พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1757 นัดพบอวี้หลัวช่า

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1757 นัดพบอวี้หลัวช่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ไม่มีทางเลือกหรือ หากเป็นเยี่ยงนี้ ข้าก็ขอนำยาวิเศษนี้นำไปแลกในรอบหน้าแล้วกัน “หานลี่เมื่อได้ฟัง พลันขมวดคิ้วก่อนตอบ

“สหายยินดีที่จะแลกเปลี่ยนในรอบต่อไป แน่นอนว่าได้ แต่ข้าต้องขอเตือนก่อน ของล้ำค่าต่อไปนั้นอาจจะมีการเพิ่มหรือเปลี่ยนแปลงของแลกเปลี่ยนก็ได้ เพราะนี่คือของล้ำค่าที่ผู้อาวุโสที่ต่างกันจากอาณาจักรทมิฬเราบริจาคให้มา ทุกคนต้องการของแลกเปลี่ยน ซึ่งไม่เหมือนกัน และของต่อไปนี้ แม้แต่อาศัยยาวิเศษต้นนี้ของสหายก็มิอาจแลกเปลี่ยนสองชิ้นได้เช่นกัน อย่างน้อยๆ ก็ฆ้องฉีเทียนนี้ แน่นอนว่าก็ต้องคลาดกับสหายไปอย่างนี้” บุรุษใบหน้าสีทองเอ่ยเดือนด้วยแววตาระยิบ

“แลกสองสิ่งไม่ได้ หรือว่าของล้ำค่าชิ้นต่อไปจะหายากยิ่งกว่าฆ้องฉีเทียนหรือ” หานลี่เมื่อได้ฟัง ก็หวั่นไหวทันที

“หึ ผู้มีพระคุณเห็นผู้มีพระคุณ คนมีปัญญาเห็นปัญญา!” สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับของล้ำค่าอื่น ๆ ในอาณาจักรทมิฬ บุรุษใบหน้าสีทองมีน้ำเสียงที่เข้มงวดผิดปกติ เขาไม่ได้เปิดเผยข้อมูลต่อหานลี่แม้แต่นิด

เมื่อหานลี่ได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าของเขาขยับ แต่เขากลับลอบเยาะเย้ยอย่างลับๆ:

“คิดจริงหรือว่าข้าต้องการฆ้องฉีเทียนนี้ สิ่งที่ข้าสนใจก็แค่เพียงวิชาเพิ่มพลังบำเพ็ญเพียรของเผ่ากลายพันธุ์ที่ฆ้องนี้มีติดตัวมาเท่านั้น ฆ้องฉีเทียนสำหรับข้าแล้ว จะมีหรือไม่มีก็ได้”

ในใจคิดแบบนี้ แต่หานลี่เอ่ยออกมาอย่างไม่กดดัน

“ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าสมบัติชิ้นที่สองที่ท่านนำออกมาจะเป็นหนึ่งในสมบัติชิ้นสุดท้ายของท่านอย่างแน่นอน หากเอาอะไรไม่รู้มา ข้าจะไม่เสียเปรียบครั้งใหญ่หรือ”

“เหอะๆ ย่อมได้ ข้อนี้ท่านวางใจได้ อ้างอิงตามสายตาท่านแล้ว ยังมองไม่ออกถึงคุณค่าของสมบัติชิ้นนี้หรือ หากท่านไม่พอใจ แน่นอนว่าต้องไม่แลกเปลี่ยนแน่” บุรุษใบหน้าสีทองมั่นใจในของชิ้นที่สองมาก เขาเอ่ยออกมาอย่างยะโส

ทันทีที่หานลี่ได้ยินเช่นนี้ หลังจากเขาครุ่นคิดเล็กน้อย ก็พยักหน้าและตกลง

“ในเมื่อสหายพรตว่าอย่างนั้น ก็นำสมบัติที่สองนี้ออกมาและแสดงให้เห็นเถิด ถ้ามันเป็นประโยชน์จริงๆ แน่นอนว่าต้องแลกเปลี่ยนแน่”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีความมั่นใจเพียงนี้ เขาก็อยากรู้ เกี่ยวกับของล้ำค่าชิ้นที่สองนี้จริงๆ

“เอาล่ะ สหาย ช้าก่อน!” บุรุษใบหน้าสีทองยกยิ้ม มีแสงวาบในมือของเขา และถุงผ้าสีทองก็ปรากฏออกมา และเขาโยนมันขึ้นไปในอากาศ

ด้วยแสงวาบของแสงสีขาว งูสีขาวที่ลอยอยู่ในอากาศ ก็พุ่งลงมาราวกับสายฟ้า กลืนถุงผ้าเข้าไปในช่องท้อง จากนั้นหันหลังบินออกจากกลุ่มแสงสีขาว และตรงไปที่หานลี่

หานลี่หงายมือขึ้นและเหยียดฝ่ามือออก

ถุงผ้าสีทองตกลงมา และถูกคว้าเอาไว้ในมือของเขา

หานลี่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และเปิดปากถุงผ้าทันที และดวงจิตของเขาก็เริ่มตรวจสอบ

“นี่คือ……” สีหน้าของหานลี่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน แสดงความประหลาดใจ

ตอนนี้เอง จู่ๆ ก็มีแสงสว่างสีเขียวสาดส่องออกมาจากถุงผ้า เกิดเสียงดังหึ่งๆ แปลกๆ ต่อมาแสงนั้นก็กระจายไปทั่ว เหมือนกับมีของสิ่งใดพยายามจะบินออกมาจากในนั้น

หานลี่ที่เมื่อเห็นอย่างนี้ ก็ตบกระเป๋าด้วยฝ่ามืออย่างไม่ต้องคิดเลย

ทันใดนั้น หมอกสีทองก็ถูกปลดปล่อยออกมา ปกคลุมถุงผ้าจนหมด

ไม่ว่าจะแสงสีเขียวหรือเสียงหึ่งแปลกๆ ทั้งหมดล้วนหายไปในแสงสีทองในทันที

“ท่านหยิบสิ่งนี้ออกมา หมายความว่าเยี่ยงไร” หานลี่มองไปยังถุงผ้าในมือของเขาอย่างเหม่อลอยครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้นอย่างเร็วเพื่อส่งสัญญาณเสียง

“ง่ายมาก ใช้สิ่งนี้และฆ้องฉีเทียนเพื่อแลกกับหญ้าหงส์ทมิฬของสหายอย่างไรเล่า” บุรุษใบหน้าสีทองยกยิ้มเล็กน้อยก่อนตอบอย่างมั่นใจ

“เหอะ หากของสิ่งนี้หลอมบ่มสำเร็จล่ะก็ แน่นอนว่าต้องเป็นวัตถุล้ำค่าแน่ แต่ตอนนี้อยากใช้เพียงของตั้งต้นก็จะแลกเปลี่ยนหญ้าหงส์ทมิฬของข้าหรือ อาณาจักรของท่านช่างมีความคิดดีเสียจริง” หานลี่แววตาเปลี่ยนไป ก่อนส่งเสียงหึในลำคอ

“สหายขอถามว่าหากของชิ้นนี้หลอมสำเร็จล่ะก็ จะมีใครทำของสิ่งนี้มาแลกหรือ ต่อให้แลก อย่าว่าแต่ฆ้องฉีเทียนเลย อาศัยแต่ของสิ่งนี้ก็สามารถแลกหญ้าหงส์ทมิฬในมือสหายเช่นกัน เจ็ดแปดต้นขึ้นไปด้วยซ้ำ” บุรุษใบหน้าสีทอง กลับตอบออกมาอย่างไม่ใส่ใจเลย

“นี่ก็จริง ของสิ่งนี้หากสำเร็จล่ะก็ สำหรับข้าและสหายอื่นต่อให้ใครก็ตามล้วนไม่อยากตัดใจแน่นอนแน่นอน แต่ของตั้งต้นก็คือของตั้งต้น ยังห่างจากเวลาหลอมสำเร็จอีกไกลมาก แต่ภัยพิบัติใกล้จะมาถึงแล้ว ใช้หญ้าวิเศษหายากอย่างนี้ แลกเปลี่ยนของที่ไม่มีประโยชน์เลยในการต่อสู้กับภัยนี้ สวรรค์ยังรู้ว่าคุ้มค่าหรือไม่” หานลี่ที่คิดอยู่นาน ก่อนถอนหายใจก่อนเอ่ย

“เหอะๆ อย่างนั้นก็ต้องดูที่ความโชคดีของวาสนาของสหายแล้วว่าเป็นอย่างไร หากสหายสามารถรอดปลอดภัยจากภัยพิบัติได้ ค่อยหาวิธีหลอมของสิ่งนี้ออกมา อย่างนั้นสหายต่อไปก็ต้องได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้ไม่น้อย ข้าเองก็ไม่ปิดบังแล้ว ของล้ำค่าสิ่งนี้ก็คือของที่ผู้อาวุโสอาณาจักรเราหลอมออกมา เขาเพียงทุ่มเทแต่ไม่สามารถทำให้มันสมบูรณ์ได้ จึงนำมันออกมาแลกเปลี่ยน” บุรุษใบหน้าสีทองหัวเราะเบาๆ ก็ไม่ได้ปกปิดอะไร

หานลี่ที่ได้ฟังก็ลูบคาง เงียบอยู่นานไม่ได้เอ่ยสิ่งใด

ของในถุงผ้าสีทองนั้นคือของประหลาดที่อยู่ในตำนานของเผ่ามนุษย์และปีศาจ เมื่อหลอมสำเร็จแล้ว สามารถช่วยนักบำเพ็ญเพียรต่างๆ ในการบำเพ็ญเพียรได้ ว่ากันว่าท่ามกลางสองเผ่าพันธุ์ตอนนี้ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ในมือจะมีของล้ำค่าประเภทนี้ ตอนนี้แม้จะเป็นเพียงของที่ยังไม่สมบูรณ์ แต่หากมิใช่เพราะเผ่าปีศาจจะก่อภัยพิบัติล่ะก็ คุณค่าของมันคงเพียงพอที่จะแลกเปลี่ยนหญ้าหงส์ทมิฬในมือเขาแน่ ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่จะแลกคงยังมีฆ้องฉีเทียน

อย่างไรก็ตามสมบัตินี้เป็นของล้ำค่าที่เกิดจากสวรรค์และโลก ไม่เพียงแต่การก่อตัวของตั้งต้นจะยากมากเท่านั้น แต่ยังเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะทำ แต่การหลอมหลอมในอนาคตจะยิ่งยากขึ้นและแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้สำเร็จ มิฉะนั้นในทั้งสองเผ่าพันธุ์คงไม่มีจำนวนน้อยถึงเพียงนี้

ถึงกระนั้น ความคิดเกี่ยวกับประสิทธิภาพสุดมหัศจรรย์ของวัตถุนี้หลังจากการหลอมสำเร็จก็ทำให้หัวใจของหานลี่เต้นรัว

ไม่แปลกใจเลยที่อีกฝ่ายจะมั่นใจมากว่าเขาจะยอมแลกอย่างแน่นอน แต่ก็เห็นได้ชัดเจนเช่นกัน อีกฝ่ายมีความมั่นใจแน่นอนว่าต้องได้ครอบครองหญ้าหงส์ทมิฬแน่

เมื่อเห็นหานลี่และบุรุษใบหน้าสีทอง คนอื่นในศาลาหินอื่น ๆ และในบริเวณใกล้ ๆ พวกเขารู้ว่าการแลกเปลี่ยนนี้มีแนวโน้มกว่าร้อยละแปดสิบที่จะเกิดขึ้น

ทันใดนั้นหลายคนก็แอบสงสัย กล่องหยกที่หานลี่หยิบ และของในถุงผ้าของบุรุษใบหน้าสีทองที่บรรจุสมบัติของเขาไว้คือของสิ่งใด

แต่ภายใต้ข้อจำกัดของดวงจิตแล้ว แน่นอนว่าแทบจะไม่สามารถตรวจสอบอะไรได้เลย

“ได้ ข้าตกลงแลกเปลี่ยน” หานลี่ไม่ได้คิดนาน ก็รับปากแลกเปลี่ยนอย่างเป็นทางการ

“การตัดสินใจนี้ของสหาย ต้องเป็นการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยมแน่นอน” บุรุษใบหน้าสีทองปรากฏสีหน้าพอใจแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยอย่างดีใจเช่นกัน

เสื้อคลุมแขนเสื้อสะบัดไปยังฆ้องสีดำขนาดยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าเขา และแสงสีทองก็ส่องออกมา

ทันใดนั้น ฆ้องยักษ์ก็หดตัวอย่างรวดเร็วด้วยแสงสีทอง และในชั่วพริบตา มันก็กลายเป็นขนาดเท่าฝ่ามือ และล่องลอยไปในอากาศ

และฆ้องทองแดงสีม่วงซึ่งถูกลดขนาดลงไปเท่าความหนาของนิ้วและตกลงมาอยู่ในมือของเขาราวกับแสงสีม่วง

และเรื่องต่อไปนี้ ก็ง่ายดายอย่างผิดปกติ

บุรุษใบหน้าสีทองบรรจุสิ่งของทั้งสองในกล่องไม้ และด้วยมือข้างหนึ่งที่บีบขึ้น อีกาสีดำพุ่งออกมาจากท้องฟ้าเหนือแท่นหิน คว้าเอากล่องไม้ไว้ในปากข้างหนึ่งแล้วส่งมอบให้หานลี่

หลังจากนั้น ตัวเขาเองก็เก็บกล่องหยกที่บรรจุหญ้าหงส์ทมิฬไว้อย่างระมัดระวัง

หานลี่เองก็เก็บฆ้องฉีเถียนและถุงผ้าสีทอง แล้วเอนหลังพิงเก้าอี้แล้วหลับตาลง

และด้วยการนี้ถือว่าการแลกเปลี่ยนเสร็จสมบูรณ์

หญิงรับใช้หมายเลขสิบเอ็ดที่อยู่ข้างหลังนางเริ่มทุบมือทั้งสองข้างของนางอย่างเชื่อฟังอีกครั้งทันที

“และตอนนี้ของชิ้นแรกก็ได้แลกเปลี่ยนสำเร็จแล้ว ต่อไปอาณาจักรได้เตรียมวัสดุจำนวนมากซึ่งหาได้ยากในตลาดปัจจุบันไว้ แม้ว่าวัสดุเหล่านี้จะไม่ได้หายาก แต่ก็มีประโยชน์อย่างยิ่งและขาดแคลนนัก เนื่องจากมีปริมาณมากเกินไป วัสดุเหล่านี้จึงถูกจัดเป็นสามชุด สหายทั้งหลายจงดูให้ดี หากท่านสนใจวัสดุชุดเดียวกัน ท่านสามารถตัดสินจะเอาหรือทิ้งได้ที่ด้านล่าง” บุรุษใบหน้าสีทองเอ่ยเสียงดัง

ในขณะเดียวกันประกาศหยกสองใบก็ปรากฏขึ้น และพุ่งไปบนท้องฟ้าทันที

ทันใดนั้น ข้อความโบราณบนม่านแสงเดิมเริ่มเปลี่ยนไป ไม่เพียงแต่ชื่อของบางรายการหายไปอย่างน่าประหลาด แต่ยังเพิ่มชื่อรายการใหม่เกือบครึ่งด้วย

ในเวลาเดียวกัน ม่านแสงอีกอันปรากฏขึ้นใกล้กับม่านแสงนี้ ที่แสดงด้านบนนี้เป็นชื่อของวัสดุสามชุดที่แลกเปลี่ยนในครั้งนี้และจำนวนที่น่าตกใจจนทำให้คนต้องพูดจาติดขัด

เห็นได้ชัดว่าข่าวสารเหล่านี้ได้รับความนิยมอย่างมากจากผู้คนจำนวนมากที่เข้าร่วมการประชุม เกือบจะทันทีที่คำพูดของบุรุษใบหน้าสีทองเอ่ยออกมา หลายคนก็เปิดปากรายงานสิ่งต่าง ๆ ที่ตนต้องการทันที และการประชุมแลกเปลี่ยนทั้งหมดก็กลายเป็นเรื่องดุเดือดในทันที

แน่นอนว่าหานลี่ประเมินเรื่องเหล่านี้ด้วยสายตาเย็นชา แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีจะลงมืออันใด

วัสดุทั้งสามชุดถูกแลกเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่บุรุษใบหน้าสีทองด้านล่างนำออกมาอีกครั้งก็ทำให้หานลี่ใจเต้นขึ้นมาทันที

มีกลุ่มผู้หญิงที่น่าทึ่งเจ็ดคนในเผ่าพันธุ์มนุษย์ ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่มีวิธีบำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณขึ้นไป แต่ก็เป็นหญิงที่เหมาะกับวิชาคู่บำเพ็ญเตาหลอมยิ่งนัก

ผู้หญิงเหล่านี้อายุไม่มาก และตราบใดที่พวกเขาได้รับการฝึกฝนมา พวกเธอก็เป็นผู้ที่เหมาะสมกับเตาหลอมนี้แน่

และเห็นได้ชัดว่าคนที่สนใจในหญิงสาวเหล่านี้มีไม่น้อยเลย หลังจากแย่งชิงกันแล้ว ก็ถูกคนลึกลับที่อยู่ในอาภรณ์สีม่วงใช้ “เหล็กแสงทมิฬ” ที่กำหนดไว้ในรายการแลกเปลี่ยนไปแล้ว

ด้านล่างอาณาจักรทมิฬนำสมบัติชิ้นที่สองออกมาซึ่งเขาวางแผนจะแลกเปลี่ยน เป็นธงโบราณสีเหลืองหน้าตาประหลาด

จริงๆ แล้วคือสมบัติช่วงเวลาที่เผ่าพันธุ์มนุษย์เมื่อแรกเริ่มก่อร่างสร้างตัวในโลกวิเศษ บุรุษผู้ทรงพลังที่ยังคงมีชื่อเสียงโด่งดังแม้แต่ในเผ่าพันธุ์มนุษย์ทุกวันนี้ สมบัติที่หลงเหลือเอาไว้ ว่ากันว่ามีความสามารถในการเปลี่ยนวันและคืนได้อย่างไม่น่าเชื่อเลย ไม่ว่าจะนำมาใช้เป็นดวงตาอาคมของเขตอาคมที่ทรงพลัง หรือว่าทำมาต่อกรกับศัตรู ล้วนมีพลังที่มหัศจรรย์และโหดเหี้ยมนับหมื่นส่วน

ของวิเศษอย่างนี้ แม้แต่หานลี่เองเมื่อได้มองก็อดหวั่นไหวไม่ได้

แต่ที่น่าเสียดายก็คือ บุรุษใบหน้าสีทองเพียงเจาะจงว่าต้องนำของล้ำค่าอื่นหนึ่งในสามชิ้นที่ไม่ด้อยไปกว่าธงนี้มาแลกไป

ทำให้คนอีกไม่น้อยเลยทำได้เพียงอิจฉาตาร้อนแล้วกลืนน้ำลายเสียเท่านั้น

ทว่าไหนเลยยังมีคนที่ในมือมีของหนึ่งในสามนี้จริงๆ คนผู้นี้ไม่เพียงนำออกมา ยังต่อราคาอีกยืดยาว ทำให้บุรุษใบหน้าทองต้องเพิ่มศิลาวิเศษไปอีกจำนวนไม่น้อยเลย จึงจะยอมแลกเปลี่ยนอย่างพอใจ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1757 นัดพบอวี้หลัวช่า

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1757 นัดพบอวี้หลัวช่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตั้งแต่ตอนแรกที่ได้รับข้อความว่า ‘พระปีศาจหนานโป’ จากระฆังดาราของไต้ซือศีลเจ็ด เขาก็เริ่มนับเวลามาตลอด ตอนหลังถูกทำโทษขังอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์จึงเสียเวลาไปนิดหน่อย แล้วก็ถูกลงโทษให้เฝ้าที่นาหลวงในอุทยานหลวงอีกหนึ่งร้อยปี ที่จริงก็เหลือเวลาอีกแปดร้อยปีเท่านั้นที่พวกศีลแปดจะออกมา

ตอนแรกที่เขาอ้างเรื่องสมบัติลับหนานอู๋มาหลอกอวี้หลัวช่า ที่บอกว่าอีกเก้าร้อยปีหลังจึงจะถึงเวลาที่เหมาะสมสำหรับหาสมบัติ ที่จริงแล้วเขาเหลือทางถอยให้ตัวเองนิดหน่อย เพื่อให้ตัวเองได้รับมือล่วงหน้าหากแผนการในปีนั้นมีการเปลี่ยนแปลง ไม่ให้ถึงขั้นฉุกละหุกทำอะไรไม่ถูก

