็น เป็นการบุกเบิกสิ่งใหม่จนทำให้หวนนึกถึงไม่รู้ลืมจริงๆ คนที่ไม่เคยเห็นก็นับว่าได้เปิดหูเปิดตาเยอะมาก

มีคนเริ่มกล่าวขอตัวลา มีบางคนยังคงทอดถอนใจด้วยความทึ่งเหมือนกับเหมียวอี้ จนกระทั่งปลาที่กระโดดเฉลิมฉลองบนผิวทะเลหายไป ก็มีคนไม่น้อยที่ได้สติกลับมาจากแดนมหัศจรรย์ พอมองไปรอบๆ อีกครั้ง ก็พบว่ารุ้งกินน้ำหลายสายยังคงไม่หายไป

“แม่ทัพภาคหนิว กลับด้วยกันมั้ย?” กำลังพลในเครือข่ายตระกูลโค่วเอ่ยถาม

เหมียวอี้หันกลับมาตอบด้วยรอยยิ้ม “ข้าเตรียมจะเที่ยวเล่นที่แดนสุขาวดี พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ”

พระอรหันต์ตัวลี่ที่เดินเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ พอได้ยินแบบนั้นก็เหลือบมองเหมียวอี้อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วหันตัวช้าๆ เดินออกไป

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราก็ขอตัวก่อน” กลุ่มกำลังพลสายตระกูลโค่วกุมหมัดอำลา

“ส่งตรงนี้!” เหมียวอี้กุมหมัดตอบด้วยรอยยิ้ม

ทางนี้กำลังส่งคนกลุ่มหนึ่งไป เฉาเฟิ่งฉือก็เดินเข้ามาถามด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านแม่ทัพภาคจะกลับตลาดผีด้วยกันมั้ย?”

“ข้าเตรียมจะอยู่เปิดหูเปิดตาอีกสักหน่อย” เหมียวอี้โบกมือชี้สายรุ้งที่อยู่รอบๆ พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่แล้วจริงๆ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวิชาพุทธของพระโพธิสัตว์หลันเย่จะสูงส่งล้ำลึกขนาดนี้ สามารถควบคุมปรากฏการณ์ฟ้าดินได้”

เฉาเฟิ่งฉือยิ้มเรียบๆ หันมองไปโดยรอบก่อนจะเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “เป็นความสามารถอันน้อยนิดเท่านั้นเอง รวบรวมพลังปรารถนาของสรรพสิ่งแล้วเร่งให้เกิดปฏิกิริยาออกมา วิชาพุทธที่ลึกล้ำอย่างแท้จริงสามารถอาศัยกำลังของคนคนเดียวเพื่อพลิกโฉมฟ้าดินได้เลย พระโพธิสัตว์หลันเย่ยังห่างจากระดับนั้นอีกไกล แน่นอนว่าวันนี้พระโพธิสัตว์หลันเย่ก็ได้แสดงให้เห็นการรวมพลังกันของทุกคนแล้ว ถ้าทุกคนในอารามหลันเย่ไม่สามารถรวมใจเป็นดั่งกำแพง พร้อมใจกันส่งแรงอธิษฐาน ก็สำแดงเรื่องปาฏิหาริย์แบบนี้ออกมาไม่ได้หรอก นี่ก็คือเสน่ห์ของวิชาพุทธ”

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด