พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1771 สถานที่ผนึก

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1771 สถานที่ผนึก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

สองพี่น้องกำลังพูดคุยกันอยู่ข้างหน้า อวี้หลัวช่าเดินตามหลังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล จีวรบนตัวค่อนข้างใหญ่หลวมดูตลก ทั้งสามล้วนใส่จีวรสีขาวพระจันทร์

พอใกล้จะได้เห็นสมบัติลับสำนักหนานอู๋ในตำนาน อวี้หลัวช่าก็ทั้งเฝ้าคอยทั้งกังวล นางเฝ้าคอยที่จะได้เห็น แต่ก็กลัวว่าเหมียวอี้จะวางกับดักอะไรนางด้วย

สรุปก็คือ ตอนนี้นางไม่เชื่อใจเหมียวอี้เลยสักนิด สายตานางหยุดอยู่บนหลังที่สง่างามของศีลแปด ไม่สนว่าโดนตบไปหนึ่งฉาดแล้วจะแค้นศีลแปดหรือไม่ ในตอนนี้ความรู้สึกปลอดภัยเพียงอย่างเดียวของนางผูกติดอยู่ที่ตัวศีลแปดคนเดียว

ทางหุบผาชัน ดูเหมือนไม่ไกล แต่กลับเดินมานานมากจริงๆ ใช้เวลาเดินสองชั่วยามกว่าจะถึงหุบผาชัน

หุบผาชันกว้างมาก ลึกหลายสิบจั้ง ตอนยืนอยู่ริมหุบผาชันก็เหมือนยืนอยู่ริมหน้าผาสูง ต้นหญ้ารอบๆ มีแต่ดอกไม้ป่าที่ไม่รู้จักชื่อ และในหุบผาชันก็ราวกับปูด้วยผ้าแพร ราวกับเป็นหุบเขาดอกไม้ สามารถได้กลิ่นหอมดอกไม้ที่กระแสลมพัดม้วนขึ้นมาจากด้านล่าง

ยืนบนหน้าผาชันแล้วทอดสายตามอง ศีลแปดชี้ไปยังหน้าผาชันที่อยู่ตรงข้าม “มันอยู่ฝั่งตรงข้าม”

เหมียวอี้กับอวี้หลัวช่าที่ยืนอยู่ไกลๆ มองตาม แยกแยะได้ง่ายมาก วัดประหลาดแห่งหนึ่งที่สร้างจากไม้สีดำขลับทั้งหมดฝังเลี่ยมอยู่บนหน้าผาชัน เห็นรางๆ ว่านอกวัดมีคนสองคนกำลังนั่งสมาธิ เหมียวอี้เดาว่าเป็นไต้ซือศีลเจ็ดกับปีศาจโลหิต

“เอ่อ…” จู่ๆ อวี้หลัวช่าก็อุทาน เมื่อได้เห็นวัดประหลาดแห่งนี้ ก็เหมือนจะทำให้นางนึกอะไรขึ้นได้ นึกถึงรายงานที่ตำหนักสวรรค์ส่งมา นึกถึงวัดผนึกที่ปีศาจจิ้งจอกสามหางบรรยายถึง ทำไมรู้สึกว่าเหมือนวัดแห่งนี้มากเลยล่ะ? หุบผาชัน เป็นวัดที่ฝังเลี่ยมไว้บนหุบผาชันเหมือนกัน ทั้งยังมีสภาพแวดล้อมที่ทำให้คนควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ไม่ได้อีก

ชั่วพริบตานี้ เหมือนนางจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว

เหมียวอี้กับศีลแปดเอียงหน้ามอง เห็นเพียงอวี้หลัวช่ามีใบหน้าซีดเผือด มีสีหน้าหวาดกลัวปรากฏให้เห็น

“อวี้หลัวช่า เป็นอะไรไป?” ศีลแปดถามด้วยรอยยิ้ม

อวี้หลัวช่าหันขวับมามองเขา แล้วเอ่ยถามขณะที่หายใจหอบเล็กน้อย “ไม่ทราบว่าฉายานามของไต้ซือคืออะไร?”

เหมียวอี้ได้ยินแล้วรู้สึกขำ ตอนนี้เพิ่งจะมาถามเนี่ยนะ?

ศีลแปดประนมมือ “อาตมามีฉายานามว่าศีลแปด!”

“เจ้าก็คือพระรูปหล่อคนนั้นเหรอ…” อวี้หลัวช่าเบิกตากว้าง แล้วก็รีบมองวัดประหลาดนั่นอีก ก่อนจะหลุดอุทานว่า “ที่นี่คือสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป?”

เหมียวอี้พูดเหน็บแนมทันที “ข้าบอกเจ้าตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่มีสมบัติลับสำนักหนานอู๋อะไรนั่นหรอก บอกเจ้าตั้งนานแล้วว่านี่คือสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป แต่เจ้ากลับไม่เชื่อ ดันคิดว่าข้ากำลังหลอกเจ้า ดูจากท่าทางเจ้าแล้ว คงรู้เรื่องของปีศาจจิ้งจอกสามหางมาสินะ คนที่ฉลาดขนาดนี้ ตามหลักแล้วถ้าสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของดาวเคราะห์ดวงนี้ เจ้าก็น่าจะเดาออกแล้วสิ หึหึ ข้าแปลกใจแล้ว ก่อนหน้านี้เจ้ายังสงสัยว่าที่นี่คือสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปอยู่เลย พอสัมผัสด้วยตัวเองแล้วว่าโดนระงับพลังอิทธิฤทธิ์ ทำไมจะเป็นจะตายกลับไม่ยอมเชื่อ สงสัยเจ้าจะเข้าใจหนิวผิดแบบลึกซึ้งเลยสินะ จะเป็นจะตายก็ไม่เชื่อหนิว น่าขำจริงๆ!”

“เอ !”ศีลแปดส่ายหน้าถอนหายใจ “นี่แหละที่เรียกว่าโดนกับดักความฉลาดของตัวเอง ก็เป็นอย่างนี้เอง!”

“พวกเจ้า…” อวี้หลัวช่าขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยสีหน้าซีดเผือด นางไม่ใช่แค่ดันทุรังทำสิ่งไร้ค่าเพราะไม่เชื่อคำพูดเหมียวอี้ แต่นางไม่คิดว่าเหมียวอี้จะรู้เรื่องที่เป็นความลับอย่างสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป นางไม่คิดว่าเหมียวอี้จะมาในสถานที่แบบนี้ หลังจากนางมาที่ดาวเคราะห์แล้ว ก็ไม่ได้สัมผัสถึงมนต์คร่าชีวิตอย่างที่ปีศาจจิ้งจอกสามหางบอก

ที่สำคัญกว่านั้นก็คือความโลภของนาง ยามคนเราเผชิญหน้ากับทางเลือก ก็จะมีวิธีตัดทางเลือกสองอย่าง อย่างแรกก็คือตัดอันตรายแฝงเร้นทุกอย่างแล้วหาจุดที่มีประโยชน์ อย่างหลังก็คือตัดจุดที่มีประโยชน์ทุกอย่างแล้วหาอันตรายแฝงเร้น อย่างหลังเป็นสำนึกในการเตรียมพร้อมป้องกันก่อนเกิดเหตุร้าย อย่างแรกก็ยิ่งเกือบเป็นจิตใจของนักพนัน และคนเราเมื่อเกิดความโลภในใจแล้ว ยามอยากนำเกาลัดออกจากกองไฟก็จับจ้องผลประโยชน์โดยมองข้ามอันตรายได้ง่ายมาก

“พลังอิทธิฤทธิ์ของเจ้าก็ถูกควบคุมเหมือนกัน!” อวี้หลัวช่าพลันจ้องศีลแปด

ศีลแปดยิ้มบางๆ รอยยิ้มเริ่มเปลี่ยนเป็นบริสุทธิ์ไร้ราคี จู่ๆ ก็เห็นเขาโบกแขนเสื้อกวาดพื้น ดอกไม้ป่าเล็กๆ ตรงหน้าก็ผลิดอกออกผลอย่างรวดเร็วแบบที่ตาเปล่าสังเกตเห็นได้ แล้วก็เห็นเขาโบกแขนเสื้อกวาดอีกครั้ง พืนพรรณหลายต้นที่มีผลสุกใกล้ร่วงก็มีดอกตูมดอกใหม่เบ่งบานอย่างรวดเร็ว ดูน่าอัศจรรย์มาก

อวี้หลัวช่ามองจนปากคอแห้ง ศีลแปดยิ้มเบาๆ “ตอนที่อาตมาเพิ่งมาก็ถูกควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์จริงๆ แต่ตอนหลังก็พบวิถีทางบางอย่างในการหลบเลี่ยงแล้ว”

เหมียวอี้แอบขำในใจ เจ้ารองแสร้งทำตัวเป็นเทพมาพูดจาเหลวไหลอีกแล้ว

“แค่เพราะวิชาพุทธของเจ้าล้ำลึกจริงใจเฉยๆ หรอก” อวี้หลัวช่ากล่าว

ศีลแปดจึงบอกว่า “งั้นเจ้าก็ลองไม่ใช้พลังอิทธิฤทธิ์แล้วแสดงความจริงใจให้ข้าดูสักหน่อยสิ! ย่าเจ้าเถอะ เป็นครั้งแรกที่เจอคนบอกว่าข้ามีวิชาพุทธล้ำลึก ขอบคุณที่ชมนะ!” เขาสะบัดแขนเสื้อ ราวกับบอกว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ

อวี้หลัวช่าแววตาวูบไหวร้อนรน ไม่รูเหมือนกันว่านางเชื่อหรือไม่เชื่อ

เหมียวอี้มองไปรอบๆ แล้วบอกว่า “สภาพแวดล้อมที่นี่เหมือนจะดีกว่าที่ร่ำลือกันนะ”

ศีลแปดตอบกลั้วหัวเราะ “นั่นแสดงว่าท่านไม่รู้ว่าตอนที่ข้าเพิ่งมาที่นี่สภาพแวดล้อมเป็นยังไง ในหุบผาชันเป็นพื้นที่รกร้าง ในหุบเขามีลมหนาวพัดเป็นพักๆ อากาศถูกเมฆหมอกปกคลุมไว้ น่าตกใจมาก ใต้ดอกไม้พวกนี้ฝังกระดูกไว้นับไม่ถ้วน หลังจากควบคุมปีศาจเฒ่านั่นไว้แล้ว สภาพแวดล้อมที่นี่ถึงได้ดีขึ้นตามลำดับ”

พอพูดถึงเรื่องกระดูก เหมียวอี้ก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องบางอย่าง ถามว่า “คนที่ถูกขังไว้ที่นี่ตอนแรกมาจากข้างนอกหมดเลยเหรอ?”

“แน่นอนสิ คงไม่ใช่เพราะธรรมชาติสร้างขึ้นหรอกมั้ง?” ศีลแปดถาม

เหมียวอี้แปลกใจ “คนพวกนี้ถูกระงับพลังอิทธิฤทธิ์แล้ว ตอนเข้ามาในดาวเคราะห์ดวงนี้ก็ต้องตกจากที่สูง ทำไมยังมีชีวิตรอดได้อีกล่ะ? ต่อให้ตกลงบนผิวน้ำก็กระแทกตายอยู่ดีละมั้ง?”

ศีลแปดตอบว่า “คนที่วางค่ายกลนี้ไว้ตอนแรกคงจะป้องกันจุดนี้ไว้แล้ว กังวลว่าจะมีคนปล่อยปีศาจเฒ่าออกไป ก็เลยเกิดสถานการณ์อย่างที่พี่ใหญ่บอก ไม่ว่าใครที่เข้ามาในนี้ ส่วนใหญ่ก็จะตกลงมาตายหมด แต่เหมือนคนวางค่ายกลจะจินตนาการไม่ถึงความน่ากลัวของปีศาจเฒ่านั่น แม้ปีศาจเฒ่าจะไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์แล้ว แต่ก็ยังควบคุมคนได้ ยังควบคุมสิงห์สาราสัตว์ชนิดต่างๆ ได้ พอมีคนตกลงมาก็จะถูกสัตว์ปีกตัวใหญ่ช่วยชีวิตไว้ และในคืนที่ข้ากับปาไห่ตกลงมา ก็มีฝูงค้างคาวกับไม่ถ้วนมาช่วยไว้ พวกเราถึงได้รอด แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่ได้รับความช่วยเหลือทันเวลา มีคนไม่น้อยตกลงมาตาย คนที่ไม่ตกลงมาตายก็โดนมนต์คร่าชีวิตของปีศาจเฒ่าสะกดให้มาที่หุบผาชันแห่งนี้หมด”

ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้! เหมียวอี้พยักหน้า ชำเลืองมองอวี้หลัวช่าแวบหนึ่ง ยังนึกว่ากางเสื้อผ้าบินเหมือนอวี้หลัวช่ากันหมด พอมาดูตอนนี้แล้ว การที่ผู้หญิงคนนี้รอดชีวิตมาจนทุกวันนี้ก็ไม่ธรรมดาจริงๆ ขนาดตกลงจากฟ้าก็ยังพ้นเคราะห์ได้ ช่างดวงแข็งจริงๆ!

จู่ๆ ศีลแปดก็จ้องวัดประหลาดนั่นพลางถอนหายใจ “ปีศาจเฒ่านี่ชั่วร้ายจริงๆ อาตมาค่อนข้างกังวล กังวลว่าสักวันหนึ่งปีศาจเฒ่าจะหลุดออกมาได้ พวกเราคงไม่ต้องเฝ้าไปทั้งชีวิตหรอกใช่มั้ย ถ้าเขาหลุดออกมาแล้วจะมาคิดบัญชีกับอาตมาหรือเปล่า?”

“งั้นข้าจะฆ่าเขา!” เหมียวอี้กล่าว

อวี้หลัวช่าแสยะยิ้ม “คิดฝันเพ้อเจ้อ ถ้าฆ่าเขาได้ยังจะต้องให้เจ้าพูดอีกเหรอ? ถ้าฆ่าเขาได้ ประมุขปราชญ์หกลัทธิคงทำไปนานแล้ว ยังจะขังเขาไว้ที่นี่ทำไมอีก? ตอนพระปีศาจหนานโปยังมีชีวิตอยู่ วรยุทธ์ของเขาถึงระดับที่ไม่ตายไม่ดับสูญแล้ว คนที่วรยุทธ์ถึงระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่ว่าใครคิดจะทำลายวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็จะทำลายได้ ต่อให้กำลังพลของแดนสุขาวดีกับตำหนักสวรรค์หาที่นี่พบ ก็ทำได้เพียงขังเขาไว้ที่นี่ต่อไป หลีกเลี่ยงไม่ให้เขาหลุดออกมาเท่านั้น”

เหมียวอี้นึกถึงเทพมังกรที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าโลกนี้จะมีสิ่งที่ฆ่าไม่ตาย”

อวี้หลัวช่าบอกว่า “คนที่สามารถทำลายวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้ก็ใช่ว่าจะไม่มี วิญญาณศักดิ์สิทธิ์คือสิ่งที่กระโดดออกจากสามภพไม่ได้อยู่ในห้าธาตุ ว่ากันว่าเคล็ดวิชาฝึกตนของประมุขไป๋เหนือกว่าสามภพห้าธาตุ จึงทำให้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ปลิวสลายเป็นเถ้าถ่านได้ แต่น่าเสียดายที่ประมุขไป๋…แต่ยังมีอีกตำนานหนึ่ง ว่ากันว่าสำนักหนานอู๋ซ่อนวิชาพุทธไร้ขอบเขตเอาไว้ หลังจากฝึกสำเร็จแล้วก็จะสามารถคลอบคลุมสรรพสิ่งได้ สามารถกำจัดพระปีศาจหนานโปได้เหมือนกัน”

“วิชาพุทธไร้ขอบเขต?” ในหัวเหมียวอี้ฉายภาพในจุดซ่อนสมบัติลับสำนักหนานอู๋ แล้วถามเสียงเรียบว่า “ที่เจ้าพูดแบบนี้ ไม่ใช่เพราะอยากหาสมบัติลับสำนักหนานอู๋หรอกใช่มั้ย?”

อวี้หลัวช่าบอกว่า “ผลก็คือเจ้าพาข้ามาดูสิ่งนี้” ในที่สุดนางก็เชื่อแล้วว่าไม่มีสมบัติลับอะไรทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นคงไม่พูดอย่างนี้ออกมาหรอก

เคล็ดวิชาฝึกตนของประมุขไป๋จะกำจัดวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปได้หรือไม่ เหมียวอี้ไม่กล้าฟันธง อย่างไรเสียแม้แต่อาจารย์ของประมุขไป๋ก็ยังตายด้วยน้ำมือพระปีศาจหนานโปไปแล้ว เขาขมวดคิ้วถาม “นอกจากวิธีการตามสองตำนานนี้ อย่าบอกนะว่าไม่มีวิธีการอื่นอีก?”

“มี!” อวี้หลัวช่าตอบอย่างมั่นใจมาก “นอกเสียจากจะมียอดฝีมือระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตัว แล้วอาศัยวรยุทธ์ระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มาข่มวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโป ถึงจะอาศัยพลานุภาพอันน่าเกรงขามกำจัดวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาทิ้งได้ ไม่อย่างนั้นคนทั่วไปก็ฆ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทิ้งไม่สำเร็จเลย ต่อให้เจ้าทำลายเขาแล้ว เขาก็ออกจากความลึกลับกลับมารวมตัวกันได้อีก แต่ยอดฝีมือระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในโลกนี้ถูกพระปีศาจหนานโปฆ่าตายหมดแล้ว ถ้าอยากจะให้มีคนที่เป็นภัยคุกคามต่อวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาโผล่มาอีก ก็ไม่รู้เลยว่าเมื่อไร”

“วิญญาณศักดิ์สิทธิ์…” เหมียวอี้เงียบไปพักหนึ่ง สายตามองไปทางวัดประหลาดที่ฝังเลี่ยมอยู่บนหน้าผาอีกครั้ง แล้วบอกศีลแปดว่า “ไป พาข้าไปเปิดหูเปิดตาสักหน่อย”

ศีลแปดพยักหน้า แล้วหันกลับมาถามอวี้หลัวช่า “เจ้าจะไปดูสักหน่อยมั้ย?”

อวี้หลัวช่ามองวัดประหลาดด้วยสายตาหวาดกลัว แต่พอนึกได้ว่าคนในวัดถูกควบคุมไว้แล้ว และขนาดคนพวกนี้ยังไม่กลัว แล้วตัวเองจะต้องกลัวอะไรล่ะ นางก็เลยเงยหน้ายืดอก “ถึงแม้ข้าจะไม่เคยเห็นตัวจริงของพระปีศาจหนานโป แต่ในเมื่อมาแล้ว ก็อยากจะเห็นสักหน่อยว่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจที่เคยวางอำนาจบาตรใหญ่ในจักรวาลเป็นยังไง” นางเดินตามหลังทั้งสองไป

ทั้งสามไม่ได้กระโดดลงไปโดยตรง แต่เดินเลียบหน้าผาไปจนปลายสุดของหุบผาชันแล้วถึงเลี้ยวลงไป

เพราะด้วยเหตุนี้เอง อวี้หลัวช่าที่ตามอยู่ข้างหลังจึงมองศีลแปดด้วยแววตาแปลกๆ นางเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างที่สังเกตเห็นได้ยาก แต่บนใบหน้ากลับไม่แสดงสีหน้าผิดปกติใดๆ

ตลอดทางเต็มไปด้วยหญ้าเขียวแล้วดอกไม้ เห็นได้ชัดว่าเกิดขึ้นเพราะมีคนเหยียบเข้าเหยียบออกที่นี่บ่อยๆ ทั้งสามเดินไปข้างหน้าตามทางคดเคี้ยวยาวเหยียด สุดท้ายก็มาถึงด้านล่างของวัด แล้วก็ปีนขึ้นตามบันไดที่ขุดขึ้นไปบนหน้าผาอีก

เมื่อเห็นปลายทางบันไดของวัดที่ฝังเลี่ยมบนหน้าผาปรากฏ เหมียวอี้กับอวี้หลัวช่าก็เริ่มวิตกกังวลนิดหน่อย เป็นเพราะชื่อเสียงบารมีของพระปีศาจหนานโปโด่งดังเกินไป คนที่ไม่รู้ก็ว่าไปอย่าง แต่คนที่รู้ประวัติความเป็นมาของพระปีศาจตนนี้ มีใครบ้างที่กล้าบอกว่าตัวเองไม่กดดันเลยสักนิด? เกรงว่าแม้แต่ประมุขชิงกับประมุขพุทธะก็ยังไม่กล้าพูดโอ้อวดเลย

กลับเป็นศีลแปดที่เคยชินแล้ว สะบัดแขนเสื้อตัวใหญ่เดินขึ้นบันไดไปอย่างไม่ช้าไม่เร็ว อย่างไรเสียเขาก็คือคนที่เคยด่าพระปีศาจหนานโปมาเป็นเวลาหนึ่งเดือน ทั้งใต้หล้ามีเขาคนเดียว

…………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1771 สถานที่ผนึก

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1771 สถานที่ผนึก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

สองพี่น้องกำลังพูดคุยกันอยู่ข้างหน้า อวี้หลัวช่าเดินตามหลังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล จีวรบนตัวค่อนข้างใหญ่หลวมดูตลก ทั้งสามล้วนใส่จีวรสีขาวพระจันทร์

พอใกล้จะได้เห็นสมบัติลับสำนักหนานอู๋ในตำนาน อวี้หลัวช่าก็ทั้งเฝ้าคอยทั้งกังวล นางเฝ้าคอยที่จะได้เห็น แต่ก็กลัวว่าเหมียวอี้จะวางกับดักอะไรนางด้วย

สรุปก็คือ ตอนนี้นางไม่เชื่อใจเหมียวอี้เลยสักนิด สายตานางหยุดอยู่บนหลังที่สง่างามของศีลแปด ไม่สนว่าโดนตบไปหนึ่งฉาดแล้วจะแค้นศีลแปดหรือไม่ ในตอนนี้ความรู้สึกปลอดภัยเพียงอย่างเดียวของนางผูกติดอยู่ที่ตัวศีลแปดคนเดียว

ทางหุบผาชัน ดูเหมือนไม่ไกล แต่กลับเดินมานานมากจริงๆ ใช้เวลาเดินสองชั่วยามกว่าจะถึงหุบผาชัน

หุบผาชันกว้างมาก ลึกหลายสิบจั้ง ตอนยืนอยู่ริมหุบผาชันก็เหมือนยืนอยู่ริมหน้าผาสูง ต้นหญ้ารอบๆ มีแต่ดอกไม้ป่าที่ไม่รู้จักชื่อ และในหุบผาชันก็ราวกับปูด้วยผ้าแพร ราวกับเป็นหุบเขาดอกไม้ สามารถได้กลิ่นหอมดอกไม้ที่กระแสลมพัดม้วนขึ้นมาจากด้านล่าง

ยืนบนหน้าผาชันแล้วทอดสายตามอง ศีลแปดชี้ไปยังหน้าผาชันที่อยู่ตรงข้าม “มันอยู่ฝั่งตรงข้าม”

เหมียวอี้กับอวี้หลัวช่าที่ยืนอยู่ไกลๆ มองตาม แยกแยะได้ง่ายมาก วัดประหลาดแห่งหนึ่งที่สร้างจากไม้สีดำขลับทั้งหมดฝังเลี่ยมอยู่บนหน้าผาชัน เห็นรางๆ ว่านอกวัดมีคนสองคนกำลังนั่งสมาธิ เหมียวอี้เดาว่าเป็นไต้ซือศีลเจ็ดกับปีศาจโลหิต

“เอ่อ…” จู่ๆ อวี้หลัวช่าก็อุทาน เมื่อได้เห็นวัดประหลาดแห่งนี้ ก็เหมือนจะทำให้นางนึกอะไรขึ้นได้ นึกถึงรายงานที่ตำหนักสวรรค์ส่งมา นึกถึงวัดผนึกที่ปีศาจจิ้งจอกสามหางบรรยายถึง ทำไมรู้สึกว่าเหมือนวัดแห่งนี้มากเลยล่ะ? หุบผาชัน เป็นวัดที่ฝังเลี่ยมไว้บนหุบผาชันเหมือนกัน ทั้งยังมีสภาพแวดล้อมที่ทำให้คนควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ไม่ได้อีก

ชั่วพริบตานี้ เหมือนนางจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว

เหมียวอี้กับศีลแปดเอียงหน้ามอง เห็นเพียงอวี้หลัวช่ามีใบหน้าซีดเผือด มีสีหน้าหวาดกลัวปรากฏให้เห็น

“อวี้หลัวช่า เป็นอะไรไป?” ศีลแปดถามด้วยรอยยิ้ม

อวี้หลัวช่าหันขวับมามองเขา แล้วเอ่ยถามขณะที่หายใจหอบเล็กน้อย “ไม่ทราบว่าฉายานามของไต้ซือคืออะไร?”

เหมียวอี้ได้ยินแล้วรู้สึกขำ ตอนนี้เพิ่งจะมาถามเนี่ยนะ?

ศีลแปดประนมมือ “อาตมามีฉายานามว่าศีลแปด!”

“เจ้าก็คือพระรูปหล่อคนนั้นเหรอ…” อวี้หลัวช่าเบิกตากว้าง แล้วก็รีบมองวัดประหลาดนั่นอีก ก่อนจะหลุดอุทานว่า “ที่นี่คือสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป?”

เหมียวอี้พูดเหน็บแนมทันที “ข้าบอกเจ้าตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่มีสมบัติลับสำนักหนานอู๋อะไรนั่นหรอก บอกเจ้าตั้งนานแล้วว่านี่คือสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป แต่เจ้ากลับไม่เชื่อ ดันคิดว่าข้ากำลังหลอกเจ้า ดูจากท่าทางเจ้าแล้ว คงรู้เรื่องของปีศาจจิ้งจอกสามหางมาสินะ คนที่ฉลาดขนาดนี้ ตามหลักแล้วถ้าสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของดาวเคราะห์ดวงนี้ เจ้าก็น่าจะเดาออกแล้วสิ หึหึ ข้าแปลกใจแล้ว ก่อนหน้านี้เจ้ายังสงสัยว่าที่นี่คือสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปอยู่เลย พอสัมผัสด้วยตัวเองแล้วว่าโดนระงับพลังอิทธิฤทธิ์ ทำไมจะเป็นจะตายกลับไม่ยอมเชื่อ สงสัยเจ้าจะเข้าใจหนิวผิดแบบลึกซึ้งเลยสินะ จะเป็นจะตายก็ไม่เชื่อหนิว น่าขำจริงๆ!”

“เอ !”ศีลแปดส่ายหน้าถอนหายใจ “นี่แหละที่เรียกว่าโดนกับดักความฉลาดของตัวเอง ก็เป็นอย่างนี้เอง!”

“พวกเจ้า…” อวี้หลัวช่าขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยสีหน้าซีดเผือด นางไม่ใช่แค่ดันทุรังทำสิ่งไร้ค่าเพราะไม่เชื่อคำพูดเหมียวอี้ แต่นางไม่คิดว่าเหมียวอี้จะรู้เรื่องที่เป็นความลับอย่างสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป นางไม่คิดว่าเหมียวอี้จะมาในสถานที่แบบนี้ หลังจากนางมาที่ดาวเคราะห์แล้ว ก็ไม่ได้สัมผัสถึงมนต์คร่าชีวิตอย่างที่ปีศาจจิ้งจอกสามหางบอก

ที่สำคัญกว่านั้นก็คือความโลภของนาง ยามคนเราเผชิญหน้ากับทางเลือก ก็จะมีวิธีตัดทางเลือกสองอย่าง อย่างแรกก็คือตัดอันตรายแฝงเร้นทุกอย่างแล้วหาจุดที่มีประโยชน์ อย่างหลังก็คือตัดจุดที่มีประโยชน์ทุกอย่างแล้วหาอันตรายแฝงเร้น อย่างหลังเป็นสำนึกในการเตรียมพร้อมป้องกันก่อนเกิดเหตุร้าย อย่างแรกก็ยิ่งเกือบเป็นจิตใจของนักพนัน และคนเราเมื่อเกิดความโลภในใจแล้ว ยามอยากนำเกาลัดออกจากกองไฟก็จับจ้องผลประโยชน์โดยมองข้ามอันตรายได้ง่ายมาก

“พลังอิทธิฤทธิ์ของเจ้าก็ถูกควบคุมเหมือนกัน!” อวี้หลัวช่าพลันจ้องศีลแปด

ศีลแปดยิ้มบางๆ รอยยิ้มเริ่มเปลี่ยนเป็นบริสุทธิ์ไร้ราคี จู่ๆ ก็เห็นเขาโบกแขนเสื้อกวาดพื้น ดอกไม้ป่าเล็กๆ ตรงหน้าก็ผลิดอกออกผลอย่างรวดเร็วแบบที่ตาเปล่าสังเกตเห็นได้ แล้วก็เห็นเขาโบกแขนเสื้อกวาดอีกครั้ง พืนพรรณหลายต้นที่มีผลสุกใกล้ร่วงก็มีดอกตูมดอกใหม่เบ่งบานอย่างรวดเร็ว ดูน่าอัศจรรย์มาก

อวี้หลัวช่ามองจนปากคอแห้ง ศีลแปดยิ้มเบาๆ “ตอนที่อาตมาเพิ่งมาก็ถูกควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์จริงๆ แต่ตอนหลังก็พบวิถีทางบางอย่างในการหลบเลี่ยงแล้ว”

เหมียวอี้แอบขำในใจ เจ้ารองแสร้งทำตัวเป็นเทพมาพูดจาเหลวไหลอีกแล้ว

“แค่เพราะวิชาพุทธของเจ้าล้ำลึกจริงใจเฉยๆ หรอก” อวี้หลัวช่ากล่าว

ศีลแปดจึงบอกว่า “งั้นเจ้าก็ลองไม่ใช้พลังอิทธิฤทธิ์แล้วแสดงความจริงใจให้ข้าดูสักหน่อยสิ! ย่าเจ้าเถอะ เป็นครั้งแรกที่เจอคนบอกว่าข้ามีวิชาพุทธล้ำลึก ขอบคุณที่ชมนะ!” เขาสะบัดแขนเสื้อ ราวกับบอกว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ

อวี้หลัวช่าแววตาวูบไหวร้อนรน ไม่รูเหมือนกันว่านางเชื่อหรือไม่เชื่อ

เหมียวอี้มองไปรอบๆ แล้วบอกว่า “สภาพแวดล้อมที่นี่เหมือนจะดีกว่าที่ร่ำลือกันนะ”

ศีลแปดตอบกลั้วหัวเราะ “นั่นแสดงว่าท่านไม่รู้ว่าตอนที่ข้าเพิ่งมาที่นี่สภาพแวดล้อมเป็นยังไง ในหุบผาชันเป็นพื้นที่รกร้าง ในหุบเขามีลมหนาวพัดเป็นพักๆ อากาศถูกเมฆหมอกปกคลุมไว้ น่าตกใจมาก ใต้ดอกไม้พวกนี้ฝังกระดูกไว้นับไม่ถ้วน หลังจากควบคุมปีศาจเฒ่านั่นไว้แล้ว สภาพแวดล้อมที่นี่ถึงได้ดีขึ้นตามลำดับ”

พอพูดถึงเรื่องกระดูก เหมียวอี้ก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องบางอย่าง ถามว่า “คนที่ถูกขังไว้ที่นี่ตอนแรกมาจากข้างนอกหมดเลยเหรอ?”

“แน่นอนสิ คงไม่ใช่เพราะธรรมชาติสร้างขึ้นหรอกมั้ง?” ศีลแปดถาม

เหมียวอี้แปลกใจ “คนพวกนี้ถูกระงับพลังอิทธิฤทธิ์แล้ว ตอนเข้ามาในดาวเคราะห์ดวงนี้ก็ต้องตกจากที่สูง ทำไมยังมีชีวิตรอดได้อีกล่ะ? ต่อให้ตกลงบนผิวน้ำก็กระแทกตายอยู่ดีละมั้ง?”

ศีลแปดตอบว่า “คนที่วางค่ายกลนี้ไว้ตอนแรกคงจะป้องกันจุดนี้ไว้แล้ว กังวลว่าจะมีคนปล่อยปีศาจเฒ่าออกไป ก็เลยเกิดสถานการณ์อย่างที่พี่ใหญ่บอก ไม่ว่าใครที่เข้ามาในนี้ ส่วนใหญ่ก็จะตกลงมาตายหมด แต่เหมือนคนวางค่ายกลจะจินตนาการไม่ถึงความน่ากลัวของปีศาจเฒ่านั่น แม้ปีศาจเฒ่าจะไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์แล้ว แต่ก็ยังควบคุมคนได้ ยังควบคุมสิงห์สาราสัตว์ชนิดต่างๆ ได้ พอมีคนตกลงมาก็จะถูกสัตว์ปีกตัวใหญ่ช่วยชีวิตไว้ และในคืนที่ข้ากับปาไห่ตกลงมา ก็มีฝูงค้างคาวกับไม่ถ้วนมาช่วยไว้ พวกเราถึงได้รอด แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่ได้รับความช่วยเหลือทันเวลา มีคนไม่น้อยตกลงมาตาย คนที่ไม่ตกลงมาตายก็โดนมนต์คร่าชีวิตของปีศาจเฒ่าสะกดให้มาที่หุบผาชันแห่งนี้หมด”

ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้! เหมียวอี้พยักหน้า ชำเลืองมองอวี้หลัวช่าแวบหนึ่ง ยังนึกว่ากางเสื้อผ้าบินเหมือนอวี้หลัวช่ากันหมด พอมาดูตอนนี้แล้ว การที่ผู้หญิงคนนี้รอดชีวิตมาจนทุกวันนี้ก็ไม่ธรรมดาจริงๆ ขนาดตกลงจากฟ้าก็ยังพ้นเคราะห์ได้ ช่างดวงแข็งจริงๆ!

จู่ๆ ศีลแปดก็จ้องวัดประหลาดนั่นพลางถอนหายใจ “ปีศาจเฒ่านี่ชั่วร้ายจริงๆ อาตมาค่อนข้างกังวล กังวลว่าสักวันหนึ่งปีศาจเฒ่าจะหลุดออกมาได้ พวกเราคงไม่ต้องเฝ้าไปทั้งชีวิตหรอกใช่มั้ย ถ้าเขาหลุดออกมาแล้วจะมาคิดบัญชีกับอาตมาหรือเปล่า?”

“งั้นข้าจะฆ่าเขา!” เหมียวอี้กล่าว

อวี้หลัวช่าแสยะยิ้ม “คิดฝันเพ้อเจ้อ ถ้าฆ่าเขาได้ยังจะต้องให้เจ้าพูดอีกเหรอ? ถ้าฆ่าเขาได้ ประมุขปราชญ์หกลัทธิคงทำไปนานแล้ว ยังจะขังเขาไว้ที่นี่ทำไมอีก? ตอนพระปีศาจหนานโปยังมีชีวิตอยู่ วรยุทธ์ของเขาถึงระดับที่ไม่ตายไม่ดับสูญแล้ว คนที่วรยุทธ์ถึงระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่ว่าใครคิดจะทำลายวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็จะทำลายได้ ต่อให้กำลังพลของแดนสุขาวดีกับตำหนักสวรรค์หาที่นี่พบ ก็ทำได้เพียงขังเขาไว้ที่นี่ต่อไป หลีกเลี่ยงไม่ให้เขาหลุดออกมาเท่านั้น”

เหมียวอี้นึกถึงเทพมังกรที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าโลกนี้จะมีสิ่งที่ฆ่าไม่ตาย”

อวี้หลัวช่าบอกว่า “คนที่สามารถทำลายวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้ก็ใช่ว่าจะไม่มี วิญญาณศักดิ์สิทธิ์คือสิ่งที่กระโดดออกจากสามภพไม่ได้อยู่ในห้าธาตุ ว่ากันว่าเคล็ดวิชาฝึกตนของประมุขไป๋เหนือกว่าสามภพห้าธาตุ จึงทำให้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ปลิวสลายเป็นเถ้าถ่านได้ แต่น่าเสียดายที่ประมุขไป๋…แต่ยังมีอีกตำนานหนึ่ง ว่ากันว่าสำนักหนานอู๋ซ่อนวิชาพุทธไร้ขอบเขตเอาไว้ หลังจากฝึกสำเร็จแล้วก็จะสามารถคลอบคลุมสรรพสิ่งได้ สามารถกำจัดพระปีศาจหนานโปได้เหมือนกัน”

“วิชาพุทธไร้ขอบเขต?” ในหัวเหมียวอี้ฉายภาพในจุดซ่อนสมบัติลับสำนักหนานอู๋ แล้วถามเสียงเรียบว่า “ที่เจ้าพูดแบบนี้ ไม่ใช่เพราะอยากหาสมบัติลับสำนักหนานอู๋หรอกใช่มั้ย?”

อวี้หลัวช่าบอกว่า “ผลก็คือเจ้าพาข้ามาดูสิ่งนี้” ในที่สุดนางก็เชื่อแล้วว่าไม่มีสมบัติลับอะไรทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นคงไม่พูดอย่างนี้ออกมาหรอก

เคล็ดวิชาฝึกตนของประมุขไป๋จะกำจัดวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปได้หรือไม่ เหมียวอี้ไม่กล้าฟันธง อย่างไรเสียแม้แต่อาจารย์ของประมุขไป๋ก็ยังตายด้วยน้ำมือพระปีศาจหนานโปไปแล้ว เขาขมวดคิ้วถาม “นอกจากวิธีการตามสองตำนานนี้ อย่าบอกนะว่าไม่มีวิธีการอื่นอีก?”

“มี!” อวี้หลัวช่าตอบอย่างมั่นใจมาก “นอกเสียจากจะมียอดฝีมือระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตัว แล้วอาศัยวรยุทธ์ระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มาข่มวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโป ถึงจะอาศัยพลานุภาพอันน่าเกรงขามกำจัดวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาทิ้งได้ ไม่อย่างนั้นคนทั่วไปก็ฆ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทิ้งไม่สำเร็จเลย ต่อให้เจ้าทำลายเขาแล้ว เขาก็ออกจากความลึกลับกลับมารวมตัวกันได้อีก แต่ยอดฝีมือระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในโลกนี้ถูกพระปีศาจหนานโปฆ่าตายหมดแล้ว ถ้าอยากจะให้มีคนที่เป็นภัยคุกคามต่อวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาโผล่มาอีก ก็ไม่รู้เลยว่าเมื่อไร”

“วิญญาณศักดิ์สิทธิ์…” เหมียวอี้เงียบไปพักหนึ่ง สายตามองไปทางวัดประหลาดที่ฝังเลี่ยมอยู่บนหน้าผาอีกครั้ง แล้วบอกศีลแปดว่า “ไป พาข้าไปเปิดหูเปิดตาสักหน่อย”

ศีลแปดพยักหน้า แล้วหันกลับมาถามอวี้หลัวช่า “เจ้าจะไปดูสักหน่อยมั้ย?”

อวี้หลัวช่ามองวัดประหลาดด้วยสายตาหวาดกลัว แต่พอนึกได้ว่าคนในวัดถูกควบคุมไว้แล้ว และขนาดคนพวกนี้ยังไม่กลัว แล้วตัวเองจะต้องกลัวอะไรล่ะ นางก็เลยเงยหน้ายืดอก “ถึงแม้ข้าจะไม่เคยเห็นตัวจริงของพระปีศาจหนานโป แต่ในเมื่อมาแล้ว ก็อยากจะเห็นสักหน่อยว่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจที่เคยวางอำนาจบาตรใหญ่ในจักรวาลเป็นยังไง” นางเดินตามหลังทั้งสองไป

ทั้งสามไม่ได้กระโดดลงไปโดยตรง แต่เดินเลียบหน้าผาไปจนปลายสุดของหุบผาชันแล้วถึงเลี้ยวลงไป

เพราะด้วยเหตุนี้เอง อวี้หลัวช่าที่ตามอยู่ข้างหลังจึงมองศีลแปดด้วยแววตาแปลกๆ นางเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างที่สังเกตเห็นได้ยาก แต่บนใบหน้ากลับไม่แสดงสีหน้าผิดปกติใดๆ

ตลอดทางเต็มไปด้วยหญ้าเขียวแล้วดอกไม้ เห็นได้ชัดว่าเกิดขึ้นเพราะมีคนเหยียบเข้าเหยียบออกที่นี่บ่อยๆ ทั้งสามเดินไปข้างหน้าตามทางคดเคี้ยวยาวเหยียด สุดท้ายก็มาถึงด้านล่างของวัด แล้วก็ปีนขึ้นตามบันไดที่ขุดขึ้นไปบนหน้าผาอีก

เมื่อเห็นปลายทางบันไดของวัดที่ฝังเลี่ยมบนหน้าผาปรากฏ เหมียวอี้กับอวี้หลัวช่าก็เริ่มวิตกกังวลนิดหน่อย เป็นเพราะชื่อเสียงบารมีของพระปีศาจหนานโปโด่งดังเกินไป คนที่ไม่รู้ก็ว่าไปอย่าง แต่คนที่รู้ประวัติความเป็นมาของพระปีศาจตนนี้ มีใครบ้างที่กล้าบอกว่าตัวเองไม่กดดันเลยสักนิด? เกรงว่าแม้แต่ประมุขชิงกับประมุขพุทธะก็ยังไม่กล้าพูดโอ้อวดเลย

กลับเป็นศีลแปดที่เคยชินแล้ว สะบัดแขนเสื้อตัวใหญ่เดินขึ้นบันไดไปอย่างไม่ช้าไม่เร็ว อย่างไรเสียเขาก็คือคนที่เคยด่าพระปีศาจหนานโปมาเป็นเวลาหนึ่งเดือน ทั้งใต้หล้ามีเขาคนเดียว

…………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+