ที่จริงสำหรับเขาแล้ว ถ้าอยากกำจัดอวี้หลัวช่าทิ้งก็ไม่ใช่เรื่องยากเท่าไรนัก กำลังพลในมือเขาอาจจะรับมือกับสำนักหลัวช่าได้ไม่ง่ายนัก แต่ถ้าจะรับมือกับอวี้หลัวช่าคนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ก็แค่เอาเรื่องหาสมบัติมาล่ออวี้หลัวช่าเข้าแดนอเวจี ที่แดนอเวจีมียอดฝีมือเยอะขนาดนั้น ขอเพียงอวี้หลัวช่าเข้าแดนอเวจี โดยพื้นฐานก็ไม่มีโอกาสรอดชีวิตแล้ว

แต่เขาต้องหลอกใช้อวี้หลัวช่าให้ช่วยชีวิตศีลแปด ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าเวรศีลแปดนั่น เขาก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนี้

จุดเริ่มต้นของสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปอยู่บริเวณน่านฟ้าเถาะติง ถึงแม้ตำหนักสวรรค์จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดุเดือดช่วงหนึ่งจนถอนกำลังพลที่ค้นหาออกไป จนตอนนี้ก็ยังไม่กลับไปค้นหาต่อเพราะมีการปรับปรุงภายในของสี่ทัพ แต่กำลังพลกองทัพองครักษ์ก็กลับไปค้นหาต่อแล้ว จากสิ่งนี้ยังไม่เห็นอีกเหรอ ว่าสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปมีความสำคัญขนาดไหน

ถ้าจะพูดให้ชัดเจนก็คือ เหมียวอี้ไม่มั่นใจว่าจะหลบเลี่ยงกำลังพลตำหนักสวรรค์ที่กำลังค้นหาได้ ต้องยืมมืออวี้หลัวช่ามาคิดหาวิธีการ

“ต้องให้พวกชิงเยว่ไปด้วยหรือเปล่า?” อวิ๋นจือชิวถามอย่างค่อนข้างกังวล

“ไม่ต้อง ข้าไม่สะดวกให้คนนอกรู้ว่าตัวเองไปเจออวี้หลัวช่า เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ข้ามีแผนในใจแล้ว ไม่ทำใหตัวเองเกิดปัญหาหรอก” เหมียวอี้อ้างเหตุผลตบตานาง

เขาก็อยากจะพาพวกชิงเยว่ไปด้ววยเพื่อเป็นผู้ช่วยลับ แต่อวี้หลัวช่าจะต้องค้นตัวเขาแน่นอน เขาซ่อนพวกชิงเยว่ไม่พ้นเลย ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ไม่สะดวกจะให้พวกชิงเยว่รู้เรื่องนี้จริงๆ

หลังจากออกจากการเก็บตัวฝึกวิชาแล้ว เหมียวอี้ก็ยังไม่รีบไป เขาตั้งใจใช้ชีวิตสุขสำราญผ่อนคลายกับบรรดาภรรยาก่อน จากนั้นถึงได้ใช้ระฆังดาราติดต่ออวี้หลัวช่า ทั้งสองนัดเวลาพบกันแล้ว

หลังจากนั้นหลายวัน เหมียวอี้ก็ออกไปเงียบๆ คนเดียว

ขณะมองคล้อยหลังเหมียวอี้จากไป อวิ๋นจือชิวก็กระสับกระส่าย นางรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล จุดที่น่าสงสัยก็คือเหมียวอี้ไม่ยอมบอกเรื่องราวให้ชัดเจน เหมือนมีเรื่องบางอย่างกำลังปิดบังนาง

หรือว่าจะแอบไปหาชู้รัก? อวิ๋นจือชิวอดไม่ได้ที่จะคิดไปในทางนั้น เพราะด้วยนิสัยประหลาดของเหมียวอี้ ใช่ว่านางจะไม่เคยได้บทเรียนมาก่อน

นางเดาไม่ผิด เหมียวอี้แอบไปหาชู้รักก่อนจริงๆ นัดกับหวงฝู่จวินโหรวก่อนที่จะนัดกับอวี้หลัวช่า ที่จริงในระหว่างนั้นเขาจะกลับไปหาฉินเวยเวยที่พิภพเล็กเสมอ อวิ๋นจือชิวเป็นคนเร่งให้เขาไป เพราะหยางชิ่งมีบทบาทสำคัญมาก จะเย็นชาเมินเฉยกับฉินเวยเวยไม่ได้ แต่เหมียวอี้กลับฉวยโอกาสนี้ไปหาความสำราญกับหวงฝู่จวินโหรวมาหลายครั้งแล้ว คู่นี้ก็ไม่กลัวว่าเรื่องราวจะใหญ่โตเลย ถ้าโดนจับได้ขึ้นมา ทั้งสองก็ไม่อาจแบกรับผลที่ตามมาไหว แต่กลับยังเสี่ยงอันตรายอยู่อย่างนี้

สถานที่นัดพบกับอวี้หลัวช่า ก็คือดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่ไม่ไกลจากอารามแปดทิศซึ่งเป็นทางเข้าแดนสุขาวดีเท่าไรนัก นัดเจอบนเกาะกลางทะเลแห่งหนึ่ง

เหมียวอี้ที่ปลอมแปลงใบหน้าแล้วเหาะลงมาจากฟ้า หลังจากเหยียบลงบนเกาะ ก็เห็นสตรีชราคนหนึ่งยืนอยู่บนหินโสโครกริมทะเล จากนั้นโบกมือเรียกอย่างร่าเริง “อวี้หลัวช่า!”

