พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1655 นึกไม่ถึงเลย

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1655 นึกไม่ถึงเลย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ความหมายลึกล้ำในคำพูดนี้ทำความเข้าใจได้ไม่ยาก ประมุขชิงที่กำลังใช้มือขยี้หนวดเริ่มทำสีหน้าแปลกๆ

หลังจากจุดประกายความคิดแล้ว เกาก้วนก็ยืนอย่างเย็นชาอยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไรอีก

ซ่างกวนชิงกับซือหม่าเวิ่นเทียนต่างก็ทำสีหน้าครุ่นคิดเช่นกัน

หลังจากนั้น ซือหม่าเวิ่นเทียนที่เงียบไปครู่หนึ่งก็พยักหน้าบอกว่า “ไม่เลว! การที่ฝ่าบาทโยนหนิวโหย่วเต๋อไว้ที่ตลาดผีเป็นแผนการที่ดี ตาแก่โค่วสิ้นเปลืองกำลังความคิดไปมากขนาดนั้น แต่กลับดีใจโดยเสียแรงเปล่า จะกินก็กินไม่ลง จะคายทิ้งตรงๆ ก็ไม่ได้ กลายเป็นเรื่องน่าขันไปแล้ว ตอนนี้ตาแก่โค่วมีความคิดที่จะทิ้งหนิวโหย่วเต๋อ มีหรือที่จะให้เขาสมหวังง่ายๆ ถ้าตาแก่โค่วทอดทิ้ง ฝ่าบาทก็ช่วยประคองขึ้นมาสักครั้ง ถ้าตาแก่โค่วดึงไว้ ฝ่าบาทก็ค่อยกดอีกที ก็แค่ทำให้ตาแก่โค่วขึ้นไม่ได้ลงไม่ได้”

เมื่อเห็นประมุขชิงเริ่มทำสีหน้าอัศจรรย์ใจ ซ่างกวนชิงก็ยิ้มเบาๆ  แล้วพูดเสริมตามว่า “ทางที่ดีต้องทำให้คลุมเครือสักหน่อย”

“เฮ่อๆ! พวกเจ้านี่นะ นี่กำลังกลัวว่าตลาดผีจะไม่วุ่นวายใช่มั้ย กำลังสอนให้ข้ากระพือลมจุดไฟชัดๆ!” ประมุขชิงหัวเราะนานมาก จากนั้นก็โบกมืออย่างอารมณ์ดีทันที “เอาล่ะ เรื่องเล็กน้อยไม่ควรค่าให้พวกเราพิจารณาไม่รู้จักหยุดหย่อน คุยธุระสำคัญเถอะ ช่วงนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”

เกาก้วนกับซือหม่าเวิ่นเทียนทยอยกันรายงานทันที

สำหรับพวกเขา เมื่อเทียบกับทั้งใต้หล้าแล้ว เรื่องเล็กน้อยของเหมียวอี้คนเดียวไม่นับว่าสำคัญอะไรเลย ในใต้หล้ามีนักพรตมากมายนับไม่ถ้วน มีเรื่องใหญ่ๆ ตั้งมากมาย ไม่คุ้มค่าที่พวกเขาจะพูดถึงเหมียวอี้คนเดียวไม่จบไม่สิ้น เพียงจัดให้อยู่ในรายชื่อที่ต้องจับตาดูก็เท่านั้นเอง อย่างน้อยตอนนี้เหมียวอี้ก็ไม่ได้สำคัญถึงขั้นนั้น

“ยินดีกับนายท่าน ยินดีด้วย”

ในจวนแม่ทัพภาคตลาดผี เมื่อผู้แจกรางวัลจากตำหนักนารีสวรรค์ไปแล้ว สวีถังหรานก็กล่าวแสดงความยินดีกับเหมียวอี้ที่เลี่ยนใส่เครื่องแบบเกราะม่วงหนึ่งแถบ พวกหยางเจาชิงก็กล่าวแสดงความยินดีเช่นกัน

