พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1793 หนึ่งหมื่นปี

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1793 หนึ่งหมื่นปี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เวลาหนึ่งหมื่นปีเพียงพอที่จะเปลี่ยนชะตาชีวิตของคนมากมาย และเป็นหนึ่งหมื่นปีที่ขึ้นๆ ลงๆ สำหรับใครหลายคนด้วย

ท่ามกลางเสียงร่ำไห้ เสียงคร่ำครวญ เสียงก่นด่าสาปแช่งของตระกูลผู้มีอำนาจมากมาย ชั่วพริบตาเดียวก็สลายกลายเป็นเถ้าถ่านปลิดปลิวแล้ว

แล้วก็มีชนชั้นสูงบางส่วนที่ยามปกติขี่ม้าเลี้ยงสุนัขเที่ยวหาสุรานารี ผ่านไปชั่วพริบตาเดียวก็ตกระกําลําบากแล้ว

มีคุณหนูใหญ่มากมายที่ยามปกติมองเหยียดผู้อื่น แต่กลับกลายเป็นของเล่นชั้นต่ำที่ยามปกติตัวเองดูถูก ถูกคนอื่นเล่นตามใจชอบเพื่อล้างแค้น

สตรีชั้นสูงบางคนที่ยามปกติเชิดใส่หอนางโลม แต่ชั่วพริบตาเดียวก็ถูกทำโทษให้มารับแขกในหอนางโลมแล้ว แขกที่มาก็แทบจะเหยียบคานประตูฟัง ต่างก็อยากเห็นว่าสตรีชั้นสูงที่ยามปกติสายตาสูง เวลาปรนนิบัติจะมีท่าทางเป็นอย่างไร จะยังทำตัวสูงส่งอยู่หรือเปล่า ราคาสูงลิบลิ่วก็ไม่เป็นไร สรุปก็คือมาลิ้มลองรสชาติด้วยจุดประสงค์ล้างแค้น ส่วนผู้หญิงพวกนี้ ตอนแรกก็ร้องไห้น้ำตาอาบหน้า จนถึงตอนสุดท้ายก็ชินชาแล้ว พวกนางต้องเรียนรู้ที่จะยิ้มรับแขกเพื่อเอาชีวิตรอด จนกระทั่งพวกนางเริ่มยิ้มรับแขกเป็นแล้ว แขกที่เข้าประตูมาก็เริ่มเบาบาง ทุกคนหมดความสนใจต่อพวกนางแล้ว

ดังนั้นพวกนางจึงเริ่มตกอยู่ในสภาวะกระสับกระส่ายหวาดกลัวอีกครั้ง พวกนางเป็นคนที่มีความผิดติดตัว ไม่มีอิสระ ไม่มีใครที่จะเลี้ยงพวกนางโดยไม่ต้องการสิ่งแลกเปลี่ยน แต่เมื่อไม่มีมูลค่าแล้ว จุดจบที่รอพวกนางอยู่ก็คือแรงงานเกณฑ์ บ้างก็ถูกจับหลอมเอายาเน่ยตัน ดังนั้นพวกนางจึงคิดทำทุกวิถีทางเพื่อสร้างจุดขายให้ตัวเอง เพื่อร้องขอให้มีชีวิตรอด ทว่ายิ่งเป็นแบบนี้แขกก็ยิ่งไม่สนใจพวกนาง

แน่นอน มีคนทนความอัปยศนี้ไม่ได้เช่นกัน ปลิดชีพตัวเองไปพร้อมกับความแค้นตั้งแต่แรกแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นจำนวนน้อย ตายดีมิสู้อยู่อย่างอัปยศ คนที่เป็นเหมือนฮูหยินของจอมพลโจวจ้าวจริงๆ เอาดาบปาดคอตัวเองตั้งแต่ก่อนได้รับความอัปยศ ก็แทบจะไม่มีเลย

แต่คนพวกนี้กลับไม่ค่อยเกี่ยวพันกับสถานการณ์โดยรวมมาก พวกที่เกี่ยวข้องมากกลายเป็นผีอยู่ใต้ดาบไปนานแล้ว

ภายใต้สถานการณ์ภาพรวมที่ขึ้นลงไม่แน่นอน ฉากโถทองแตกแจกันหยกพังยังคงมีให้เห็นเป็นปกติ พวกที่ได้เรืองอำนาจเพราะเรื่องนี้ก็มีพลังกายพลังใจดุจพยัคฆ์มังกรก็ ค่อยปั่นสถานการณ์ไปตามด้วย

ทุกอย่างล้วนไม่เกี่ยวข้องกับจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ท่ามกลางสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่งนี้ จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลกลายเป็นสิ่งที่อยู่ชายขอบโดนสิ้นเชิง ส่วนเหมียวอี้ก็อยู่อย่างสงบเสงี่ยมเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน ไม่เป็นฝ่ายก่อเรื่องก่อนอีกแล้ว ต้องทำอย่างที่หยางชิ่งบอก อาศัยโอกาสนี้เอาตัวเองวางอยู่นอกปัญหา สะสมกำลัง เก็บตัวชั่วคราว รอวันเติบโต

สิ่งนี้ก็สมปรารถนาเหมียวอี้เช่นกัน ตอนนี้เขาไม่มีคุณสมบัติจะเรียกร้องอะไรที่สูงกว่านี้แล้ว เพราะศักยภาพยังห่างมากเกินไป

แต่สภาพภายในของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลก็ใช่ว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงเลย ทัพใหญ่หนึ่งแสนใต้บังคับบัญชาได้เลื่อนยศแล้วไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะมีเรื่องหรือไม่มีเรื่องอะไร เบื้องล่างก็จะรายงานผลงานขึ้นมา ขอเพียงไม่เลยเถิดเกินไป เหมียวอี้ก็จะเลื่อนยศให้ทันที อย่างไรเสียถ้าเป็นผลงานล็กน้อย หัวหน้าภาคอย่างเขาก็มีอำนาจตัดสินใจอยู่แล้ว กอปรกับมีเซี่ยโห้วเฉิงอวี่หนุนหลัง การเลื่อนยศก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้น ทางด้านสี่ทัพก็ไม่มีใครว่างมาถึงขาเขาถอยหลังอยู่แล้ว คิดเสียว่าภายในทัพใหญ่แดนรัตติกาลสร้างความสุขให้ตัวเอง

เมื่อหนึ่งหมื่นปีนี้ผ่านไป เบื้องล่างก็ไม่เห็นทหารยศเกราะเงินแล้ว

“นายท่าน รองหัวหน้าภาคสวีกลับมาแล้ว ขอเข้าพบขอรับ!”

เหมียวอี้กำลังรับแขกอยู่ในโถงใหญ่ หยางเจาชิงเข้ามารายงานจากข้างนอก

แขกที่มาหาก็คือชายชราที่ผมขาวทั้งศีรษะ ชื่อว่าซุนยง เป็นพ่อบ้านของเซิงมู่เสวี่ย ลูกเขยคนที่สามของอ๋องสวรรค์โค่ว

ในปีนั้นคนผู้นี้เคยเป็นมหาโจร ตอนหลังถูกบิดาของเซิงมู่เสวี่ยรับไว้ กลายเป็นพ่อบ้านของตระกูลเซิงแล้ว ในปีนั้นบิดาของเซิงมู่เสวี่ยเป็นลูกน้องคนสนิทของโค่วหลิงซวี แล้วรบตายตอนติดตามโค่วหลิงซวีบุกยึดใต้หล้า ตอนที่บิดาของเซิงมู่เสวี่ยตายไป มารดาของเขาตายตามไปด้วย ในปีนั้นเซิงมู่เสวี่ยยังเด็ก ส่วนใหญ่พ่อบ้านซุนยงจึงเลี้ยงเขามากับมือจนเติบใหญ่ หลังจากแต่งงานกับโค่วอวี้แล้วก็ยังเป็นเหมือนดังเคย ไม่บูชาอำนาจ

ส่วนทางด้านเหมียวอี้ หลังจากนำทัพใหญ่แดนรัตติกาลไปปักหลักที่ดาวจันทร์อี่และมีช่องทางรายได้สนับสนุนที่มั่นคงแล้ว อวิ๋นจือชิวก็จะไปเยี่ยมเยียนบิดาบุญธรรมที่ตระกูลโค่วตามกำหนดเวลา เมื่อไปเยี่ยมก็ต้องมอบของขวัญอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งข้างล่างข้างบนของตระกูลโค่วก็มอบสินน้ำใจอย่างเหมาะสม บางทีอาจจะไม่ใช่ของราคาแพง แต่น้ำใจส่วนนี้กลับส่งถึงทุกคน จากนั้นทางเซิงมู่เสวี่ยก็จะส่งพ่อบ้านซุนยงมามอบของขวัญตอบแทนตามกำหนดเวลาเช่นกัน มีเพียงเซิงมู่เสวี่ยที่ทำแบบนี้ ส่วนคนที่เหลือก็แทบจะไม่ส่งคืนมาเลย ไม่ใช่เพราะตระหนี่ แต่ควรจะรักษาระยะห่างที่เหมาะสมกับทางนี้

แน่นอน สินน้ำใจพวกนี้ไม่ได้ให้แค่ตระกูลโค่ว ขอเพียงเป็นคนที่คบค้ากัน อวิ๋นจือชิวก็จะไปมอบของขวัญให้ทั้งหมด ทางตำหนักนารีสวรรค์นางก็ยิ่งไปมาหาสู่บ่อยๆ มีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดีกับราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ แม้แต่ทางตระกูลเซี่ยโห้วเอง อวิ๋นจือชิวก็ไปถึงประตูไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว เหตุผลที่นางไปหาก็เพราะเหมียวอี้สามีของนางเป็นสหายรักของเซี่ยโห้วหลงเฉิง อีกทั้งในงานแต่งงานใหญ่ปีนั้น นางก็ได้รับของขวัญจากตระกูลเซี่ยโห้วเยอะด้วย สุดท้ายแม้แต่ท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้วท่าก็มารับแขกด้วยตัวเองหลายครั้ง ทำให้ทุกคนของตระกูลเซี่ยโห้วค่อนข้างแปลกใจ

นอกจากการกระทำของเซี่ยโห้วท่าจะทำให้คนไม่น้อยมองค้อนอวิ๋นจือชิว ถ้าจวนแม่ทัพภาคที่ตลาดผีเกิดความขัดแย้งอะไรกับตึกศาลาสัตยพรต แล้วอวิ๋นจือชิวออกหน้าเอง เฉาหม่านก็จะไว้หน้าอยู่บ้าง

แล้วอวิ๋นจือชิวก็อาศัยความสัมพันธ์กับก่วงเม่ยเอ๋อร์เข้าไปในจวนอ๋องสวรรค์กวง พอเข้าไปก็ทำความรู้จักกับหวังเฟยเม่ยเหนียงแล้ว เมื่อใกล้ชิดกันจนรอยหายไป นางก็เป็นที่โปรดปรานของหวังเฟยเช่นกัน และใช้โอกาสนี้พบกับอ๋องสวรรค์ก่วงลิ่งกงหลายครั้งด้วย

อาศัยอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วกับตระกูลก่วง อวิ๋นจือชิวก็ไปเยี่ยมศัตรูเก่าของชิงเยว่ที่จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าวอีก เมื่อเจอซูอวิ้นแล้ว หลังจากไปมาหาสู่กันไม่กี่ครังก็กลายเป็นสหายกับซูอวิ้น ‘สหาย’ ผู้นี้แฝงเจตนาไว้มากเท่าไรก็ไม่ต้องพูดถึง อย่างน้อยภายนอกก็แสดงความเป็นมิตร นางได้พบกับฮ่าวเต๋อฟางหลายครั้งเช่นกัน

ส่วนตระกูลอิ๋งก็ย่อมไม่ต้องเอ่ยถึง ไปหาทั้งตระกูลเซี่ยโห้ว ตระกูลก่วงและตระกูลฮ่าวมาแล้ว สุดท้ายอวิ๋นจือชิวถึงได้อาศัยอำนาจไปแทะกระดูกแข็งชิ้นสุดท้าย ตระกูลอิ๋ง!

เนื่องจากทำแบบนั้นกับตระกูลที่เหลือไปแล้ว กับตระกูลอิ๋งก็จะตระหนี่ไม่ได้ ในที่สุดอวิ๋นจือชิวก็ได้ไปมาหาสู่กับจั่วเอ๋อร์แล้ว

เมื่อเปิดประตูของตระกูลเหล่านี้ได้แล้ว เวลาอวิ๋นจือชิวจะสานสัมพันธ์กับเบื้องล่างก็ง่ายขึ้นเยอะ เบื้องล่างไม่มีบ้านไหนที่ไม้วงกบประตูสูงกว่าตระกูลพวกนั้น ไม่ว่าจะอยากสนิทชิดเชื้อกับเหมียวอี้หรือไม่ แต่อย่างน้อยฉากหน้าก็ยังไว้หน้าอวิ๋นจือชิว

จนกระทั่งตอนนี้ บรรดาขุนนางใหญ่ที่เข้าประชุมในราชสำนักล้วนไปมาหาสู่กับอวิ๋นจือชิวเกือบหมดแล้ว ส่วนระดับล่างกว่านั้น คนมีเยอะเกินไปจริงๆ อวิ๋นจือชิวไปสานสัมพันธ์ด้วยไม่ไหว ทำได้เพียงจัดการเบื้องบน

ไม่ว่าการคบค้าแบบนี้จะมีความจริงใจมากน้อยขนาดไหน แต่หลังจากคนระดับล่างได้ยินว่ามีความสัมพันธ์ระดับนี้อยู่ ภายใต้สถานการณ์ที่เบื้องบนไม่ได้แนะให้ทำ ก็ไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลจริงๆ อย่างน้อยทัพที่ประจำการอยู่ใกล้เคียงแดนรัตติกาลก็ไม่มีใครมาก่อกวน

หลังจากสร้างความสัมพันธ์ปลอมเปลือกพวกนี้แล้ว ‘โถงชุมนุมอัจฉริยะ’ ที่สวีถังหรานคุมอย่างลับๆ ก็ทำงานสะดวกขึ้นเยอะ เดิมทีอวิ๋นจือชิวเป็นคนดูแลควบคุมโถงชุมนุมอัจฉริยะโดยตรง ถ้าการซื้อขายของโถงชุมนุมอัจฉริยะพบปัญหาเมื่อไร อวิ๋นจือชิวก็จะหาคนมาช่วยเบิกทางให้ความสะดวก ยกตัวอย่างเช่นถ้าในอาณาเขตของสมาชิกรายใหญ่ท่านไหนมีเกิดปัญหา อวิ๋นจือชิวก็จะติดต่อกับฮูหยินของสมาชิกรายใหญ่ท่านนั้น ให้พวกนางช่วยพูดให้อะไรทำนองนั้น

เมื่อไปหาหาสู่กันบ่อยๆ ไม่ว่าฮูหยินพวกนั้นจะคบค้ากับอวิ๋นจือชิวอย่างจริงใจหรือไม่ แต่ปกติอวิ๋นจือชิวก็อยู่เป็นอยู่แล้ว คนที่อวิ๋นจือชิวไปหาก็มิอาจไม่ไว้หน้าได้ง่ายๆ เช่นกัน กอปรกับอวิ๋นจือชิวใช้คำพูดเกลี้ยกล่อมนิดหน่อย ถ้าแม้แต่เรื่องเล็กยังจัดการไม่ได้ ก็เหมือนเป็นการทำให้ตัวเองเสียหน้า ดังนั้นถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร นางก็จะไปคุยกับเบื้องล่างเสมอ คนเบื้องล่างจะไม่ไว้หน้าฮูหยินของลูกพี่ใหญ่สักนิดเชียวหรือ? ปัญหามากมายของโถงชุมนุมอัจฉริยะล้วนผ่านไปอย่างนี้

เมื่อมีอวิ๋นจือชิวใช้เส้นสายให้ ผู้ปฏิบัติงานโถงชุมนุมอัจฉริยะอย่างสวีถังหรานก็จัดการหลายเรื่องได้สะดวกแล้ว เมื่อวันเวลาผ่านไป ธุรกิจลับของโถงชุมนุมอัจฉริยะก็เติบโตใหญ่แล้ว ส่งกำลังทรัพย์มาสนับสนุนให้เหมียวอี้จำนวนมาก เยอะกว่ารายรับจากน้ำพุวังเวง ขณะเดียวกันก็รายงานข่าวสารจากฝ่ายต่างๆ ให้เหมียวอี้ด้วย

เมื่อมีทรัพย์สินมหาศาลแล้ว อวิ๋นจือชิวก็สร้างเส้นสายได้ง่าย ทั้งยังทำตัวสบายขึ้นเยอะด้วย สตรีชั้นสูงคนไหนที่ช่วยนางแก้ปัญหา นางก็จะมอบของขวัญล้ำค่าไปให้เสมอ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ดี สตรีจากตระกูลชั้นสูงมากมายก็ยิ่งรู้สึกดีกับอวิ๋นจือชิวมากขึ้นเรื่อยๆ

จะพูดอย่างนี้ก็ได้ ในหลายปีมานี้ อวิ๋นจือชิวสามารถไปมาในใต้หล้าได้อย่างอิสระแล้ว ขอเพียงไม่มีปัญหาใหญ่อะไร โดยทั่วไปก็จะไม่มีใครกลั่นแกล้งนางเลย ทั้งฝั่งขาวฝั่งดำล้วนไว้หน้านาง อย่างไรเสียโถงชุมนุมอัจฉริยะในมือนางก็ไม่ใช่เล่นๆ เวลาสวีถังหรานจะเล่นบทโหดขึ้นมาก็ชั่วร้ายมาก คนที่ไม่ดูตาม้าตาเรือโดนอวิ๋นจือชิวล้างเลือดไปหลายรังแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น เบื้องหลังนางก็ยังมีกำลังของโจรกบฏที่เหมียวอี้ควบคุมอยู่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทัพใหญ่ในมือเหมียวอี้ที่ทำได้ทั้งเรื่องขางเรื่องดำ สำนักไหนที่ไม่ดูตาม้าตาเรือก็ถูกเหมียวอี้ส่งกำลังพลปลอมตัวไปฆ่าล้างสำนักหมดแล้ว ฆ่าหมดจนไม่เหลือแม้แต่ไก่หรือสุนัข

สรุปก็คือในช่วงเวลานี้ เหมียวอี้ไม่ขอให้สภาพแวดล้อมภายนอกดีต่อเขาสักเท่าไรหรอก แค่ขอให้ไม่มีคนมาหาเรื่องเขาก็พอ เขาไม่สะดวกจะเคลื่อนไหวง่ายๆ อย่างไรเสียผลงานในอดีตของเขาก็ยังมีอยู่ ทำได้เพียงรบกวนให้อวิ๋นจือชิววิ่งเต้นให้ ถ้าเปลี่ยนให้คนอื่นไปก็ไม่พอให้แสดงความจริงใจ ขณะเดียวกันก็ส่งยอดฝีมืออย่างพวกชิงเยว่ไปคุ้มกันด้วย

และความสามารถในการเข้าสังคมของอวิ๋นจือชิวก็มากเกินความคาดหวังของเขาจริงๆ

“นายท่านมีกิจธุระ ผู้น้อยขอตัวก่อน” เมื่อได้ยินว่าสวีถังหรานกลับมาแล้ว ซุนยงที่กำลังพูดคุยอย่างสุภาพก็ลุกขึ้นขอตัวลาทันที

เหมียวอี้เคยได้ยินหลงซิ่นเอ่ยถึงซุนยง หลงซิ่นบอกว่าคนคนนี้ไม่ธรรมดา ขนาดบิดาของเซิงมู่เสวี่ยตายไปหลายปีจนอำนาจถดถอยไปแล้ว ก็ยังทำให้เซิงมู่เสวี่ยแต่งงานกับลูกสาวของโค่วหลิงซวีได้ แค่จุดนี้ก็ประเมินต่ำไม่ได้แล้ว ดังนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าซุนยงจึงไม่กล้าวางมาด ลุกขึ้นยืนตามพร้อมบอกว่า “พ่อบ้านซุนไปมารีบร้อนทุกครั้งเลย ไม่สู้อยู่พักสักสองสามวันแล้วค่อยไปก็ได้”

“ผู้น้อยยังต้องไปบ้านของคนอื่นอีก เอาไว้วันหลังค่อยมารบกวนพร้อมกับคุณชาย” ซุนยงยิ้มตอบอย่างถ่อมตัว

“ในเมื่อมีธุระ ข้าก็ไม่ฝืนใจแล้ว” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ แล้วบอกว่า “เจาชิง ช่วยส่งแขกแทนข้าหน่อย”

“เชิญขอรับ!” หยางเจาชิงเชิญอย่างสุภาพ

ซุนยงขอบคุณอีกหลายครั้งถึงไดเตามหยางเจาชิงไป เหมียวอี้ตามไปส่งตรงประตูในลานบ้าน

ตอนนี้บนท้องฟ้ามีหิมะปลิวว่อน พื้นดินมีกองหิมะหนาหลายชั้น สวีถังหรานที่ยืนอยู่นอกประตูมองคล้อยหลังซุนยงจากไป แล้วเข้ามาทำความเคารพ “นายท่าน!”

เหมียวอี้โบกมือให้เขาไปได้ เหยียนซิวไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน นำผ้าคลุมขนสัตว์สีดำมาคลุมบนบ่าให้เขา แล้วเดินตามอยู่ข้างหลังอย่างเงียบๆ

สวีถังหรานพยักหน้าทักทายเหยียนซิว แต่ไม่ได้ทำให้สีหน้าเหยียนซิวมีความเปลี่ยนแปลงใดๆ ยังคงหน้าตายอยู่อย่างนั้น สำหรับท่านนี้ไม่มีทางสนิทสนมได้เลย ทุกครั้งที่มองตาล้วนทำให้เจ้าขนลุก สวีถังหรานเรียกได้ว่าเซ็งมาก แต่ในใจเขารู้ชัด ว่าคนที่สามารถเป็นองครักษ์ข้างกายเหมียวอี้ได้จะต้องมีความสำคัญในใจเหมียวอี้ไม่น้อยกว่าเขาแน่

