พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1758 ร่วมงานกัน

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1758 ร่วมงานกัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นี่ยังเดาได้อีกเหรอ? เหมียวอี้หัวใจกระตุกวูบ แต่กลับกลอกตาใส่นาง “เจ้านี่ช่างคิดได้จริงๆ ถ้านี่คือแผนที่ของสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป ข้าคงถวายให้ตำหนักสวรรค์เพื่อเลื่อนตำแหน่งตั้งนานแล้ว ยังจะโดนบีบอยู่ที่ตลาดผีจนกลายเป็นอย่างนี้อีกเหรอ? แล้วอีกอย่าง เวลาที่สำนักหนานอู๋ถูกกวาดล้างกับเวลาที่พระปีศาจหนานโปถูกผนึกสอดคล้องกันเหรอ? ถ้าไม่ใช่แผนที่ซ่อนสมบัติ ข้าจะเดาแม่นทันทีได้ยังไง จะเดาออกได้ยังไงว่าสำนักหนานอู๋มีสมบัติลับ?”

อวี้หลัวช่าอึ้งไปชั่วขณะ คิดตามแล้วก็เห็นด้วย ถ้าไม่รู้เรื่องสมบัติลับสำนักหนานอู๋ อีกฝ่ายก็ไม่มีทางล่อให้ฝ่ายตนไปติดกับดักที่น้ำพุวังเวงได้เลย

“เอาเป็นว่าปล่อยให้เรื่องนี้ยืดเยื้อไม่ได้อีกแล้ว” อวี้หลัวช่าโบกมือตัดสินใจ

เหมียวอี้ถอนหายใจ “ไม่ใช่ว่าข้าอยากให้ยืดเยื้อ แต่กองทัพองครักษ์ค้นหาอยู่บริเวณนั้น ถ้าเจอคนของกองทัพองครักษ์แล้วจะอธิบายยังไง!”

“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล ข้ามีวิธีการแก้ปัญหาอยู่แล้ว เจ้าเป็นห่วงสิ่งนี้ดีกว่า!” อวี้หลัวช่ายกลูกกลมโลหะบนฝ่ามือขึ้นมา

“ข้าจะเป็นห่วงมันทำไม?” เหมียวอี้งุนงง

อวี้หลัวช่าแสยะยิ้ม “แผนที่นี้จะจริงหรือปลอม เดี๋ยวข้าทดสอบแล้วก็รู้เอง”

“อย่าบอกนะว่าเจ้าจะไปทดสอบที่สถานที่จริง ไปแหวกหญ้าให้งูตื่นจนตำหนักสวรรค์สงสัย?” เหมียวอี้ถามกลั้วหัวเราะ

อวี้หลัวช่าตอบว่า “ตำหนักสวรรค์ค้นหาบริเวณนั้นมาตั้งนาน แผนที่อาณาเขตดาวฉบับใหม่น่าจะออกแล้ว เจ้าคิดว่าข้าหาแผนที่ฉบับใหม่มาเทียบมันยากนักเหรอ?”

เหมียวอี้กลอกตามองบน “ตามใจเจ้า รอให้เจ้ารู้ชัดแล้วค่อยมาหาข้า ข้าไปก่อนล่ะ” ตอนเขาเพิ่งจะหันตัวไป ก็มีมือข้างหนึ่งมาพาดบนบ่าเขาแล้ว กดเขาไว้จนกระดิกตัวไม่ได้ เขาอดไม่ได้ที่จะตะคอกถามเสียงต่ำ “เจ้าคิดจะทำอะไร?”

“รอให้ข้าตรวจสอบให้เสร็จแล้วเจ้าค่อยไปดีกว่า” พอพูดจบ นางก็รีบควบคุมเหมียวอี้ไว้ ยัดเข้ากระเป๋าสัตว์แล้วเหาะขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว

พอตกลงในกระเป๋าสัตว์ เหมียวอี้ก็ได้กลิ่นเหม็นเน่าทันที ท่ามกลางความมืดมีดวงตาเขียวขลับดวงใหญ่คู่หนึ่งกำลังจ้องเขาอยู่ เขาถูกควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์จึงใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ไม่ได้ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ดำมืด เขาจึงไม่รู้ว่านั่นคือตัวอะไร รู้สึกเพียงว่ามือสัมผัสไปโดนเกราะเกล็ดที่เย็นเฉียบ เหมือนมีร่างกายขนาดใหญ่กำลังเลื้อยขยุกขยิก ไม่นานลิ้นใหญ่ที่เหม็นคาวก็เลียบนใบหน้าเขาอีก ลิ้นที่เลียบนใบหน้าเขามีของเหลวเหม็นคาว แต่จะหลบอย่างไรก็หลบไม่พ้น ไม่รู้ด้วยว่าในกระเป๋าสัตว์ของอวี้หลัวช่าซ่อนสัตว์ประหลาดอะไรไว้

ถ้าเปลี่ยนเป็นมนุษย์ธรรมดาทั่วไป เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ก็คงตกใจตายไปแล้ว แต่เหมียวอี้ไม่เป็นอะไร อย่างไรเสียก็รู้ว่าตัวเองยังไม่มีอันตรายอะไร

หนึ่งวันหรือสองวัน? เขาเองก็ไม่รู้ว่าต้องอยู่ท่ามกลางกลิ่นเหม็นคาวนานเท่าไร สรุปว่าตอนที่ถูกโยนออกมาอีกครั้ง เขาก็มาโผล่อยู่ในห้องที่สลักจากหยกขาวห้องหนึ่ง เพดานห้องฝังไจ่มุกราตรีเม็ดหนึ่ง นอกจากสิ่งนี้ ก็ไม่มีเครื่องประดับอะไรแล้ว

อวี้หลัวช่ากลับสู่ร่างจริงที่เหมือนสาวน้อยบริสุทธิ์ผุดผ่องแล้ว นางปรายตามองเหมียวอี้ที่ใบหน้าและเส้นผมถูกเลียจนเปียก นางเลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วหันตัวเดินออกไป

“เดี๋ยวก่อน!” เหมียวอี้โบกมือให้นางหยุด เอามือเช็ดของเหลวเหนียวหนืดบนใบหน้า แล้วมองไปรอบๆ พร้อมถามว่า “นี่ข้ากำลังอยู่ที่ไหน?”

อวี้หลัวช่าหันตัวมามองครู่เดียว แล้วตอบเสียงเรียบ “วัดพุทธะหยก!” จากนั้นก็หันตัวเดินออกไปอีกครั้ง

เหมียวอี้นึกไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะพาตัวเองกลับมาที่สำนักหลัวช่า จึงตะโกนเรียกอีก “ช้าก่อน!”

อวี้หลัวช่าหยุดเดิน แล้วถามโดยไม่หัยกลับมา “กลัวแล้วเหรอ?”

“ข้าจะกลัวอะไร?” เหมียวอี้แปลกใจ

“กลัวว่าข้าจะรู้ว่าแผนที่ซ่อนสมบัติเป็นของจริงหรือปลอมไง” อวี้หลัวช่าตอบ

เหมียวอี้รู้สึกอยากขำ “ไม่ว่าเจ้าจะตรวจสอบยังไงมันก็ไม่ปลอมหรอก สิ่งที่ข้ากังวลตอนนี้ก็คือทางตำหนักนารีสวรรค์”

อวี้หลัวช่าที่หันหลังให้เขาเอียงหน้าเล็กน้อย “เจ้านี่เรื่องเยอะจริงๆ ทำไมโยงไปเกี่ยวกับตำหนักนารีสวรรค์อีกแล้วล่ะ?”

เหมียวอี้ที่เหนียวเปียกไปทั้งตัวเดินเข้ามา “ไม่ใช่ว่าข้าเรื่องเยอะหรอก ข้าถูกดูแลโดยตรงจากตำหนักนารีสวรรค์ ทางตำหนักนารีสวรรค์อาจจะติดต่อข้าได้ทุกเมื่อ ถ้าติดต่อไม่ได้ขึ้นมา ก็อาจจะเกิดความวุ่นวายได้”

“นี่เจ้ากำลังขู่ข้าเหรอ?” อวี้หลัวช่าถาม

เหมียวอี้ตอบว่า “ไม่ใช่ว่าข้าขู่เจ้า เดินมาถึงขึ้นนี้แล้ว ขู่เจ้าไปก็ไม่มีความหมายอะไร ในเมื่อข้ากล้ามาแล้ว ก็ย่อมต้องมีแผนสำรองสิ ถ้าข้ารอดชีวิตกลับไปไม่ได้ ก็อย่าว่าแต่ตำหนักนารีสวรรค์เลย จะมีคนส่งของบางอย่างให้ตึกศาลาสัตยพรตทันที แค่นั้นตระกูลเซี่ยโห้วก็จะรู้เรื่องระหว่างเจ้ากับข้าชัดเจนแจ่มแจ้ง รวมทั้งเรื่องวิธีการหาสมบัติลับด้วย ตระกูลเซี่ยโห้วมีกำลังมากขนาดไหน ก็คงไม่ต้องให้ข้าอธิบายเยอะหรอก ที่จริงเจ้ากับข้าก็รู้ชัดอยู่แก่ใจ ในปีนั้นที่เจ้าปล่อยข้ากลับไป ก็ไม่มีทางลงมือกับข้าได้ง่ายๆ อีกแล้ว นี่ก็เป็นสาเหตุที่ข้ากล้ามาที่นี่ แน่นอน ถ้าไม่ถูกกดดันจนหมดทางเลือก ข้าก็ไม่กล้าเปิดเผยเรื่องระหว่างเราง่ายๆ เช่นกัน นี่ก็เป็นสาเหตุที่เจ้ากล้าปล่อยข้าในปีนั้น ครั้งนี้ข้ามาเพราะอยากจะร่วมงานกับเจ้าจริงๆ ดังนั้นเจ้าวางใจได้เลย ข้าจะทำงานร่วมกับเจ้าอย่างดีแน่นอน”

“ร่วมงาน?” อวี้หลัวช่าถามอย่างเย็นชา “ร่วมงานยังไง?”

เหมียวอี้บอกว่า “ข้าจะช่วยเจ้าหาสมบัติลับ เจ้าไว้ชีวิตข้าสักครั้ง เจ้าเองก็บีบจุดอ่อนข้าอยู่ ต่อไปกล้าไม่กล้าพูดอะไรซี้ซั้วหรอก”

อวี้หลัวช่าแสยะยิ้มในใจ ถ้าได้สมบัติลับในตำนานที่แม้แต่พระปีศาจหนานโปยังหวาดกลัวมาจริงๆ ยังต้องแยแสตำแหน่งพุทธะอะไรนี่ด้วยเหรอ?

แน่นอนว่านางไม่พูดสิ่งนี้ออกมา ตอนนี้นางอยากจะคุมเหมียวอี้ให้สงบ อยากจะให้เขาช่วยนางหาสมบัติลับเหมือนกัน “ได้! ตกลง!”

นางสะบัดแขนเสื้อไปข้างหลัง พลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาดกลุ่มหนึ่งชนเหมียวอี้จนกระเด็นออกไป เขากระแทกผนังก่อนจะตกลงพื้น กระอักเลือดสดคำหนึ่ง เอามือกุมอกลุกขึ้นยืน ขณะกำลังจะพูด กลับพบว่าผนึกวรยุทธ์บนร่างกายตัวเองคลายออกแล้ว เขากลับมาควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเองได้แล้ว

“ข้าเองก็รับประกันไม่ได้ว่าวัดพุทธะหยกมีสายลับของคนอื่นอยู่หรือเปล่า อยู่ในนี้แต่โดยดี ถ้ากล้าเพ่นพ่านไปทั่วก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ” อวี้หลัวช่าพูดทิ้งท้ายแล้วเดินเนิบนาบออกไป

เขายกมือเช็ดคราบลือดที่มุมปาก ถ่มน้ำลายสองคำ ด่าในใจว่า นางตัวแสบ คอยดูเถอะ!

อวี้หลัวช่ากำลังควบคุมเขา ส่วนเขาก็ควบคุมอวี้หลัวช่าได้เหมือนกันไม่ใช่หรอกหรือ

ยังไม่ต้องสนใจอย่างอื่น ตอนนี้นำน้ำจากกำไลเก็บสมบัติออกมาล้างตัวก่อน เปลี่ยนเสื้อผ้าตัวใหม่แล้วค่อยว่ากัน ส่วนน้ำสกปรกบนพื้นเขาก็ใช้ไฟเผาจนสะอาดเกลี้ยง ไม่มีกลิ่นคาวหลงเหลืออยู่แล้ว จากนั้นโยนเก้าอี้ตัวหนึ่งออกมา แล้วนั่งขัดสมาธิบนนั้น

เท่ากับรออยู่ที่นี่เป็นเวลาหลายเดือน ไม่มีใครโผล่หน้ามาสักคน หลังจากนั้นหนึ่งเดือนถึงได้เห็นอวี้หลัวช่าโผล่หน้ามาอีกครั้ง

เหมียวอี้กระโดดลงจากโต๊ะ แล้วถามพร้อมรอยยิ้ม “เป็นยังไงบ้าง? ข้าไม่ได้หลอกเจ้าเรื่องแผนที่ใช่มั้ยล่ะ?”

อวี้หลัวช่าหาแผนที่อาณาเขตดาวฉบับใหม่มาแล้วจริงๆ ตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หลังจากเปรียบเทียบตามวิธีการที่เหมียวอี้บอก ก็พบว่าเป็นตามนั้นจริงๆ ทำให้นางรู้สึกตื่นเต้นมาก แต่นางก็ยังไม่ได้ตอบเขา กลับเตือนว่า “ถ้าไปตามแผนที่ของเจ้าแล้วหาของไม่เจอ เจ้าก็คงรู้ผลที่ตามมานะ”

“แผนที่ซ่อนสมบัติเป็นของจริงแน่นอน แต่ปัญหาก็คือจะผ่านด่านกองทัพองครักษ์ไปได้ยังไง” เหมียวอี้กล่าว

อวี้หลัวช่าบอกเขาด้วยน้ำเสียงปกติ “เนื่องจากตำหนักสวรรค์ส่งคนมาได้ไม่เยอะ แดนสุขาวดีก็เข้าร่วมค้นหาสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปเหมือนกัน มีคนสำนักหลัวช่าของข้าเข้าร่วมพอดี ข้าจะไปดูด้วยตัวเอง เหมือนจะสมเหตุสมผลใช่มั้ยล่ะ?”

เหมียวอี้แอบดีใจแทบบ้า ผู้หญิงคนนี้มีกำลังดำเนินงานเยอะจริงๆ ด้วย เขาอดไม่ได้ที่จะถาม “เจ้าจะทำได้ยังไง?”

“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง” พออวี้หลัวช่าพูดจบ ก็คว้าตัวเหมียวอี้เอาไว้ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจค้นของในกระเป๋าของเหมียวอี้ จากนั้นก็ดึงเหมียวอี้เก็บเข้ากระเป๋าสัตว์

เหมียวอี้ที่ตกลงกระเป๋าสัตว์อีกครั้งไม่เหมือนครั้งก่อนแล้ว เขาใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มอง ในที่สุดก็เห็นชัดว่าสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าสัตว์ของอวี้หลัวช่าคือตัวอะไรกันแน่

เป็นสัตว์ขนาดใหญ่มหึมาตัวหนึ่งที่หน้าตาเหมือนทั้งมังกรเหมือนทั้งงู มีปีกเนื้อคู่หนึ่ง บนหัวมีดวงตาขนาดใหญ่สีเขียวขลับ ในฟันที่แหลมคมเหมือนฟันเลื่อยเต็มปากแลบลิ้นสีแดงสดที่มีของเหลวเหนียวยืด ลมหายใจมีกลิ่นเหม็นคาว มีกรงเล็บแหลมครมสองข้าง ทั้งตัวมีเกราะเกล็ดสีทอง ปีกเนื้อสีทองระยิบระยับเหมือนเสื่อน้ำมัน

งูมังกร? เหมียวอี้แอบตกใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสัตว์ในตำนาน ตามที่ได้ยินมา ปกติมันจะซ่อนตัวอยู่ในหุบเลวลึกไร้ที่สิ้นสุด มีพลังแข็งแกร่ง นึกไม่ถึงว่าอวี้หลัวช่าจะมีสิ่งนี้อยู่ในมือ

เมื่อเห็นเหมียวอี้ งูมังกรก็แลบลิ้นขนาดใหญ่เข้ามาเลียอีก แต่ครั้งนี้เหมียวอี้มีเกราะอิทธิฤทธิ์ป้องกันตัว

ดาราจักรกว้างใหญ่ บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง กลุ่มสัตว์ขนาดใหญ่กำลังรวมกลุ่มกันวิ่งตะบึงอย่างบ้าระห่ำอยู่ตรงตีนเขา ด้านหลังมีสัตว์ประหลาดดุร้ายสิบกว่าตัวกำลังวิ่งไล่ล่า

ตำหนักไม้ที่สร้างขึ้นชั่วคราวบนยอดเขาก็คือศูนย์ค้นหาของหน่วยเจิ้นติงสังกัดหน่วยองครักษ์ขวา เป้าหมายในการสืบหาก็คือสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป

ดาวเคราะห์ดวงนี้คือสถานที่ดำรงชีวิตที่ค้นพบใหม่ ยืดเวลาการค้นหาที่น่านฟ้าเถาะติงหลายปีถึงได้พบดาวเคราะห์ที่เหมาะแกการดำรงชีวิตดวงนี้ ข้อมูลถูกใส่ไว้ในแผนที่อาณาเขตดาวฉบับใหม่แล้ว อีกไม่นานก็จะมีพวกเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินมารับตำแหน่งที่นี่

ศูนย์บัญชาการของทัพใหญ่ค้นหาย้ายมาที่นี่แล้ว อยู่ใกล้กับบริเวณที่ค้นหา จะได้บัญชาการได้สะดวก

ชายหญิงคู่หนึ่งยืนเคียงกันอยู่บนริมเขา กำลังดูการฝูงสัตว์วิ่งตะบึงที่ตีนเขา

ผู้ชายรูปร่างกำยำ เป็นผู้ตรวจการใหญ่ของหน่วยเจิ้นติง ชื่อว่าเทียนเจี้ยน ส่วนผู้หญิงก็คือสาวน้อยที่สวมชุดขาวดุจหิมะ ไม่ใช่ใครที่ไหน อวี้หลัวช่านั่นเอง

กำลังพลที่เดินไปมาอยู่นอกตำหนักไม่รู้จักอวี้หลัวช่า พวกเขาแอบตกตะลึง ไม่รู้ว่าสาวน้อยคนนี้เป็นใคร ไม่เชื่อว่าผู้ตรวจการใหญ่ต้องมาคอยต้อนรับด้วยตัวเอง

“เทียนเจี้ยน พวกเราไม่ได้เจอกันเกือบสองหมื่นปีแล้วสินะ?” อวี้หลัวช่าที่กำลังมองตีนเขาถามเสียงเรียบ

“คงจะอย่างนั้นกระมัง กองทัพองครักษ์ได้รับคำสั่งให้ย้ายไปทั่ว พบกันได้ยากก็เป็นเรื่องปกติ” เทียนเจี้ยนยิ้มเบาๆ จากนั้นเอียงหน้ามองนาง “ถ้าเทียบกับปีนั้น พุทธะหน้าหยกเหมือนจะอ่อนเยาว์ขึ้นนะ ช่างทำให้ผู้หญิงในใต้หล้าอิจฉาจริงๆ! การได้เจอพุทธะหน้าหยกที่นี่ก็ทำให้เทียนเจี้ยนรู้สึกผิดคาด ไม่ทราบว่าพุทธะหน้าหยกมาเยือนด้วยตัวเองเพราะมีธุระอะไร?”

อวี้หลัวช่าตอบอย่างใจเย็น “ไม่ปิดบังเจ้านะ ข้ามีพื้นเพจากสำนักหนานอู๋ เรื่องที่พระปีศาจหนานโปกวาดล้างสำนักหนานอู๋ในปีนั้นฝังใจข้ามาก ข้าโชคดีรอดมาได้ครั้งหนึ่ง บางทีอาจจะเป็นเพราะกลัว พอได้ยินว่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปยังไม่ดับ อาจจะปรากฏตัวอีกครั้ง ข้าก็กระวนกระวายใจจริงๆ เขาหลิงซานมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้พอดี ข้าเลยถือโอกาสมาดูสักหน่อย”

เทียนเจี้ยนถอนหายใจ “ข้าเข้าใจความรู้สึกของพุทธะหน้าหยก พระปีศาจหนานโปมองสรรพสิ่งเหมือนต้นหญ้า ถ้าเกิดใหม่อีกครั้ง ใต้หล้าก็จะเกิดหายนะ คาดว่าคงไม่มีใครไม่กลัว ทว่าดาราจักรกว้างใหญ่ ถ้าใช้วิธีการแบบนี้ค้นหาต่อไป คนในมือข้าก็ไม่พอจริงๆ เป็นไปไม่ได้ที่กองทัพองครักษ์จะนำคนทั้งหมดมาใช้ที่นี่ ครั้งนี้แดนสุขาวดีเป็นฝ่ายส่งคนมาร่วมค้นหากับตำหนักสวรรค์ ลดความกดดันให้ข้าได้เยอะเลย จะเห็นได้ว่าประมุขพุทธะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ขนาดไหน”

“ประมุขพุทธะเห็นว่าสี่ทัพถอนกำลังออกแล้วไม่เคลื่อนไหวสักที กังวลว่าจะเสียเวลา ถึงได้ติดต่อตำหนักสวรรค์และเสนอตัวส่งคนมาช่วย” อวี้หลัวช่ากล่าว

“อยู่ต่อหน้าคนชัดเจนไม่พูดคลุมเครือ ทางสี่อ๋องสวรรค์…เฮ้อ!” เทียนเจี้ยนส่ายหน้า

…………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1758 ร่วมงานกัน

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1758 ร่วมงานกัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นี่ยังเดาได้อีกเหรอ? เหมียวอี้หัวใจกระตุกวูบ แต่กลับกลอกตาใส่นาง “เจ้านี่ช่างคิดได้จริงๆ ถ้านี่คือแผนที่ของสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป ข้าคงถวายให้ตำหนักสวรรค์เพื่อเลื่อนตำแหน่งตั้งนานแล้ว ยังจะโดนบีบอยู่ที่ตลาดผีจนกลายเป็นอย่างนี้อีกเหรอ? แล้วอีกอย่าง เวลาที่สำนักหนานอู๋ถูกกวาดล้างกับเวลาที่พระปีศาจหนานโปถูกผนึกสอดคล้องกันเหรอ? ถ้าไม่ใช่แผนที่ซ่อนสมบัติ ข้าจะเดาแม่นทันทีได้ยังไง จะเดาออกได้ยังไงว่าสำนักหนานอู๋มีสมบัติลับ?”

อวี้หลัวช่าอึ้งไปชั่วขณะ คิดตามแล้วก็เห็นด้วย ถ้าไม่รู้เรื่องสมบัติลับสำนักหนานอู๋ อีกฝ่ายก็ไม่มีทางล่อให้ฝ่ายตนไปติดกับดักที่น้ำพุวังเวงได้เลย

“เอาเป็นว่าปล่อยให้เรื่องนี้ยืดเยื้อไม่ได้อีกแล้ว” อวี้หลัวช่าโบกมือตัดสินใจ

เหมียวอี้ถอนหายใจ “ไม่ใช่ว่าข้าอยากให้ยืดเยื้อ แต่กองทัพองครักษ์ค้นหาอยู่บริเวณนั้น ถ้าเจอคนของกองทัพองครักษ์แล้วจะอธิบายยังไง!”

“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล ข้ามีวิธีการแก้ปัญหาอยู่แล้ว เจ้าเป็นห่วงสิ่งนี้ดีกว่า!” อวี้หลัวช่ายกลูกกลมโลหะบนฝ่ามือขึ้นมา

“ข้าจะเป็นห่วงมันทำไม?” เหมียวอี้งุนงง

อวี้หลัวช่าแสยะยิ้ม “แผนที่นี้จะจริงหรือปลอม เดี๋ยวข้าทดสอบแล้วก็รู้เอง”

“อย่าบอกนะว่าเจ้าจะไปทดสอบที่สถานที่จริง ไปแหวกหญ้าให้งูตื่นจนตำหนักสวรรค์สงสัย?” เหมียวอี้ถามกลั้วหัวเราะ

อวี้หลัวช่าตอบว่า “ตำหนักสวรรค์ค้นหาบริเวณนั้นมาตั้งนาน แผนที่อาณาเขตดาวฉบับใหม่น่าจะออกแล้ว เจ้าคิดว่าข้าหาแผนที่ฉบับใหม่มาเทียบมันยากนักเหรอ?”

เหมียวอี้กลอกตามองบน “ตามใจเจ้า รอให้เจ้ารู้ชัดแล้วค่อยมาหาข้า ข้าไปก่อนล่ะ” ตอนเขาเพิ่งจะหันตัวไป ก็มีมือข้างหนึ่งมาพาดบนบ่าเขาแล้ว กดเขาไว้จนกระดิกตัวไม่ได้ เขาอดไม่ได้ที่จะตะคอกถามเสียงต่ำ “เจ้าคิดจะทำอะไร?”

“รอให้ข้าตรวจสอบให้เสร็จแล้วเจ้าค่อยไปดีกว่า” พอพูดจบ นางก็รีบควบคุมเหมียวอี้ไว้ ยัดเข้ากระเป๋าสัตว์แล้วเหาะขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว

พอตกลงในกระเป๋าสัตว์ เหมียวอี้ก็ได้กลิ่นเหม็นเน่าทันที ท่ามกลางความมืดมีดวงตาเขียวขลับดวงใหญ่คู่หนึ่งกำลังจ้องเขาอยู่ เขาถูกควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์จึงใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ไม่ได้ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ดำมืด เขาจึงไม่รู้ว่านั่นคือตัวอะไร รู้สึกเพียงว่ามือสัมผัสไปโดนเกราะเกล็ดที่เย็นเฉียบ เหมือนมีร่างกายขนาดใหญ่กำลังเลื้อยขยุกขยิก ไม่นานลิ้นใหญ่ที่เหม็นคาวก็เลียบนใบหน้าเขาอีก ลิ้นที่เลียบนใบหน้าเขามีของเหลวเหม็นคาว แต่จะหลบอย่างไรก็หลบไม่พ้น ไม่รู้ด้วยว่าในกระเป๋าสัตว์ของอวี้หลัวช่าซ่อนสัตว์ประหลาดอะไรไว้

ถ้าเปลี่ยนเป็นมนุษย์ธรรมดาทั่วไป เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ก็คงตกใจตายไปแล้ว แต่เหมียวอี้ไม่เป็นอะไร อย่างไรเสียก็รู้ว่าตัวเองยังไม่มีอันตรายอะไร

หนึ่งวันหรือสองวัน? เขาเองก็ไม่รู้ว่าต้องอยู่ท่ามกลางกลิ่นเหม็นคาวนานเท่าไร สรุปว่าตอนที่ถูกโยนออกมาอีกครั้ง เขาก็มาโผล่อยู่ในห้องที่สลักจากหยกขาวห้องหนึ่ง เพดานห้องฝังไจ่มุกราตรีเม็ดหนึ่ง นอกจากสิ่งนี้ ก็ไม่มีเครื่องประดับอะไรแล้ว

อวี้หลัวช่ากลับสู่ร่างจริงที่เหมือนสาวน้อยบริสุทธิ์ผุดผ่องแล้ว นางปรายตามองเหมียวอี้ที่ใบหน้าและเส้นผมถูกเลียจนเปียก นางเลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วหันตัวเดินออกไป

“เดี๋ยวก่อน!” เหมียวอี้โบกมือให้นางหยุด เอามือเช็ดของเหลวเหนียวหนืดบนใบหน้า แล้วมองไปรอบๆ พร้อมถามว่า “นี่ข้ากำลังอยู่ที่ไหน?”

อวี้หลัวช่าหันตัวมามองครู่เดียว แล้วตอบเสียงเรียบ “วัดพุทธะหยก!” จากนั้นก็หันตัวเดินออกไปอีกครั้ง

เหมียวอี้นึกไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะพาตัวเองกลับมาที่สำนักหลัวช่า จึงตะโกนเรียกอีก “ช้าก่อน!”

อวี้หลัวช่าหยุดเดิน แล้วถามโดยไม่หัยกลับมา “กลัวแล้วเหรอ?”

“ข้าจะกลัวอะไร?” เหมียวอี้แปลกใจ

“กลัวว่าข้าจะรู้ว่าแผนที่ซ่อนสมบัติเป็นของจริงหรือปลอมไง” อวี้หลัวช่าตอบ

เหมียวอี้รู้สึกอยากขำ “ไม่ว่าเจ้าจะตรวจสอบยังไงมันก็ไม่ปลอมหรอก สิ่งที่ข้ากังวลตอนนี้ก็คือทางตำหนักนารีสวรรค์”

อวี้หลัวช่าที่หันหลังให้เขาเอียงหน้าเล็กน้อย “เจ้านี่เรื่องเยอะจริงๆ ทำไมโยงไปเกี่ยวกับตำหนักนารีสวรรค์อีกแล้วล่ะ?”

เหมียวอี้ที่เหนียวเปียกไปทั้งตัวเดินเข้ามา “ไม่ใช่ว่าข้าเรื่องเยอะหรอก ข้าถูกดูแลโดยตรงจากตำหนักนารีสวรรค์ ทางตำหนักนารีสวรรค์อาจจะติดต่อข้าได้ทุกเมื่อ ถ้าติดต่อไม่ได้ขึ้นมา ก็อาจจะเกิดความวุ่นวายได้”

“นี่เจ้ากำลังขู่ข้าเหรอ?” อวี้หลัวช่าถาม

เหมียวอี้ตอบว่า “ไม่ใช่ว่าข้าขู่เจ้า เดินมาถึงขึ้นนี้แล้ว ขู่เจ้าไปก็ไม่มีความหมายอะไร ในเมื่อข้ากล้ามาแล้ว ก็ย่อมต้องมีแผนสำรองสิ ถ้าข้ารอดชีวิตกลับไปไม่ได้ ก็อย่าว่าแต่ตำหนักนารีสวรรค์เลย จะมีคนส่งของบางอย่างให้ตึกศาลาสัตยพรตทันที แค่นั้นตระกูลเซี่ยโห้วก็จะรู้เรื่องระหว่างเจ้ากับข้าชัดเจนแจ่มแจ้ง รวมทั้งเรื่องวิธีการหาสมบัติลับด้วย ตระกูลเซี่ยโห้วมีกำลังมากขนาดไหน ก็คงไม่ต้องให้ข้าอธิบายเยอะหรอก ที่จริงเจ้ากับข้าก็รู้ชัดอยู่แก่ใจ ในปีนั้นที่เจ้าปล่อยข้ากลับไป ก็ไม่มีทางลงมือกับข้าได้ง่ายๆ อีกแล้ว นี่ก็เป็นสาเหตุที่ข้ากล้ามาที่นี่ แน่นอน ถ้าไม่ถูกกดดันจนหมดทางเลือก ข้าก็ไม่กล้าเปิดเผยเรื่องระหว่างเราง่ายๆ เช่นกัน นี่ก็เป็นสาเหตุที่เจ้ากล้าปล่อยข้าในปีนั้น ครั้งนี้ข้ามาเพราะอยากจะร่วมงานกับเจ้าจริงๆ ดังนั้นเจ้าวางใจได้เลย ข้าจะทำงานร่วมกับเจ้าอย่างดีแน่นอน”

“ร่วมงาน?” อวี้หลัวช่าถามอย่างเย็นชา “ร่วมงานยังไง?”

เหมียวอี้บอกว่า “ข้าจะช่วยเจ้าหาสมบัติลับ เจ้าไว้ชีวิตข้าสักครั้ง เจ้าเองก็บีบจุดอ่อนข้าอยู่ ต่อไปกล้าไม่กล้าพูดอะไรซี้ซั้วหรอก”

อวี้หลัวช่าแสยะยิ้มในใจ ถ้าได้สมบัติลับในตำนานที่แม้แต่พระปีศาจหนานโปยังหวาดกลัวมาจริงๆ ยังต้องแยแสตำแหน่งพุทธะอะไรนี่ด้วยเหรอ?

แน่นอนว่านางไม่พูดสิ่งนี้ออกมา ตอนนี้นางอยากจะคุมเหมียวอี้ให้สงบ อยากจะให้เขาช่วยนางหาสมบัติลับเหมือนกัน “ได้! ตกลง!”

นางสะบัดแขนเสื้อไปข้างหลัง พลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาดกลุ่มหนึ่งชนเหมียวอี้จนกระเด็นออกไป เขากระแทกผนังก่อนจะตกลงพื้น กระอักเลือดสดคำหนึ่ง เอามือกุมอกลุกขึ้นยืน ขณะกำลังจะพูด กลับพบว่าผนึกวรยุทธ์บนร่างกายตัวเองคลายออกแล้ว เขากลับมาควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเองได้แล้ว

“ข้าเองก็รับประกันไม่ได้ว่าวัดพุทธะหยกมีสายลับของคนอื่นอยู่หรือเปล่า อยู่ในนี้แต่โดยดี ถ้ากล้าเพ่นพ่านไปทั่วก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ” อวี้หลัวช่าพูดทิ้งท้ายแล้วเดินเนิบนาบออกไป

เขายกมือเช็ดคราบลือดที่มุมปาก ถ่มน้ำลายสองคำ ด่าในใจว่า นางตัวแสบ คอยดูเถอะ!

อวี้หลัวช่ากำลังควบคุมเขา ส่วนเขาก็ควบคุมอวี้หลัวช่าได้เหมือนกันไม่ใช่หรอกหรือ

ยังไม่ต้องสนใจอย่างอื่น ตอนนี้นำน้ำจากกำไลเก็บสมบัติออกมาล้างตัวก่อน เปลี่ยนเสื้อผ้าตัวใหม่แล้วค่อยว่ากัน ส่วนน้ำสกปรกบนพื้นเขาก็ใช้ไฟเผาจนสะอาดเกลี้ยง ไม่มีกลิ่นคาวหลงเหลืออยู่แล้ว จากนั้นโยนเก้าอี้ตัวหนึ่งออกมา แล้วนั่งขัดสมาธิบนนั้น

เท่ากับรออยู่ที่นี่เป็นเวลาหลายเดือน ไม่มีใครโผล่หน้ามาสักคน หลังจากนั้นหนึ่งเดือนถึงได้เห็นอวี้หลัวช่าโผล่หน้ามาอีกครั้ง

เหมียวอี้กระโดดลงจากโต๊ะ แล้วถามพร้อมรอยยิ้ม “เป็นยังไงบ้าง? ข้าไม่ได้หลอกเจ้าเรื่องแผนที่ใช่มั้ยล่ะ?”

อวี้หลัวช่าหาแผนที่อาณาเขตดาวฉบับใหม่มาแล้วจริงๆ ตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หลังจากเปรียบเทียบตามวิธีการที่เหมียวอี้บอก ก็พบว่าเป็นตามนั้นจริงๆ ทำให้นางรู้สึกตื่นเต้นมาก แต่นางก็ยังไม่ได้ตอบเขา กลับเตือนว่า “ถ้าไปตามแผนที่ของเจ้าแล้วหาของไม่เจอ เจ้าก็คงรู้ผลที่ตามมานะ”

“แผนที่ซ่อนสมบัติเป็นของจริงแน่นอน แต่ปัญหาก็คือจะผ่านด่านกองทัพองครักษ์ไปได้ยังไง” เหมียวอี้กล่าว

อวี้หลัวช่าบอกเขาด้วยน้ำเสียงปกติ “เนื่องจากตำหนักสวรรค์ส่งคนมาได้ไม่เยอะ แดนสุขาวดีก็เข้าร่วมค้นหาสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปเหมือนกัน มีคนสำนักหลัวช่าของข้าเข้าร่วมพอดี ข้าจะไปดูด้วยตัวเอง เหมือนจะสมเหตุสมผลใช่มั้ยล่ะ?”

เหมียวอี้แอบดีใจแทบบ้า ผู้หญิงคนนี้มีกำลังดำเนินงานเยอะจริงๆ ด้วย เขาอดไม่ได้ที่จะถาม “เจ้าจะทำได้ยังไง?”

“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง” พออวี้หลัวช่าพูดจบ ก็คว้าตัวเหมียวอี้เอาไว้ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจค้นของในกระเป๋าของเหมียวอี้ จากนั้นก็ดึงเหมียวอี้เก็บเข้ากระเป๋าสัตว์

เหมียวอี้ที่ตกลงกระเป๋าสัตว์อีกครั้งไม่เหมือนครั้งก่อนแล้ว เขาใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มอง ในที่สุดก็เห็นชัดว่าสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าสัตว์ของอวี้หลัวช่าคือตัวอะไรกันแน่

เป็นสัตว์ขนาดใหญ่มหึมาตัวหนึ่งที่หน้าตาเหมือนทั้งมังกรเหมือนทั้งงู มีปีกเนื้อคู่หนึ่ง บนหัวมีดวงตาขนาดใหญ่สีเขียวขลับ ในฟันที่แหลมคมเหมือนฟันเลื่อยเต็มปากแลบลิ้นสีแดงสดที่มีของเหลวเหนียวยืด ลมหายใจมีกลิ่นเหม็นคาว มีกรงเล็บแหลมครมสองข้าง ทั้งตัวมีเกราะเกล็ดสีทอง ปีกเนื้อสีทองระยิบระยับเหมือนเสื่อน้ำมัน

งูมังกร? เหมียวอี้แอบตกใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสัตว์ในตำนาน ตามที่ได้ยินมา ปกติมันจะซ่อนตัวอยู่ในหุบเลวลึกไร้ที่สิ้นสุด มีพลังแข็งแกร่ง นึกไม่ถึงว่าอวี้หลัวช่าจะมีสิ่งนี้อยู่ในมือ

เมื่อเห็นเหมียวอี้ งูมังกรก็แลบลิ้นขนาดใหญ่เข้ามาเลียอีก แต่ครั้งนี้เหมียวอี้มีเกราะอิทธิฤทธิ์ป้องกันตัว

ดาราจักรกว้างใหญ่ บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง กลุ่มสัตว์ขนาดใหญ่กำลังรวมกลุ่มกันวิ่งตะบึงอย่างบ้าระห่ำอยู่ตรงตีนเขา ด้านหลังมีสัตว์ประหลาดดุร้ายสิบกว่าตัวกำลังวิ่งไล่ล่า

ตำหนักไม้ที่สร้างขึ้นชั่วคราวบนยอดเขาก็คือศูนย์ค้นหาของหน่วยเจิ้นติงสังกัดหน่วยองครักษ์ขวา เป้าหมายในการสืบหาก็คือสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป

ดาวเคราะห์ดวงนี้คือสถานที่ดำรงชีวิตที่ค้นพบใหม่ ยืดเวลาการค้นหาที่น่านฟ้าเถาะติงหลายปีถึงได้พบดาวเคราะห์ที่เหมาะแกการดำรงชีวิตดวงนี้ ข้อมูลถูกใส่ไว้ในแผนที่อาณาเขตดาวฉบับใหม่แล้ว อีกไม่นานก็จะมีพวกเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินมารับตำแหน่งที่นี่

ศูนย์บัญชาการของทัพใหญ่ค้นหาย้ายมาที่นี่แล้ว อยู่ใกล้กับบริเวณที่ค้นหา จะได้บัญชาการได้สะดวก

ชายหญิงคู่หนึ่งยืนเคียงกันอยู่บนริมเขา กำลังดูการฝูงสัตว์วิ่งตะบึงที่ตีนเขา

ผู้ชายรูปร่างกำยำ เป็นผู้ตรวจการใหญ่ของหน่วยเจิ้นติง ชื่อว่าเทียนเจี้ยน ส่วนผู้หญิงก็คือสาวน้อยที่สวมชุดขาวดุจหิมะ ไม่ใช่ใครที่ไหน อวี้หลัวช่านั่นเอง

กำลังพลที่เดินไปมาอยู่นอกตำหนักไม่รู้จักอวี้หลัวช่า พวกเขาแอบตกตะลึง ไม่รู้ว่าสาวน้อยคนนี้เป็นใคร ไม่เชื่อว่าผู้ตรวจการใหญ่ต้องมาคอยต้อนรับด้วยตัวเอง

“เทียนเจี้ยน พวกเราไม่ได้เจอกันเกือบสองหมื่นปีแล้วสินะ?” อวี้หลัวช่าที่กำลังมองตีนเขาถามเสียงเรียบ

“คงจะอย่างนั้นกระมัง กองทัพองครักษ์ได้รับคำสั่งให้ย้ายไปทั่ว พบกันได้ยากก็เป็นเรื่องปกติ” เทียนเจี้ยนยิ้มเบาๆ จากนั้นเอียงหน้ามองนาง “ถ้าเทียบกับปีนั้น พุทธะหน้าหยกเหมือนจะอ่อนเยาว์ขึ้นนะ ช่างทำให้ผู้หญิงในใต้หล้าอิจฉาจริงๆ! การได้เจอพุทธะหน้าหยกที่นี่ก็ทำให้เทียนเจี้ยนรู้สึกผิดคาด ไม่ทราบว่าพุทธะหน้าหยกมาเยือนด้วยตัวเองเพราะมีธุระอะไร?”

อวี้หลัวช่าตอบอย่างใจเย็น “ไม่ปิดบังเจ้านะ ข้ามีพื้นเพจากสำนักหนานอู๋ เรื่องที่พระปีศาจหนานโปกวาดล้างสำนักหนานอู๋ในปีนั้นฝังใจข้ามาก ข้าโชคดีรอดมาได้ครั้งหนึ่ง บางทีอาจจะเป็นเพราะกลัว พอได้ยินว่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปยังไม่ดับ อาจจะปรากฏตัวอีกครั้ง ข้าก็กระวนกระวายใจจริงๆ เขาหลิงซานมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้พอดี ข้าเลยถือโอกาสมาดูสักหน่อย”

เทียนเจี้ยนถอนหายใจ “ข้าเข้าใจความรู้สึกของพุทธะหน้าหยก พระปีศาจหนานโปมองสรรพสิ่งเหมือนต้นหญ้า ถ้าเกิดใหม่อีกครั้ง ใต้หล้าก็จะเกิดหายนะ คาดว่าคงไม่มีใครไม่กลัว ทว่าดาราจักรกว้างใหญ่ ถ้าใช้วิธีการแบบนี้ค้นหาต่อไป คนในมือข้าก็ไม่พอจริงๆ เป็นไปไม่ได้ที่กองทัพองครักษ์จะนำคนทั้งหมดมาใช้ที่นี่ ครั้งนี้แดนสุขาวดีเป็นฝ่ายส่งคนมาร่วมค้นหากับตำหนักสวรรค์ ลดความกดดันให้ข้าได้เยอะเลย จะเห็นได้ว่าประมุขพุทธะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ขนาดไหน”

“ประมุขพุทธะเห็นว่าสี่ทัพถอนกำลังออกแล้วไม่เคลื่อนไหวสักที กังวลว่าจะเสียเวลา ถึงได้ติดต่อตำหนักสวรรค์และเสนอตัวส่งคนมาช่วย” อวี้หลัวช่ากล่าว

“อยู่ต่อหน้าคนชัดเจนไม่พูดคลุมเครือ ทางสี่อ๋องสวรรค์…เฮ้อ!” เทียนเจี้ยนส่ายหน้า

…………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+