สตรีชราหันกลับมามองแวบหนึ่ง ก่อนจะถลันตัวมาตรงหน้าเขา นางถามอย่างแปลกใจอยู่บ้างว่า “ทำไมเจ้าแน่ใจขนาดนี้ว่าเป็นข้า?”

เหมียวอี้แอบตะลึงไปชั่วขณะ แอบคิดว่าตัวเองประมาทไป เป็นเพราะกังวลว่าอีกฝ่ายจะเล่นไม่ซื่อ ตอนที่อยู่ในดาราจักรจึงใช้ตาทิพย์สำรวจล่วงหน้านิดหน่อย จึงเห็นตัวจริงขอสตรีชราคนนี้ชัดเจน ย่อมรู้อยู่แล้วว่านางคืออวี้หลัวช่า แต่การอวดฉลาดกลับกลายเป็นการปล่อยไก่ เพียงแต่เขามีเหตุผลมาอ้างอยู่แล้ว เขาชี้ไปรอบๆ พร้อมกล่าวอย่างไม่ตื่นเต้น “บนเกาะมีเจ้าอยู่คนเดียว ไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใครไปได้? อวี้หลัวช่า ถึงยังไงเจ้าก็เป็นยอดหญิงงาม ทำไมเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์อย่างนี้แล้ว? เจ้า…เอ่อ!” เขาเบิกตากว้าง ยังไม่ทันเปลี่ยนประเด็นพูด ก็ถูกอีกฝ่ายบีบคอเสียแล้ว

อวี้หลัวช่าโมโหนิดหน่อย นางคิดว่าตัวเองเป็นพุทธะหน้าหยกผู้สง่าภูมิฐาน แต่เจ้าหมอนี่กลับเอ่ยนามของนางตรงๆ จะไม่สั่งสอนสักหน่อยได้อย่างไร แต่สิ่งที่ทำให้นางเดือดดาลที่สุดก็คือ นางรู้สึกได้ตั้งแต่พบกันครั้งแรก ว่าเจ้าเวรนี่ไม่มีความเกรงกลัวต่อนางเหมือนคนทั่วไปเลย ถึงขั้นรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่เห็นนางอยู่ในสายตา สิ่งนี้ทำให้นางไม่สบอารมณ์เอามากๆ เพียงแต่เมื่อได้ฟังข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับเหมียวอี้ ก็พบว่าเจ้าเวรนี่ใจกล้าบ้าบิ่นจริงๆ ขนาดอยู่ในงานเลี้ยงวันเกิดเซี่ยโห้วท่าที่มีขุนนางใหญ่มากมายก็ยังกล้าสร้างเดิมพันขึ้นมา สอดคล้องกับนิสัยของเขา แต่นางก็ยังมีปฏิกิริยากับพฤติกรรมที่เขาอ้าปากหุบปากก็เรียกนางว่า ‘อวี้หลัวช่า’ อยู่ดี

เหมียวอี้ถูกบีบคอจนกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ ดวงตาทั้งคู่แทบจะถลนออกมา

เมื่อบีบคอจนเหมียวอี้เกือบขาดใจแล้ว อวี้หลัวช่าถึงได้ดึงหน้ากากบนใบหน้าออก พอยืนยันตัวตนแล้วก็ผลักออกหนึ่งที ทำเอาเหมียวอี้ไอไม่หยุด

“เจ้าบอกเองไม่ใช่เหรอว่าอาณาเขตดาวของจุดซ่อนสมบัติกำลังโคจรไม่หยุดนิ่ง ทุกๆ หนึ่งพันปีถึงจะกลับมาทีเดิมสักครั้ง ครั้งต่อไปที่จุดซ่อนสมบัติจะเปิดก็คืออีกเก้าร้อยปี? ทำไมเพิ่งผ่านไปแปดร้อยปีเจ้าก็บอกว่าได้แล้วล่ะ?” อวี้หลัวช่ากล่าวเสียงเย็น

เหมียวอี้เอามือลูบคอ ไม่ง่ายเลยกว่าจะหายใจคล่อง “ก็เกือบแล้วล่ะ แปดร้อยปีกับเก้าร้อยปีก็ไม่ต่างกันเท่าไรหรอก ข้าไม่เคยไปที่นั่น ระหว่างทางยังต้องใช้เวลาค้นหาอีก ไปถึงล่วงหน้าสักหน่อยก็ดีกว่าพลาดเวลานั้น แถมเรื่องนี้ก็อาจจะยุ่งยากนิดหน่อยด้วย ไม่มาล่วงหน้าไม่ได้หรอก”

“ปัญหาอะไร?” อวี้หลัวช่าหรี่ตาถาม

“ข้ากังวลว่ากองทัพองครักษ์ของตำหนักสวรรค์จะมาพบว่าพวกเราจะไปหาสมบัติ” เหมียวอี้ถาม

“กองทัพองครักษ์?” อวี้หลัวช่าขมวดคิ้ว “หรือว่าจุดซ่อนสมบัติมีกองทัพองครักษ์ประจำการอยู่?”

เหมียวอี้ตบหน้าอกตัวเอง เอียงคอที่เพิ่งถูกบีบจนเจ็บ แล้วตอบว่า “ไม่ใช่แบบนั้นหรอก เพียงแต่บางเส้นทางที่ไปจุดหาสมบัติ ถ้าพวกเราผ่านไปทางนั้น ก็อาจจะหลีกเลี่ยงหูตาของกองทัพองครักษ์ลำบาก ถ้าไม่อยากถูกพบก็คงยาก”

“เจ้าคงไม่ได้จงใจหาข้ออ้างหรอกใช่มั้ย?” อวี้หลัวช่าระแวดระวัง

“แผนที่ซ่อนสมบัติที่ข้าให้เจ้าไว้ ตอนนี้คงจะอยู่บนตัวเจ้าใช่มั้ย เอามาให้ข้า” เหมียวอี้กล่าว

อวี้หลัวช่าทำสีหน้าระแวง แต่ก็ยังโยนลูกกลมโลหะออกมา

หลังจากเหมียวอี้รับมาแล้ว ก็กวักมือให้นางอีก แต่นางก็ไม่เข้าใจ “อะไร?”

เหมียวอี้ใช้ฝ่ามือข้างเดียวรองถือลูกกลมโลหะ “เอามือมา ข้าจะชี้แนะว่าเจ้าจะคลายปริศนาแผนที่นี้ได้ยังไง”

อวี้หลัวช่าขมวดคิ้วอีก นางไม่ชอบความรู้สึกเวลาโดนคนจูงจมูกเลย แต่ก็ไม่มีทางเลือก ยังคงเดินเข้าไป แล้วยื่นมือกดบนลูกกลมโลหะ มองเข้าไปภายในลูกกลมโลหะแล้ว พลังอิทธิฤทธิ์กลุ่มหนึ่งมารวมกับพลังอิทธิฤทธิ์ของนาง ดึงให้นางเดินไปตามพลังอิทธิฤทธิ์ของเขา

นางไม่ได้ปฏิเสธ พลังอิทธิฤทธิ์ของนางตามพลังอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้ไป แต่สายตากลับหยุดอยู่บนใบหน้าเหมียวอี้ มองออกว่าอีกฝ่ายใจเย็นและไม่สะทกสะท้าน

พอนำทางนางไปถึงมุมหนึ่ง ก็ชี้ไปที่จุดหนึ่งตรงนั้น หลังจากวนรอบดาวเคราะห์หลายดวง เหมียวอี้ก็บอกว่า “ตำแหน่งนี้อยู่บริเวณชายแดนน่านฟ้าเถาะติง ข้าบอกไปเจ้าอาจจะไม่เชื่อ เจ้าหาลองแผนที่ดาวธรรมดามาสักฉบับแล้วก็หาตำแหน่งนี้ เจ้าก็จะเข้าใจเอง” พูดจบก็พลิกฝ่ามือ ลูกกลมโลหะกลับไปอยู่ในฝ่ามือของอีกฝ่ายแล้ว เขาคลายมือออกแล้ว

“บริเวณชายแดนน่านฟ้าเถาะติงเหรอ? แผนที่ดาวธรรมดา?” อวี้หลัวช่าพึมพำด้วยความสงสัย แต่ก็ยังรีบทำตามที่บอก หยิบแผ่นหยกออกมาเทียบทีละแผ่นอย่างฉับไว

หลายปีมานี้นางศึกษาแผนที่ซ่อนสมบัติฉบับนี้มาไม่น้อย แต่จนใจที่มองเบาะแสอะไรไม่ออก  บนตัวนางก็มีแผนที่ดาวของน่านฟ้าเถาะติงเช่นกัน กอปรกับเหมียวอี้ชี้แนะว่าอยู่บริเวณชายแดนของน่านฟ้าเถาะติง ทำให้ขอบเขตในการค้นหาหดแคบลงเยอะมาก

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่นางก็ยังเปรียบเทียบค้นหาอยู่เกือบครึ่งวัน จนกระทั่งฟ้ามืด นางถึงได้เจอจุดที่เหมียวอี้ระบุไว้ หลังจากเปรียบเทียบจนแน่ใจ สุดท้ายก็เข้าใจแล้วว่าอะไรเป็นอะไร นางเงยหน้ามองเหมียวอี้ แล้วเอ่ยถามเสียงต่ำ “สถานที่ที่เจ้าบอก ก็คือสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปที่ตำหนักสวรรค์ส่งกำลังพลไปค้นหาเหรอ?”

“ถูกต้องแล้ว” เหมียวอี้พยักหน้า

อวี้หลัวช่าใช้ฝ่ามือรองลูกกลมโลหะ “ข้าเคยศึกษาแผนที่ซ่อนสมบัตินี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ดาราจักรในนี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่รู้จักเลย เจ้าวนรอบดาวเคราะห์แค่ไม่กี่ดวงก็บอกแล้วว่าอยู่ที่น่านฟ้าเถาะติง หรือว่าอยากจะให้ข้ารู้ว่ายากแล้วยอมถอยไปเอง? ข้าจะบอกเจ้าไว้ก่อนนะ อย่าเล่นตุกติกอะไรเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นข้าจะทำให้เจ้าทรมานจนมีชีวิตอยู่มิสู้ตาย”

เหมียวอี้ไม่หวาดกลัวเลยสักนิด ส่ายหน้าแล้วกล่าวช้าๆ ว่า “เจ้าคิดผิดแล้ว บนแผนที่ไม่ใช่อาณาเขตดาวหรือดาราจักรอะไรหรอก แผนที่ดาวฉบับนี้น่ะ ถ้าเจ้ามองว่ามันเป็นแผนที่ดาวก็ถือว่าเข้าใจผิดมหันต์ มันไม่ใช่แผนที่ดาวธรรมดา แต่เป็นแผนที่เครื่องหมายบอกทางของดาราจักร แผนที่นี้รวมเครื่องหมายบอกทางทั้งหมดไว้เป็นก้อนเดียว เป็นปริศนามาก ไม่ว่าใครมองก็ต้องนึกว่าเป็นแผนที่ดาว ถ้าหาตำแหน่งจุดเริ่มต้นไม่เจอ ก็คลายปริศนาแผนที่นี้ไม่ได้เลย จุดที่ข้าเพิ่งระบุไปเมื่อครู่นี้ ก็คือจุดเริ่มต้น!”

“แผนที่เครื่องหมายบอกทาง…” อวี้หลัวช่าพึมพำ รีบร่ายอิทธิฤทธิ์เข้าไปตรวจดูในลูกกลมโลหะอีกครั้ง

เหมียวอี้เตือนปนเสียงหัวเราะอยู่ข้างๆ “อย่าสิ้นเปลืองพลังความคิดเลย ขนาดตำแหน่งจุดเริ่มต้นยังอยู่บริเวณชายแดนน่านฟ้าเถาะติง จุดที่เครื่องหมายบอกทางชี้ไปไม่ได้อยู่ในดาราจักรที่รู้จักเลย ดูแบบนี้ก็ไม่เข้าใจหรอก มีแค่ต้องไปหาสถานที่จริงเท่านั้นถึงจะเข้าใจ” เขาเคยเปรียบเทียบหาแผนที่ดาวประเภทนี้มาก่อน จึงมีประสบการณ์

อ่านไม่ออกจริงๆ อวี้หลัวช่าค้นหาในลูกกลมโลหะแต่ก็มองเบาะแสอะไรไม่ออก จึตกอยู่ในความเงียบ

บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว เหมียวอี้แหงนหน้ามอง เสียงคลื่นทะเลซัดกระทบหินดังเป็นระลอก ทิวทัศน์ยามราตรีงดงามมาก

“เจ้าบอกวิธีการหาให้ข้ารู้แล้ว ไม่กลัวโดนฆ่าปิดปากเหรอ?” อวี้หลัวช่าพลันเอ่ยถาม

เหมียวอี้ยังมองท้องฟ้า พร้อมตอบด้วยสีหน้าเย้ยหยัน “ข้าจะไม่รู้จุดนี้ได้ยังไง เจ้าลืมสูตรหาสมบัติที่ข้าบอกไปแล้วเหรอ? อาศัยสิ่งที่เจ้าได้ไปตอนนี้ ยังไม่พอให้หาสมบัติเจอหรอก ที่สำคัญคือของยังอยู่ในมือเข้า ต่อให้เจ้าฆ่าข้าทิ้ง เจ้าก็ยังหาสมบัติไม่เจออยู่ดี ข้าไม่ใช่คนโง่นะ!”

อวี้หลัวช่าแสยะยิ้ม แล้วเริ่มขมวดคิ้วครุ่นคิดอีก เห็นได้ชัดว่ารู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างจัดการยาก

“ที่จริงหลังจากข้าหาแผนที่ดาวเจอ ก็คิดไว้ตั้งแต่แรกว่าจะไปสืบ แต่จนใจที่ทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์ค้นหาบริเวณจุดเริ่มต้นตลอด ข้าไม่มั่นใจว่าจะเลี่ยงพ้น” เหมียวอี้เก็บสายตากลับมาจากท้องฟ้า เขาสบตาอวี้หลัวช่าพร้อมบอกว่า “แผนที่ฉบับนี้น่ะ ถ้าไม่เริ่มเทียบจากจุดเริ่มต้นก็หาไม่เจอเลย ไม่สู้พวกเรารอให้ทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์ถอนกำลังไปก่อนแล้วค่อยไปหา ดีไหม?”

อวี้หลัวช่านึกว่าเขากำลังถ่วงเวลา จึงปฏิเสธอย่างไม่ลังเล “ไม่ได้! คนรุ่นหลังอย่างเจ้าไม่รู้ว่าหรอกว่าพระปีศาจหนานโปน่ากลัวขนาดไหน ถ้าหาสถานที่ผนึกไม่เจอ ประมุขชิงไม่ถอนกำลังง่ายๆ แน่…” เสียงพูดหยุดชะงัก นางร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจในลูกกลมโลหะอีกครั้ง สายตาไปหยุดอยู่ที่เงาคนของวัดแห่งหนึ่ง แล้วพลันเงยหน้าถามว่า “แผนที่นี้คงไม่ใช่แผนที่ของสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปหรอกใช่มั้ย?”

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+