พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1955 ประกาศอย่างจริงใจ

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1955 ประกาศอย่างจริงใจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ถ้าพูดจากบางระดับ การรู้วิธีหลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ก็คล้ายกับการมีซี่โครงไก่อยู่ในมือ ไม่มีค่ามากพอแต่จะทิ้งก็เสียดาย มิหนำซ้ำยังไม่รู้วิธีการอย่างแท้จริงด้วย ไม่อย่างนั้นก็สามารถพิจารณาร่วมงานกับอ๋องสวรรค์เพื่อต่อต้านประมุขชิงได้เลย

ระฆังดาราแบบใหม่น่าจะกลายเป็นช่องทางรายได้มหาศาลให้เขา แต่ถ้าผ่านด่านตรงหน้าไปไม่ได้ เกรงว่าแม้แต่ร้านขายของชำใหม่ก็เปิดไม่ได้ด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าการวางจำหน่ายระฆังดาราแบบใหม่จะทำให้ขัดแย้งกับกลุ่มอำนาจที่มีระฆังดาราแบบเก่าจนนำมาซึ่งผลกระทบด้านลบ

สาเหตุที่เหมียวอี้กลุ้มใจ ก็เพราะมีของที่สามารถทำกำไรได้แต่ไม่สามารถนำออกมาทำกำไรได้ พรรคกล้านำออกมาขายตอนนี้ เกรงว่าคนที่อยากเล่นงานให้เขาตายจะมีมากขึ้น อ๋องสวรรค์พวกนั้นเดิมทีก็มีหุ้นของร้านค้าระฆังดาราอยู่แล้ว สำหรับอีกฝ่าย การขายสินค้าแบบใหม่จนทำลายสินค้าตัวเก่า ความต่างของกำไรไม่ได้มากนัก อยากที่จะอาศัยสิ่งนี้มาห้ามไม่ให้อีกฝ่ายลงมือได้ มิหนำซ้ำการโยนออกมาขายตอนนี้ก็ขาดทุนเกินไป อีกฝ่ายจะต้องฉวยโอกาสขูดรีดประโยชน์จากเขาแน่นอน จะฉวยโอกาสแย่งชิงก็เป็นไปได้

กล่าวโดยสรุปก็คือ ศักยภาพของเขายังไม่มากพอ ของที่ล่อตาล่อใจคนเกินไป ถ้าโยนออกไปขายตอนนี้จะเป็นการหาเรื่องใส่ตัว

ไม่กี่วันหลังจากนั้น ประมุขชิงถอนกำลังกองทัพองครักษ์ที่ควบคุมศูนย์กลางของตลาดสวรรค์แต่ละแห่งอย่างเป็นทางการ กำลังพลเดิมที่ควบคุมส่วนใหญ่กลับมาแล้ว ความกดดันที่ตลาดสวรรค์นำมาสู่เหมียวอี้เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน เบื้องบนของตลาดสวรรค์เริ่มหาเรื่องแล้ว เหมียวอี้ได้รับข้อความขอคำชี้แนะอย่างต่อเนื่อง

เหมียวอี้ให้ทุกคนทนความกดดันเอาไว้ พร้อมรายงานขึ้นไปที่ตำหนักสวรรค์ ส่งคำขออันแรงกล้าเพื่อจะลงโทษกำลังพลตลาดสวรรค์ที่ปฏิเสธการมารายงานตัว

จากนั้นก็มีอีกข่าวที่แทบจะปิดบังไม่อยู่ส่งมาแล้ว นั่นก็คือกำลังพลของห้าอ๋องสวรรค์กำลังรวมตัวกันอย่างลับๆ แม้จะบอกว่าเป็นความลับ แต่จำนวนกำลังพลมีเยอะเกินไป จึงมีข่าวหลุดออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่ากำลังพลกลุ่มนี้รวมตัวกันทำไม

แต่เหมียวอี้เตรียมตัวรับศึกแล้ว เริ่มควบคุมกำลังพลใต้สังกัดแล้ว

“ประหาร!”

ดาวจันทร์อี่ ริมทะเล ศีรษะคนเกือบหมื่นร่วงลงพื้นตามคำสั่ง ทั้งหมดคือกำลังพลที่ย้ายมาจากตลาดสวรรค์ เสียงดิ้นรนขอร้องหายไปตามดาบที่ฟันลงมา

เหมียวอี้ใช้ข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งลงโทษประหารคนพวกนี้ ศึกใหญ่กำลังจะมาถึง ไม่จำเป็นต้องเก็บพวกที่จะก่อปัญหาในภายหลังพวกนี้ไว้

ขณะมองดูศพเกลื่อนเต็มพื้น หวงลี่ก็หันไปหาหลงซิ่นที่อยู่ข้างกัน แล้วถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจ “ผู้ตรวจการใหญ่มีเจตนาอะไร?”

หลงซิ่นส่ายหน้า “เหล่าหวง พวกเราไม่ต้องสนใจมากขนาดนั้นหรอก ทำตามก็พอแล้ว”

ด้านนอกตลาดผี กำลังพลสิบล้านพลันปรากฏตัว ล้อมตลาดผีเอาไว้โดยสมบูรณ์ ทั้งตลาดผีปั่นป่วนวุ่นวาย

“หนิวโหย่วเต๋อคิดจะทำอะไร?”

ตึกศาลาสัตยพรต เฉาหม่านสีหน้าแย่มาก ตะคอกถามชิงเยว่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า

ชิงเยว่ตอบว่า “เถ้าแก่เฉาอย่าเข้าใจผิด ไม่ได้มีเจตนาอื่น ผู้ตรวจการใหญ่ต้องการจะกวาดล้างบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหมดของตลาดผี กวาดล้างออกจากแดนรัตติกาล ทัพใหญ่จะได้ฝึกได้สะดวก ไม่ได้ทำร้ายใคร”

เฉาหม่านโกรธจนหน้าเขียว หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้โดยตรง

ไม่รู้เหมือนกันว่าเหมียวอี้พูดอะไรบ้าง เฉาหม่านเริ่มมีสีหน้าจริงจัง หลังจากเก็บระฆังดาราแล้วก็ไม่สงสัยอะไรอีก บอกชีเจวี๋ยที่อยู่ข้างกันว่า “ประกาศให้เบื้องล่างให้ความร่วมมือ ออกจากแดนรัตติกาลชั่วคราว”

ไม่หนีไปไม่ได้หรอก กำลังจะเกิดศึกแล้ว อยู่ที่นี่อันตรายจริงๆ ต่อให้เขาจะมีกำลังมากแค่ไหน แต่ยามเผชิญกับการเข่นฆ่าขนาดใหญ่แบบนี้ ก็ยังไม่มีศักยภาพมากพอ แม้จะรู้เจตนาที่บรรดาอ๋องสวรรค์รวบรวมกำลังพลมาบ้างแล้ว แต่ก็นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเหมียวอี้เตรียมจะใช้กำลังปะทะ

“ขอรับ!” ชีเจวี๋ยเอ่ยรับคำสั่ง

เมื่อได้รับความร่วมมือจากตึกศาลาสัตยพรต ก็ไม่มีความวุ่นวายใดๆ คนของตลาดผีหายไปหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว ถูกส่งออกไปภายใต้การคุ้มกันของทัพใหญ่ ทั้งหมดหนีออกจากแดนรัตติกาลแล้ว

คนที่มาล่าสัตว์ที่น้ำพุวังเวง หลังจากรู้เรื่องแล้วก็หนีออกจากแดนรัตติกาลทันที

เมื่อตลาดผีว่างเปล่าแล้ว เหมียวอี้ก็สั่งให้กำลังทหารปิดล้อมทางเข้าออกแดนรัตติกาล ขณะเดียวกันก็แอบย้ายกำลังพลกลุ่มหนึ่งออกไปซุ่มจับตาดูด้านนอกทางเข้าออก

จนป่านนี้แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะปล่อยให้คนนอกเข้าออกแดนรัตติกาลตามอำเภอใจ ถ้ามีคนลักลอบปล่อยกำลังพลกลุ่มใหญ่เข้ามาก็จะยุ่งยากแล้ว เขาเองก็ไม่รู้ว่าที่ตลาดผีมีคนมากขนาดไหนที่ถูกอำนาจภายนอกควบคุม ดังนั้นกวาดล้างให้หมดจะเหมาะสมกว่า

