พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1895 เริ่มเถอะ!

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1895 เริ่มเถอะ! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากมองคล้อยหลังโกวเยว่ออกไปแล้ว ก่วงจวินอันที่สีหน้าเจือความสงสัยก็หันกลับมาถาม “ท่านน้า พ่อที่บ้านโกวพูดเมื่อครู่นี้หมายถึงอะไรเหรอ?”

เกาจื่อหูส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน…” บังเอิญไปเห็นสายตาเย็นเยียบของพี่สาว ตอนหลังจึงกลืนคำพูดกลับลงไป

ทว่าเกาจื่อเซวียนถามเสียงเย็นแล้ว “หรือว่าเรื่องในปีนั้นเกี่ยวข้องกับเจ้าจริงๆ?”

“ท่านพี่ ไม่เกี่ยวข้องกับข้าจริงๆ” เกาจื่อหูรีบตอบ

“โกวเยว่เป็นคนพูดจาซี้ซั้วเหรอ?” เกาจื่อเซวียนใช้น้ำเสียงเย็นเยียบ

ก่วงจวินอันทนไม่ไหวแล้ว รสชาติยามถูกคลุมไว้ในกลองไว้นั้นยากจะทนไหว “ท่านแม่ พวกท่านกำลังพูดถึงอะไรกันแน่?”

เรื่องแดงออกมาแบบนี้แล้ว คงไม่ดีที่เกาจื่อเซวียนจะปิดบังลูกชายอีก เมื่ออยู่ในตำแหน่งแบบลูกชายนาง ก็จำเป็นต้องรู้เรื่องบางเรื่องและสถานการณ์บางอย่างไว้ ถึงจะรับมือได้สะดวก นางกล่าวเสียงต่ำว่า “เรื่องที่เกี่ยวข้องกับโจวอ้าวหลินและหลงซิ่น ยังจะมีเรื่องอะไรได้อีก? ข่าวลือในปีนั้นบอกว่าคนที่ชอบผู้หญิงของหลงซิ่นก่อนก็คือท่านน้าของเจ้า แล้วตอนนั้นท่านน้าของเจ้าก็คลุกคลีอยู่กับโจวอ้าวหลินเป็นเวลานานเพื่อประจบเอาใจ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือเป็นสุนัขรับใช้โจวอ้าวหลิน เขาลือกันว่าคนที่ยุยงให้โจวอ้าวหลินไปแตะต้องผู้หญิงของหลงซิ่นก็คือท่านน้าเจ้า ในปีนั้นโกวเยว่เคยได้รัยคำสั่งให้สืบเรื่องนี้ สืบจนมาเจอท่านน้าเจ้าเข้าแล้ว ท่านน้าเลยวิ่งมาร้องขอความยุติธรรมกับข้า ข้าช่วยพูดกับท่านอ๋องให้ ท่านอ๋องจึงยุติเรื่องนี้”

ก่วงจวินอันจ้องเกาจื่อหูด้วยสายตาเย็นเยียบทันที “มีเรื่องนี้จริงเหรอ?”

เกาจื่อหูรีบโบกมือ “อย่าไปฟังแม่เจ้าพูดซี้ซั้ว”

“แบบนี้แปลว่าโกวเยว่กำลังพูดซี้ซั้วงั้นสิ?” ก่วงจวินอันถามเสียงเย็น แล้วสะบัดแขนเสื้อเดินก้าวยาวออกไป สีหน้าดูแย่มาก

เขาย่อมรู้ว่าเรื่องราวระหว่างหลงซิ่นกับโจวอ้าวหลินนั้นใหญ่โตแค่ไหน จอมพลคนหนึ่งถูกถอดออกจากตำแหน่งแล้ว เบื้องล่างไม่รู้ว่ามีตั้งกี่คนที่รับกรรมไปด้วย ทำให้ใจคนไม่สงบ ถ้าเกี่ยวข้องกับน้าชายของตัวเองจริงๆ กอปรกับเรื่องที่สายลับทางตลาดผีถูกกวาดล้างครั้งก่อน แบบนี้จะให้ท่านพ่อมองฝั่งนี้อย่างไรล่ะ?

“ท่านโหว ท่านโหว…” เกาจื่อหูรีบเดินตามไปเรียกรั้งก่วงจวินอัน ตอนที่เดินกลับมาทางนี้อีกครั้ง ก็อดไม่ได้ที่จะบ่นว่า “ท่านพี่ ท่านจะบอกเรื่องนี้จวินอันทำไม?”

เกาจื่อเซวียนถลึงตาจ้องเขา “ท่านอ๋องไม่สืบสาวเอาเรื่องเจ้าแล้ว เจ้ายังมีอะไรต้องกลัวอีก ถ้าจวินอันไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดแล้วแล้วไปพูดอะไรผิดหูท่านอ๋อง นั่นต่างหากที่จะเป็นปัญหาแล้วจริงๆ เรื่องแยกแยะความสำคัญ ยังต้องให้ข้าสอนเจ้าอีกเหรอ?”

ระหว่างภูเขาที่มีลำน้ำสายสายเล็ก กลางหุบเขาแห่งหนึ่ง เถิงเฟยจอมพลสายชวดสวมชุดลำลองนั่งอยู่ริมน้ำ กำลังถือคันเบ็ดตกปลา รอบข้างสงบเงียบ มีเพียงเสียงน้ำไหลเท่านั้น

สำหรับคนอย่างเขา แต่ไหนแต่ไรมาการตกปลาไม่ใช่เป้าหมาย ที่จริงแล้วจะเปลี่ยนบรรยากาศ เปลี่ยนอารมณ์ในการครุ่นคิดเรื่องราวต่างๆ

ข้างหลังมีเสียงฝีเท้าดังมา เดินตรงมาหยุดอยู่ข้างกายเขา วางเก้าอี้ตัวหนึ่งไว้ด้านข้าง แล้วโยนเบ็ดอีกคันลงน้ำ

เถิงเฟยดึงสติกลับมา เอียงหน้ามองแวบหนึ่งแล้วตะลึงงัน คนที่แต่งตัวเหมือนชาวนาคนหนึ่งมานั่งตกปลาอยู่ข้างกายเขา มองจากใบหน้าด้านข้างก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายสวมหน้ากากปลอม

ชาวนาเฒ่ามองทุ่นลอยที่อยู่ในน้ำเงียบๆ เหมือนจะสังเกตเห็นว่าเถิงเฟยกำลังมองเขาอยู่ จึงยกมือขึ้นดึงหน้ากากลงมา เผยโฉมหน้าที่แท้จริงก่อนจะหันกลับมายิ้มให้เถิงเฟยเบาๆ

รอยยิ้มนี้กลับทำให้เถิงเฟยขนหัวลุก เพราะเขาคุ้นเคยใบหน้ายิ้มนี้ดีมาก ไม่น่าเชื่อว่าผู้ที่มาจะเป็นซือหม่าเวิ่นเทียน ตำหนักสวรรค์ทูตตรวจการซ้าย

เถิงเฟยเบิกตากว้าง รีบมองไปรอบๆ ความรู้สึกตกตะลึงในใจนั้นยากจะบรรยายออกมาได้ ที่นี่ดูเหมือนสงบเงียบ แต่ที่จริงรอบข้างล้วนมีคนคุ้มกันอยู่ ซือหม่าเวิ่นเทียนมาถึงตัวเขาแล้ว แต่ทหารยามรอบๆ ไม่สังเกตเห็นสักนิดเลย แบบนี้หมายความว่าอะไรล่ะ?

“จอมพลเถิงไม่ต้องตกใจ แค่มาตกปลาก็เท่านั้นเอง” ซือหม่าเวิ่นเทียนกล่าวกลั้วหัวเราะ

เถิงเฟยสีหน้าเครียดขรึมลงแล้ว กลับไปจะต้องตรวจสอบทหารคุ้มกันข้างกายตัวเองให้ละเอียดสักรอบ เขาถามเสียงเย็นว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร?”

“แค่อยากจะช่วยจอมพลเถิงสักครั้งก็เท่านั้นเอง” ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบพร้อมรอยยิ้ม

“ช่วยข้า?” เถิงเฟยแสยะยิ้ม “ข้าว่าเจ้าอยากจะทำร้ายข้ามากกว่ามั้ง?” นี่เป็นการล้อเล่นที่แรงจริงๆ ถ้าให้อ๋องสวรรค์อิ๋งรู้ว่าตนแอบพบกับทูตตรวจการซ้ายตำหนักสวรรค์ ผลที่ตามมาก็เลวร้ายจนไม่กล้าจินตนาการ จะไม่ให้อิ๋งจิ่วกวงคิดมากก็คงยาก โดยเฉพาะในเวลาแบบนี้ จะบอกว่ายอมฆ่าผิดตัวดีกว่าปล่อยไปก็ไม่ถือว่าพูดเกินไป

ซือหม่าเวิ่นเทียนถอนหายใจ “มาช่วยจอมพลเถิงจริงๆ จอมพลเถิงอย่าเข้าใจผิดล่ะ”

“อยากจะช่วยข้าก็มาพบกันแบบสง่าผ่าเผย ทำไมต้องทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ ?” เถิงเฟยถาม

“ถ้าทำแบบสง่าผ่าเผย เกรงว่าจอมพลเถิงคงไม่ยอมพบข้าเพราะกลัวตกเป็นที่ต้องสงสัยน่ะสิ” ซือหม่าเวิ่นเทียนกล่าว

เถิงเฟยจึงบอกว่า “ข้าไม่ต้องการให้เจ้าช่วยอะไร เชิญตามสะดวก!” ความหมายแฝงในคำพูดก็คือให้เขาไสหัวไป

“ดูสิ่งนี้ให้จบแล้วค่อยพูดก็ยังไม่สาย” ซือหม่าเวิ่นเทียนพลิกมือนำแผ่นหยกออกมายื่นให้เขา

เถิงเฟยจ้องแผ่นหยกที่ยื่นเข้ามา ชักช้าไม่รับมาเสียที ไม่รู้ว่าข้างในมีอะไร แต่ดูจากที่อีกฝ่ายมาส่งให้ด้วยตัวเอง แสดงว่าไม่ใช่ของธรรมแน่นอน เขากำลังลังเลว่าจะดูหรือไม่ดู

ซือหม่าเวิ่นเทียนหัวเราะเบาๆ แล้วพูดหยอก “จอมพลเถิงผู้สง่าภูมิฐานกลายเป็นขี้ขลาดแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไร? เป็นของดี ดูเถอะ”

สุดท้ายเถิงเฟยก็แย่งมาไว้ในมือ ทว่าตอนยังไม่ดูก็ยังไม่เท่าไร พอได้ดูแล้วก็ตกใจจนเหงื่อท่วมตัว สิ่งนี้คือคำสั่งแต่งตั้งอ๋องที่ประมุขชิงเขียนให้เขา ถ้าให้อิ๋งจิ่วกวงรู้ เขาไม่โดนประหารทั้งโคตรก็แปลกแล้ว

“นี่เจ้ากำลังช่วยข้าเหรอ?” เถิงเฟยจ้องเขา สองตาแทบจะมีไฟลุกออกมา ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันถาม

ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบว่า “ความคิดของฝ่าบาทอยู่ในนี้หมดแล้ว ความคิดฝ่าบาทก็คือแนวโน้มของสถานการณ์ในใต้หล้า ผู้คล้อยตามรุ่งเรือง ผู้ฝ่าฝืนตาย จะเลือกอย่างไร จอมพลเถิงยังต้องคิดมากอีกเหรอ?” พูดจบก็ไม่ยอมให้เถิงเฟยพูดอะไรอีก ยกคันเบ็ดขึ้นมา เก็บคันเบ็ดแล้วลุกขึ้นเก็บเก้าอี้เดินไป เขาเข้าใจชัดเจนมาก ว่าวิธีการของประมุขชิงดูเพ้อฝัน ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันไม่อาจโน้มน้าวท่านนี้ให้คล้อยตามได้ พูดมากไปก็ไม่มีความหมายอะไร

แต่พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็หันกลับมาพูดเสริมกับเถิงเฟยที่กำลังจ้องตนอย่างเย็นเยียบอีกว่า “เออใช่ ลืมบอกจอมพลเถิงไปเลย ในมือจอมพลเฉิงไท่เจ๋อก็มีสิ่งนี้เหมือนกัน ในมือจอมพลทั้งสามของทัพตะวันออก ฝ่าบาทให้สิ่งนี้กับสองคนเท่านั้น พวกเจ้าสองคนปรึกษากันก่อนแล้วค่อยตัดสินใจก็ได้ เรื่องนี้พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องรีบร้อนให้คำตอบ ค่อยๆ พิจารณาได้ แต่การที่สี่อ๋องสวรรค์ปฏิเสธการเข้าประชุมขุนนางทั้งๆ ที่มีกำลังทหารมาก ก็ทำให้ฝ่าบาทตัดสินใจแน่วแน่ที่จะฟันแบ่งทัพตะวันออกจากหนึ่งให้กลายเป็นสองแล้ว จะคล้อยตามบัญชาสวรรค์หรือจะลงหลุมฝังศพไปด้วยกัน จอมพลเถิงตัดสินใจเองเถอะ!”

หลังจากพูดทิ้งท้ายไว้แล้ว ครั้งนี้เขาก็ไปแล้วจริงๆ ทิ้งเถิงเฟยที่มีสีหน้ามืดครึ้มเอาไว้…

จวนท่านปู่สวรรค์ สวนต้องห้าม ผู้ช่วยเกือบร้อยคนที่ตลาดสวรรค์ส่วนใหญ่กลับมาที่นี่แล้ว ที่นี่คือศูนย์กลางของตระกูลเซี่ยโห้ว ยามปกติหาโอกาสมาได้ยาก

หลังจากคนทยอยกันมาถึงตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว ก็ถูกเชิญเข้ามาในนี้โดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แต่ละคนระมัดระวังตัวมาก ก่อนหน้านี้ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าจะได้เข้ามาในสวนต้องห้าม

เมื่อเห็นเพื่อนร่วมงานที่คุ้นเคย ก็ไม่มีใครกล้ากระซิบกระซาบคุยกันง่ายๆ พวกเขามารวมตัวกันนั่งขัดสมาธิบนพื้นที่ว่างใต้ร่มของต้นไม้โบราณ รอบข้างมีกลุ่มคนลึกลับที่ชุดดำสวมหมวกมุ้งและหน้ากากผีโลหะกำลังเฝ้าพวกเขาอยู่

ตงหาน ผู้จัดการใหญ่เดินตามเว่ยซูเข้ามาในห้องเก่าแก่ของสวนต้องห้าม สำหรับตอนนี้ อำนาจที่เซี่ยโห้วลิ่งบีบไว้ในมืออย่างเปิดเผยก็มีแค่ตลาดสวรรค์แล้ว

เซี่ยโห้วลิ่งเอนกายพิงเก้าอี้อ่านตำราโบราณเล่มหนึ่งอย่างเกียจคร้าน หลังจากทั้งสองเข้ามาทำความเคารพแล้ว เว่ยซูก็รายงานว่า “นายท่าน ผู้ช่วยจากตลาดสวรรค์แต่ละเขตมากันครบแล้วขอรับ ของก็ส่งมาครบหมดแล้ว สามารถเริ่มได้ทุกเมื่อ”

เซี่ยโห้วลิ่งพลิกเปิดหน้าหนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ดำเนินการตามแผน ควบคุมคนที่เข้ามาในจวนเอาไว้ ถ้าไม่ได้รับอนุญาต ไม่ว่าใครก็ห้ามติดต่อกับภายนอก คนไหนขัดคำสั่ง ไม่สนว่าจะเป็นใคร ประหาร!”

“รับทราบ!” เว่ยซูเอ่ยรับแล้วเดินออกไป ทิ้งตงหานให้ยืนเงียบๆ อยู่คนเดียว

ผ่านไปไม่นาน เจ้าบ้านคนอื่นๆ ของตระกูลเซี่ยโห้วรวมทั้งคนในครอบครัวสายตรงก็เข้ามาในสวนต้องห้ามทั้งหมด มารวมตัวกันใต้ต้นไม้โบราณแล้วเช่นกัน

ตอนที่พวกเขามาถึงที่นี่ เซี่ยโห้วลิ่งก็ย้ายมาใต้ต้นไม้แล้ว ถูกคนหามออกมาพร้อมเก้าอี้นอนตัวนั้น มองไม่เห็นหัวใครทั้งนั้น ไม่ได้เหลือบตาขึ้นแม้แต่น้อย ยังคงนอนอ่านตำราอย่างเกียจคร้านอยู่อย่างนั้น

เมื่อเห็นผู้ช่วยเขตของตลาดสวรรค์มากมายมารวมตัวกันที่นี่ คนจากแต่ละบ้านก็ค่อนข้างแปลกใจ โดยเฉพาะเมื่อเห็นบุคคลลึกลับที่สวมหมวกมุ้ง คนที่ไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกก็ยังดีหน่อย แต่คนที่รู้เรื่องจะรู้สึกหนักหัว รู้ว่านี่คือองครักษ์หัวหน้าตระกูลของตระกูลเซี่ยโห้วที่ไม่ได้โผล่หน้าออกมาง่ายๆ ไม่ถูกควบคุมจากคนไหนของตระกูลเซี่ยโห้วทั้งนั้น ฟังคำสั่งหัวหน้าตระกูลเพียงคนเดียว

“เว่ยซู เริ่มเถอะ” เซี่ยโห้วลิ่งที่กำลังนอนพลิกหนังสืออ่านพลันเอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

เว่ยซูพยักหน้าให้ตงหานทันที ตงหานโค้งตัวเล็กน้อยเพื่อรับคำสั่ง จากนั้นก็ถ่ายทอดเสียงบอกบางอย่างกับกลุ่มผู้ช่วยเขตตลาดสวรรค์ ผู้ช่วยเขตเกือบร้อยที่กำลังนั่งขัดสมาธิหยิบระฆังดาราออกมาทันที ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อไปที่ไหน

เว่ยซูเองก็หยิบระฆังดาราออกมาเช่นกัน ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อไปที่ไหน

รอจนกระทั่งตรงนั้นเงียบแล้ว เซี่ยโห้วซิ่น ลูกชายคนที่สามอย่างเปิดเผยของตระกูลเซี่ยโห้วก็กระแอมหนึ่งที แล้วเดินเข้าไปหาเซี่ยโห้วลิ่ง “พี่รอง เรียกพวกเรามาเพราะจะทำอะไรกันแน่?”

องครักษ์หัวหน้าตระกูลคนหนึ่งถลันตัวมาขวางตรงหน้าเซี่ยโห้วซิ่น แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ถอยไป!”

เซี่ยโห้วซิ่นตะโกนเรียกเซี่ยโห้วลิ่งที่กำลังนอนอีกครั้ง “พี่รอง…”

ซวบ! องครักษ์หัวหน้าตระกูลชักกระบี่ออกจากฝัก ในมือคว้าด้ามกระบี่ไว้แล้ว ม่านของหมวกมุ้งขยับเองโดยไร้ลม เผยกลิ่นอายสังหาร ดูจากท่าทางแล้ว ถ้าเซี่ยโห้วซิ่นกล้าก้าวเข้ามาอีกก้าวเดียว ก็จะได้เห็นเลือดทันที!

เมื่อเห็นเซี่ยโห้วลิ่งทำท่าเหมือนไม่ได้ยินอะไร เซี่ยโห้วซิ่นก็หน้าตึงทันที ในที่สุดก็ไม่กล้าเดินไปข้างหน้าอีกแล้ว ถอยหลังกลับไปช้าๆ…

บนตึกของตำหนักคุ้มเมือง เหมียวอี้เก็บระฆังดารา เอียงหน้าบอกหยางเจาชิงว่า “ตระกูลเซี่ยโห้วลงมือแล้ว แจ้งคนของพวกเราให้ไปรับตระกูลเซี่ยโห้ว ทั้งสองฝ่ายต้องให้ความร่วมมือกัน ทุกอย่างดำเนินการตามแผน แจ้งโถงชุมนุมอัจฉริยะให้จับตาดูความเคลื่อนไหวของภายนอก”

“รับทราบ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่ง แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อภายนอก

โรงเตี๊ยม เฉินเชียนชิวที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงหยิบระฆังดาราออกมาคุยพักหนึ่ง จากนั้นก็รีบลงจากเตียง แล้วถ่ายทอดเสียงบอกอีกสามคนที่อยู่ในห้อง “ไป!”

“ไปที่ไหน?” สามคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ทางซ้ายและขวาอดไม่ได้ที่จะถาม ทุกคนล้วนเป็นคนของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ตั้งแต่ได้รับคำสั่งให้มาที่นี่ ก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องทำอะไร  เฉินเชียนชิวคือหัวหน้ากลุ่มของพวกเขา

“อย่าถามมาก! ถ้าไม่ได้รับอนุญาต ก็ห้ามใครติดต่อกับคนนอก ไม่อย่างนั้นก็ประหารไม่ละเว้น!” เฉินเชียนชิวถ่ายทอดเสียงตะคอกตอบ ทั้งสามจึงสบตากันแวบหนึ่ง แล้วรีบลุกขึ้นเดิมตามไป

ทั้งสี่ลงมาชำระบัญชีตรงหน้าโต๊ะคิดเงินแล้วออกไป พอมาถึงหัวถนน ทั้งสามก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปไหน รู้แต่ต้องเดินตามหลังเฉินเชียนชิว

…………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1895 เริ่มเถอะ!

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1895 เริ่มเถอะ! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากมองคล้อยหลังโกวเยว่ออกไปแล้ว ก่วงจวินอันที่สีหน้าเจือความสงสัยก็หันกลับมาถาม “ท่านน้า พ่อที่บ้านโกวพูดเมื่อครู่นี้หมายถึงอะไรเหรอ?”

เกาจื่อหูส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน…” บังเอิญไปเห็นสายตาเย็นเยียบของพี่สาว ตอนหลังจึงกลืนคำพูดกลับลงไป

ทว่าเกาจื่อเซวียนถามเสียงเย็นแล้ว “หรือว่าเรื่องในปีนั้นเกี่ยวข้องกับเจ้าจริงๆ?”

“ท่านพี่ ไม่เกี่ยวข้องกับข้าจริงๆ” เกาจื่อหูรีบตอบ

“โกวเยว่เป็นคนพูดจาซี้ซั้วเหรอ?” เกาจื่อเซวียนใช้น้ำเสียงเย็นเยียบ

ก่วงจวินอันทนไม่ไหวแล้ว รสชาติยามถูกคลุมไว้ในกลองไว้นั้นยากจะทนไหว “ท่านแม่ พวกท่านกำลังพูดถึงอะไรกันแน่?”

เรื่องแดงออกมาแบบนี้แล้ว คงไม่ดีที่เกาจื่อเซวียนจะปิดบังลูกชายอีก เมื่ออยู่ในตำแหน่งแบบลูกชายนาง ก็จำเป็นต้องรู้เรื่องบางเรื่องและสถานการณ์บางอย่างไว้ ถึงจะรับมือได้สะดวก นางกล่าวเสียงต่ำว่า “เรื่องที่เกี่ยวข้องกับโจวอ้าวหลินและหลงซิ่น ยังจะมีเรื่องอะไรได้อีก? ข่าวลือในปีนั้นบอกว่าคนที่ชอบผู้หญิงของหลงซิ่นก่อนก็คือท่านน้าของเจ้า แล้วตอนนั้นท่านน้าของเจ้าก็คลุกคลีอยู่กับโจวอ้าวหลินเป็นเวลานานเพื่อประจบเอาใจ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือเป็นสุนัขรับใช้โจวอ้าวหลิน เขาลือกันว่าคนที่ยุยงให้โจวอ้าวหลินไปแตะต้องผู้หญิงของหลงซิ่นก็คือท่านน้าเจ้า ในปีนั้นโกวเยว่เคยได้รัยคำสั่งให้สืบเรื่องนี้ สืบจนมาเจอท่านน้าเจ้าเข้าแล้ว ท่านน้าเลยวิ่งมาร้องขอความยุติธรรมกับข้า ข้าช่วยพูดกับท่านอ๋องให้ ท่านอ๋องจึงยุติเรื่องนี้”

ก่วงจวินอันจ้องเกาจื่อหูด้วยสายตาเย็นเยียบทันที “มีเรื่องนี้จริงเหรอ?”

เกาจื่อหูรีบโบกมือ “อย่าไปฟังแม่เจ้าพูดซี้ซั้ว”

“แบบนี้แปลว่าโกวเยว่กำลังพูดซี้ซั้วงั้นสิ?” ก่วงจวินอันถามเสียงเย็น แล้วสะบัดแขนเสื้อเดินก้าวยาวออกไป สีหน้าดูแย่มาก

เขาย่อมรู้ว่าเรื่องราวระหว่างหลงซิ่นกับโจวอ้าวหลินนั้นใหญ่โตแค่ไหน จอมพลคนหนึ่งถูกถอดออกจากตำแหน่งแล้ว เบื้องล่างไม่รู้ว่ามีตั้งกี่คนที่รับกรรมไปด้วย ทำให้ใจคนไม่สงบ ถ้าเกี่ยวข้องกับน้าชายของตัวเองจริงๆ กอปรกับเรื่องที่สายลับทางตลาดผีถูกกวาดล้างครั้งก่อน แบบนี้จะให้ท่านพ่อมองฝั่งนี้อย่างไรล่ะ?

“ท่านโหว ท่านโหว…” เกาจื่อหูรีบเดินตามไปเรียกรั้งก่วงจวินอัน ตอนที่เดินกลับมาทางนี้อีกครั้ง ก็อดไม่ได้ที่จะบ่นว่า “ท่านพี่ ท่านจะบอกเรื่องนี้จวินอันทำไม?”

เกาจื่อเซวียนถลึงตาจ้องเขา “ท่านอ๋องไม่สืบสาวเอาเรื่องเจ้าแล้ว เจ้ายังมีอะไรต้องกลัวอีก ถ้าจวินอันไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดแล้วแล้วไปพูดอะไรผิดหูท่านอ๋อง นั่นต่างหากที่จะเป็นปัญหาแล้วจริงๆ เรื่องแยกแยะความสำคัญ ยังต้องให้ข้าสอนเจ้าอีกเหรอ?”

ระหว่างภูเขาที่มีลำน้ำสายสายเล็ก กลางหุบเขาแห่งหนึ่ง เถิงเฟยจอมพลสายชวดสวมชุดลำลองนั่งอยู่ริมน้ำ กำลังถือคันเบ็ดตกปลา รอบข้างสงบเงียบ มีเพียงเสียงน้ำไหลเท่านั้น

สำหรับคนอย่างเขา แต่ไหนแต่ไรมาการตกปลาไม่ใช่เป้าหมาย ที่จริงแล้วจะเปลี่ยนบรรยากาศ เปลี่ยนอารมณ์ในการครุ่นคิดเรื่องราวต่างๆ

ข้างหลังมีเสียงฝีเท้าดังมา เดินตรงมาหยุดอยู่ข้างกายเขา วางเก้าอี้ตัวหนึ่งไว้ด้านข้าง แล้วโยนเบ็ดอีกคันลงน้ำ

เถิงเฟยดึงสติกลับมา เอียงหน้ามองแวบหนึ่งแล้วตะลึงงัน คนที่แต่งตัวเหมือนชาวนาคนหนึ่งมานั่งตกปลาอยู่ข้างกายเขา มองจากใบหน้าด้านข้างก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายสวมหน้ากากปลอม

ชาวนาเฒ่ามองทุ่นลอยที่อยู่ในน้ำเงียบๆ เหมือนจะสังเกตเห็นว่าเถิงเฟยกำลังมองเขาอยู่ จึงยกมือขึ้นดึงหน้ากากลงมา เผยโฉมหน้าที่แท้จริงก่อนจะหันกลับมายิ้มให้เถิงเฟยเบาๆ

รอยยิ้มนี้กลับทำให้เถิงเฟยขนหัวลุก เพราะเขาคุ้นเคยใบหน้ายิ้มนี้ดีมาก ไม่น่าเชื่อว่าผู้ที่มาจะเป็นซือหม่าเวิ่นเทียน ตำหนักสวรรค์ทูตตรวจการซ้าย

เถิงเฟยเบิกตากว้าง รีบมองไปรอบๆ ความรู้สึกตกตะลึงในใจนั้นยากจะบรรยายออกมาได้ ที่นี่ดูเหมือนสงบเงียบ แต่ที่จริงรอบข้างล้วนมีคนคุ้มกันอยู่ ซือหม่าเวิ่นเทียนมาถึงตัวเขาแล้ว แต่ทหารยามรอบๆ ไม่สังเกตเห็นสักนิดเลย แบบนี้หมายความว่าอะไรล่ะ?

“จอมพลเถิงไม่ต้องตกใจ แค่มาตกปลาก็เท่านั้นเอง” ซือหม่าเวิ่นเทียนกล่าวกลั้วหัวเราะ

เถิงเฟยสีหน้าเครียดขรึมลงแล้ว กลับไปจะต้องตรวจสอบทหารคุ้มกันข้างกายตัวเองให้ละเอียดสักรอบ เขาถามเสียงเย็นว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร?”

“แค่อยากจะช่วยจอมพลเถิงสักครั้งก็เท่านั้นเอง” ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบพร้อมรอยยิ้ม

“ช่วยข้า?” เถิงเฟยแสยะยิ้ม “ข้าว่าเจ้าอยากจะทำร้ายข้ามากกว่ามั้ง?” นี่เป็นการล้อเล่นที่แรงจริงๆ ถ้าให้อ๋องสวรรค์อิ๋งรู้ว่าตนแอบพบกับทูตตรวจการซ้ายตำหนักสวรรค์ ผลที่ตามมาก็เลวร้ายจนไม่กล้าจินตนาการ จะไม่ให้อิ๋งจิ่วกวงคิดมากก็คงยาก โดยเฉพาะในเวลาแบบนี้ จะบอกว่ายอมฆ่าผิดตัวดีกว่าปล่อยไปก็ไม่ถือว่าพูดเกินไป

ซือหม่าเวิ่นเทียนถอนหายใจ “มาช่วยจอมพลเถิงจริงๆ จอมพลเถิงอย่าเข้าใจผิดล่ะ”

“อยากจะช่วยข้าก็มาพบกันแบบสง่าผ่าเผย ทำไมต้องทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ ?” เถิงเฟยถาม

“ถ้าทำแบบสง่าผ่าเผย เกรงว่าจอมพลเถิงคงไม่ยอมพบข้าเพราะกลัวตกเป็นที่ต้องสงสัยน่ะสิ” ซือหม่าเวิ่นเทียนกล่าว

เถิงเฟยจึงบอกว่า “ข้าไม่ต้องการให้เจ้าช่วยอะไร เชิญตามสะดวก!” ความหมายแฝงในคำพูดก็คือให้เขาไสหัวไป

“ดูสิ่งนี้ให้จบแล้วค่อยพูดก็ยังไม่สาย” ซือหม่าเวิ่นเทียนพลิกมือนำแผ่นหยกออกมายื่นให้เขา

เถิงเฟยจ้องแผ่นหยกที่ยื่นเข้ามา ชักช้าไม่รับมาเสียที ไม่รู้ว่าข้างในมีอะไร แต่ดูจากที่อีกฝ่ายมาส่งให้ด้วยตัวเอง แสดงว่าไม่ใช่ของธรรมแน่นอน เขากำลังลังเลว่าจะดูหรือไม่ดู

ซือหม่าเวิ่นเทียนหัวเราะเบาๆ แล้วพูดหยอก “จอมพลเถิงผู้สง่าภูมิฐานกลายเป็นขี้ขลาดแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไร? เป็นของดี ดูเถอะ”

สุดท้ายเถิงเฟยก็แย่งมาไว้ในมือ ทว่าตอนยังไม่ดูก็ยังไม่เท่าไร พอได้ดูแล้วก็ตกใจจนเหงื่อท่วมตัว สิ่งนี้คือคำสั่งแต่งตั้งอ๋องที่ประมุขชิงเขียนให้เขา ถ้าให้อิ๋งจิ่วกวงรู้ เขาไม่โดนประหารทั้งโคตรก็แปลกแล้ว

“นี่เจ้ากำลังช่วยข้าเหรอ?” เถิงเฟยจ้องเขา สองตาแทบจะมีไฟลุกออกมา ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันถาม

ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบว่า “ความคิดของฝ่าบาทอยู่ในนี้หมดแล้ว ความคิดฝ่าบาทก็คือแนวโน้มของสถานการณ์ในใต้หล้า ผู้คล้อยตามรุ่งเรือง ผู้ฝ่าฝืนตาย จะเลือกอย่างไร จอมพลเถิงยังต้องคิดมากอีกเหรอ?” พูดจบก็ไม่ยอมให้เถิงเฟยพูดอะไรอีก ยกคันเบ็ดขึ้นมา เก็บคันเบ็ดแล้วลุกขึ้นเก็บเก้าอี้เดินไป เขาเข้าใจชัดเจนมาก ว่าวิธีการของประมุขชิงดูเพ้อฝัน ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันไม่อาจโน้มน้าวท่านนี้ให้คล้อยตามได้ พูดมากไปก็ไม่มีความหมายอะไร

แต่พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็หันกลับมาพูดเสริมกับเถิงเฟยที่กำลังจ้องตนอย่างเย็นเยียบอีกว่า “เออใช่ ลืมบอกจอมพลเถิงไปเลย ในมือจอมพลเฉิงไท่เจ๋อก็มีสิ่งนี้เหมือนกัน ในมือจอมพลทั้งสามของทัพตะวันออก ฝ่าบาทให้สิ่งนี้กับสองคนเท่านั้น พวกเจ้าสองคนปรึกษากันก่อนแล้วค่อยตัดสินใจก็ได้ เรื่องนี้พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องรีบร้อนให้คำตอบ ค่อยๆ พิจารณาได้ แต่การที่สี่อ๋องสวรรค์ปฏิเสธการเข้าประชุมขุนนางทั้งๆ ที่มีกำลังทหารมาก ก็ทำให้ฝ่าบาทตัดสินใจแน่วแน่ที่จะฟันแบ่งทัพตะวันออกจากหนึ่งให้กลายเป็นสองแล้ว จะคล้อยตามบัญชาสวรรค์หรือจะลงหลุมฝังศพไปด้วยกัน จอมพลเถิงตัดสินใจเองเถอะ!”

หลังจากพูดทิ้งท้ายไว้แล้ว ครั้งนี้เขาก็ไปแล้วจริงๆ ทิ้งเถิงเฟยที่มีสีหน้ามืดครึ้มเอาไว้…

จวนท่านปู่สวรรค์ สวนต้องห้าม ผู้ช่วยเกือบร้อยคนที่ตลาดสวรรค์ส่วนใหญ่กลับมาที่นี่แล้ว ที่นี่คือศูนย์กลางของตระกูลเซี่ยโห้ว ยามปกติหาโอกาสมาได้ยาก

หลังจากคนทยอยกันมาถึงตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว ก็ถูกเชิญเข้ามาในนี้โดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แต่ละคนระมัดระวังตัวมาก ก่อนหน้านี้ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าจะได้เข้ามาในสวนต้องห้าม

เมื่อเห็นเพื่อนร่วมงานที่คุ้นเคย ก็ไม่มีใครกล้ากระซิบกระซาบคุยกันง่ายๆ พวกเขามารวมตัวกันนั่งขัดสมาธิบนพื้นที่ว่างใต้ร่มของต้นไม้โบราณ รอบข้างมีกลุ่มคนลึกลับที่ชุดดำสวมหมวกมุ้งและหน้ากากผีโลหะกำลังเฝ้าพวกเขาอยู่

ตงหาน ผู้จัดการใหญ่เดินตามเว่ยซูเข้ามาในห้องเก่าแก่ของสวนต้องห้าม สำหรับตอนนี้ อำนาจที่เซี่ยโห้วลิ่งบีบไว้ในมืออย่างเปิดเผยก็มีแค่ตลาดสวรรค์แล้ว

เซี่ยโห้วลิ่งเอนกายพิงเก้าอี้อ่านตำราโบราณเล่มหนึ่งอย่างเกียจคร้าน หลังจากทั้งสองเข้ามาทำความเคารพแล้ว เว่ยซูก็รายงานว่า “นายท่าน ผู้ช่วยจากตลาดสวรรค์แต่ละเขตมากันครบแล้วขอรับ ของก็ส่งมาครบหมดแล้ว สามารถเริ่มได้ทุกเมื่อ”

เซี่ยโห้วลิ่งพลิกเปิดหน้าหนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ดำเนินการตามแผน ควบคุมคนที่เข้ามาในจวนเอาไว้ ถ้าไม่ได้รับอนุญาต ไม่ว่าใครก็ห้ามติดต่อกับภายนอก คนไหนขัดคำสั่ง ไม่สนว่าจะเป็นใคร ประหาร!”

“รับทราบ!” เว่ยซูเอ่ยรับแล้วเดินออกไป ทิ้งตงหานให้ยืนเงียบๆ อยู่คนเดียว

ผ่านไปไม่นาน เจ้าบ้านคนอื่นๆ ของตระกูลเซี่ยโห้วรวมทั้งคนในครอบครัวสายตรงก็เข้ามาในสวนต้องห้ามทั้งหมด มารวมตัวกันใต้ต้นไม้โบราณแล้วเช่นกัน

ตอนที่พวกเขามาถึงที่นี่ เซี่ยโห้วลิ่งก็ย้ายมาใต้ต้นไม้แล้ว ถูกคนหามออกมาพร้อมเก้าอี้นอนตัวนั้น มองไม่เห็นหัวใครทั้งนั้น ไม่ได้เหลือบตาขึ้นแม้แต่น้อย ยังคงนอนอ่านตำราอย่างเกียจคร้านอยู่อย่างนั้น

เมื่อเห็นผู้ช่วยเขตของตลาดสวรรค์มากมายมารวมตัวกันที่นี่ คนจากแต่ละบ้านก็ค่อนข้างแปลกใจ โดยเฉพาะเมื่อเห็นบุคคลลึกลับที่สวมหมวกมุ้ง คนที่ไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกก็ยังดีหน่อย แต่คนที่รู้เรื่องจะรู้สึกหนักหัว รู้ว่านี่คือองครักษ์หัวหน้าตระกูลของตระกูลเซี่ยโห้วที่ไม่ได้โผล่หน้าออกมาง่ายๆ ไม่ถูกควบคุมจากคนไหนของตระกูลเซี่ยโห้วทั้งนั้น ฟังคำสั่งหัวหน้าตระกูลเพียงคนเดียว

“เว่ยซู เริ่มเถอะ” เซี่ยโห้วลิ่งที่กำลังนอนพลิกหนังสืออ่านพลันเอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

เว่ยซูพยักหน้าให้ตงหานทันที ตงหานโค้งตัวเล็กน้อยเพื่อรับคำสั่ง จากนั้นก็ถ่ายทอดเสียงบอกบางอย่างกับกลุ่มผู้ช่วยเขตตลาดสวรรค์ ผู้ช่วยเขตเกือบร้อยที่กำลังนั่งขัดสมาธิหยิบระฆังดาราออกมาทันที ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อไปที่ไหน

เว่ยซูเองก็หยิบระฆังดาราออกมาเช่นกัน ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อไปที่ไหน

รอจนกระทั่งตรงนั้นเงียบแล้ว เซี่ยโห้วซิ่น ลูกชายคนที่สามอย่างเปิดเผยของตระกูลเซี่ยโห้วก็กระแอมหนึ่งที แล้วเดินเข้าไปหาเซี่ยโห้วลิ่ง “พี่รอง เรียกพวกเรามาเพราะจะทำอะไรกันแน่?”

องครักษ์หัวหน้าตระกูลคนหนึ่งถลันตัวมาขวางตรงหน้าเซี่ยโห้วซิ่น แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ถอยไป!”

เซี่ยโห้วซิ่นตะโกนเรียกเซี่ยโห้วลิ่งที่กำลังนอนอีกครั้ง “พี่รอง…”

ซวบ! องครักษ์หัวหน้าตระกูลชักกระบี่ออกจากฝัก ในมือคว้าด้ามกระบี่ไว้แล้ว ม่านของหมวกมุ้งขยับเองโดยไร้ลม เผยกลิ่นอายสังหาร ดูจากท่าทางแล้ว ถ้าเซี่ยโห้วซิ่นกล้าก้าวเข้ามาอีกก้าวเดียว ก็จะได้เห็นเลือดทันที!

เมื่อเห็นเซี่ยโห้วลิ่งทำท่าเหมือนไม่ได้ยินอะไร เซี่ยโห้วซิ่นก็หน้าตึงทันที ในที่สุดก็ไม่กล้าเดินไปข้างหน้าอีกแล้ว ถอยหลังกลับไปช้าๆ…

บนตึกของตำหนักคุ้มเมือง เหมียวอี้เก็บระฆังดารา เอียงหน้าบอกหยางเจาชิงว่า “ตระกูลเซี่ยโห้วลงมือแล้ว แจ้งคนของพวกเราให้ไปรับตระกูลเซี่ยโห้ว ทั้งสองฝ่ายต้องให้ความร่วมมือกัน ทุกอย่างดำเนินการตามแผน แจ้งโถงชุมนุมอัจฉริยะให้จับตาดูความเคลื่อนไหวของภายนอก”

“รับทราบ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่ง แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อภายนอก

โรงเตี๊ยม เฉินเชียนชิวที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงหยิบระฆังดาราออกมาคุยพักหนึ่ง จากนั้นก็รีบลงจากเตียง แล้วถ่ายทอดเสียงบอกอีกสามคนที่อยู่ในห้อง “ไป!”

“ไปที่ไหน?” สามคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ทางซ้ายและขวาอดไม่ได้ที่จะถาม ทุกคนล้วนเป็นคนของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ตั้งแต่ได้รับคำสั่งให้มาที่นี่ ก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องทำอะไร  เฉินเชียนชิวคือหัวหน้ากลุ่มของพวกเขา

“อย่าถามมาก! ถ้าไม่ได้รับอนุญาต ก็ห้ามใครติดต่อกับคนนอก ไม่อย่างนั้นก็ประหารไม่ละเว้น!” เฉินเชียนชิวถ่ายทอดเสียงตะคอกตอบ ทั้งสามจึงสบตากันแวบหนึ่ง แล้วรีบลุกขึ้นเดิมตามไป

ทั้งสี่ลงมาชำระบัญชีตรงหน้าโต๊ะคิดเงินแล้วออกไป พอมาถึงหัวถนน ทั้งสามก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปไหน รู้แต่ต้องเดินตามหลังเฉินเชียนชิว

…………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+