เหมียวอี้ชำเลืองเกราะม่วงสามแถบบนตัวสวีถังหราน แล้วพูดหยอกล้อ “ควรจะยินดีกับนายท่านสวีสิถึงจะถูก”

“…” สวีถังหรานทำสีหน้าอับอายทันที มองบนร่างกายตัวเอง พบว่าตัวเองยศสูงกว่าผู้บังคับบัญชาเสียอีก จึงรีบกุมหมัดคารวะ “ล้วนได้อาศัยบารมีของนายท่าน”

ไม่ใช่แค่เขา หยางเจาชิงกับเหยียนซิวก็ได้เป็นแม่ทัพเกราะม่วงเช่นกัน ในบรรดาคนที่ตระกูลโค่วส่งมาก็มีจำนวนหนึ่งที่ได้เป็นแม่ทัพเกราะม่วง ส่วนคนที่เหลือก็มียศเกราะม่วงอยู่แล้ว และได้เลื่อนยศอีกหนึ่งขั้นเช่นกัน คนระดับล่างของจวนแม่ทัพภาคก็ยิ่งได้เลื่อนยศเป็นวงกว้าง จะไม่ให้เลื่อนยศคงไม่ได้หรอก เพราะทั้งข้างล่างทั้งข้างบนสร้างผลงานถี่เกินไป นักโทษร้ายแรงที่ตำหนักสวรรค์จับตัวไม่ได้มาหลายปีก็ถูกพวกเขาจับได้หมด จะอาศัยแต่เงินทองมาเป็นรางวัลอย่างเดียวก็ไม่ได้ เมื่อสะสมผลงานได้มากก็ต้องได้เลื่อนยศอยู่แล้ว จะกดอย่างไรก็กดไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นในภายหลังใครจะยังทุ่มเทกำลังทำงานให้อีกล่ะ

ดังนั้นหลังจากสวีถังหรานกล่าวด้วยสีหน้าเก้อเขินแล้ว กลุ่มคนตรงนั้นก็หัวเราะร่าทันที เรียกได้ว่าสมัครสมานหรรษา คนเราพบเจอเรื่องราวดีๆ ก็ย่อมอารมณ์ดี

เหมียวอี้ก็มีรอยยิ้มเต็มใบหน้าเช่นกัน แต่ในใจกลับรู้สึกหนักอึ้ง เพราะว่าเขาเข้าใจแจ่มชัด ว่าถ้าเลื่อนยศอีกขั้นหนึ่ง หลังจากได้ยศเกราะม่วงสองแถบแล้ว การคุ้มครองจากตึกศาลาสัตยพรตก็จะต้องจบลง เกรงว่าคนจำนวนหนึ่งคงจะอดทนไม่ไหวแล้ว

หลังจากรอให้คนกลุ่มนี้แยกย้ายกันไป เหมียวอี้ก็กล่าวว่า “สวีถังหรานอยู่ต่ออีกสักหน่อย”

หลังจากในโถงเหลือเพียงหยางเจาชิงกับสวีถังหราน เหมียวอี้ก็เอียงหน้าบอกใบ้หยางเจาชิง “เจ้าไปจัดการสักหน่อย”

หยางเจาชิงกุมหมัดเอ่ยรับ แล้วหันตัวเดินออกไป สวีถังหรานงงงันเล็กน้อย จึงถามขอคำชี้แนะ “นายท่านมีอะไรจะกำชับขอรับ?”

“เตรียมตัวสักหน่อย ไปวัดพระกษิติครรภ์สักรอบ” เหมียวอี้กล่าว

“อ้อ…ขอรับ!” สวีถังหรานรีบเอ่ยรับ แต่ในใจกลับพึมพำว่า นายท่านเป็นอะไรไป ทำไมถึงไปกระโจนหาวัดพระกษิติครรภ์ได้ นี่ไปมาหลายครั้งแล้วนะ

ใช้เวลาไม่นาน ก็เตรียมการเรื่องทุกอย่างในจวนแม่ทัพภาคไว้อย่างเหมาะสมแล้ว หลังจากทั้งสามคนเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เหมียวอี้ก็นำหยางเจาชิงและสวีถังหรานเข้าไปในทางลับด้วยกัน

ในทางลับถูกน้ำท่วมปิดบังไว้ ทั้งสามจึงดำน้ำออกไปโดยตรง ไม่นานก็มุดออกมาจากปากทางลับในทะเลสาบใต้ดินของ แล้วดำน้ำต่อไปด้วยความรวดเร็ว

ตอนที่ออกมาอีกครั้ง พอเข้าใกล้บริเวณวัดพระกษิติครรภ์แล้ว หยางเจาชิงก็โผล่จากน้ำขึ้นมาสำรวจบริเวณใกล้เคียงนิดหน่อย หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีคนจับตาดู ถึงได้เรียกเหมียวอี้กับสวีถังหรานออกมา

เหมียวอี้ในตอนนี้กลายเป็นแขกประจำของวัดพระกษิติครรภ์ไปแล้ว ไม่ได้ถูกกันไว้หน้าประตูเหมือนตอนที่มาครั้งแรก พอตรวจสอบตัวตนเพื่อป้องกันคนปลอมแปลงแล้ว ก็ปล่อยเข้าไปดื่มน้ำชาในวัดก่อน แล้วค่อยไปรายงานอีกที

พอเข้ามาในโถงรับแขกแล้ว ก็ย่อมมีพระลูกวัดนำน้ำชามาวางให้ เหมียวอี้กำลังนั่งรอ สวีถังหรานยืนอยู่ข้างกาย ส่วนหยางเจาชิงก็ยืนอยู่นอกประตู

พอหยางเจาชิงที่รออยู่ข้างนอกพยักหน้าส่งสัญญาณเข้ามาในห้อง เหมียวอี้ก็อยู่ข้างในก็รู้ทันทีว่าพระอาจารย์จี้คงมาแล้ว

พอพระอาจารย์จี้คงเข้ามาในโถงรับแขกแล้วเห็นเหมียวอี้ ก็รู้สึกค่อนข้างปวดหัว เขาไม่ได้ไปหาเรื่องใครเสียหน่อย ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงถูกท่านนี้มาเกาะแกะพัวพันเสียแล้ว

“พระอาจารย์ ข้ามารบกวนอีกแล้ว ขออภัยเป็นอย่างสูงจริงๆ” เหมียวอี้ยืนประนมมือ

พระอาจารย์จี้คงประนมมือตอบ หลังจากยื่นมือเชิญให้เหมียวอี้นั่งลงแล้ว ก็นั่งลงร่วมโต๊ะน้ำชาเดียวกับเขา แล้วถามอย่างค่อนข้างจนใจว่า “ไม่ทราบว่าแม่ทัพภาคหนิวมีอะไรจะกำชับอาตมาหรือ?”

เหมียวอี้ก็ถอนหายใจอย่างอับจนปัญญาเช่นกัน “ยังจะมีเรื่องอะไรได้อีก ก็ว่าจะมาถามสักหน่อยไม่ทราบว่าฝั่งแดนสุขาวดีจับกุมพระอรหันต์ตัวลี่ที่ยุงยงศิษย์ให้มาลอบสังหารหนิวได้หรือยัง?”

