พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1720 พอเปล่งเสียงร้องก็ทำให้คนแตกตื่น

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1720 พอเปล่งเสียงร้องก็ทำให้คนแตกตื่น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แม่เฒ่าลวี่เงียบไปอีกพักหนึ่ง แล้วสุดท้ายก็ถอนหายใจ “พอพูดแบบนี้ ข้าก็ว่าข้าถูกเจ้าเด็กนั้นหลอกใช้แล้วจริงๆ หึหึ จากที่ข้าดูนะ นางหนูเฟยหงนั่นช่างชะตาลำเค็ญนัก อยู่ทางนั้นถูกหนิวโหย่วเต๋อปิดบังหลอกใช้ อยู่ถวายชีวิตรับใช้เจ้าทางนี้ก็ยังต้องทนรับความหวาดระแวงจากเจ้าอีก หากเจ้าไม่เชื่อ จะฆ่าทิ้งเสียก็สิ้นเรื่องแล้ว ทำไมต้องมาอ้อมค้อมไม่รู้จับจักสิ้น เจ้าเหนื่อยบ้างหรือเปล่า”

ซือหม่าเวิ่นเทียนส่ายหน้าหัวเราะเยาะ “พูดแบบนี้ แสดงว่าพี่หญิงลวี่ไม่สังเกตเห็นความผิดปกติอะไรใช่มั้ย?”

แม่เฒ่าลวี่โบกมือ “ไม่เห็นความผิดปกติอะไรหรอก ก่อนหน้านี้ยังไม่รู้ว่าทางพระตำหนักอุทยานเกิดเรื่องอะไรกันแน่ ตอนนี้พอได้ยินเจ้าบอก ข้าถึงแน่ใจว่านางหนูนั่นถูกหนิวโหย่วเต๋อหลอกใช้แล้ว ท่านทูตซ้าย ผู้ชายอย่างพวกเจ้ารู้สึกว่าผู้หญิงน่ารังแกหมดเลยใช่มั้ย?”

“เหอะๆ! เหอะๆ…” คำถามนี้เหมือนจะทำให้ซือหม่าเวิ่นเทียนเก้อเขินนิดหน่อย เขาเอามือลูบจมูก “พี่หญิงลวี่พูดเกินไปแล้ว”

แม่เฒ่าลวี่มองประเมินเขาศีรษะจดเท้า “นางหนูเฟยหงนั่นเป็นเด็กดีแท้ๆ แต่เจ้าจับนางยัดไปเป็นอนุภรรยาหนิวโหย่วเต๋อ ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อหลอกใช้นางเหมือนเป็นของเล่น เกรงว่าเจ้าคงทำเรื่องพรรค์ไว้ไม่น้อยเลยล่ะสิ? ท่านทูตซ้าย เรื่องขาดคุณธรรมน่ะอย่าทำเยอะนัก ระวังกรรมจะตามสนอง”

ซือหม่าเวิ่นเทียนยิ้มแห้ง “ใต้หล้าของฝ่าบาทใหญ่ขนาดนี้ เรื่องบางเรื่องจำเป็นต้องมีคนไปทำให้”

แม่เฒ่าลวี่ทำเสียงฮึดฮัด “เจ้าไม่ต้องอ้างเขามาข่มข้า ข้าแค่เฝ้าสวนของข้าไป ต่อไปนี้อย่าเอาเรื่องวุ่นวายอย่างนี้มาทำให้ข้าสะอิดสะเอียดเยอะนักล่ะ ถ้าทูตซ้ายไม่มีอะไรจะกำชับแล้ว ข้าขอตัวก่อนได้หรือเปล่า?”

ซือหม่าเวิ่นเทียนยิ้มเจื่อน กุมหมัดคารวะส่ง จนกระทั่งแม่เฒ่าลวี่เหาะขึ้นฟ้าหายไปแล้ว เขาถึงได้ส่ายหน้าด้วยความปลง “พี่หญิงเฒ่าเอ๊ย ทำไมท่านต้องลำบากล่ะ…”

สวนกลางเขียวขจี เฟยหงที่ไม่ได้ออกไปนานกลับเข้ามาในโพรงไม้แล้ว เหมียวอี้ที่นอนหมอบอยู่บนเตียงเตี้ยเอียงหน้ามองแวบหนึ่ง เห็นเฟยหงตาสองข้างแดงก่ำ จึงอดไม่ได้ที่จะตกใจ ถ่ายทอดเสียงถามว่า “เป็นอะไรไป? หน่วยตรวจการซ้ายไม่ได้ทำอะไรเจ้าใช่มั้ย?”

เฟยหงได้รับข่าวจากผู้บังคับบัญชาให้ไปพบ เรื่องนี้เขาก็รู้ เขาเองก็กังวลว่าเฟยหงอาจจะมีอันตรายอะไร แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ เขาเองก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน ทำให้เพียงให้เฟยหงไปเสี่ยงอันตรายคนเดียว ในระหว่างนี้เขากังวลอยู่ตลอด

เฟยหงส่ายหน้า นั่งยองๆ ข้างเขา จับฝ่ามือเขามาแนบใบหน้าตัวเองเพื่อหาที่ปลอบใจ พร้อมถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ข้าไปพบซือหม่าเวิ่นเทียนมาแล้ว”

“หา!” เหมียวอี้ตกใจทันที เขาเองก็เคยเจอซือหม่าเวิ่นเทียนที่อุทยานหลวงมาแล้ว แต่ไม่เคยคุยกันเลย ในภาพจำของเขา อีกฝ่ายเป็นคนลึกล้ำพูดน้อยคนหนึ่ง แต่กลับเคยได้ยินข่าวลือเรื่องความน่ากลัวของคนคนนี้มาไม่น้อย ในข่าวลือบอกว่าเขาเป็นตัวละครที่เหมือนงูพิษและหมาป่าชั่วร้าย ทำให้คนที่เห็นรู้สึกสยองไม่กล้าเข้าใกล้โดยจิตใต้สำนึก

เฟยหงกล่าวด้วยแววตาเศร้าโศกไร้ที่สิ้นสุด แทบจะร้องสะอื้นแล้ว “ข้ายังได้เจอท่านแม่ของข้าด้วย”

“…” เหมียวอี้ตะลึงงัน “มีเรื่องอะไรกันแน่?”

เฟยหงเล่าเรื่องที่ตัวเองได้พบกับซือหม่าเวิ่นเทียนและมารดาให้ฟังทันที แต่จนใจที่หน่วยตรวจการซ้ายไม่ให้นางกับมารดาอยู่ด้วยกันนานเกินไป จึงพามารดานางกลับไปแล้ว

เหมียวอี้ได้ยินแล้วก็วางใจ ขณะเดียวกันก็พูดไม่ออกไปพักหนึ่ง เขาย่อมเคยได้ยินเฟยหงบอกมาก่อน ว่านางถูกหน่วยตรวจการซ้ายจับแยกกับมารดาตั้งแต่ยังเด็ก เพื่อจะใช้สิ่งนี้เป็นจุดอ่อนในการบีบให้ทำงานให้ เขาลูบใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกของเฟยหง “ขอเพียงแน่ใจว่แม่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ดีแล้ว ถ้ามีโอกาสข้าจะต้องคิดหาทางช่วยแม่เจ้าออกมาแน่นอน ตอนนี้นางเป็นยังไงบ้าง?”

เฟยหงน้ำตาไหลอย่างเจ็บปวด “ท่านชราลงไม่น้อย น่าจะได้รับความทุกข์ทรมานมามาก ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวจะส่งผลกับความปลอดภัยของข้า เกรงว่าท่านแม่คงจบชีวิตตามท่านพ่อไปแล้ว”

เหมียวอี้พอจะจินตนาการออกถึงสภาพจิตใจของสองแม่ลูก เดิมทีเป็นสตรีที่สูงส่ง ไม่ต้องกังวลเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ ร่ำรวยมีหน้ามีตาไร้ที่เปรียบ แต่กลับตกต่ำกลายเป็นนักโทษมาหลายปี เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง แค่คิดก็รู้ถึงสถานการณ์ของนางแล้ว “เฟยหง อย่าเศร้าไปเลย เจ้าไม่ได้ถือโอกาสถามแม่เจ้าสักหน่อยเหรอว่าถูกขังไว้ที่ไหน?”

เมื่อเห็นว่าตอนนี้เขายังคิดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอด เฟยหงก็ซาบซึ้งใจมาก แสดงว่าผู้ชายคนนี้คิดจะช่วยชีวิตพวกนางสองแม่ลูกจริงๆ นางพยักหน้าบอกว่า “ข้าถามแล้วค่ะ ท่านแม่บอกว่าไม่รู้เหมือนกันว่าถูกขังไว้ที่ไหน รู้เพียงว่าทำงานอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งมาเป็นเวลานาน เหมือนจะเป็นสถานที่หลอมของวิเศษ ตามที่ท่านแม่คาดเดา ท่านสงสัยว่าตัวเองอาจถูกขังอยู่ในสถานที่หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ค่ะ”

สถานที่หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เหรอ? เหมียวอี้ตกใจอีกครั้ง “ทำไมแม่เจ้าถึงคิดว่าตัวเองโดนขังอยู่ที่หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์?”

เฟยหงตอบว่า “ข้าก็ถามอย่างนี้เหมือนกัน ท่านแม่ไม่มีหลักฐานอะไร แต่ท่านแม่รู้ว่าในมือประมุขชิงมีช่องทางลับที่ใช้หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ สถานที่หลอมของวิเศษเก็บเป็นความลับมาตลอด แล้วนางก็บอกว่าสถานที่กักขังนางเป็นสถานที่หลอมของวิเศษขนาดใหญ่มากพอดี คนที่ใช้แรงงานอยู่ที่นั่นส่วนใหญ่เป็นคนในครอบครัวขุนนางที่ถูกยึดทรัพย์ ในจำนวนนั้นมีคนที่ท่านแม่รู้จักด้วย เดิมทีนึกว่าคนตายไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะไปโผล่อยู่ที่นั่น นางเองก็นับเป็นผู้หญิงที่มีประสบการณ์ความรู้ แต่นางงงที่แยกไม่ออกว่าตัวเองอยู่ที่ไหน อาจจะเป็นเพราะสาเหตุนี้ นางจึงสงสัยว่าตัวเองถูกขังอยู่ในสถานที่ลับหลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์”

“แบบนี้…” เหมียวอี้ครุ่นคิดเงียบๆ รู้สึกว่าสิ่งที่มารดาเฟยหงคาดเดาก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ในใจรู้สึกปลงอนิจจัง ดูท่าแล้วการที่นางเป็นฮูหยินของเทพประจำดาวจะไม่สูญเปล่า เป็นคนที่มีประสบการณ์ความรู้จริงๆ เขาพูดปลอบใจ “เบาะแสที่แม่เจ้าบอกสำคัญมาก อย่างน้อยก็ไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนที่หาเบาะแสไม่เจอเลย เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะหาคนไปสืบเรื่องนี้อย่างลับๆ ยังมีเบาะแสอื่นเกี่ยวกับที่อยู่ของแม่เจ้าหรือเปล่า?” บอกเพียงทิศทางเท่านั้น เบาะแสยังน้อยไปหน่อย

เฟยหงส่ายหน้า “หน่วยตรวจการซ้ายให้เวลาน้อยเกินไป ไม่ยอมให้พวกเราสองแม่ลูกคุยกันเยอะเท่าไร ก็พาแม่ข้าไปแล้ว จากนั้นข้าก็กลับมาพบซือหม่าเวิ่นเทียนอีก ซือหม่าเวิ่นเทียนบอกให้ข้าทำงานให้ดี บอกว่าจะให้ท่านแม่ทำงานน้อยๆ จะหางานสบายให้ท่านแม่ทำ รอให้ข้าทำงานสะสมครอบแล้ว ก็จะให้ข้ากับแม่อยู่ด้วยกัน”

เหมียวอี้ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี รู้สึกหนักหน่วงในอารมณ์ ยังไม่ต้องพูดถึงสาเหตุอื่น ถ้ามารดาของเฟยหงใช้แรงงานอยู่ในสถานที่หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จริง เกรงว่าหน่วยตรวจการซ้ายก็ยิ่งปล่อยมารดานางไปไม่ได้ จะต้องใประโยชน์จากสองแม่ลูกจนแห้งเหี่ยวแน่นอน แต่จนใจที่เขาไม่สะดวกจะพูดให้สะเทือนใจเฟยหง

สรุปก็คือไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ครั้งนี้ก็อาจจะจับพลัดจับผลูช่วยเหลือเฟยหงได้ ให้สองแม่ลูกที่ไม่พบกันหลายปีมาเจอหน้ากัน อย่างน้อยก็ทำให้รู้เบาะแสเกี่ยวกับที่อยู่มารดาของเฟยหงบ้างแล้วนิดหน่อย ถึงแม้อาจจะไม่ถูกต้องแม่นยำก็ตาม

มีอยู่อีกจุดที่เหมียวอี้ค่อนข้างนับถือเฟยหง นั่นก็คือใช้เวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ แต่ก็ยังรู้จักสืบที่อยู่ของมารดาแข่งกับเวลา ไม่เหมือนผู้หญิงทั่วไปที่สนใจแต่อารมณ์อาลัยที่แยกจากกันไปนาน สมกับเป็นสายลับที่ผ่านการฝึกจากหน่วยตรวจการซ้าย

ตอนนี้เขาแปลกใจนิดหน่อยว่าอวิ๋นจือชิวสยบเฟยหงได้อย่างไร

วันต่อมา เอ๋อเหมย หญิงรับใช้ข้างกายราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็มาแล้ว มาที่สวนกลางเขียวขจีเพื่อเยี่ยมเหมียวอี้ด้วยตัวเอง หลังจากกล่าวให้กำลังใจแล้ว ก็บอกว่าราชินีสวรรค์ชื่นชมเขามาก ให้เขาตั้งใจทำงานให้ดี และประทานยาวิเศษกับทรัพย์สินให้เป็นกอง

ส่วนอาการบาดเจ็บของเหมียวอี้ก็ทำให้ไม่สะดวกจะออกจากสวนกลางเขียวขจีภายในสองสามวัน ทำได้เพียงอยู่ที่นี่สักระยะ หลังจากอาการบรรเทาแล้วก็ติดต่อไปบอกอวิ๋นจือชิวว่าตัวเองยังสบายดี ไม่ได้บอกว่าตัวเองโดนทำโทษรุนแรง บอกเพียงว่าจะพักอยู่ที่นั่นสักระยะแล้วค่อยกลับ ขณะเดียวกันก็ติดต่อไปบอกหยางชิ่งว่าจัดการเรื่องนี้สำเร็จแล้ว

ทว่าสิ่งที่ทำให้เหมียวอี้นึกไม่ถึงก็คือ เรื่องเดิมพันที่พระตำหนักอุทยานแพร่ออกไปทั่วใต้หล้าในเวลาเพียงไม่กี่วัน ถึงแม้จะไม่กล้าแพร่ข่าวอย่างโจ่งแจ้งเพราะเกี่ยวกับตำหนักสวรรค์ แต่กลับแพร่ข่าวอย่างลับๆ ได้เร็วเร็วมาก ท่านขุนนางหนิวชื่อเสียงสะท้านใต้หล้าอีกแล้ว

ตลาดผี อวิ๋นจือชิวที่อุดอู้อยู่ในห้องนั่งหวีผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองใบหน้าตัวเองในกระจกที่มีคราบน้ำตาไหลอาบแก้มเงียบๆ สีหน้าโศกสลด ตอนนี้นางเพิ่งจะรู้ว่าทำไมเหมียวอี้ถึงยังไม่รีบกลับมา ที่แท้เป็นเพราะถูกแส้เฆี่ยนทำโทษที่พระตำหนักอุทยาน เขาปิดบังไว้เพราะไม่อยากให้นางกังวลใจ

ตอนนี้นางเพิ่งจะรู้ว่าเหมียวอี้ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงเพียงลำพัง เผชิญหน้ากับการรุมกลั่นแกล้ง ตัวอยู่ในบ่อมังกรถ้ำเสือ แต่กลับอาศัยร่างกายอันอ่อนแอต่ำต้อยเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่มีกลุ่มผู้แข็งแกร่งล้อมรอบ อาศัยความสุขุมสงบนิ่งไปเผชิญหน้าบนราชสำนักอย่างฮึกเหิมเร่าร้อน มองความตายเหมือนการกลับสู้มาตุภูมิ สุดท้ายก็พาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่ถอยกลับไม่ได้ ฝ่าฟันเพื่อวันพรุ่งนี้ที่สว่างสดใส

สมกับเป็นชายชาตรีแท้ๆ ชาตินี้ได้แต่งงานกับผู้ชายแบบนี้ ทั้งชีวิตก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ในดวงตาอวิ๋นจือชิวฉายแววภาคภูมิใจ แต่พอนึกถึงสองบ่าเล็กๆ ของเหมียวอี้ที่แบกรับสถานการณ์เสี่ยงตายทุกอย่างไว้เพียงลำพัง นางก็รู้สึกใจสลายแล้ว!

หลินผิงผิงมองหยางเจาชิงที่ยืนเงียบอยู่ริมหน้าต่าง เขายืนอยู่อย่างนี้มานานแล้ว สีหน้าตึงเครียดตลอดเวลา ตั้งแต่ได้ยินข่าวท่านแม่ทัพภาคที่พระตำหนักอุทยาน เขาก็ยืนอย่างนี้มาตลอดยังไม่พูดอะไรสักคำ

เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ใช่วิธีการที่ดี หลินผิงผิงเดินมาจับแขนเขาเบาๆ แล้วกล่าวปลอบใจเสียงเบา “ไม่ต้องห่วงหรอก ขนาดด่านอันตรายอย่างนั้นยังผ่านมาได้ ท่านแม่ทัพภาคไม่เป็นอะไรหรอก”

หยางเจาชิงทำสีหน้ามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว หันมามองนาง แล้วกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “นายท่านเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง ชาตินี้ได้ติดตามรับใช้นายท่านนับเป็นโชคดีของหยาง!”

หลินผิงผิงพยักหน้าเบาๆ แล้วซบไหล่เขาพลางถอนหายใจ นางเองก็จินตนาการไม่ออก สถานที่อย่างราชสำนัก คาดว่าคนมากมายที่เข้าไปคงตกใจจนขาอ่อนปวกเปียก แต่ท่านนั้นกล้าโต้เถียงอย่างเหิมเกริมต่อหน้าขุนนางเต็มราชสำนัก เป็นลักษณะที่ทำให้คนทึ่งจริงๆ

คนที่ยืนริมหน้าต่างในจวนแม่ทัพภาคยังมีมู่หรงซิงหัวอีกคน นางจ้องนอกหน้าต่างนานมาก ถอนหายใจเบาๆ เช่นกัน ลักษณะท่าทางแฝงอารมณ์ที่ซับซ้อนไร้ที่เปรียบ ตอนนี้เพิ่งจะเข้าใจว่าสิ่งที่เรียกว่าเมาหัวราน้ำกับท้อแท้ในชีวิตเป็นเพียงการอดทนเท่านั้น เพียงเพื่อจะสร้างเสียงฮือฮาในวันนี้

ในตึกศาลาสัตยพรต เฉาหม่านที่นั่งหลังโต๊ะยาวถือแผ่นหยกอ่านซ้ำไปซ้ำมา ถ้าเทียบกับข่าวลือด้านนอก เขามีปัจจัยที่ทำให้รู้สถานการณ์ในพระตำหนักอุทยานละเอียดยิ่งกว่า ในมือกำลังถือบันทึกเหตุการณ์ของเหมียวอี้ที่พระตำหนักอุทยานโดยละเอียด ทุกคำพูดและการกระทำไม่ตกหล่นสักอย่าง

สุดท้ายก็กดแผ่นหยกบนโต๊ะยาว ถอนหายใจใส่ชีเจวี๋ยที่ยืนรออยู่ข้างๆ “บ่มแสงไว้ในความมืด แค่ไม่เปล่งเสียงร้องเท่านั้นเอง พอเปล่งเสียงก็ทำให้คนแตกตื่น เจ้าเด็กนี่ไม่ใช่สัตว์เล็กในบ่อน้ำ หากสามารถผ่านเคราะห์หนักได้ครั้งแล้วครั้งเล่า จะต้องทะยานขึ้นสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแน่นอน!” พูดจบก็หลับตา แล้วส่ายหน้าช้าๆ พลางยิ้มเจื่อน

“บางทีเขาอาจจะมีหกลัทธิวางแผนอยู่เบื้องหลัง!” ชีเจวี๋ยกล่าว

เฉาหม่านหลับตาพลางทำเสียงฮึดฮัด “หกลัทธิมีคนวางแผนเก่ง แต่คนที่สามารถวางแผนลับอย่างนี้ได้ เหมือนข้าจะไม่เคยได้ยินมาก่อน อย่างน้อยในบรรดาข้อมูลสมาชิกที่พวกเรามีก็ยังไม่มีใครที่เชี่ยวชาญวิธีพลิกเมฆคว่ำฝนโดยการใช้ไม้อ่อนไม้แข็งควบกันอย่างนี้ นอกเสียจากหกลัทธิจะมีตัวละครที่ผงาดขึ้นใหม่แต่พวกเรายังไม่รู้จัก”

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1720 พอเปล่งเสียงร้องก็ทำให้คนแตกตื่น

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1720 พอเปล่งเสียงร้องก็ทำให้คนแตกตื่น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แม่เฒ่าลวี่เงียบไปอีกพักหนึ่ง แล้วสุดท้ายก็ถอนหายใจ “พอพูดแบบนี้ ข้าก็ว่าข้าถูกเจ้าเด็กนั้นหลอกใช้แล้วจริงๆ หึหึ จากที่ข้าดูนะ นางหนูเฟยหงนั่นช่างชะตาลำเค็ญนัก อยู่ทางนั้นถูกหนิวโหย่วเต๋อปิดบังหลอกใช้ อยู่ถวายชีวิตรับใช้เจ้าทางนี้ก็ยังต้องทนรับความหวาดระแวงจากเจ้าอีก หากเจ้าไม่เชื่อ จะฆ่าทิ้งเสียก็สิ้นเรื่องแล้ว ทำไมต้องมาอ้อมค้อมไม่รู้จับจักสิ้น เจ้าเหนื่อยบ้างหรือเปล่า”

ซือหม่าเวิ่นเทียนส่ายหน้าหัวเราะเยาะ “พูดแบบนี้ แสดงว่าพี่หญิงลวี่ไม่สังเกตเห็นความผิดปกติอะไรใช่มั้ย?”

แม่เฒ่าลวี่โบกมือ “ไม่เห็นความผิดปกติอะไรหรอก ก่อนหน้านี้ยังไม่รู้ว่าทางพระตำหนักอุทยานเกิดเรื่องอะไรกันแน่ ตอนนี้พอได้ยินเจ้าบอก ข้าถึงแน่ใจว่านางหนูนั่นถูกหนิวโหย่วเต๋อหลอกใช้แล้ว ท่านทูตซ้าย ผู้ชายอย่างพวกเจ้ารู้สึกว่าผู้หญิงน่ารังแกหมดเลยใช่มั้ย?”

“เหอะๆ! เหอะๆ…” คำถามนี้เหมือนจะทำให้ซือหม่าเวิ่นเทียนเก้อเขินนิดหน่อย เขาเอามือลูบจมูก “พี่หญิงลวี่พูดเกินไปแล้ว”

แม่เฒ่าลวี่มองประเมินเขาศีรษะจดเท้า “นางหนูเฟยหงนั่นเป็นเด็กดีแท้ๆ แต่เจ้าจับนางยัดไปเป็นอนุภรรยาหนิวโหย่วเต๋อ ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อหลอกใช้นางเหมือนเป็นของเล่น เกรงว่าเจ้าคงทำเรื่องพรรค์ไว้ไม่น้อยเลยล่ะสิ? ท่านทูตซ้าย เรื่องขาดคุณธรรมน่ะอย่าทำเยอะนัก ระวังกรรมจะตามสนอง”

ซือหม่าเวิ่นเทียนยิ้มแห้ง “ใต้หล้าของฝ่าบาทใหญ่ขนาดนี้ เรื่องบางเรื่องจำเป็นต้องมีคนไปทำให้”

แม่เฒ่าลวี่ทำเสียงฮึดฮัด “เจ้าไม่ต้องอ้างเขามาข่มข้า ข้าแค่เฝ้าสวนของข้าไป ต่อไปนี้อย่าเอาเรื่องวุ่นวายอย่างนี้มาทำให้ข้าสะอิดสะเอียดเยอะนักล่ะ ถ้าทูตซ้ายไม่มีอะไรจะกำชับแล้ว ข้าขอตัวก่อนได้หรือเปล่า?”

ซือหม่าเวิ่นเทียนยิ้มเจื่อน กุมหมัดคารวะส่ง จนกระทั่งแม่เฒ่าลวี่เหาะขึ้นฟ้าหายไปแล้ว เขาถึงได้ส่ายหน้าด้วยความปลง “พี่หญิงเฒ่าเอ๊ย ทำไมท่านต้องลำบากล่ะ…”

สวนกลางเขียวขจี เฟยหงที่ไม่ได้ออกไปนานกลับเข้ามาในโพรงไม้แล้ว เหมียวอี้ที่นอนหมอบอยู่บนเตียงเตี้ยเอียงหน้ามองแวบหนึ่ง เห็นเฟยหงตาสองข้างแดงก่ำ จึงอดไม่ได้ที่จะตกใจ ถ่ายทอดเสียงถามว่า “เป็นอะไรไป? หน่วยตรวจการซ้ายไม่ได้ทำอะไรเจ้าใช่มั้ย?”

เฟยหงได้รับข่าวจากผู้บังคับบัญชาให้ไปพบ เรื่องนี้เขาก็รู้ เขาเองก็กังวลว่าเฟยหงอาจจะมีอันตรายอะไร แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ เขาเองก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน ทำให้เพียงให้เฟยหงไปเสี่ยงอันตรายคนเดียว ในระหว่างนี้เขากังวลอยู่ตลอด

เฟยหงส่ายหน้า นั่งยองๆ ข้างเขา จับฝ่ามือเขามาแนบใบหน้าตัวเองเพื่อหาที่ปลอบใจ พร้อมถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ข้าไปพบซือหม่าเวิ่นเทียนมาแล้ว”

“หา!” เหมียวอี้ตกใจทันที เขาเองก็เคยเจอซือหม่าเวิ่นเทียนที่อุทยานหลวงมาแล้ว แต่ไม่เคยคุยกันเลย ในภาพจำของเขา อีกฝ่ายเป็นคนลึกล้ำพูดน้อยคนหนึ่ง แต่กลับเคยได้ยินข่าวลือเรื่องความน่ากลัวของคนคนนี้มาไม่น้อย ในข่าวลือบอกว่าเขาเป็นตัวละครที่เหมือนงูพิษและหมาป่าชั่วร้าย ทำให้คนที่เห็นรู้สึกสยองไม่กล้าเข้าใกล้โดยจิตใต้สำนึก

เฟยหงกล่าวด้วยแววตาเศร้าโศกไร้ที่สิ้นสุด แทบจะร้องสะอื้นแล้ว “ข้ายังได้เจอท่านแม่ของข้าด้วย”

“…” เหมียวอี้ตะลึงงัน “มีเรื่องอะไรกันแน่?”

เฟยหงเล่าเรื่องที่ตัวเองได้พบกับซือหม่าเวิ่นเทียนและมารดาให้ฟังทันที แต่จนใจที่หน่วยตรวจการซ้ายไม่ให้นางกับมารดาอยู่ด้วยกันนานเกินไป จึงพามารดานางกลับไปแล้ว

เหมียวอี้ได้ยินแล้วก็วางใจ ขณะเดียวกันก็พูดไม่ออกไปพักหนึ่ง เขาย่อมเคยได้ยินเฟยหงบอกมาก่อน ว่านางถูกหน่วยตรวจการซ้ายจับแยกกับมารดาตั้งแต่ยังเด็ก เพื่อจะใช้สิ่งนี้เป็นจุดอ่อนในการบีบให้ทำงานให้ เขาลูบใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกของเฟยหง “ขอเพียงแน่ใจว่แม่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ดีแล้ว ถ้ามีโอกาสข้าจะต้องคิดหาทางช่วยแม่เจ้าออกมาแน่นอน ตอนนี้นางเป็นยังไงบ้าง?”

เฟยหงน้ำตาไหลอย่างเจ็บปวด “ท่านชราลงไม่น้อย น่าจะได้รับความทุกข์ทรมานมามาก ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวจะส่งผลกับความปลอดภัยของข้า เกรงว่าท่านแม่คงจบชีวิตตามท่านพ่อไปแล้ว”

เหมียวอี้พอจะจินตนาการออกถึงสภาพจิตใจของสองแม่ลูก เดิมทีเป็นสตรีที่สูงส่ง ไม่ต้องกังวลเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ ร่ำรวยมีหน้ามีตาไร้ที่เปรียบ แต่กลับตกต่ำกลายเป็นนักโทษมาหลายปี เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง แค่คิดก็รู้ถึงสถานการณ์ของนางแล้ว “เฟยหง อย่าเศร้าไปเลย เจ้าไม่ได้ถือโอกาสถามแม่เจ้าสักหน่อยเหรอว่าถูกขังไว้ที่ไหน?”

เมื่อเห็นว่าตอนนี้เขายังคิดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอด เฟยหงก็ซาบซึ้งใจมาก แสดงว่าผู้ชายคนนี้คิดจะช่วยชีวิตพวกนางสองแม่ลูกจริงๆ นางพยักหน้าบอกว่า “ข้าถามแล้วค่ะ ท่านแม่บอกว่าไม่รู้เหมือนกันว่าถูกขังไว้ที่ไหน รู้เพียงว่าทำงานอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งมาเป็นเวลานาน เหมือนจะเป็นสถานที่หลอมของวิเศษ ตามที่ท่านแม่คาดเดา ท่านสงสัยว่าตัวเองอาจถูกขังอยู่ในสถานที่หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ค่ะ”

สถานที่หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เหรอ? เหมียวอี้ตกใจอีกครั้ง “ทำไมแม่เจ้าถึงคิดว่าตัวเองโดนขังอยู่ที่หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์?”

เฟยหงตอบว่า “ข้าก็ถามอย่างนี้เหมือนกัน ท่านแม่ไม่มีหลักฐานอะไร แต่ท่านแม่รู้ว่าในมือประมุขชิงมีช่องทางลับที่ใช้หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ สถานที่หลอมของวิเศษเก็บเป็นความลับมาตลอด แล้วนางก็บอกว่าสถานที่กักขังนางเป็นสถานที่หลอมของวิเศษขนาดใหญ่มากพอดี คนที่ใช้แรงงานอยู่ที่นั่นส่วนใหญ่เป็นคนในครอบครัวขุนนางที่ถูกยึดทรัพย์ ในจำนวนนั้นมีคนที่ท่านแม่รู้จักด้วย เดิมทีนึกว่าคนตายไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะไปโผล่อยู่ที่นั่น นางเองก็นับเป็นผู้หญิงที่มีประสบการณ์ความรู้ แต่นางงงที่แยกไม่ออกว่าตัวเองอยู่ที่ไหน อาจจะเป็นเพราะสาเหตุนี้ นางจึงสงสัยว่าตัวเองถูกขังอยู่ในสถานที่ลับหลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์”

“แบบนี้…” เหมียวอี้ครุ่นคิดเงียบๆ รู้สึกว่าสิ่งที่มารดาเฟยหงคาดเดาก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ในใจรู้สึกปลงอนิจจัง ดูท่าแล้วการที่นางเป็นฮูหยินของเทพประจำดาวจะไม่สูญเปล่า เป็นคนที่มีประสบการณ์ความรู้จริงๆ เขาพูดปลอบใจ “เบาะแสที่แม่เจ้าบอกสำคัญมาก อย่างน้อยก็ไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนที่หาเบาะแสไม่เจอเลย เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะหาคนไปสืบเรื่องนี้อย่างลับๆ ยังมีเบาะแสอื่นเกี่ยวกับที่อยู่ของแม่เจ้าหรือเปล่า?” บอกเพียงทิศทางเท่านั้น เบาะแสยังน้อยไปหน่อย

เฟยหงส่ายหน้า “หน่วยตรวจการซ้ายให้เวลาน้อยเกินไป ไม่ยอมให้พวกเราสองแม่ลูกคุยกันเยอะเท่าไร ก็พาแม่ข้าไปแล้ว จากนั้นข้าก็กลับมาพบซือหม่าเวิ่นเทียนอีก ซือหม่าเวิ่นเทียนบอกให้ข้าทำงานให้ดี บอกว่าจะให้ท่านแม่ทำงานน้อยๆ จะหางานสบายให้ท่านแม่ทำ รอให้ข้าทำงานสะสมครอบแล้ว ก็จะให้ข้ากับแม่อยู่ด้วยกัน”

เหมียวอี้ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี รู้สึกหนักหน่วงในอารมณ์ ยังไม่ต้องพูดถึงสาเหตุอื่น ถ้ามารดาของเฟยหงใช้แรงงานอยู่ในสถานที่หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จริง เกรงว่าหน่วยตรวจการซ้ายก็ยิ่งปล่อยมารดานางไปไม่ได้ จะต้องใประโยชน์จากสองแม่ลูกจนแห้งเหี่ยวแน่นอน แต่จนใจที่เขาไม่สะดวกจะพูดให้สะเทือนใจเฟยหง

สรุปก็คือไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ครั้งนี้ก็อาจจะจับพลัดจับผลูช่วยเหลือเฟยหงได้ ให้สองแม่ลูกที่ไม่พบกันหลายปีมาเจอหน้ากัน อย่างน้อยก็ทำให้รู้เบาะแสเกี่ยวกับที่อยู่มารดาของเฟยหงบ้างแล้วนิดหน่อย ถึงแม้อาจจะไม่ถูกต้องแม่นยำก็ตาม

มีอยู่อีกจุดที่เหมียวอี้ค่อนข้างนับถือเฟยหง นั่นก็คือใช้เวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ แต่ก็ยังรู้จักสืบที่อยู่ของมารดาแข่งกับเวลา ไม่เหมือนผู้หญิงทั่วไปที่สนใจแต่อารมณ์อาลัยที่แยกจากกันไปนาน สมกับเป็นสายลับที่ผ่านการฝึกจากหน่วยตรวจการซ้าย

ตอนนี้เขาแปลกใจนิดหน่อยว่าอวิ๋นจือชิวสยบเฟยหงได้อย่างไร

วันต่อมา เอ๋อเหมย หญิงรับใช้ข้างกายราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็มาแล้ว มาที่สวนกลางเขียวขจีเพื่อเยี่ยมเหมียวอี้ด้วยตัวเอง หลังจากกล่าวให้กำลังใจแล้ว ก็บอกว่าราชินีสวรรค์ชื่นชมเขามาก ให้เขาตั้งใจทำงานให้ดี และประทานยาวิเศษกับทรัพย์สินให้เป็นกอง

ส่วนอาการบาดเจ็บของเหมียวอี้ก็ทำให้ไม่สะดวกจะออกจากสวนกลางเขียวขจีภายในสองสามวัน ทำได้เพียงอยู่ที่นี่สักระยะ หลังจากอาการบรรเทาแล้วก็ติดต่อไปบอกอวิ๋นจือชิวว่าตัวเองยังสบายดี ไม่ได้บอกว่าตัวเองโดนทำโทษรุนแรง บอกเพียงว่าจะพักอยู่ที่นั่นสักระยะแล้วค่อยกลับ ขณะเดียวกันก็ติดต่อไปบอกหยางชิ่งว่าจัดการเรื่องนี้สำเร็จแล้ว

ทว่าสิ่งที่ทำให้เหมียวอี้นึกไม่ถึงก็คือ เรื่องเดิมพันที่พระตำหนักอุทยานแพร่ออกไปทั่วใต้หล้าในเวลาเพียงไม่กี่วัน ถึงแม้จะไม่กล้าแพร่ข่าวอย่างโจ่งแจ้งเพราะเกี่ยวกับตำหนักสวรรค์ แต่กลับแพร่ข่าวอย่างลับๆ ได้เร็วเร็วมาก ท่านขุนนางหนิวชื่อเสียงสะท้านใต้หล้าอีกแล้ว

ตลาดผี อวิ๋นจือชิวที่อุดอู้อยู่ในห้องนั่งหวีผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองใบหน้าตัวเองในกระจกที่มีคราบน้ำตาไหลอาบแก้มเงียบๆ สีหน้าโศกสลด ตอนนี้นางเพิ่งจะรู้ว่าทำไมเหมียวอี้ถึงยังไม่รีบกลับมา ที่แท้เป็นเพราะถูกแส้เฆี่ยนทำโทษที่พระตำหนักอุทยาน เขาปิดบังไว้เพราะไม่อยากให้นางกังวลใจ

ตอนนี้นางเพิ่งจะรู้ว่าเหมียวอี้ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงเพียงลำพัง เผชิญหน้ากับการรุมกลั่นแกล้ง ตัวอยู่ในบ่อมังกรถ้ำเสือ แต่กลับอาศัยร่างกายอันอ่อนแอต่ำต้อยเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่มีกลุ่มผู้แข็งแกร่งล้อมรอบ อาศัยความสุขุมสงบนิ่งไปเผชิญหน้าบนราชสำนักอย่างฮึกเหิมเร่าร้อน มองความตายเหมือนการกลับสู้มาตุภูมิ สุดท้ายก็พาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่ถอยกลับไม่ได้ ฝ่าฟันเพื่อวันพรุ่งนี้ที่สว่างสดใส

สมกับเป็นชายชาตรีแท้ๆ ชาตินี้ได้แต่งงานกับผู้ชายแบบนี้ ทั้งชีวิตก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ในดวงตาอวิ๋นจือชิวฉายแววภาคภูมิใจ แต่พอนึกถึงสองบ่าเล็กๆ ของเหมียวอี้ที่แบกรับสถานการณ์เสี่ยงตายทุกอย่างไว้เพียงลำพัง นางก็รู้สึกใจสลายแล้ว!

หลินผิงผิงมองหยางเจาชิงที่ยืนเงียบอยู่ริมหน้าต่าง เขายืนอยู่อย่างนี้มานานแล้ว สีหน้าตึงเครียดตลอดเวลา ตั้งแต่ได้ยินข่าวท่านแม่ทัพภาคที่พระตำหนักอุทยาน เขาก็ยืนอย่างนี้มาตลอดยังไม่พูดอะไรสักคำ

เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ใช่วิธีการที่ดี หลินผิงผิงเดินมาจับแขนเขาเบาๆ แล้วกล่าวปลอบใจเสียงเบา “ไม่ต้องห่วงหรอก ขนาดด่านอันตรายอย่างนั้นยังผ่านมาได้ ท่านแม่ทัพภาคไม่เป็นอะไรหรอก”

หยางเจาชิงทำสีหน้ามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว หันมามองนาง แล้วกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “นายท่านเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง ชาตินี้ได้ติดตามรับใช้นายท่านนับเป็นโชคดีของหยาง!”

หลินผิงผิงพยักหน้าเบาๆ แล้วซบไหล่เขาพลางถอนหายใจ นางเองก็จินตนาการไม่ออก สถานที่อย่างราชสำนัก คาดว่าคนมากมายที่เข้าไปคงตกใจจนขาอ่อนปวกเปียก แต่ท่านนั้นกล้าโต้เถียงอย่างเหิมเกริมต่อหน้าขุนนางเต็มราชสำนัก เป็นลักษณะที่ทำให้คนทึ่งจริงๆ

คนที่ยืนริมหน้าต่างในจวนแม่ทัพภาคยังมีมู่หรงซิงหัวอีกคน นางจ้องนอกหน้าต่างนานมาก ถอนหายใจเบาๆ เช่นกัน ลักษณะท่าทางแฝงอารมณ์ที่ซับซ้อนไร้ที่เปรียบ ตอนนี้เพิ่งจะเข้าใจว่าสิ่งที่เรียกว่าเมาหัวราน้ำกับท้อแท้ในชีวิตเป็นเพียงการอดทนเท่านั้น เพียงเพื่อจะสร้างเสียงฮือฮาในวันนี้

ในตึกศาลาสัตยพรต เฉาหม่านที่นั่งหลังโต๊ะยาวถือแผ่นหยกอ่านซ้ำไปซ้ำมา ถ้าเทียบกับข่าวลือด้านนอก เขามีปัจจัยที่ทำให้รู้สถานการณ์ในพระตำหนักอุทยานละเอียดยิ่งกว่า ในมือกำลังถือบันทึกเหตุการณ์ของเหมียวอี้ที่พระตำหนักอุทยานโดยละเอียด ทุกคำพูดและการกระทำไม่ตกหล่นสักอย่าง

สุดท้ายก็กดแผ่นหยกบนโต๊ะยาว ถอนหายใจใส่ชีเจวี๋ยที่ยืนรออยู่ข้างๆ “บ่มแสงไว้ในความมืด แค่ไม่เปล่งเสียงร้องเท่านั้นเอง พอเปล่งเสียงก็ทำให้คนแตกตื่น เจ้าเด็กนี่ไม่ใช่สัตว์เล็กในบ่อน้ำ หากสามารถผ่านเคราะห์หนักได้ครั้งแล้วครั้งเล่า จะต้องทะยานขึ้นสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแน่นอน!” พูดจบก็หลับตา แล้วส่ายหน้าช้าๆ พลางยิ้มเจื่อน

“บางทีเขาอาจจะมีหกลัทธิวางแผนอยู่เบื้องหลัง!” ชีเจวี๋ยกล่าว

เฉาหม่านหลับตาพลางทำเสียงฮึดฮัด “หกลัทธิมีคนวางแผนเก่ง แต่คนที่สามารถวางแผนลับอย่างนี้ได้ เหมือนข้าจะไม่เคยได้ยินมาก่อน อย่างน้อยในบรรดาข้อมูลสมาชิกที่พวกเรามีก็ยังไม่มีใครที่เชี่ยวชาญวิธีพลิกเมฆคว่ำฝนโดยการใช้ไม้อ่อนไม้แข็งควบกันอย่างนี้ นอกเสียจากหกลัทธิจะมีตัวละครที่ผงาดขึ้นใหม่แต่พวกเรายังไม่รู้จัก”

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+