………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1793 หนึ่งหมื่นปี

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1793 หนึ่งหมื่นปี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เวลาหนึ่งหมื่นปีเพียงพอที่จะเปลี่ยนชะตาชีวิตของคนมากมาย และเป็นหนึ่งหมื่นปีที่ขึ้นๆ ลงๆ สำหรับใครหลายคนด้วย

ท่ามกลางเสียงร่ำไห้ เสียงคร่ำครวญ เสียงก่นด่าสาปแช่งของตระกูลผู้มีอำนาจมากมาย ชั่วพริบตาเดียวก็สลายกลายเป็นเถ้าถ่านปลิดปลิวแล้ว

แล้วก็มีชนชั้นสูงบางส่วนที่ยามปกติขี่ม้าเลี้ยงสุนัขเที่ยวหาสุรานารี ผ่านไปชั่วพริบตาเดียวก็ตกระกําลําบากแล้ว

มีคุณหนูใหญ่มากมายที่ยามปกติมองเหยียดผู้อื่น แต่กลับกลายเป็นของเล่นชั้นต่ำที่ยามปกติตัวเองดูถูก ถูกคนอื่นเล่นตามใจชอบเพื่อล้างแค้น

สตรีชั้นสูงบางคนที่ยามปกติเชิดใส่หอนางโลม แต่ชั่วพริบตาเดียวก็ถูกทำโทษให้มารับแขกในหอนางโลมแล้ว แขกที่มาก็แทบจะเหยียบคานประตูฟัง ต่างก็อยากเห็นว่าสตรีชั้นสูงที่ยามปกติสายตาสูง เวลาปรนนิบัติจะมีท่าทางเป็นอย่างไร จะยังทำตัวสูงส่งอยู่หรือเปล่า ราคาสูงลิบลิ่วก็ไม่เป็นไร สรุปก็คือมาลิ้มลองรสชาติด้วยจุดประสงค์ล้างแค้น ส่วนผู้หญิงพวกนี้ ตอนแรกก็ร้องไห้น้ำตาอาบหน้า จนถึงตอนสุดท้ายก็ชินชาแล้ว พวกนางต้องเรียนรู้ที่จะยิ้มรับแขกเพื่อเอาชีวิตรอด จนกระทั่งพวกนางเริ่มยิ้มรับแขกเป็นแล้ว แขกที่เข้าประตูมาก็เริ่มเบาบาง ทุกคนหมดความสนใจต่อพวกนางแล้ว

ดังนั้นพวกนางจึงเริ่มตกอยู่ในสภาวะกระสับกระส่ายหวาดกลัวอีกครั้ง พวกนางเป็นคนที่มีความผิดติดตัว ไม่มีอิสระ ไม่มีใครที่จะเลี้ยงพวกนางโดยไม่ต้องการสิ่งแลกเปลี่ยน แต่เมื่อไม่มีมูลค่าแล้ว จุดจบที่รอพวกนางอยู่ก็คือแรงงานเกณฑ์ บ้างก็ถูกจับหลอมเอายาเน่ยตัน ดังนั้นพวกนางจึงคิดทำทุกวิถีทางเพื่อสร้างจุดขายให้ตัวเอง เพื่อร้องขอให้มีชีวิตรอด ทว่ายิ่งเป็นแบบนี้แขกก็ยิ่งไม่สนใจพวกนาง

แน่นอน มีคนทนความอัปยศนี้ไม่ได้เช่นกัน ปลิดชีพตัวเองไปพร้อมกับความแค้นตั้งแต่แรกแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นจำนวนน้อย ตายดีมิสู้อยู่อย่างอัปยศ คนที่เป็นเหมือนฮูหยินของจอมพลโจวจ้าวจริงๆ เอาดาบปาดคอตัวเองตั้งแต่ก่อนได้รับความอัปยศ ก็แทบจะไม่มีเลย

แต่คนพวกนี้กลับไม่ค่อยเกี่ยวพันกับสถานการณ์โดยรวมมาก พวกที่เกี่ยวข้องมากกลายเป็นผีอยู่ใต้ดาบไปนานแล้ว

ภายใต้สถานการณ์ภาพรวมที่ขึ้นลงไม่แน่นอน ฉากโถทองแตกแจกันหยกพังยังคงมีให้เห็นเป็นปกติ พวกที่ได้เรืองอำนาจเพราะเรื่องนี้ก็มีพลังกายพลังใจดุจพยัคฆ์มังกรก็ ค่อยปั่นสถานการณ์ไปตามด้วย

ทุกอย่างล้วนไม่เกี่ยวข้องกับจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ท่ามกลางสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่งนี้ จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลกลายเป็นสิ่งที่อยู่ชายขอบโดนสิ้นเชิง ส่วนเหมียวอี้ก็อยู่อย่างสงบเสงี่ยมเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน ไม่เป็นฝ่ายก่อเรื่องก่อนอีกแล้ว ต้องทำอย่างที่หยางชิ่งบอก อาศัยโอกาสนี้เอาตัวเองวางอยู่นอกปัญหา สะสมกำลัง เก็บตัวชั่วคราว รอวันเติบโต

สิ่งนี้ก็สมปรารถนาเหมียวอี้เช่นกัน ตอนนี้เขาไม่มีคุณสมบัติจะเรียกร้องอะไรที่สูงกว่านี้แล้ว เพราะศักยภาพยังห่างมากเกินไป

แต่สภาพภายในของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลก็ใช่ว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงเลย ทัพใหญ่หนึ่งแสนใต้บังคับบัญชาได้เลื่อนยศแล้วไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะมีเรื่องหรือไม่มีเรื่องอะไร เบื้องล่างก็จะรายงานผลงานขึ้นมา ขอเพียงไม่เลยเถิดเกินไป เหมียวอี้ก็จะเลื่อนยศให้ทันที อย่างไรเสียถ้าเป็นผลงานล็กน้อย หัวหน้าภาคอย่างเขาก็มีอำนาจตัดสินใจอยู่แล้ว กอปรกับมีเซี่ยโห้วเฉิงอวี่หนุนหลัง การเลื่อนยศก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้น ทางด้านสี่ทัพก็ไม่มีใครว่างมาถึงขาเขาถอยหลังอยู่แล้ว คิดเสียว่าภายในทัพใหญ่แดนรัตติกาลสร้างความสุขให้ตัวเอง

เมื่อหนึ่งหมื่นปีนี้ผ่านไป เบื้องล่างก็ไม่เห็นทหารยศเกราะเงินแล้ว

“นายท่าน รองหัวหน้าภาคสวีกลับมาแล้ว ขอเข้าพบขอรับ!”

เหมียวอี้กำลังรับแขกอยู่ในโถงใหญ่ หยางเจาชิงเข้ามารายงานจากข้างนอก

แขกที่มาหาก็คือชายชราที่ผมขาวทั้งศีรษะ ชื่อว่าซุนยง เป็นพ่อบ้านของเซิงมู่เสวี่ย ลูกเขยคนที่สามของอ๋องสวรรค์โค่ว

ในปีนั้นคนผู้นี้เคยเป็นมหาโจร ตอนหลังถูกบิดาของเซิงมู่เสวี่ยรับไว้ กลายเป็นพ่อบ้านของตระกูลเซิงแล้ว ในปีนั้นบิดาของเซิงมู่เสวี่ยเป็นลูกน้องคนสนิทของโค่วหลิงซวี แล้วรบตายตอนติดตามโค่วหลิงซวีบุกยึดใต้หล้า ตอนที่บิดาของเซิงมู่เสวี่ยตายไป มารดาของเขาตายตามไปด้วย ในปีนั้นเซิงมู่เสวี่ยยังเด็ก ส่วนใหญ่พ่อบ้านซุนยงจึงเลี้ยงเขามากับมือจนเติบใหญ่ หลังจากแต่งงานกับโค่วอวี้แล้วก็ยังเป็นเหมือนดังเคย ไม่บูชาอำนาจ

ส่วนทางด้านเหมียวอี้ หลังจากนำทัพใหญ่แดนรัตติกาลไปปักหลักที่ดาวจันทร์อี่และมีช่องทางรายได้สนับสนุนที่มั่นคงแล้ว อวิ๋นจือชิวก็จะไปเยี่ยมเยียนบิดาบุญธรรมที่ตระกูลโค่วตามกำหนดเวลา เมื่อไปเยี่ยมก็ต้องมอบของขวัญอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งข้างล่างข้างบนของตระกูลโค่วก็มอบสินน้ำใจอย่างเหมาะสม บางทีอาจจะไม่ใช่ของราคาแพง แต่น้ำใจส่วนนี้กลับส่งถึงทุกคน จากนั้นทางเซิงมู่เสวี่ยก็จะส่งพ่อบ้านซุนยงมามอบของขวัญตอบแทนตามกำหนดเวลาเช่นกัน มีเพียงเซิงมู่เสวี่ยที่ทำแบบนี้ ส่วนคนที่เหลือก็แทบจะไม่ส่งคืนมาเลย ไม่ใช่เพราะตระหนี่ แต่ควรจะรักษาระยะห่างที่เหมาะสมกับทางนี้

แน่นอน สินน้ำใจพวกนี้ไม่ได้ให้แค่ตระกูลโค่ว ขอเพียงเป็นคนที่คบค้ากัน อวิ๋นจือชิวก็จะไปมอบของขวัญให้ทั้งหมด ทางตำหนักนารีสวรรค์นางก็ยิ่งไปมาหาสู่บ่อยๆ มีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดีกับราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ แม้แต่ทางตระกูลเซี่ยโห้วเอง อวิ๋นจือชิวก็ไปถึงประตูไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว เหตุผลที่นางไปหาก็เพราะเหมียวอี้สามีของนางเป็นสหายรักของเซี่ยโห้วหลงเฉิง อีกทั้งในงานแต่งงานใหญ่ปีนั้น นางก็ได้รับของขวัญจากตระกูลเซี่ยโห้วเยอะด้วย สุดท้ายแม้แต่ท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้วท่าก็มารับแขกด้วยตัวเองหลายครั้ง ทำให้ทุกคนของตระกูลเซี่ยโห้วค่อนข้างแปลกใจ

นอกจากการกระทำของเซี่ยโห้วท่าจะทำให้คนไม่น้อยมองค้อนอวิ๋นจือชิว ถ้าจวนแม่ทัพภาคที่ตลาดผีเกิดความขัดแย้งอะไรกับตึกศาลาสัตยพรต แล้วอวิ๋นจือชิวออกหน้าเอง เฉาหม่านก็จะไว้หน้าอยู่บ้าง

แล้วอวิ๋นจือชิวก็อาศัยความสัมพันธ์กับก่วงเม่ยเอ๋อร์เข้าไปในจวนอ๋องสวรรค์กวง พอเข้าไปก็ทำความรู้จักกับหวังเฟยเม่ยเหนียงแล้ว เมื่อใกล้ชิดกันจนรอยหายไป นางก็เป็นที่โปรดปรานของหวังเฟยเช่นกัน และใช้โอกาสนี้พบกับอ๋องสวรรค์ก่วงลิ่งกงหลายครั้งด้วย

อาศัยอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วกับตระกูลก่วง อวิ๋นจือชิวก็ไปเยี่ยมศัตรูเก่าของชิงเยว่ที่จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าวอีก เมื่อเจอซูอวิ้นแล้ว หลังจากไปมาหาสู่กันไม่กี่ครังก็กลายเป็นสหายกับซูอวิ้น ‘สหาย’ ผู้นี้แฝงเจตนาไว้มากเท่าไรก็ไม่ต้องพูดถึง อย่างน้อยภายนอกก็แสดงความเป็นมิตร นางได้พบกับฮ่าวเต๋อฟางหลายครั้งเช่นกัน

ส่วนตระกูลอิ๋งก็ย่อมไม่ต้องเอ่ยถึง ไปหาทั้งตระกูลเซี่ยโห้ว ตระกูลก่วงและตระกูลฮ่าวมาแล้ว สุดท้ายอวิ๋นจือชิวถึงได้อาศัยอำนาจไปแทะกระดูกแข็งชิ้นสุดท้าย ตระกูลอิ๋ง!

เนื่องจากทำแบบนั้นกับตระกูลที่เหลือไปแล้ว กับตระกูลอิ๋งก็จะตระหนี่ไม่ได้ ในที่สุดอวิ๋นจือชิวก็ได้ไปมาหาสู่กับจั่วเอ๋อร์แล้ว

เมื่อเปิดประตูของตระกูลเหล่านี้ได้แล้ว เวลาอวิ๋นจือชิวจะสานสัมพันธ์กับเบื้องล่างก็ง่ายขึ้นเยอะ เบื้องล่างไม่มีบ้านไหนที่ไม้วงกบประตูสูงกว่าตระกูลพวกนั้น ไม่ว่าจะอยากสนิทชิดเชื้อกับเหมียวอี้หรือไม่ แต่อย่างน้อยฉากหน้าก็ยังไว้หน้าอวิ๋นจือชิว

จนกระทั่งตอนนี้ บรรดาขุนนางใหญ่ที่เข้าประชุมในราชสำนักล้วนไปมาหาสู่กับอวิ๋นจือชิวเกือบหมดแล้ว ส่วนระดับล่างกว่านั้น คนมีเยอะเกินไปจริงๆ อวิ๋นจือชิวไปสานสัมพันธ์ด้วยไม่ไหว ทำได้เพียงจัดการเบื้องบน

ไม่ว่าการคบค้าแบบนี้จะมีความจริงใจมากน้อยขนาดไหน แต่หลังจากคนระดับล่างได้ยินว่ามีความสัมพันธ์ระดับนี้อยู่ ภายใต้สถานการณ์ที่เบื้องบนไม่ได้แนะให้ทำ ก็ไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลจริงๆ อย่างน้อยทัพที่ประจำการอยู่ใกล้เคียงแดนรัตติกาลก็ไม่มีใครมาก่อกวน

หลังจากสร้างความสัมพันธ์ปลอมเปลือกพวกนี้แล้ว ‘โถงชุมนุมอัจฉริยะ’ ที่สวีถังหรานคุมอย่างลับๆ ก็ทำงานสะดวกขึ้นเยอะ เดิมทีอวิ๋นจือชิวเป็นคนดูแลควบคุมโถงชุมนุมอัจฉริยะโดยตรง ถ้าการซื้อขายของโถงชุมนุมอัจฉริยะพบปัญหาเมื่อไร อวิ๋นจือชิวก็จะหาคนมาช่วยเบิกทางให้ความสะดวก ยกตัวอย่างเช่นถ้าในอาณาเขตของสมาชิกรายใหญ่ท่านไหนมีเกิดปัญหา อวิ๋นจือชิวก็จะติดต่อกับฮูหยินของสมาชิกรายใหญ่ท่านนั้น ให้พวกนางช่วยพูดให้อะไรทำนองนั้น

เมื่อไปหาหาสู่กันบ่อยๆ ไม่ว่าฮูหยินพวกนั้นจะคบค้ากับอวิ๋นจือชิวอย่างจริงใจหรือไม่ แต่ปกติอวิ๋นจือชิวก็อยู่เป็นอยู่แล้ว คนที่อวิ๋นจือชิวไปหาก็มิอาจไม่ไว้หน้าได้ง่ายๆ เช่นกัน กอปรกับอวิ๋นจือชิวใช้คำพูดเกลี้ยกล่อมนิดหน่อย ถ้าแม้แต่เรื่องเล็กยังจัดการไม่ได้ ก็เหมือนเป็นการทำให้ตัวเองเสียหน้า ดังนั้นถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร นางก็จะไปคุยกับเบื้องล่างเสมอ คนเบื้องล่างจะไม่ไว้หน้าฮูหยินของลูกพี่ใหญ่สักนิดเชียวหรือ? ปัญหามากมายของโถงชุมนุมอัจฉริยะล้วนผ่านไปอย่างนี้

เมื่อมีอวิ๋นจือชิวใช้เส้นสายให้ ผู้ปฏิบัติงานโถงชุมนุมอัจฉริยะอย่างสวีถังหรานก็จัดการหลายเรื่องได้สะดวกแล้ว เมื่อวันเวลาผ่านไป ธุรกิจลับของโถงชุมนุมอัจฉริยะก็เติบโตใหญ่แล้ว ส่งกำลังทรัพย์มาสนับสนุนให้เหมียวอี้จำนวนมาก เยอะกว่ารายรับจากน้ำพุวังเวง ขณะเดียวกันก็รายงานข่าวสารจากฝ่ายต่างๆ ให้เหมียวอี้ด้วย

เมื่อมีทรัพย์สินมหาศาลแล้ว อวิ๋นจือชิวก็สร้างเส้นสายได้ง่าย ทั้งยังทำตัวสบายขึ้นเยอะด้วย สตรีชั้นสูงคนไหนที่ช่วยนางแก้ปัญหา นางก็จะมอบของขวัญล้ำค่าไปให้เสมอ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ดี สตรีจากตระกูลชั้นสูงมากมายก็ยิ่งรู้สึกดีกับอวิ๋นจือชิวมากขึ้นเรื่อยๆ

จะพูดอย่างนี้ก็ได้ ในหลายปีมานี้ อวิ๋นจือชิวสามารถไปมาในใต้หล้าได้อย่างอิสระแล้ว ขอเพียงไม่มีปัญหาใหญ่อะไร โดยทั่วไปก็จะไม่มีใครกลั่นแกล้งนางเลย ทั้งฝั่งขาวฝั่งดำล้วนไว้หน้านาง อย่างไรเสียโถงชุมนุมอัจฉริยะในมือนางก็ไม่ใช่เล่นๆ เวลาสวีถังหรานจะเล่นบทโหดขึ้นมาก็ชั่วร้ายมาก คนที่ไม่ดูตาม้าตาเรือโดนอวิ๋นจือชิวล้างเลือดไปหลายรังแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น เบื้องหลังนางก็ยังมีกำลังของโจรกบฏที่เหมียวอี้ควบคุมอยู่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทัพใหญ่ในมือเหมียวอี้ที่ทำได้ทั้งเรื่องขางเรื่องดำ สำนักไหนที่ไม่ดูตาม้าตาเรือก็ถูกเหมียวอี้ส่งกำลังพลปลอมตัวไปฆ่าล้างสำนักหมดแล้ว ฆ่าหมดจนไม่เหลือแม้แต่ไก่หรือสุนัข

สรุปก็คือในช่วงเวลานี้ เหมียวอี้ไม่ขอให้สภาพแวดล้อมภายนอกดีต่อเขาสักเท่าไรหรอก แค่ขอให้ไม่มีคนมาหาเรื่องเขาก็พอ เขาไม่สะดวกจะเคลื่อนไหวง่ายๆ อย่างไรเสียผลงานในอดีตของเขาก็ยังมีอยู่ ทำได้เพียงรบกวนให้อวิ๋นจือชิววิ่งเต้นให้ ถ้าเปลี่ยนให้คนอื่นไปก็ไม่พอให้แสดงความจริงใจ ขณะเดียวกันก็ส่งยอดฝีมืออย่างพวกชิงเยว่ไปคุ้มกันด้วย

และความสามารถในการเข้าสังคมของอวิ๋นจือชิวก็มากเกินความคาดหวังของเขาจริงๆ

“นายท่านมีกิจธุระ ผู้น้อยขอตัวก่อน” เมื่อได้ยินว่าสวีถังหรานกลับมาแล้ว ซุนยงที่กำลังพูดคุยอย่างสุภาพก็ลุกขึ้นขอตัวลาทันที

เหมียวอี้เคยได้ยินหลงซิ่นเอ่ยถึงซุนยง หลงซิ่นบอกว่าคนคนนี้ไม่ธรรมดา ขนาดบิดาของเซิงมู่เสวี่ยตายไปหลายปีจนอำนาจถดถอยไปแล้ว ก็ยังทำให้เซิงมู่เสวี่ยแต่งงานกับลูกสาวของโค่วหลิงซวีได้ แค่จุดนี้ก็ประเมินต่ำไม่ได้แล้ว ดังนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าซุนยงจึงไม่กล้าวางมาด ลุกขึ้นยืนตามพร้อมบอกว่า “พ่อบ้านซุนไปมารีบร้อนทุกครั้งเลย ไม่สู้อยู่พักสักสองสามวันแล้วค่อยไปก็ได้”

“ผู้น้อยยังต้องไปบ้านของคนอื่นอีก เอาไว้วันหลังค่อยมารบกวนพร้อมกับคุณชาย” ซุนยงยิ้มตอบอย่างถ่อมตัว

“ในเมื่อมีธุระ ข้าก็ไม่ฝืนใจแล้ว” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ แล้วบอกว่า “เจาชิง ช่วยส่งแขกแทนข้าหน่อย”

“เชิญขอรับ!” หยางเจาชิงเชิญอย่างสุภาพ

ซุนยงขอบคุณอีกหลายครั้งถึงไดเตามหยางเจาชิงไป เหมียวอี้ตามไปส่งตรงประตูในลานบ้าน

ตอนนี้บนท้องฟ้ามีหิมะปลิวว่อน พื้นดินมีกองหิมะหนาหลายชั้น สวีถังหรานที่ยืนอยู่นอกประตูมองคล้อยหลังซุนยงจากไป แล้วเข้ามาทำความเคารพ “นายท่าน!”

เหมียวอี้โบกมือให้เขาไปได้ เหยียนซิวไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน นำผ้าคลุมขนสัตว์สีดำมาคลุมบนบ่าให้เขา แล้วเดินตามอยู่ข้างหลังอย่างเงียบๆ

สวีถังหรานพยักหน้าทักทายเหยียนซิว แต่ไม่ได้ทำให้สีหน้าเหยียนซิวมีความเปลี่ยนแปลงใดๆ ยังคงหน้าตายอยู่อย่างนั้น สำหรับท่านนี้ไม่มีทางสนิทสนมได้เลย ทุกครั้งที่มองตาล้วนทำให้เจ้าขนลุก สวีถังหรานเรียกได้ว่าเซ็งมาก แต่ในใจเขารู้ชัด ว่าคนที่สามารถเป็นองครักษ์ข้างกายเหมียวอี้ได้จะต้องมีความสำคัญในใจเหมียวอี้ไม่น้อยกว่าเขาแน่

………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+