ไม่รู้ว่าเขาถามเป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว ขนาดสวีถังหรานที่มาด้วยหลายครั้งก็ยังรู้สึกแปลกๆ เลย คิดในใจว่า เจ้าเอาแต่มากดดันจี้คงแบบนี้จะมีประโยชน์อะไร

จี้คงยอมแพ้เขาแล้วจริงๆ เป็นอย่างที่คาดไว้ มาเพราะเรื่องนี้อีกแล้ว ถ่อมาถามเขาเรื่องนี้ทุกสามวันห้าวัน หูเขาใกล้จะด้านแล้ว พระอาจารย์เล็กๆ อย่างเขาจะไปรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรล่ะ เกี่ยวอะไรกับข้า? เจ้าถามข้า แล้วจะให้ข้าไปถามใคร? ทำได้เพียงรายงานขึ้นไปเบื้องบน ส่วนผลจะเป็นอย่างไร ก็ทำได้เพียงรอข่าวจากเบื้องบนเช่นกัน

ส่วนเบื้องบนก็ไม่ได้อยากจะแยแสหนิวโหย่วเต๋อเลย แต่เรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อถูกลอบสังหารดันทำให้แดนสุขาวดีแก้ตัวลำบาก กอปรกับมีอ๋องสวรรค์โค่วหนุนหลังอยู่ คงไม่ดีหากจะไม่ต้อนรับขับสู้เลยสักนิด ไม่อย่างนั้นถ้าเปลี่ยนเป็นคนธรรมดาทั่วไป เกรงว่าแม้แต่ประตูวัดพระกษิติครรภ์ก็เข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ ถึงได้ผลักมาให้จี้คง ให้เขามารับมือด้วยอย่างขอไปที แล้วเขาจะทำอย่างไรได้ล่ะ? ทำได้เพียงอดทนมาต้อนรับขับสู้กับเหมียวอี้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ครั้งนี้ไม่ต้องปวดหัวเท่าไรแล้ว เพราะเบื้องบนส่งคนมารับมือให้แล้ว

“แม่ทัพภาคหนิวใช้ระฆังดาราติดต่อไปถามเองเลยก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาที่นี่ด้วยตัวเองเพราะเรื่องนี้ทุกรอบ”

“โถ่ นั่นอาจจะเสียมารยาทเกินไป แต่ในเมื่อมาแล้ว พระอาจารย์ก็ได้โปรดบอกหน่อย ว่ามีเบาะแสเรื่องมือสังหารหรือยัง?”

จี้คงยิ้มอย่างขื่นขม แล้วยื่นมือเชิญอย่างเกรงใจ “แม่ทัพภาคหนิว เชิญมากับข้า”

เหมียวอี้งงทันที จึงลุกขึ้นยืนแล้วถามอย่างแปลกใจ “ไปไหนเหรอ?”

“คนที่จะมาตอบคำถามเรื่องที่แม่ทัพภาคซักไซ้ได้” จี้คงตอบ

“ใครเหรอ?” เหมียวอี้งุนงง

“แม่ทัพภาคหนิวเห็นแล้วก็จะทราบเอง” จี้คงยิ้มบางๆ

ยังมาใช้มุกรักษาความลับอีกเหรอ? เหมียวอี้มองเขาศีรษะจดเท้าด้วยแววตาฉงน ไม่สะดวกจะปฏิเสธ จึงทำได้เพียงยื่นมือเชิญ แล้วเดินตามเขาออกมาจากห้องรับแขก

พวกเขามาถึงลานบ้านด้านหลังจองวัดพระกษิติครรภ์ จี้คงยกมือห้ามหยางเจาชิงกับสวีถังหรานให้หยุดก่อน เหมียวอี้จึงพยักหน้าบอกใบ้เล็กน้อง ทั้งสองทำได้เพียงรออยู่ที่ลานบ้านด้านหลัง

เหมียวอี้ไม่กลัวว่าวัดพระกษิติครรภ์จะทำอะไรเขาตอนอยู่ที่นี่ได้ จึงเดินตามจี้คงขึ้นตึกไปอีกครั้ง

บันไดขึ้นชั้นบนเลี้ยวแล้วเลี้ยวอีก พอขึ้นไปบนชั้นสิบซึ่งใกล้จะถึงผิวดิน จี้คงถึงได้นำทางเข้าไปในทางเดินที่ลึกและมีแสงจากโคมไฟสลัว พระพุทธรูปแบบต่างๆ บนผนังทั้งสองข้างทำให้ดูลี้ลับยากจะคาดเดาขึ้นไม่น้อย

หน้าห้องห้องหนึ่งซึ่งมีประตูใหญ่สีทองแดงสะท้อนแสงวิบวับ จี้คงหยุดฝีเท้า แล้วยื่นมือบอกใบ้ให้เข้าไป ทั้งยังสื่อความหมายว่าให้เหมียวอี้ผลักประตูเข้าไปเองด้วย

ดวงตาเหมียวอี้ฉายแววระแวงสงสัย เขามองจี้คงที่มีใบหน้าเจือรอยยิ้ม แล้วมองประตูใหญ่ที่ปิดสนิท ไม่รู้ว่าพระรูปนี้จะมาไม้ไหน เขาก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง แล้วยื่นมือกดบนบานประตู ออกแรงผลักอย่างช้าๆ

ท่ามกลางเสียงประตูที่หนักทึบ ซอกระหว่างประตูเปิดออกอย่างช้าๆ ภาพที่อยู่ด้านหลังขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ หลังจากเหมียวอี้ที่เฝ้าระแวดระวังเห็นภาพข้างในชัดเจนแล้ว ก็รู้สึกพูดไม่ออกนิดหน่อย

ในห้องที่เดิมทีเงียบเหงาและอยู่ท่ามกลางความมืด ไม่รู้ว่ามีลำแสงสายหนึ่งที่เหมือนเสาแสงยิงสะท้อนออกมาจากไหน แสงนั้นสาดส่องบนพระพุทธรูป ทำให้พระพุทธรูปหลุดออกจากความมืดมิด ให้ความรู้สึกเงียบขรึมอย่างบอกไม่ถูก และตรงใต้พระพุทธรูปองค์สูงใหญ่ ร่างอันงดงามชดช้อยของสตรีคนหนึ่งกำลังนอนเอนกาย เสื้อผ้าบางเบาเปิดเผย อยู่ภายใต้แสงสว่างจ้าแต่กลับมองเห็นใบหน้าไม่ชัด ทว่านั่นก็ยิ่งทำให้เย้ายวนดึงดูดใจมากขึ้น เห็นแล้วเลือดลมสูบฉีด

เหมียวอี้ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองในชั่วพริบตาเดียว ผู้หญิงที่นอนเอนกายใช้มือยันศีรษะกำลังยิ้มบางๆ ให้เขา ไม่ใช่ใครที่ไหน นางคือพระโพธิสัตว์เม่ยจีที่เขาเคยเจอที่แดนสุขาวดีนั่นเอง

เหมียวอี้นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้เจอผู้หญิงคนนี้ที่นี่ เขารีบมองไปทางจี้คง แต่จี้คงกลับประนมมือโค้งตัว แล้วหันตัวเดินจากไปแล้ว

พอหันกลับไปมองด้านหลังอีกครั้ง พระโพธิสัตว์เม่ยจีก็กางแขนที่ขาวงามดุจหยก กวักมือเบาๆ พร้อมถามด้วยรอยยิ้ม “นายท่านหนิวไม่กล้าเข้ามาเหรอ กลัวอาตมาจะกินเจ้าหรือไง?”

อาตมาเหรอ? ข้าว่าเจ้าคล้ายกับปีศาจมากกว่า! เหมียวอี้ตำหนิในใจ แต่บนใบหน้ากลับฝืนยิ้ม เขาผลักประตูเข้ามา ภายนอกดูผ่อนคลายแต่ภายในตึงเครียด ระแวดระวังตัวอยู่ตลอด

แต่จะไม่เข้าไปก็ไม่ได้ อาศัยพลังของอีกฝ่าย ถ้าอีกฝ่ายมีเจตนาอะไรไม่ดีจริงๆ ตัวเขาเองก็หนีไม่พ้นอยู่ดี เพียงแต่ในกระบอกแขนเสื้อกลับคลำระฆังดาราติดต่อกับภายนอกเล็กน้อย บอกให้รู้ว่าตัวเองมาเจอกับใคร

ทว่าเมื่อเข้ามาในห้องโถงที่กว้างใหญ่ ก็ได้ยินเสียงหมุนดัง ‘แกร๊ก’ รอบด้านมีเสาแสงหลายต้นปรากฏวาดผ่านความมืดทันที เห็นเพียงผู้หญิงที่แต่งกายไม่มิดชิดยืนรียงแถวสองฝั่งในท่วงท่าที่ยั่วยวน แต่ละคนหมุนกระจกบานใหญ่พร้อมกัน ทำให้มีเสาแสงหลายสายส่องสะท้อนอยู่ในโถงใหญ่ทันที ชั่วพริบตาเดียวไฟในโถงใหญ่ก็สว่างไสว รายละเอียดเล็กน้อยปรากฏออกมาหมด กวาดล้างความมืดครึ้มพิศวงก่อนหน้านี้ออกไป เพียงแต่ลำแสงที่อยู่ในห้องทำให้รู้สึกเหมือนเหตุการณ์นี้ไม่ใช่ความจริง

ด้านหลังมีเสียง “วึงๆ” ดังขึ้นอีก เหมียวอี้หันกลับมามองแวบหนึ่ง เห็นเพียงผู้หญิงสองคนกำลังดันปิดประตูบานใหญ่หนาหนัก

พอประตูปิดแล้ว ผู้หญิงที่อยู่ฝั่งซ้ายและขวาก็หันตัวมาพร้อมกัน แล้วเดินเรียงแถวหายเข้าไปในประตูด้านข้างสองฝั่งที่อยู่หลังห้องโถง มีเพียงหนึ่งคนที่โดดเด่นออกมา เดินไปคุกเข่าอยู่ตรงตีนบันไดตรงพระพุทธรูปในโถงหลัก ท่าทางเหมือนปรนนิบัติรับใช้พระโพธิสัตว์เม่ยจี อีกฝ่ายเอียงหน้าเล็กน้อยมองเหมียวอี้ที่กำลังเดินเข้ามา ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นคนที่เหมียวอี้เคยเจอมาแล้ว ชางหงที่เคยมีเรื่องกับเขาที่ดาวพิษนั่นเอง

เหมียวอี้พึมพำในใจอีกครั้ง นี่มันเรื่องบ้าบออะไร คงไม่ถึงขั้นใช้วิธีการนี้มาคิดบัญชีกับตนหรอกใช่มั้ย

“หนิวโหย่วเต๋อนมัสการพระโพธิสัตว์เม่ยจี” เหมียวอี้ที่เดินไปตรงหน้าบันไดกุมหมัดคารวะ จงใจเผยระฆังดาราในมือให้อีกฝ่ายเห็น เป็นการบอกใบ้ไม่ให้อีกฝ่ายทำซี้ซั้ว ข้ารายงานสถานการณ์ในนี้ให้คนนอกรู้แล้ว ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าก็อย่าได้คิดว่าจะหนีพ้นเลย

“หึหึ…” เม่ยจีหัวเราะเสียงใส แล้วบิดเอวเบาๆ ลุกขึ้นนั่งอย่างเกียจคร้าน เท้าเปลือยสองข้างไหลลงตามบันไดขั้นหนึ่งแล้วลุกขึ้นยืน จากนั้นบิดเอวอันน่าหลงใหลเดินเนิบนาบลงบันไดมา ดวงตางามเป็นประกายทว่าล้ำลึก ยังคงดึงดูดใจเหมือนเดิม นางจ้องเหมียวอี้พร้อมเดินเข้ามาทีละก้าว

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด