พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1638 ตลาดผีคืออาณาเขตของข้า!

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1638 ตลาดผีคืออาณาเขตของข้า! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“อ้อ ทัพเหนือปล่อยคนเร็วขนาดนั้นเชียวเหรอ?”

วังสวรรค์ ประมุขชิงกำลังเอามือไขว้หลังเดินเนิบนาบอยู่ระหว่างวิมานหยกอันงดงาม หลังจากได้ยินรายงานแล้วจึงเอ่ยถามอย่างสบายๆ

ซ่างกวนชิงที่เดินตามหลังตอบว่า “ใช่ขอรับ สงสัยหนิวโหย่วเต๋อที่อยู่ทางแดนสุขาวดีจะไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่อย่างนั้นอ๋องสวรรค์โค่วคงไม่ถอนกำลังจากวัดพวกนั้นเร็วขนาดนี้”

ประมุขชิงพ่นเสียงทางจมูกสองที “เจ้าลูกลิงนี่อยู่ไม่สุขจริงๆ ไปที่ไหน ที่นั่นก็เกิดเรื่อง แต่เจ้าลูกลิงนี่ก็ใช้ได้จริงๆ ขนาดตระกูลอิ๋งวางแผนลอบทำร้ายเขาที่นั่นแล้ว แต่ก็ยังกำจัดเขาทิ้งไม่ได้ ปล่อยให้เขารอดชีวิตกลับมาได้ ตาแก่อิ๋งคงจะไม่สบอารมณ์เท่าไรแล้วมั้ง”

ซ่างกวนชิงยิ้มสู้ “ผ่านวันพระนี้ไปได้ แต่เกรงว่าจะผ่านวันพระหน้าไปไม่ได้ ไม่ใช่แค่ตระกูลอิ๋งเท่านั้น ตระกูลอื่นๆ ไม่มีทางนั่งดูหนิวโหย่วเต๋อเติบโตขึ้นมาโดยไม่ทำอะไรแน่ ต่อไปเกรงว่าเขาจะต้องรับทั้งทวนในที่แจ้งและเกาทัณฑ์ในที่ลับ”

“เขาหาเรื่องใส่ตัวเอง ข้าจะคอยดูว่าเขาจะทนได้นานแค่ไหน” ประมุขชิงยิ้มเย้ย

หลังจากออกจากแดนสุขาวดีแล้ว เหมียวอี้ก็ยังไม่มีทางกลับไปตลาดผีได้ เขาติดตามโค่วเจิงกลับไปที่จวนของอ๋องสวรรค์โค่วโดยตรง

นี่เป็นครั้งที่สองที่เหมียวอี้มาที่จวนตระกูลโค่ว ตอนที่เพิ่งจะมาถึงประตู ก็เห็นอวิ๋นจือชิวนำเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์มารออยู่นอกประตูแล้ว ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างรู้ใจ

ไม่ว่ายามปกติอวิ๋นจือชิวจะเจ้าอารมณ์ขนาดไหน แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่เหมียวอี้จำต้องยอมรับ นั่นก็คือเมื่อไรที่ได้เห็นอวิ๋นจือชิว เขาก็จะมีความรู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน ความรู้สึกนี้เขาหาไม่ได้จากตัวผู้หญิงคนอื่น ตอนที่อยู่ข้างกายอวิ๋นจือชิว เขาสามารถเปิดเผยข้อเสียของตัวเองได้อย่างกำเริบเสิบสาน ด่านางได้เต็มที่ว่าเป็นผู้หญิงปากร้าย แต่กับเมียคนอื่นๆ เขาด่าซี้ซั้วไม่ได้

แน่นอน พออวิ๋นจือชิวอารมณ์ขึ้นเมื่อไร ก็จะจับเขามาซ้อมอย่างดุร้ายเหมือนเดิม เลิกคิดไปได้เลยว่านางจะเป็นสาวน้อยที่ยอมเชื่อฟังทุกอย่าง ไม่มีทางเสียหรอก

อวิ๋นจือชิวได้พูดไว้เองแล้วว่า ‘ก่อนที่เจ้าจะแต่งงานกับข้า ข้าก็เป็นอย่างนี้มาก่อนแล้ว ตอนถลกกระโปรงปีนขึ้นมาบนตัวข้า ทำไมเจ้าไม่พูดอย่างนี้ล่ะ ตอนนี้เพิ่งมานึกเสียใจทีหลัง เพิ่งรู้สึกขัดลูกหูลูกตาเหรอ? สายไปหรือเปล่า!

คนที่รออยู่ตรงประตูยังมีกลุ่มลูกสาวหลานสาวของตระกูลโค่ว ทุกคนวิ่งมาต้อนรับแล้ว เสียงดังเจี๊ยวจ๊าวเหมือนนกนางแอ่น ไม่ใช่ว่าเหมียวอี้มีเสน่ห์หรอก แต่เป็นเพราะรู้ว่าเหมียวอี้คือคนที่นายท่านตระกูลโค่วตั้งใจจะเลี้ยงดูอบรม ถ้านายวันไหนที่นายท่านไม่อยู่แล้ว ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเหมียวอี้จะเกี่ยวข้องกับอนาคตของคนจำนวนมาก ถ้าไม่รีบฉวยโอกาสผูกมิตรตั้งแต่ตอนนี้ แล้วจะรอตอนไหน? เรื่องบางเรื่องถ้าจะให้ผู้ชายประจบสอพลอเกินไปก็จะไม่น่าดู ให้ผู้หญิงออกหน้าจะเหมาะกว่า

โค่วเจิงทักทายทุกคน ก่อนจะนำพระโพธิสัตว์หลันเย่และพรรคพวกไปเยี่ยมคารวะนายท่านแล้ว

เหมียวอี้ก็ทักทายทุกคนเช่นกัน เสร็จแล้วถึงได้มากุมมือทั้งสองข้างของอวิ๋นจือชิวพลางสบตา สุดท้ายก็ยังเป็นอวิ๋นจือชิวที่ผลักเขาออกเบาๆ ด้วยสายตาหยาดเยิ้ม “ไปคารวะท่านพ่อบุญธรรมก่อน มีอะไรค่อยคุยกันทีหลัง”

“อื้ม!” เหมียวอี้พยักหน้า แล้วรีบเดินตามโค่วเจิงไป

“น้องเจ็ด แบบนี้ถือว่าห่างกันไปนานเลยเหมือนคู่แต่งงานใหม่รึเปล่าจ๊ะ?”

“คืนนี้ทุกคนอย่าไปรบกวนน้องเจ็ดอีกนะ ไม่ง่ายเลยกว่าคู่รักจะได้เจอกัน คืนนี้เป็นเวลาจู๋จี๋กัน บรรยากาศก็เป็นใจ พวกเราอย่าไปทำลายบรรยากาศดีๆ เชียวล่ะ”

กลุ่มผู้หญิงเดินคล้องแขนอวิ๋นจือชิวเข้าไปข้างใน พูดหยอกล้อเอาสนุกตลอดทาง อวิ๋นจือชิวก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน ตบมุกกลับอย่างไม่เก้อเขิน กลุ่มผู้หญิงหัวเราะคิกคักไม่หยุด ดูร่าเริงเบิกบานใจมาก

ทว่าทุกคนก็รู้ดี ว่าความร่าเริงเบิกบานใจนี้ล้วนตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่อย่างอ๋องสวรรค์โค่ว ถ้าอ๋องสวรรค์โค่วล้มลงเมื่อไร เกียรติยศความร่ำรวยของทุกคนก็อาจจะสลายหายไปด้วย บางทีอาจจะไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น เพราะมีความเป็นไปได้สูงว่าล้มแล้วจะโดนเหยียบซ้ำ

เมื่อมีคนนอกมาหา โค่วหลิงซวีก็ไปพบแขกที่ตำหนักหลักของจวนอ๋องสวรรค์ หลังจากแขกและเจ้าบ้านทำทักทายกันแล้ว โค่วเจิงก็รายงานสถานการณ์เท่าที่รู้ให้อ๋องสวรรค์โค่วฟังต่อหน้าพระโพธิสัตว์หลันเย่

ที่จริงตอนนี้เรื่องบางเรื่องก็ได้ผ่านไปแล้ว เพียงแต่เรื่องบางเรื่องนั้นเป็นคำพูดจากปากเหมียวอี้ฝ่ายเดียว ยังต้องทำให้สอดคล้องกับความเป็นจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นฝั่งตำหนักสวรรค์หรือฝั่งแดนสุขาวดีก็ล้วนอยากรู้สถานการณ์ พยานบุคคลอย่างเมี่ยวฉุนกลายเป็นกุญแจสำคัญแล้ว

เรื่องรักษาเมี่ยวฉุน อ๋องสวรรค์โค่วส่งให้โค่วเจิงไปจัดการ ฝั่งพระโพธิสัตว์หลันเย่ก็ต้องเข้าร่วมจับตาดูเช่นกัน จากนั้นแขกกับเจ้าบ้านก็แยกย้าย เพียงแต่โค่วหลิงซวีกลับบอกให้เหมียวอี้อยู่คุยกันก่อน

“ในเมื่อโดนลอบจู่โจม พอหนีออกจากดาวฮุ่ยหลินได้แล้วทำไมไม่รีบติดต่อขอความช่วยเหลือจากที่บ้าน กลับยื้อเวลาออกไประยะหนึ่ง?”

ในตำหนักเหลือเพียงอ๋องสวรรค์โค่ว ถังเฮ่อเหนียนและเหมียวอี้สามคน คำถามที่อ๋องสวรรค์โค่วโยนออกมาทำให้บรรยากาศในตำหนักกดดันขึ้นนิดหน่อย

เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบช้าๆ ว่า “ด้วยสถานการณ์ในตอนนั้น ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครต้องการจะเล่นงานข้าให้ถึงตาย แล้วทำไมถึงรู้เส้นทางของข้าได้ ข้าเลยไม่กล้าติดต่อใคร ก็เลยหาที่ปลอดภัยซ่อนตัวก่อนแล้วค่อยว่ากัน นึกไม่ถึงว่าจะบังเอิญเจอกับคนของสำนักหลัวช่า”

อ๋องสวรรค์โค่วหรี่ตาจ้องเขาครู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายก็โบกมือให้เขาถอยออกไป “ไม่ง่ายกว่าเจ้ากับเจ้ากับเจ้าเจ็ดจะได้เจอกันสักครั้ง ไปอยู่กับเจ้าเจ็ดเถอะ”

“ขอรับ!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะแล้วถอยออกไป

รอจนกระทั้งเหมียวอี้ออกไกลแล้ว อ๋องสวรรค์โค่วถึงได้แสยะยิ้ม “ฟังความหมายในคำพูดของเขาออกรึเปล่า? เขาป้องกันแม้กระทั่งตระกูลโค่วแล้ว”

“เฮ้อ!” เฒ่าถังถอนหายใจเบาๆ “คุณชายใหญ่ไปรับตัวคุณหนูเจ็ดกลับมาจากตลาดผีด้วยตัวเอง ต่อให้ตอนนั้นเขาจะคิดไม่ทัน แต่หลังจากนั้นจะต้องตระหนักได้แน่นอน เมื่อรู้ว่าทางนี้เห็นคุณหนูเจ็ดเป็นตัวประกัน เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิต เขาก็ย่อมขาดความเชื่อมั่น การที่เขาระวังตัวมากขึ้นก็เป็นเรื่องปกติของมนุษย์”

อ๋องสวรรค์โค่วเอามือไขว้หลัง “เดินบนเส้นทางนี้แล้ว เรื่องบางเรื่องเขาก็ควรเรียนรู้ที่จะปรับตัว เขาควรจะเข้าใจ ว่าในเมื่อบนตัวประทับตราของตระกูลโค่วแล้ว กลายเป็นคนบนเรือของตระกูลโค่ว ก็ต้องร่วมหัวจมท้าย ถ้าเรือลำนี้ชนหินแล้วจมลงเมื่อไร ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดว่าจะอยู่สบายเลย เขาเองก็ปลีกตัวไม่พ้นอยู่ดี ถ้าอยากให้เรือใหญ่ลำนี้ไปได้ไกลกว่าเดิม ก็จะต้องร่วมใจกันทำงาน ไม่ใช่ว่าใครอยากจะขึ้นก็ขึ้น อยากจะลงก็ลง ไม่ใช่แค่เขาหรอก ไม่ว่าคนไหนของตระกูลโค่วก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น เดี๋ยวเจ้ากลับไปอธิบายหลักการนี้ให้เขาฟังให้เข้าใจ ไม่ได้มีเจตนาจะสู้กับเขา อย่าให้เรื่องเล็กทำให้อึดอัดใส่กัน ถ้าก้าวข้ามอุปสรรคนี้ไปไม่ได้ เช่นนั้นตระกูลโค่วก็เก็บเขาไว้ไม่ได้แล้ว มีอย่างที่ไหนกัน จะมาอาศัยบารมีแต่ไม่ยอมจ่ายอะไรเลย!”

“ขอรับ!” เฒ่าถังเอ่ยรับ

อวิ๋นเซวียน ชื่อของลานบ้านที่โค่วหลิงซวีลงมือเขียนด้วยตัวเอง

ถึงแม้อวิ๋นจือชิวจะตกอยู่ในสถานะกึ่งกักบริเวณ แต่ตระกูลโค่วก็ดูแลนางดีเหมือนเป็นลูกสาวคนหนึ่ง มอบสวนเดี่ยวให้แห่งหนึ่ง สภาพแวดล้อมสงบเงียบสวยงาม มีตึกศาลา มีสะพานและลำธารเล็กๆ ตอนแรกที่อวิ๋นจือชิวมาที่นี่ นางก็พักอยู่ที่นี่แล้ว ตอนนี้ก็ยังพักอยู่ที่นี่ ต่อให้อวิ๋นจือชิวจะไม่ได้อยู่ที่จวนตระกูลโค่ว สวนแห่งนี้ก็ยังคงถูกเก็บไว้ให้อวิ๋นจือชิว เทียบเท่ากับเป็นบ้านฝ่ายเจ้าสาวของอวิ๋นจือชิว

ในอ่างน้ำหรูหราที่สลักทองเลี่ยมหยก เหมียวอี้ที่เปลือยล่อนจ้อนกำลังแช่อยู่ในน้ำ อวิ๋นจือชิวที่สวมชุดชั้นในเผยส่วนเว้าส่วนโค้งกำลังช่วยอาบน้ำขัดตัวให้เขา อวิ๋นจือชิวที่ยามปกติดุดันปากร้าย แต่ยามนี้บทจะได้ดูแลคนก็ทำได้อย่างพิถีพิถันเป็นพิเศษ

ทั้งสองถ่ายทอดเสียงคุยกันตลอด เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่แดนสุขาวดี

เมื่อรู้ว่าได้หกเคล็ดวิชาพิเศษภาคฟ้าครบแล้ว อวิ๋นจือชิวก็ย่อมปลาบปลื้มไม่หยุด นางรับของมาจากมือเหมียวอี้ พอหาเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคฟ้าเจอแล้ว ก็มานั่งพิงอยู่ข้างกายเหมียวอี้ แล้วเริ่มศึกษาอย่างละเอียด

“คัดลอกเคล็ดวิชาภาคฟ้าให้เหยียนซิวกับเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ ส่วนแผนที่ดาวอีกสองฉบับก็รีบเปรียบเทียบให้เร็วที่สุด ข้าสงสัยว่าในนั้นจะมีทางเข้าออกลับของแดนสุขาวดี ยังมีอีกฉบับที่ไม่ได้ทำสัญลักษณ์ประตูดวงดาว ข้าไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร” ขณะที่พูด มือข้างหนึ่งของเหมียวอี้ก็ล้วงเข้าไปเล่นในหน้าอกขาวเด้งของอวิ๋นจือชิว

“อย่าทำเป็นเล่น” อวิ๋นจือชิวกำลังมีสมาธิ ใช้ข้อศอกตีเขาสองสามที

เหมียวอี้จนปัญญา คิดในใจว่าตัวเองจะนำของมาให้นางในเวลานี้ทำไมกันนะ?

สุดท้ายอวิ๋นจือชิวที่ถูกถอดเสื้อชั้นในจนร่างกายเปลือยเปล่าก็นอนหมอบอยู่บนแท่นหยก นางใช้ข้อศอกยันร่างกายท่อนบนเอาไว้ แล้วในมือก็ถือแผ่นหยกอ่านจนเคลิบเคลิ้ม ท่านขุนนางเหมียวจึงหยิบผ้าขนหนูมาบริการเหมือนม้าเหมือนวัว ช่วยอาบน้ำถูหลังให้นางแล้ว…

ถึงแม้เมี่ยวฉุนจะถูกเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาในแฝงในของวิเศษโจมตี เจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่อยู่ในร่างกายไม่ได้เยอะ แต่เวลาจะช่วยรักษาขึ้นมาก็ต้องใช้ความพยายามไม่น้อยเลย ใช้เวลาไปครึ่งเดือนเต็มๆ กว่าจะกำจัดพิษออกจนหมด

ในวันที่สอบสวนในตำหนักหลัก โค่วหลิงซวีกับพระโพธิสัตว์หลันเย่ก็มาอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ส่วนเหมียวอี้ก็ถูกเรียกว่าคอยฟังและตรวจสอบความเช่นกัน

สุดท้ายเรื่องลอบจู่โจมในดาวฮุ่ยหลินที่เมี่ยวฉุนเล่าก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเหมียวอี้ไม่ได้โกหก ทั้งสองฝ่ายล้วนได้พยานคำพูดแล้ว

พระโพธิสัตว์หลันเย่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะอยู่ที่นี่นาน พอจบเรื่องก็กล่าวขอตัวลากับโค่วหลิงซวี โค่วเจิงเป็นตัวแทนไปส่งแขก ส่วนเหมียวอี้ก็ถูกรั้งให้อยู่ต่ออีก

“โหย่วเต๋อ ตอนอยู่ที่ตลาดผีเจ้าอาจจะต้องระวังตัวมากขึ้นแล้ว” จู่ๆ โค่วหลิงซวีก็กล่าวออกมาช้าๆ

เหมียวอี้นั่งฟังมาตลอด ที่จริงเขามองออกแล้วว่าเหมือนโค่วหลิงซวีจะไม่ค่อยสนใจการสอบสวนเมื่อครู่นี้สักเท่าไร เหมือนจะเหม่อลอนครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ตลอด เขาจึงกุมหมัดคารวะ “ท่านพ่อบุญธรรมไม่ต้องห่วง ข้าจะระวังตัว”

โค่วหลิงซวีส่ายหน้าเบาๆ รู้ว่าเขายังไม่รู้ถึงสถานการณ์ จึงพยักหน้าบอกใบ้ถังเฮ่อเหนียน

เฒ่าถังเข้าใจ จึงแจ้งข่าวที่สำคัญมากให้ฟัง “ท่านเขย ท่านต้องระวังตัวแล้วจริงๆ ถ้าหากคาดการณ์ไม่ผิด ราชินีสวรรค์อาจจะตั้งครรภ์โอรสสวรรค์แล้ว”

เหมียวอี้เบิกตากว้าง ข่าวนี้ฮือฮาจริงๆ มิน่าล่ะถึงทำให้โค่วหลิงซวีเหม่อลอยได้

เขาย่อมเข้าใจว่าเมื่อราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์โอรสสวรรค์แล้วหมายความว่าอะไร ก็หมายความว่าตระกูลเซี่ยโห้วบรรลุเป้าหมายแล้ว หมายความว่าความร่วมมือระหว่างตระกูลเซี่ยโห้วกับตระกูลโค่วจบลงแล้ว เกรงว่าทางตึกศาลาสัตยพรตคงจะไม่รักษาความปลอดภัยให้เขาอีก จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่านอาถัง ยืนยันได้หรือเปล่า?”

เมื่อถามออกมาแบบนี้ เขาก็รู้สึกอีกว่าเป็นสิ่งที่เกินความจำเป็น อาศัยช่องทางข่าวสารของตระกูลโค่ว มีหรือที่จะพูดออกมาโดยยังไม่ได้ยืนยันข่าว

ผู้เฒ่าถังบอกว่า “ถึงแม้ตำหนักสวรรค์จะไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ดูจากความเคลื่อนไหวที่ไม่ปกติของตำหนักนารีสวรรค์ เกรงว่าคงจะใกล้แล้ว แล้วทางตระกูลเซี่ยโห้วก็ส่งข่าวมาเช่นกัน บอกว่าจะพยายามช่วยให้เจ้าเลื่อนยศกลับไปเป็นแม่ทัพสองแถบให้เร็วที่สุด ในระหว่างนี้จะรับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยของเจ้า แต่หลังจากนี้ก็รับประกันได้ยากแล้ว”

โค่วหลิงซวีพูดต่อจากเขา “ที่จริงเจ้าก็ไม่ต้องกังวลมากเกินไป ตึกศาลาสัตยพรตไม่มีทางปล่อยให้ตลาดผีเกิดความวุ่นวายใหญ่โต ทางบ้านจะส่งยอดฝีมือไปคุ้มกันเจ้า”

“ท่านพ่อบุญธรรม!” เหมียวอี้พลันเงยหน้า แล้วกล่าวเสียงดังว่า “ตลาดผีคืออาณาเขตของข้า!”

โค่วหลิงซวีกับถังเฮ่อเหนียนอึ้งพร้อมกันทันที อดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันเลิกลั่ก ทั้งคู่มองออกแล้วว่าต่างฝ่ายต่างก็ไม่เข้าว่าเหมียวอี้หมายความว่าอะไร

“ท่านเขย ข้าว่าท่านคงจะเข้าใจ ว่าตลาดผีคืออาณาเขตของตึกศาลาสัตยพรต” ถังเฮ่อเหนียนถาม

เหมียวอี้เงยหน้ายืดอก “ท่านพ่อบุญธรรม ข้าคือแม่ทัพภาคตลาดผี ถ้าเอาแต่หดหัวรอให้คนอื่นมาลงมือต่อไปแบบนี้ไม่ใช่วิธีที่ดี ขอเพียงท่านพ่อให้อำนาจตัดสินใจแก่ข้าในระดับหนึ่ง ที่จริงก็ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน ในเมื่อซ้ายก็หลบไม่ได้ ขวาก็หลบไม่ได้ ไม่สู้ชิงลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ!”

ตั้งแต่เขาเริ่มก้าวเข้าสู่แดนฝึกตน ไม่ว่าจะไปคุมอาณาเขตไหน ก็ไม่เคยเก็บกดเหมือนตอนเป็นแม่ทัพภาคตลาดผีเลย ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนกดดันอยู่ในอาณาเขตของตัวเองจนไม่กล้าโผล่หน้าออกมา เขาอยากจะระบายไฟโกรธนี้มาตั้งนานแล้ว

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด