พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1951 ร่วมมือกันตอบโต้

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1951 ร่วมมือกันตอบโต้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในขณะที่เหมียวอี้กับเฉาหม่านกำลังเจรจากัน บริเวณพรมแดนสี่ทัพมีกำลังทหารรวมตัวกันอย่างหนาแน่น

บนเกาะที่มีหน้าผาและทิวทัศน์ทะเลงดงามราวกับความฝัน ตึกหอแบบโบราณตั้งเรียงราย ที่แห่งนี้ชื่อว่าหอสมุทรสุดฟ้า เป็นเพราะความได้เปรียบทางด้านภูมิศาสตร์ เดิมทีคือจุดรวมตัวจองอ๋องสวรรค์ ครั้งนี้แม้อิ๋งจิ่วกวงจะไม่ได้มา ในภายหลังก็ไม่ได้มาเช่นกัน แต่เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อมาแล้ว

ฮ่าวเต๋อฟาง ก่วงลิ่งกงและโค่วหลิงซวีก็มาแล้ว มาแสดงความยินดีให้อ๋องสวรรค์ที่ได้รับแต่งตั้งใหม่ทั้งสองคน

ถ้าพูดถึงศักยภาพและประสบการณ์ อ๋องสวรรค์ทั้งสามอาจจะไม่เห็นอ๋องสวรรค์ใหม่ทั้งสองอยู่ในสายตา แต่ภายนอกกลับดูไม่ออกเลยสักนิด ทั้งห้าคนนั่งล้อมวงกัน สังสรรค์เริงรื่น ท่าทีของอ๋องสวรรค์ทั้งสามดูอบอุ่นเป็นมิตร กล่าวแสดงความยินดีอย่างปลื้มอกปลื้มใจไม่หยุด

แน่นอน เถิงเฟยและเฉิงไท่เจ๋อก็รู้อยู่แก่ใจเช่นกัน ยังคงพูดจาจอมปลอมประมาณว่าฝากเนื้อฝากตัวไม่หยุด ท่าทีค่อนข้างสงบเสงี่ยม

การที่พวกเขามานั่งอยู่ด้วยกันได้ การเฉลิมฉลองให้อ๋องสวรรค์คนใหม่ทั้งสองก็คือด้านหนึ่ง ทั้งยังถือโอกาสพูดคุยงานใหญ่ในใต้หล้าด้วย ท่าทีของพวกเขากำลังตัดสินแนวโน้มสถานการณ์ในใต้หล้าเช่นกัน

คนที่นั่งอยู่ในตึกศาลาก็มีแค่คนพวกนี้ คนอื่นถูกกันออกไปหมด

จู่ๆ ถังเฮ่อเหนียนก็โผล่หน้าอยู่ตรงจุดที่ไม่ไกล ถ่ายทอดเสียงบอกโค่วหลิงซวีที่อยู่ในตึกศาลาพักหนึ่ง

หลังจากถังเฮ่อเหนียนออกไปแล้ว โค่วหลิงซวีก็กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ทางวังสวรรค์ส่งข่าวมา ว่าลิ่งหูโต้วจ้งรวมทั้งลูกน้องคนสนิทถูกลงโทษแล้ว บอกว่าพวกเขาไม่พอใจกับการลดตำแหน่ง เป็นกบฏที่หลบหนี จึงถูกกองทัพองครักษ์ประหารแล้ว”

ฮ่าวเต๋อฟางพ่นเสียงทางจมูก “คนคงจะถูกประหารไปนานแล้วล่ะสิ เพิ่งมาประกาศตอนนี้ แค่จะหาข้ออ้างเล่นละครเท่านั้นเอง ต้องการปกปิดแต่กลับยิ่งเด่นชัด!”

โค่วหลิงซวีมองเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อ “สหายเถิง สหายเฉิง ประมุขชิงอยากจะฉวยโอกาสควบคุมตลาดสวรรค์ ถ้าชักช้าอย่างนี้ต่อไป ประมุขชิงเห็นว่าอย่างเชิงแล้วไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ เกรงว่าข้าวสารจะกลายเป็นข้าวสุก แต่งตั้งกองทัพองครักษ์ให้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการแล้วจริงๆ พวกเราสามคนตัดสินใจว่าจะสั่งสอนวังสวรรค์สักหน่อย ไม่ทราบว่าทั้งสองพิจารณาว่ายังไง?”

เถิงเฟยและเฉิงไท่เจ๋อสบตากัน แล้วพยักหน้า “ยินดีตอบรับทุกท่าน!”

“ดี! มาร่วมดื่มกัน!” โค่วหลิงซวีชูจอกสุราเชื้อเชิญ

ทั้งหมดยกจอกสุราดื่มจนหมดจอก ขณะที่กำลังรินสุราของตัวเอง ก่วงลิ่งกงก็บอกว่า “แดนรัตติกาลมีอำนาจใหม่เกิดขึ้นแล้ว อย่าบอกนะว่าทุกคนไม่มีแผนการอะไรเลย?”

“เจ้าก็มองออกแล้วไม่ใช่เหรอ มันคือกำลังอำนาจที่ประมุขชิงชุบเลี้ยงไว้ให้ลูกชาย อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดจะลงมือจริงๆ?” ฮ่าวเต๋อฟางถาม

ก่วงลิ่งกงกล่าวอย่างสบายๆว่า “มีกองทัพองครักษ์เป็นกำลังอำนาจให้ลูกชายยังไม่พออีกหรือ? ถ้ากลัวว่าประมุขชิงจะใช้ลูกชายมาเป็นข้ออ้างปิดบังคนอื่น ที่จริงแล้วอยากจะตอดกินพวกเราทีละก้าว ไม่ป้องกันไม่ได้หรอก ทุกวันนี้อำนาจถูกแบ่งมากพอแล้ว ถ้าไม่อยากเห็นอำนาจอะไรเกิดขึ้นมาอีก ไม่ว่าประมุขชิงจะมีจุดประสงค์อะไร ก็ต้องระงับไว้ หากพวกเจ้าไม่อยากลงมือ เช่นนั้นถ้าทำเองฝ่ายเดียวก็ได้ อย่าหาว่าข้าไม่บอกให้พวกเจ้าเตรียมตัวกันก่อนล่วงหน้าก็แล้วกัน!”

คนที่เหลือพูดไม่ออก ท่านนี้ต้องการจะเล่นงานหนิวโหย่วเต๋อให้ถึงตายจริงๆ แต่จะว่าไปแล้ว ครั้งนี้หนิวโหย่วเต๋อก็กระโดดโลกเต้นอย่างสำราญเกินไปจริงๆ ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ กล้ามาเข้าร่วมเรื่องโค่นล้มตระกูลอิ๋ง เรื่องนี้เทียบกับในอดีตไม่ได้ รกหูรกตาพวกเขาแล้ว

นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ความเป็นความตายของหนิวโหย่วเต๋อไม่นับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญเท่าไหร่ ที่สำคัญคือถ้าสี่ทัพต้องการจะใช้วิธีแข็งกร้าวจริงๆ ยั่วโมโหประมุขชิงแล้ว พวกเขาจะไม่มีปฏิกิริยาได้เหรอ? ถ้าปล่อยให้ก่วงลิ่งกงล้มจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับพวกเขา ก็เหมือนตอนแรกที่พวกเขารีบไปช่วยสนับสนุนอิ๋งจิ่วกวง นี่คือหลักการเดียวกัน ถ้าก่วงลิ่งกงดึงดันจะทำอย่างนี้ให้ได้ ก็เท่ากับบังคับมัดทุกคนไปด้วยแล้ว

ชั่วขณะนั้นบางคนก็ขมวดคิ้ว บางคนก็ครุ่นคิดเงียบๆ ที่ก่วงลิ่งกงพูดก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล จะปล่อยให้อํานาจอื่นขยายอีกไม่ได้แล้ว เพียงแต่ทุกคนกำลังไต่ตรองว่าจะเกิดผลที่ตามมาอย่างไร

พอเห็นปฏิกิริยาของทุกคน ก่วงลิ่งกงก็บอกอีกว่า “แน่นอน ข้าลงมือฝ่ายเดียว สู้ลงมือร่วมกับทุกคนไม่ได้หรอก อย่างน้อยก็ทำให้ประมุขชิงกดดันขึ้นมากอีกหน่อย ทำให้ประมุขชิงลูบหน้าปะจมูก เจตนาของข้าก็คือ ก็แค่ไม่ลงมือเท่านั้นเอง ถ้าได้ลงมือจะต้องกวาดล้างภัยแฝงให้ราบเรียบในรวดเดียว แต่ละฝ่ายดึงกำลังพลออกมาร้อยล้าน สหายเถิงกับสหายเฉิงดึงออกมาคนละห้าสิบล้านก็พอ ทัพใหญ่สี่ร้อยล้านจะต้องเหยียบจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลให้ราบ! แน่นอน เรื่องนี้ข้าไม่บังคับ ถึงยังไงฮูหยินของหนิวโหย่วเต๋อก็เป็นบุตรสาวบุญธรรมของสหายโค่ว ก็อย่างที่บอก ถ้าคนอื่นไม่เข้าร่วม ข้าก็จะทำเองฝ่ายเดียว เพียงแต่ข้าทำฝ่ายเดียวอาจจะทำให้ประมุขชิงสะเทือนไม่ได้ ถ้ายั่วโมโหให้ประมุขชิงเข้ามาแทรกแซง ก็อาจจะนำปัญหายุ่งยากมาให้ทุกคนมากขึ้น”

สรุปก็คือ เหมียวอี้ยั่วโมโหเขาติดต่อกันหลายครั้ง โดยเฉพาะเรื่องที่ส่งลูกสาวไปให้แต่ถูกปฏิเสธ สำหรับเขาแล้วเป็นเรื่องน่าอัปยศจริงๆ แต่เขาไม่คิดจะดำเนินรอยตามอิ๋งจิ่วกวง ต้องการจะกำจัดเหมียวอี้ภายในครั้งเดียว ดังนั้นจึงกระตือรือร้นที่จะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ

โค่วหลิงซวีแสยะยิ้ม “จองไม่ต้องใช้บุตรสาวบุญธรรมอะไรนั่นมายั่วยุข้าหรอก เจ้าคิดจะลงมือแล้ว ก็ต้องมีเหตุผลให้ลงมือ พยายามหลีกเลี่ยงอย่าให้ประมุขชิงมาแทรกแซง ไม่อย่างนั้นถ้าทำโดยไม่ชอบธรรม ต่อให้ประมุขชิงไม่อยากจะเข้ามาแทรกแซง แต่ก็โดนกดดันให้เข้ามาแทรกแซงอยู่ดี”

“เหตุผลในการลงมือข้าเตรียมไว้แล้ว เหลือแค่ให้ทุกคนเคลื่อนกำลังพลพร้อมกัน!” ก่วงลิ่งกงกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ

คนที่เหลือครุ่นคิดเงียบๆ…

เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ในใต้หล้าสงบลงแล้ว เหมียวอี้ก็เพ่งสมาธิไปกับการจัดระเบียบกำลังพลใต้สังกัดของตัวเอง รวมทั้งเรื่องขยับขยายกำลังทรัพย์ด้วย ยกตัวอย่างเช่นเรื่องเปิดร้านค้าของสำนักลมปราณ อย่างไรเสียกำลังพลมากมายขนาดนั้นก็มีค่าใช้จ่ายไม่น้อย แม้กำลังพลที่ได้รับอนุญาตจากตำหนักสวรรค์จะมีค่าจ้างของตำหนักสวรรค์เลี้ยงดู แต่ถ้าเขาอยากจะซื้อหัวใจคน เงินรางวัลก็คือสิ่งที่ต้องมี ไม่ใช่ว่าแม้แต่การเคลื่อนไหวบางอย่างก็หาเงินมาไม่ได้

และงานแต่ละด้านก็ไม่จำเป็นต้องให้เขาไปจัดการด้วยตัวเอง แค่ต้องติดตามความคืบหน้าเท่านั้น

ความคืบหน้าในเขตดาวจันทร์อี่ที่เน้นจับตาดูก็คือปัญหาเรื่องที่อยู่ของกำลังพลหลายสิบล้าน จะให้คนมากมายขนาดนี้นอนกลางป่าภูเขาไม่ได้ ยังมีสมาชิกในครอบครัวอีก ถ้าเวลายืดเยื้ออาจจะทำให้เบื้องล่างบ่นด้วยความคับแค้นได้

เหมียวอี้เรียกได้ว่าไปตรวจสอบความคืบหน้าที่จุดก่อสร้างทุกๆ วันสองวัน นี่คือจุดลาดตระเวนของเทียนเจิ้งและเหิงอู๋เต้า แต่จู่ๆ ชิงเยว่ก็มาหา นางเหาะลงมาจากฟ้าแล้วคํานับเหมียวอี้

“มีเรื่องอะไร?” เหมียวอี้ถาม

“นายท่าน กำลังพลที่ย้ายมาจากตลาดสวรรค์ดูไม่ค่อยชอบมาพากล” ชิงเยว่ตอบ

เหมียวอี้เลิกคิ้ว “มีคนก่อเรื่องเหรอ?”

ชิงเยว่ตอบว่า “นายท่านเข้าใจผิดแล้ว ไม่ใช่มีคนก่อเรื่อง ช่วงนี้ข้าน้อยพบว่าจำนวนคนที่มารายงานตัวค่อนข้างแปลก ไม่กี่วันก่อนยังมีคนทยอยมาอยู่เลย แต่เมื่อวานกลับไม่เห็นใครมาสักคน ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้ยังไม่เห็นใครมารายงานตัวสักคน ผิดปกติมาก ตอนนี้จำนวนคนที่มารายงานตัวน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ครึ่งหนึ่ง” ตอนนี้นางรับผิดชอบด้านนี้ชั่วคราว จึงรู้ชัดเจนมาก

“มีเรื่องอย่างนี้ด้วยหรือ?” เหมียวอี้ก็ตระหนักได้ถึงความผิดปกติเช่นกัน

เขากำลังจะติดต่อไปหาเหวินเจ๋อ แต่เหวินเจ๋อกลับเหาะเข้ามาแล้ว เพราะเห็นหน้าก็กุมหมัดคารวะ แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “นายท่าน เกิดปัญหาแล้ว”

ทุกคนหูตั้งมองไปที่เขาทันที เหมียวอี้ถามว่า “มีเรื่องอะไร?”

เหวินเจ๋อตอบด้วยสีหน้าจริงจังว่า “คนกลุ่มหนึ่งทางฝั่งตลาดสวรรค์ที่ได้รับคำสั่งย้าย หลังจากออกจากตลาดสวรรค์แล้วก็ไม่ได้มาที่นี่ แต่กลับไปรวมตัวกันในอาณาเขตสี่ทัพ แห่งกำลังรวมรายชื่อฟ้องร้องขึ้นไป ตำหนิว่าจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลไม่มีอำนาจในการควบคุมตลาดสวรรค์ ไม่มีสิทธิ์สั่งย้ายพวกเขา ขอให้ตำหนักสวรรค์ตรวจสอบเรื่องนี้”

ชิงเยว่ เหิงอู๋เต้าและคนอื่นๆ สบตากัน พวกเขาค่อนข้างงุนงง สังเกตเห็นเบาะแสบางอย่างแล้ว

เหมียวอี้หรี่ตาแสยะยิ้ม “คำสั่งของราชินีสวรรค์ไม่ถือว่าเป็นคำสั่งหรือไง? คำสั่งย้ายของบุคคลระดับบนของตลาดสวรรค์ ไม่นับว่าเป็นคำสั่งย้ายเชียวหรือ?”

เหวินเจ๋อตอบว่า “พวกเขาถึงได้หลบเลี่ยงเบื้องบนของตลาดสวรรค์ เปลี่ยนเป็นรายงานต่ออำนาจท้องถิ่นของแต่ละฝ่ายแทน พวกเขาขอให้ยืนยันคำสั่งของเหนียงเหนียง”

เหมียวอี้พูดเหยียดหยามว่า “นี่ไม่ใช่การกระทำที่พุ่มเฟือยหรอกเหรอ? สงสัยจะเป็นพวกเสี้ยนหนามที่วอนโดนสั่งสอน!” เขากำลังครุ่นคิดแล้วว่าเมื่อรอให้คนพวกนี้มาถึงแล้วจะลงโทษอย่างไร

“เกรงว่าจะไม่ใช่การกระทำที่พุ่มเฟือย ข้าน้อยคิดว่าพวกเขากำลังถ่วงเวลา ท่านผู้สำเร็จราชการ การประชุมขุนนางที่ตำหนักสวรรค์เพิ่งจะจบลง จากข่าวที่ข้าน้อยสืบมา เกรงว่าจะไม่เป็นผลดีกับพวกเรา” เหวินเจ๋อกล่าว

“ไม่เป็นผลดียังไง?” เหมียวอี้ถาม

เหวินเจ๋อตอบว่า “กลุ่มขุนนางบนราชสำนักกลั่นแกล้ง ขอให้ฝ่าบาทถอนกำลังของกองทัพองครักษ์ที่ควบคุมศูนย์กลางแต่ละแห่งของตลาดสวรรค์กลับมา ภายใต้การกดดัน ฝ่าบาทรับปากแล้วว่าจะถอนกำลังกองทัพองครักษ์ และส่งต่ออำนาจควบคุมให้ชั่วคราว”

หากเบื้องบนส่งต่ออำนาจเมื่อไหร่ แค่คิดก็รู้แล้วว่าคนที่ตัวเองส่งไปที่ตลาดสวรรค์จะเป็นอย่างไร จะต้องถูกหาเรื่องแน่นอน เหมียวอี้ขมวดคิ้วถาม “ทำไมฝ่าบาทถึงยอมแพ้ได้ง่ายขนาดนี้?”

เหวินเจ๋อส่ายหน้าอย่างเคร่งขรึม “เกรงว่าไม่ยอมแพ้คงไม่ได้ ข้าสืบข่าวมาจากทางตำหนักสวรรค์ ในอาณาเขตสี่ทัพกำลังเลือกสถานที่ บอกว่ากำลังจะบุกเบิกสร้างสถานที่ค้าขายแยกออกไป นี่คือกุญแจสำคัญในการกดดันฝ่าบาท!”

ชิงเยว่เป็นคนแรกที่รู้ตัว จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “คนพวกนี้ลงมือได้โหดมากจริงๆ ทำแบบนี้เพราะต้องการจะปล้นอำนาจตลาดสวรรค์! ถ้าฝ่าบาทไม่ตอบตกลง พวกเขาก็จะสร้างสถานที่คล้ายกับตลาดสวรรค์ในอาณาเขตตัวเอง ถึงตอนนั้นการค้าของแต่ละแห่งก็จะถูกควบคุมโดยอำนาจท้องถิ่นเอง ตำหนักสวรรค์อยากจะเข้าไปแทรกแซงอีกก็ยากแล้ว”

เหิงอู๋เต้าพยักหน้าเช่นกัน “ที่ยอมถอยก็พอจะเข้าใจได้ เดิมทีตลาดสวรรค์ก็อยู่บนอาณาเขตของอำนาจท้องถิ่นอยู่แล้ว ถ้าพวกเขาต้องการจะทำอย่างนี้จริง พวกพ่อค้าที่ตลาดสวรรค์จะกล้าต่อต้านพวกเขาได้ยังไง จะต้องย้ายไปยังสถานที่ค้าขายที่พวกเขาสร้างขึ้นใหม่แน่นอน เกรงว่าไม่กี่วันก็ทำให้ตลาดสวรรค์ทุกแห่งในใต้หล้ากลายเป็นเมืองร้างแล้ว ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อการส่งภาษีให้ตำหนักสวรรค์ จะทำให้ฝ่าบาทเสียอำนาจในการควบคุมตลาดสวรรค์โดยสิ้นเชิงด้วย!”

เหมียวอี้ใบหน้ากระตุกอย่างรุนแรง เห็นได้ชัดเจนมาก เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อในทัพตะวันออกคงจะถูกจัดการแล้ว พวกอ๋องสวรรค์เริ่มร่วมมือกันตอบโต้แล้ว อานุภาพการโจมตีกลับนี้ แม้แต่ประมุขชิงก็รับไม่ไหว แล้วเหมียวอี้ทำอะไรได้ เกรงว่านี่คงจะเป็นแค่การเริ่มต้น ถ้าตัดขาดอำนาจการควบคุมของราชินีสวรรค์ที่มีต่อตลาดสวรรค์เมื่อไร ก็สามารถจินตนาการได้เลย ก้าวถัดไปจะต้องกำจัดคนที่เขาแทรกไว้ที่ตลาดสวรรค์แน่ จินตนาการผลที่ตามมาได้เลย

ถ้าสูญเสียอำนาจในการควบคุมตลาดสวรรค์เมื่อไหร่ ความคิดที่เขาจะใช้ประโยชน์สำนักลมปราณสร้างช่องทางรายได้ใหม่ที่ตลาดสวรรค์ก็คงจะถูกทำลายแล้ว

“มิน่าล่ะถึงไม่มารายงานตัว ที่แท้ก็มีที่พึ่งพิงจึงไม่กลัว!” เหมียวอี้เรายังเครียดแค้น

เหวินเจ๋อกล่าวช้าๆ ว่า “ท่านผู้สำเร็จราชการ มีคนให้ข้าฝากข้อความมาให้ทัน เบื้องบนเสียเวลานานมากไม่ได้เช่นกัน ให้ท่านผู้สำเร็จราชการเตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ หลีกเลี่ยงความเสียหาย!”

เหมียวอี้เหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง คนอื่นก็เช่นกัน เขามาจากวังสวรรค์ ที่บอกว่า ‘มีคน’ จะต้องหมายถึงวังสวรรค์แน่นอน

ในขณะที่เหมียวอี้กำลังจมอยู่ในความคิด ก็มีคนเข้ามาประสมโรงด้วยอีก เว่ยซูส่งข้อความมาแล้ว

เหมียวอี้หยิบระฆังดาราขึ้นมาถาม : ท่านบุรุษเว่ยมีอะไรจะกำชับ?

เว่ยซูไม่พูดพร่ำทำเพลง : ส่งสำนักลมปราณออกมาเถอะ เจ้ากระเพาะเล็กเกินไป เนื้ออ้วนชิ้นนั้นเจ้ากลืนไม่ไหวหรอก! แล้วข้าก็จะเตือนเจ้าไว้ด้วย เรื่องที่ตลาดสวรรค์เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น ต่อไปคนพวกนั้นคงจะตัดรากถอนโคนจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลไปด้วย เจ้าชอบเอาชีวิตไปล้อเล่น แต่ไม่จำเป็นต้องดึงสำนักลมปราณเข้าไปเกี่ยวข้อง!

……………………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1951 ร่วมมือกันตอบโต้

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1951 ร่วมมือกันตอบโต้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในขณะที่เหมียวอี้กับเฉาหม่านกำลังเจรจากัน บริเวณพรมแดนสี่ทัพมีกำลังทหารรวมตัวกันอย่างหนาแน่น

บนเกาะที่มีหน้าผาและทิวทัศน์ทะเลงดงามราวกับความฝัน ตึกหอแบบโบราณตั้งเรียงราย ที่แห่งนี้ชื่อว่าหอสมุทรสุดฟ้า เป็นเพราะความได้เปรียบทางด้านภูมิศาสตร์ เดิมทีคือจุดรวมตัวจองอ๋องสวรรค์ ครั้งนี้แม้อิ๋งจิ่วกวงจะไม่ได้มา ในภายหลังก็ไม่ได้มาเช่นกัน แต่เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อมาแล้ว

ฮ่าวเต๋อฟาง ก่วงลิ่งกงและโค่วหลิงซวีก็มาแล้ว มาแสดงความยินดีให้อ๋องสวรรค์ที่ได้รับแต่งตั้งใหม่ทั้งสองคน

ถ้าพูดถึงศักยภาพและประสบการณ์ อ๋องสวรรค์ทั้งสามอาจจะไม่เห็นอ๋องสวรรค์ใหม่ทั้งสองอยู่ในสายตา แต่ภายนอกกลับดูไม่ออกเลยสักนิด ทั้งห้าคนนั่งล้อมวงกัน สังสรรค์เริงรื่น ท่าทีของอ๋องสวรรค์ทั้งสามดูอบอุ่นเป็นมิตร กล่าวแสดงความยินดีอย่างปลื้มอกปลื้มใจไม่หยุด

แน่นอน เถิงเฟยและเฉิงไท่เจ๋อก็รู้อยู่แก่ใจเช่นกัน ยังคงพูดจาจอมปลอมประมาณว่าฝากเนื้อฝากตัวไม่หยุด ท่าทีค่อนข้างสงบเสงี่ยม

การที่พวกเขามานั่งอยู่ด้วยกันได้ การเฉลิมฉลองให้อ๋องสวรรค์คนใหม่ทั้งสองก็คือด้านหนึ่ง ทั้งยังถือโอกาสพูดคุยงานใหญ่ในใต้หล้าด้วย ท่าทีของพวกเขากำลังตัดสินแนวโน้มสถานการณ์ในใต้หล้าเช่นกัน

คนที่นั่งอยู่ในตึกศาลาก็มีแค่คนพวกนี้ คนอื่นถูกกันออกไปหมด

จู่ๆ ถังเฮ่อเหนียนก็โผล่หน้าอยู่ตรงจุดที่ไม่ไกล ถ่ายทอดเสียงบอกโค่วหลิงซวีที่อยู่ในตึกศาลาพักหนึ่ง

หลังจากถังเฮ่อเหนียนออกไปแล้ว โค่วหลิงซวีก็กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ทางวังสวรรค์ส่งข่าวมา ว่าลิ่งหูโต้วจ้งรวมทั้งลูกน้องคนสนิทถูกลงโทษแล้ว บอกว่าพวกเขาไม่พอใจกับการลดตำแหน่ง เป็นกบฏที่หลบหนี จึงถูกกองทัพองครักษ์ประหารแล้ว”

ฮ่าวเต๋อฟางพ่นเสียงทางจมูก “คนคงจะถูกประหารไปนานแล้วล่ะสิ เพิ่งมาประกาศตอนนี้ แค่จะหาข้ออ้างเล่นละครเท่านั้นเอง ต้องการปกปิดแต่กลับยิ่งเด่นชัด!”

โค่วหลิงซวีมองเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อ “สหายเถิง สหายเฉิง ประมุขชิงอยากจะฉวยโอกาสควบคุมตลาดสวรรค์ ถ้าชักช้าอย่างนี้ต่อไป ประมุขชิงเห็นว่าอย่างเชิงแล้วไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ เกรงว่าข้าวสารจะกลายเป็นข้าวสุก แต่งตั้งกองทัพองครักษ์ให้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการแล้วจริงๆ พวกเราสามคนตัดสินใจว่าจะสั่งสอนวังสวรรค์สักหน่อย ไม่ทราบว่าทั้งสองพิจารณาว่ายังไง?”

เถิงเฟยและเฉิงไท่เจ๋อสบตากัน แล้วพยักหน้า “ยินดีตอบรับทุกท่าน!”

“ดี! มาร่วมดื่มกัน!” โค่วหลิงซวีชูจอกสุราเชื้อเชิญ

ทั้งหมดยกจอกสุราดื่มจนหมดจอก ขณะที่กำลังรินสุราของตัวเอง ก่วงลิ่งกงก็บอกว่า “แดนรัตติกาลมีอำนาจใหม่เกิดขึ้นแล้ว อย่าบอกนะว่าทุกคนไม่มีแผนการอะไรเลย?”

“เจ้าก็มองออกแล้วไม่ใช่เหรอ มันคือกำลังอำนาจที่ประมุขชิงชุบเลี้ยงไว้ให้ลูกชาย อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดจะลงมือจริงๆ?” ฮ่าวเต๋อฟางถาม

ก่วงลิ่งกงกล่าวอย่างสบายๆว่า “มีกองทัพองครักษ์เป็นกำลังอำนาจให้ลูกชายยังไม่พออีกหรือ? ถ้ากลัวว่าประมุขชิงจะใช้ลูกชายมาเป็นข้ออ้างปิดบังคนอื่น ที่จริงแล้วอยากจะตอดกินพวกเราทีละก้าว ไม่ป้องกันไม่ได้หรอก ทุกวันนี้อำนาจถูกแบ่งมากพอแล้ว ถ้าไม่อยากเห็นอำนาจอะไรเกิดขึ้นมาอีก ไม่ว่าประมุขชิงจะมีจุดประสงค์อะไร ก็ต้องระงับไว้ หากพวกเจ้าไม่อยากลงมือ เช่นนั้นถ้าทำเองฝ่ายเดียวก็ได้ อย่าหาว่าข้าไม่บอกให้พวกเจ้าเตรียมตัวกันก่อนล่วงหน้าก็แล้วกัน!”

คนที่เหลือพูดไม่ออก ท่านนี้ต้องการจะเล่นงานหนิวโหย่วเต๋อให้ถึงตายจริงๆ แต่จะว่าไปแล้ว ครั้งนี้หนิวโหย่วเต๋อก็กระโดดโลกเต้นอย่างสำราญเกินไปจริงๆ ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ กล้ามาเข้าร่วมเรื่องโค่นล้มตระกูลอิ๋ง เรื่องนี้เทียบกับในอดีตไม่ได้ รกหูรกตาพวกเขาแล้ว

นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ความเป็นความตายของหนิวโหย่วเต๋อไม่นับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญเท่าไหร่ ที่สำคัญคือถ้าสี่ทัพต้องการจะใช้วิธีแข็งกร้าวจริงๆ ยั่วโมโหประมุขชิงแล้ว พวกเขาจะไม่มีปฏิกิริยาได้เหรอ? ถ้าปล่อยให้ก่วงลิ่งกงล้มจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับพวกเขา ก็เหมือนตอนแรกที่พวกเขารีบไปช่วยสนับสนุนอิ๋งจิ่วกวง นี่คือหลักการเดียวกัน ถ้าก่วงลิ่งกงดึงดันจะทำอย่างนี้ให้ได้ ก็เท่ากับบังคับมัดทุกคนไปด้วยแล้ว

ชั่วขณะนั้นบางคนก็ขมวดคิ้ว บางคนก็ครุ่นคิดเงียบๆ ที่ก่วงลิ่งกงพูดก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล จะปล่อยให้อํานาจอื่นขยายอีกไม่ได้แล้ว เพียงแต่ทุกคนกำลังไต่ตรองว่าจะเกิดผลที่ตามมาอย่างไร

พอเห็นปฏิกิริยาของทุกคน ก่วงลิ่งกงก็บอกอีกว่า “แน่นอน ข้าลงมือฝ่ายเดียว สู้ลงมือร่วมกับทุกคนไม่ได้หรอก อย่างน้อยก็ทำให้ประมุขชิงกดดันขึ้นมากอีกหน่อย ทำให้ประมุขชิงลูบหน้าปะจมูก เจตนาของข้าก็คือ ก็แค่ไม่ลงมือเท่านั้นเอง ถ้าได้ลงมือจะต้องกวาดล้างภัยแฝงให้ราบเรียบในรวดเดียว แต่ละฝ่ายดึงกำลังพลออกมาร้อยล้าน สหายเถิงกับสหายเฉิงดึงออกมาคนละห้าสิบล้านก็พอ ทัพใหญ่สี่ร้อยล้านจะต้องเหยียบจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลให้ราบ! แน่นอน เรื่องนี้ข้าไม่บังคับ ถึงยังไงฮูหยินของหนิวโหย่วเต๋อก็เป็นบุตรสาวบุญธรรมของสหายโค่ว ก็อย่างที่บอก ถ้าคนอื่นไม่เข้าร่วม ข้าก็จะทำเองฝ่ายเดียว เพียงแต่ข้าทำฝ่ายเดียวอาจจะทำให้ประมุขชิงสะเทือนไม่ได้ ถ้ายั่วโมโหให้ประมุขชิงเข้ามาแทรกแซง ก็อาจจะนำปัญหายุ่งยากมาให้ทุกคนมากขึ้น”

สรุปก็คือ เหมียวอี้ยั่วโมโหเขาติดต่อกันหลายครั้ง โดยเฉพาะเรื่องที่ส่งลูกสาวไปให้แต่ถูกปฏิเสธ สำหรับเขาแล้วเป็นเรื่องน่าอัปยศจริงๆ แต่เขาไม่คิดจะดำเนินรอยตามอิ๋งจิ่วกวง ต้องการจะกำจัดเหมียวอี้ภายในครั้งเดียว ดังนั้นจึงกระตือรือร้นที่จะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ

โค่วหลิงซวีแสยะยิ้ม “จองไม่ต้องใช้บุตรสาวบุญธรรมอะไรนั่นมายั่วยุข้าหรอก เจ้าคิดจะลงมือแล้ว ก็ต้องมีเหตุผลให้ลงมือ พยายามหลีกเลี่ยงอย่าให้ประมุขชิงมาแทรกแซง ไม่อย่างนั้นถ้าทำโดยไม่ชอบธรรม ต่อให้ประมุขชิงไม่อยากจะเข้ามาแทรกแซง แต่ก็โดนกดดันให้เข้ามาแทรกแซงอยู่ดี”

“เหตุผลในการลงมือข้าเตรียมไว้แล้ว เหลือแค่ให้ทุกคนเคลื่อนกำลังพลพร้อมกัน!” ก่วงลิ่งกงกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ

คนที่เหลือครุ่นคิดเงียบๆ…

เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ในใต้หล้าสงบลงแล้ว เหมียวอี้ก็เพ่งสมาธิไปกับการจัดระเบียบกำลังพลใต้สังกัดของตัวเอง รวมทั้งเรื่องขยับขยายกำลังทรัพย์ด้วย ยกตัวอย่างเช่นเรื่องเปิดร้านค้าของสำนักลมปราณ อย่างไรเสียกำลังพลมากมายขนาดนั้นก็มีค่าใช้จ่ายไม่น้อย แม้กำลังพลที่ได้รับอนุญาตจากตำหนักสวรรค์จะมีค่าจ้างของตำหนักสวรรค์เลี้ยงดู แต่ถ้าเขาอยากจะซื้อหัวใจคน เงินรางวัลก็คือสิ่งที่ต้องมี ไม่ใช่ว่าแม้แต่การเคลื่อนไหวบางอย่างก็หาเงินมาไม่ได้

และงานแต่ละด้านก็ไม่จำเป็นต้องให้เขาไปจัดการด้วยตัวเอง แค่ต้องติดตามความคืบหน้าเท่านั้น

ความคืบหน้าในเขตดาวจันทร์อี่ที่เน้นจับตาดูก็คือปัญหาเรื่องที่อยู่ของกำลังพลหลายสิบล้าน จะให้คนมากมายขนาดนี้นอนกลางป่าภูเขาไม่ได้ ยังมีสมาชิกในครอบครัวอีก ถ้าเวลายืดเยื้ออาจจะทำให้เบื้องล่างบ่นด้วยความคับแค้นได้

เหมียวอี้เรียกได้ว่าไปตรวจสอบความคืบหน้าที่จุดก่อสร้างทุกๆ วันสองวัน นี่คือจุดลาดตระเวนของเทียนเจิ้งและเหิงอู๋เต้า แต่จู่ๆ ชิงเยว่ก็มาหา นางเหาะลงมาจากฟ้าแล้วคํานับเหมียวอี้

“มีเรื่องอะไร?” เหมียวอี้ถาม

“นายท่าน กำลังพลที่ย้ายมาจากตลาดสวรรค์ดูไม่ค่อยชอบมาพากล” ชิงเยว่ตอบ

เหมียวอี้เลิกคิ้ว “มีคนก่อเรื่องเหรอ?”

ชิงเยว่ตอบว่า “นายท่านเข้าใจผิดแล้ว ไม่ใช่มีคนก่อเรื่อง ช่วงนี้ข้าน้อยพบว่าจำนวนคนที่มารายงานตัวค่อนข้างแปลก ไม่กี่วันก่อนยังมีคนทยอยมาอยู่เลย แต่เมื่อวานกลับไม่เห็นใครมาสักคน ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้ยังไม่เห็นใครมารายงานตัวสักคน ผิดปกติมาก ตอนนี้จำนวนคนที่มารายงานตัวน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ครึ่งหนึ่ง” ตอนนี้นางรับผิดชอบด้านนี้ชั่วคราว จึงรู้ชัดเจนมาก

“มีเรื่องอย่างนี้ด้วยหรือ?” เหมียวอี้ก็ตระหนักได้ถึงความผิดปกติเช่นกัน

เขากำลังจะติดต่อไปหาเหวินเจ๋อ แต่เหวินเจ๋อกลับเหาะเข้ามาแล้ว เพราะเห็นหน้าก็กุมหมัดคารวะ แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “นายท่าน เกิดปัญหาแล้ว”

ทุกคนหูตั้งมองไปที่เขาทันที เหมียวอี้ถามว่า “มีเรื่องอะไร?”

เหวินเจ๋อตอบด้วยสีหน้าจริงจังว่า “คนกลุ่มหนึ่งทางฝั่งตลาดสวรรค์ที่ได้รับคำสั่งย้าย หลังจากออกจากตลาดสวรรค์แล้วก็ไม่ได้มาที่นี่ แต่กลับไปรวมตัวกันในอาณาเขตสี่ทัพ แห่งกำลังรวมรายชื่อฟ้องร้องขึ้นไป ตำหนิว่าจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลไม่มีอำนาจในการควบคุมตลาดสวรรค์ ไม่มีสิทธิ์สั่งย้ายพวกเขา ขอให้ตำหนักสวรรค์ตรวจสอบเรื่องนี้”

ชิงเยว่ เหิงอู๋เต้าและคนอื่นๆ สบตากัน พวกเขาค่อนข้างงุนงง สังเกตเห็นเบาะแสบางอย่างแล้ว

เหมียวอี้หรี่ตาแสยะยิ้ม “คำสั่งของราชินีสวรรค์ไม่ถือว่าเป็นคำสั่งหรือไง? คำสั่งย้ายของบุคคลระดับบนของตลาดสวรรค์ ไม่นับว่าเป็นคำสั่งย้ายเชียวหรือ?”

เหวินเจ๋อตอบว่า “พวกเขาถึงได้หลบเลี่ยงเบื้องบนของตลาดสวรรค์ เปลี่ยนเป็นรายงานต่ออำนาจท้องถิ่นของแต่ละฝ่ายแทน พวกเขาขอให้ยืนยันคำสั่งของเหนียงเหนียง”

เหมียวอี้พูดเหยียดหยามว่า “นี่ไม่ใช่การกระทำที่พุ่มเฟือยหรอกเหรอ? สงสัยจะเป็นพวกเสี้ยนหนามที่วอนโดนสั่งสอน!” เขากำลังครุ่นคิดแล้วว่าเมื่อรอให้คนพวกนี้มาถึงแล้วจะลงโทษอย่างไร

“เกรงว่าจะไม่ใช่การกระทำที่พุ่มเฟือย ข้าน้อยคิดว่าพวกเขากำลังถ่วงเวลา ท่านผู้สำเร็จราชการ การประชุมขุนนางที่ตำหนักสวรรค์เพิ่งจะจบลง จากข่าวที่ข้าน้อยสืบมา เกรงว่าจะไม่เป็นผลดีกับพวกเรา” เหวินเจ๋อกล่าว

“ไม่เป็นผลดียังไง?” เหมียวอี้ถาม

เหวินเจ๋อตอบว่า “กลุ่มขุนนางบนราชสำนักกลั่นแกล้ง ขอให้ฝ่าบาทถอนกำลังของกองทัพองครักษ์ที่ควบคุมศูนย์กลางแต่ละแห่งของตลาดสวรรค์กลับมา ภายใต้การกดดัน ฝ่าบาทรับปากแล้วว่าจะถอนกำลังกองทัพองครักษ์ และส่งต่ออำนาจควบคุมให้ชั่วคราว”

หากเบื้องบนส่งต่ออำนาจเมื่อไหร่ แค่คิดก็รู้แล้วว่าคนที่ตัวเองส่งไปที่ตลาดสวรรค์จะเป็นอย่างไร จะต้องถูกหาเรื่องแน่นอน เหมียวอี้ขมวดคิ้วถาม “ทำไมฝ่าบาทถึงยอมแพ้ได้ง่ายขนาดนี้?”

เหวินเจ๋อส่ายหน้าอย่างเคร่งขรึม “เกรงว่าไม่ยอมแพ้คงไม่ได้ ข้าสืบข่าวมาจากทางตำหนักสวรรค์ ในอาณาเขตสี่ทัพกำลังเลือกสถานที่ บอกว่ากำลังจะบุกเบิกสร้างสถานที่ค้าขายแยกออกไป นี่คือกุญแจสำคัญในการกดดันฝ่าบาท!”

ชิงเยว่เป็นคนแรกที่รู้ตัว จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “คนพวกนี้ลงมือได้โหดมากจริงๆ ทำแบบนี้เพราะต้องการจะปล้นอำนาจตลาดสวรรค์! ถ้าฝ่าบาทไม่ตอบตกลง พวกเขาก็จะสร้างสถานที่คล้ายกับตลาดสวรรค์ในอาณาเขตตัวเอง ถึงตอนนั้นการค้าของแต่ละแห่งก็จะถูกควบคุมโดยอำนาจท้องถิ่นเอง ตำหนักสวรรค์อยากจะเข้าไปแทรกแซงอีกก็ยากแล้ว”

เหิงอู๋เต้าพยักหน้าเช่นกัน “ที่ยอมถอยก็พอจะเข้าใจได้ เดิมทีตลาดสวรรค์ก็อยู่บนอาณาเขตของอำนาจท้องถิ่นอยู่แล้ว ถ้าพวกเขาต้องการจะทำอย่างนี้จริง พวกพ่อค้าที่ตลาดสวรรค์จะกล้าต่อต้านพวกเขาได้ยังไง จะต้องย้ายไปยังสถานที่ค้าขายที่พวกเขาสร้างขึ้นใหม่แน่นอน เกรงว่าไม่กี่วันก็ทำให้ตลาดสวรรค์ทุกแห่งในใต้หล้ากลายเป็นเมืองร้างแล้ว ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อการส่งภาษีให้ตำหนักสวรรค์ จะทำให้ฝ่าบาทเสียอำนาจในการควบคุมตลาดสวรรค์โดยสิ้นเชิงด้วย!”

เหมียวอี้ใบหน้ากระตุกอย่างรุนแรง เห็นได้ชัดเจนมาก เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อในทัพตะวันออกคงจะถูกจัดการแล้ว พวกอ๋องสวรรค์เริ่มร่วมมือกันตอบโต้แล้ว อานุภาพการโจมตีกลับนี้ แม้แต่ประมุขชิงก็รับไม่ไหว แล้วเหมียวอี้ทำอะไรได้ เกรงว่านี่คงจะเป็นแค่การเริ่มต้น ถ้าตัดขาดอำนาจการควบคุมของราชินีสวรรค์ที่มีต่อตลาดสวรรค์เมื่อไร ก็สามารถจินตนาการได้เลย ก้าวถัดไปจะต้องกำจัดคนที่เขาแทรกไว้ที่ตลาดสวรรค์แน่ จินตนาการผลที่ตามมาได้เลย

ถ้าสูญเสียอำนาจในการควบคุมตลาดสวรรค์เมื่อไหร่ ความคิดที่เขาจะใช้ประโยชน์สำนักลมปราณสร้างช่องทางรายได้ใหม่ที่ตลาดสวรรค์ก็คงจะถูกทำลายแล้ว

“มิน่าล่ะถึงไม่มารายงานตัว ที่แท้ก็มีที่พึ่งพิงจึงไม่กลัว!” เหมียวอี้เรายังเครียดแค้น

เหวินเจ๋อกล่าวช้าๆ ว่า “ท่านผู้สำเร็จราชการ มีคนให้ข้าฝากข้อความมาให้ทัน เบื้องบนเสียเวลานานมากไม่ได้เช่นกัน ให้ท่านผู้สำเร็จราชการเตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ หลีกเลี่ยงความเสียหาย!”

เหมียวอี้เหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง คนอื่นก็เช่นกัน เขามาจากวังสวรรค์ ที่บอกว่า ‘มีคน’ จะต้องหมายถึงวังสวรรค์แน่นอน

ในขณะที่เหมียวอี้กำลังจมอยู่ในความคิด ก็มีคนเข้ามาประสมโรงด้วยอีก เว่ยซูส่งข้อความมาแล้ว

เหมียวอี้หยิบระฆังดาราขึ้นมาถาม : ท่านบุรุษเว่ยมีอะไรจะกำชับ?

เว่ยซูไม่พูดพร่ำทำเพลง : ส่งสำนักลมปราณออกมาเถอะ เจ้ากระเพาะเล็กเกินไป เนื้ออ้วนชิ้นนั้นเจ้ากลืนไม่ไหวหรอก! แล้วข้าก็จะเตือนเจ้าไว้ด้วย เรื่องที่ตลาดสวรรค์เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น ต่อไปคนพวกนั้นคงจะตัดรากถอนโคนจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลไปด้วย เจ้าชอบเอาชีวิตไปล้อเล่น แต่ไม่จำเป็นต้องดึงสำนักลมปราณเข้าไปเกี่ยวข้อง!

……………………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+