เขาเข้าใจชัดเจนดี มาถึงตอนนี้แล้ว อีกฝ่ายขาดแค่ข้ออ้างในการบุกโจมตีเท่านั้น เขาไม่อาจรอให้เกิดเรื่องก่อนแล้วค่อยเตรียมพร้อม

สร้างความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ ประกอบกับแอบย้ายกำลังพลกลุ่มใหญ่ในอาณาเขตสี่ทัพ จำไว้ให้คนนึกเชื่อมโยงก็คงยาก

ผู้ฝึกตนก่อสร้างบ้านเรือนเร็วมาก ทัพใหญ่และสมาชิกในครอบครัวทางฝั่งนี้เพิ่งจะมีที่อยู่ ก็ได้รับความกดดันมหาศาลทันที

มาถึงขั้นนี้แล้ว เหมียวอี้รู้แล้วว่าต่อให้ปิดบังอีกก็กลับจะทำให้เกิดความวุ่นวายด้วยซ้ำ เขาเรียกรวมแม่ทัพหนึ่งหมื่นคนมาเตรียมในจวนผู้สำเร็จราชการก่อนทำศึก

บนลานกว้างนอกตำหนักมีคนรวมตัวกันนับหมื่น เหมียวอี้ที่อยู่บนบันไดหน้าตำหนักสวมเกราะรบสีสดทั้งตัว กำลังหันหน้าเข้าหากลุ่มคน

“ข้ารู้ว่าช่วงนี้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ค่อนข้างมาก คาดเดากันไปต่างๆ นานา ไม่มีอะไรน่าเดาแล้ว วันนี้ที่เรียกทุกคนมาก็เพราะจะประกาศอย่างจริงใจ มีบางคนนึกเชื่อมโยงไปแล้วว่าการเคลื่อนไหวของพวกเราเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ห้าอ๋องสวรรค์แอบระดมกำลังพล ไม่ผิดหรอก! ข้าได้ข่าวมาบ้างแล้ว ห้าอ๋องสวรรค์นั่นต้องการระดมทัพใหญ่แล้วหาข้ออ้างมาปราบพวกเรา ตอนนี้ขาดแค่ข้ออ้างที่จะลงมือเท่านั้น! ทำไมต้องการจะปราบพวกเราน่ะเหรอ ดูจากที่พวกนั้นปฏิเสธเข้าประชุมขุนนางก็รู้แล้ว พวกเขาไม่สนกฎเกณฑ์ คิดว่าใต้หล้าเป็นของพวกเขา ไม่ยอมให้อำนาจฝ่ายอื่นผงาดขึ้นมา แต่หนิวคนนี้ดันตั้งตัวเป็นอิสระนอกการปกครองของพวกเขา ที่ร้ายแรงที่สุดก็คือช่วงนี้ข้ามีกำลังพลเพิ่มมาห้าสิบล้าน ก็เลยกลายเป็นตะปูตอกตา เป็นเสี้ยนหนามแทงเนื้อพวกเขา แม้พวกเราจะไม่ได้ทำความผิดอะไร แต่พวกเขาก็ยอมให้มีพวกเราอยู่ไม่ได้ แค่อยากจะกำจัดพวกเราทิ้ง!”

“บางมีอาจจะมีคนรู้สึกว่าศักยภาพต่างกันเกินไป ไม่สู้ยอมแพ้ดีกว่า! พูดถึงตัวข้าเองก่อน ข้าเป็นผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลที่ตำหนักสวรรค์แต่งตั้ง ถ้ายอมแพ้ต่อพวกเขาแล้วจะกลายเป็นอะไรล่ะ? จะไม่กลายเป็นโจรกบฏของตำหนักสวรรค์หรอกหรือ! มิหนำซ้ำ ขอพูดสิ่งที่ทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจ เกรงว่าต่อให้ยอมแพ้ไปก็ตายสถานเดียว! เช่นนั้นพวกเจ้าล่ะ?”

เหมียวอี้กำลังกล่าวเสียงดังก้องอยู่บนลานกว้าง แล้วจู่ๆ ก็ชี้ไปที่กลุ่มคน “หรือพวกเจ้าคิดว่ายอมแพ้แล้วจะมีทางรอด? คนที่มาหาข้าที่นี่ล้วนเป็นใครล่ะ? ส่วนใหญ่เป็นคนที่ภายนอกไม่โปรดปราน กำลังพลเดิมของแดนรัตติกาลหัวหน้าภาคล้วนถูกพวกเขาบีบคั้นจนหมดหนทาง ถึงได้มารวมตัวอยู่ด้วยกัน ถ้ายอมแพ้แล้วจะได้มีชีวิตที่ดีเหรอ? กำลังพลห้าสิบล้านที่มาใหม่ ทำไมถึงมาหาข้าที่นี่ล่ะ? ก็เพราะรู้แจ่มแจ้งไม่ใช่เหรอ ว่าถ้าไปพึ่งพาพวกเขาแล้วจะถูกบีบคั้น? หรือคืดว่าตอนหลังค่อยไปพึ่งพาพวกเขาแล้วจะได้อยู่อย่างสบาย? ไม่ผิดหรอก! ช่วงนี้ข้าปรับปรุงทัพใหญ่ บางทีอาจขัดใจบางคน อาจทำให้บางคนไม่พอใจ แต่จะไม่ปรับปรุงได้เหรอ? ท่ามกลางพวกเรามีสายลับของภายนอกอยู่มากเท่าไรล่ะ? ถ้าไม่ปรับปรุงแล้วเจอกับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นตอนนี้ พวกเจ้าจะให้ข้าทำยังไง? ข้าจึงต้องปรับปรุง ไม่สนใจด้วยว่าจะมีคนไม่พอใจ อย่างน้อยอยู่กับข้าที่นี่ทุกคนก็มีโอกาสเท่าเทียมกัน ไม่ต้องกังวลว่าไปพึ่งพาคนนอกพวกนั้นแล้วจะได้รับความอัปยศจนอยู่มีสู้ตาย มีคนไม่น้อยที่มีครอบครัว พวกเจ้าทนรับความอัปยศพวกนั้นได้เหรอ พวกเจ้าทนมองเห็นครอบครัวได้รับความอัปยศได้หรือเปล่า? ไม่ต้องเดาข้าก็รู้ว่าหลังจากพวกเจ้าไปพึ่งพาพวกเขาแล้วจะเกิดอะไรขึ้น จะโดนเพื่อนร่วมงานใช้อุบายรีดทรัพยื หยอกเย้าแย่งชิงภรรยาและลูกสาวพวกเจ้าไม่จบไม่สิ้น แต่พวกเจ้าทำอะไรไม่ได้เลยสักนิด ได้แต่มองดูเฉยๆ”

“บางคนอาจจะคิดว่า ถ้าไม่ยอมแพ้ พวกเขามีกำลังอำนาจมาก พวกเราไม่มีหวังที่จะชนะเลย ดูแล้วก็เหมือนจะเป็นอย่างนี้จริงๆ แต่พวกเจ้ารู้ไหม ว่าตอนข้าทำศึกกับพวกเขา ทำไมใช้คนน้อยกว่าแล้วเอาชนะพวกเขาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า? ก็เพราะกำลังพลเบื้องล่างของพวกเขามีเส้นสาย ความสัมพันธ์ญาติมิตรซับซ้อน มีพวกไร้ความสามารถเยอะมาก กลายเป็นฟืนผุแล้ว ดูเผินๆ เหมือนยิ่งใหญ่ แต่ความจริงแล้วทนรับการโจมตีไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียว ไม่อย่างนั้นในปีนั้นสี่ทัพจะปรับปรุงกองทัพทำไม ปรับปรุงแล้วได้ประสิทธิภาพหรือเปล่าล่ะ? ไม่มี! พวกเขาก็แค่ทำผิวเผินเหมือนบีบตุ่มหนองก็เท่านั้นเอง หรือไม่ก็ฉวยโอกาสกำจัดคนคิดต่าง ตัดขาดไม่ได้ ถ้าทำอย่างนั้นจริงๆ ก็จะอันตรายถึงชีวิตตัวเอง เพราะคนที่ปรับปรุงกองทัพเอง ญาติมิตรในครอบครัวพวกเขาก็ยื่นมือออกไปจนมั่วเช่นกัน ขนาดตัวเองยังไม่สะอาดด้วยซ้ำ ข้าไม่ได้ด้อยค่าพวกเขานะ เพราะพวกเขาก็มีกำลังอำนาจมากจริงๆ ถ้าคิดจะอาศัยคนของพวกเราเอาชนะพวกเขาก็เป็นเรื่องยาก ถ้าได้ยินมาว่าพวกเขาจะใช้ทัพใหญ่สี่ร้อยล้านมาล้อมปราบพวกเรา พวกเขารู้สึกว่าต้องทำสำเร็จแน่นอน แต่เกรงว่าจะไม่แน่! ข้าเตรียมตัวสำหรับกรณีที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว ต่อให้สละชีวิตกำลังพลยี่สิบสามสิบล้านคน ก็อาจจะไม่มีทางหนีพ้น แต่พวกเรามีความสามารถ และมีความมั่นใจด้วย จะให้ใช้กำลังพลสามสิบล้านกำจัดกำลังพลสามร้อยล้านของพวกเขาน่ะเหรอ! ไม่ไหวจริงๆ พวกเราควรหนีเข้าอาณาเขตดาวนิรนาม รับมือกับพวกเขาในระยะยาว ถ้ามีเวลาว่างค่อยออกมาสู้กับพวกเขาสักตั้ง ถ้าว่างค่อยออกมาฆ่าพวกเขา ถ้าว่างค่อยออกมาปล้นพวกเขา ถ้าพวกเราไม่ได้อยู่อย่างสงบสุข พวกเขาก็เลิกคิดไปเลยว่าจะได้อยู่อย่างสงบสุข กำลังพลหลายสิบล้านจู่โจมในระยะยาว ใต้หล้าใหญ่ขนาดนั้น ถ้าจะคอยดูว่าพวกเขาจะป้องกันได้ยังไง!”

เมื่อได้ยินว่าเตรียมตัวจะสละกำลังพลเกือบครึ่งหนึ่ง คนที่อยู่ตรงนั้นก็ฮือฮาทันที พากันซุบซิบปรึกษากัน

เหมียวอี้ไม่สนใจเรื่องพวกนี้ พูดเสียงดังต่อไปว่า “ถ้าพวกเขากล้ามารุกล้ำจริงๆ ข้าจะเตรียมให้ครอบครัวของทุกคนย้ายไปก่อน! นอกจากนี้ ถ้าใครคิดจะไปพึ่งพาพวกเขาก็ถือโอกาสทำเสียตั้งแต่เนิ่นๆ อย่ารอให้ทหารมาบุกประชิดประตูเมืองแล้วค่อยเสี่ยงอันตราย ถ้าอยากจะไปตอนนี้ก็ไปได้เลย ข้าจะไม่ขัดขวางแน่นอน และไม่บังคับด้วย ไม่กลั่นแกล้งเด็ดขาด! ถ้าอยู่ต่อก็ต้องเตรียมตัวที่จะสู้ตายกับพวกเขา ถึงยังไงข้าก็จะไม่ยอมแพ้อยู่แล้ว ต่อให้ตายแต่ก็ต้องกัดให้พวกเขาบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก…”

ประกาศสิ่งนี้อย่างเปิดเผย ไม่มีการปิดเป็นความลับใดๆ กอปรกับเหมียวอี้ตั้งใจกระจายข่าวสู่ภายนอก ในวันที่ประกาศแบบนี้ ข่าวก็แพร่ออกไปแล้ว แทบจะทำให้ใต้หล้าฮือฮา

จวนท่านปู่สวรรค์ สวนต้องห้าม เซี่ยโห้วลิ่งที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ลุกขึ้นยืนแล้ว เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาพร้อมถามว่า “เจ้าเด็กนั่นคิดจะสู้ตายจริงเหรอ?”

เว่ยซูพยักหน้า “ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ก็เหมือนจะเป็นอย่างนี้จริงๆ แดนรัตติกาลถูกเขาย้ายคนออกจนว่างแล้ว เตรียมพร้อมรับศึกแล้ว”

เซี่ยโห้วลิ่งส่ายหน้า “ประสาท!”

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ก่วงลิ่งกงที่กำลังเดินไปเดินมาอยู่ในป่าบีบแผ่นหยกในมือจนแหลก สีหน้าแย่สุดๆ เขาพบว่าตัวเองโดนปั่นหัว ที่แท้เจ้าเวรนั่นก็รู้แล้วว่าฝั่งนี้กำลังจะลงมือกับเขา

ก่วงเม่ยเอ๋อร์วิ่งเข้ามาในห้องของมารดา หลังจากกระซิบข้างหูมารดาพักหนึ่ง ก็ถามเบาๆ ว่า “ท่านแม่ เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าคะ?”

เม่ยเหนียงส่ายหน้าถอนหายใจ “จริงเท็จแม่ก็ไม่รู้ รู้เพียงว่าเรื่องแบบนี้พวกเราเข้าไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้ เข้าใจมั้ย?”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก้มหน้าเงียบๆ

จวนอ๋องสวรรค์โค่ว หอสามรากฐาน โค่วหลิงซวีนั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะยาว โยนแผ่นหยกที่อ่านแล้วลงบนโต๊ะ แล้วแสยะยิ้มพูดว่า “เขาคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะหยุดยั้งไม่ให้พวกเราลงมือกับเขาได้เหรอ?”

อุทยานหลวง พระตำหนักอุทยาน ประมุขชิงที่เดินไปเดินมาอยู่ในศาลาบีบแผ่นหยกจนแหลก สีหน้าดูแย่มาก การที่เหมียวอี้ทำแบบนี้ ทำให้เขาไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ถ้าพวกอ๋องสวรรค์จะบุกโจมตีจริงๆ จะไม่กลายเป็นว่าเขาไร้ความสามารถที่จะหยุดยั้งหรอกหรือ?

แดนอเวจี ดาวอู๋เลี่ยง ในตึกศาลา หยางชิ่งยืนอยู่ริมหน้าต่าง ถือแผ่นหยกที่อ่านเสร็จแล้วไขว้หลังและทอดสายตามองไปไกล ถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ด้านนอกไม่มีความเคลื่อนไหวอื่นเหรอ?”

จินม่านที่อยู่ข้างๆ ถามว่า “ไม่มีความผิดปกติอย่างอื่น เจ้าอยากจะเห็นความเคลื่อนไหวอะไรกันแน่?”

หยางชิ่งส่ายหน้าเบาๆ แล้วพึมพำกับตัวเองว่า “หรือเขาคิดจะนิ่งดูดายจริงๆ?”

………………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1955 ประกาศอย่างจริงใจ

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1955 ประกาศอย่างจริงใจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ถ้าพูดจากบางระดับ การรู้วิธีหลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ก็คล้ายกับการมีซี่โครงไก่อยู่ในมือ ไม่มีค่ามากพอแต่จะทิ้งก็เสียดาย มิหนำซ้ำยังไม่รู้วิธีการอย่างแท้จริงด้วย ไม่อย่างนั้นก็สามารถพิจารณาร่วมงานกับอ๋องสวรรค์เพื่อต่อต้านประมุขชิงได้เลย

ระฆังดาราแบบใหม่น่าจะกลายเป็นช่องทางรายได้มหาศาลให้เขา แต่ถ้าผ่านด่านตรงหน้าไปไม่ได้ เกรงว่าแม้แต่ร้านขายของชำใหม่ก็เปิดไม่ได้ด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าการวางจำหน่ายระฆังดาราแบบใหม่จะทำให้ขัดแย้งกับกลุ่มอำนาจที่มีระฆังดาราแบบเก่าจนนำมาซึ่งผลกระทบด้านลบ

สาเหตุที่เหมียวอี้กลุ้มใจ ก็เพราะมีของที่สามารถทำกำไรได้แต่ไม่สามารถนำออกมาทำกำไรได้ พรรคกล้านำออกมาขายตอนนี้ เกรงว่าคนที่อยากเล่นงานให้เขาตายจะมีมากขึ้น อ๋องสวรรค์พวกนั้นเดิมทีก็มีหุ้นของร้านค้าระฆังดาราอยู่แล้ว สำหรับอีกฝ่าย การขายสินค้าแบบใหม่จนทำลายสินค้าตัวเก่า ความต่างของกำไรไม่ได้มากนัก อยากที่จะอาศัยสิ่งนี้มาห้ามไม่ให้อีกฝ่ายลงมือได้ มิหนำซ้ำการโยนออกมาขายตอนนี้ก็ขาดทุนเกินไป อีกฝ่ายจะต้องฉวยโอกาสขูดรีดประโยชน์จากเขาแน่นอน จะฉวยโอกาสแย่งชิงก็เป็นไปได้

กล่าวโดยสรุปก็คือ ศักยภาพของเขายังไม่มากพอ ของที่ล่อตาล่อใจคนเกินไป ถ้าโยนออกไปขายตอนนี้จะเป็นการหาเรื่องใส่ตัว

ไม่กี่วันหลังจากนั้น ประมุขชิงถอนกำลังกองทัพองครักษ์ที่ควบคุมศูนย์กลางของตลาดสวรรค์แต่ละแห่งอย่างเป็นทางการ กำลังพลเดิมที่ควบคุมส่วนใหญ่กลับมาแล้ว ความกดดันที่ตลาดสวรรค์นำมาสู่เหมียวอี้เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน เบื้องบนของตลาดสวรรค์เริ่มหาเรื่องแล้ว เหมียวอี้ได้รับข้อความขอคำชี้แนะอย่างต่อเนื่อง

เหมียวอี้ให้ทุกคนทนความกดดันเอาไว้ พร้อมรายงานขึ้นไปที่ตำหนักสวรรค์ ส่งคำขออันแรงกล้าเพื่อจะลงโทษกำลังพลตลาดสวรรค์ที่ปฏิเสธการมารายงานตัว

จากนั้นก็มีอีกข่าวที่แทบจะปิดบังไม่อยู่ส่งมาแล้ว นั่นก็คือกำลังพลของห้าอ๋องสวรรค์กำลังรวมตัวกันอย่างลับๆ แม้จะบอกว่าเป็นความลับ แต่จำนวนกำลังพลมีเยอะเกินไป จึงมีข่าวหลุดออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่ากำลังพลกลุ่มนี้รวมตัวกันทำไม

แต่เหมียวอี้เตรียมตัวรับศึกแล้ว เริ่มควบคุมกำลังพลใต้สังกัดแล้ว

“ประหาร!”

ดาวจันทร์อี่ ริมทะเล ศีรษะคนเกือบหมื่นร่วงลงพื้นตามคำสั่ง ทั้งหมดคือกำลังพลที่ย้ายมาจากตลาดสวรรค์ เสียงดิ้นรนขอร้องหายไปตามดาบที่ฟันลงมา

เหมียวอี้ใช้ข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งลงโทษประหารคนพวกนี้ ศึกใหญ่กำลังจะมาถึง ไม่จำเป็นต้องเก็บพวกที่จะก่อปัญหาในภายหลังพวกนี้ไว้

ขณะมองดูศพเกลื่อนเต็มพื้น หวงลี่ก็หันไปหาหลงซิ่นที่อยู่ข้างกัน แล้วถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจ “ผู้ตรวจการใหญ่มีเจตนาอะไร?”

หลงซิ่นส่ายหน้า “เหล่าหวง พวกเราไม่ต้องสนใจมากขนาดนั้นหรอก ทำตามก็พอแล้ว”

ด้านนอกตลาดผี กำลังพลสิบล้านพลันปรากฏตัว ล้อมตลาดผีเอาไว้โดยสมบูรณ์ ทั้งตลาดผีปั่นป่วนวุ่นวาย

“หนิวโหย่วเต๋อคิดจะทำอะไร?”

ตึกศาลาสัตยพรต เฉาหม่านสีหน้าแย่มาก ตะคอกถามชิงเยว่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า

ชิงเยว่ตอบว่า “เถ้าแก่เฉาอย่าเข้าใจผิด ไม่ได้มีเจตนาอื่น ผู้ตรวจการใหญ่ต้องการจะกวาดล้างบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหมดของตลาดผี กวาดล้างออกจากแดนรัตติกาล ทัพใหญ่จะได้ฝึกได้สะดวก ไม่ได้ทำร้ายใคร”

เฉาหม่านโกรธจนหน้าเขียว หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้โดยตรง

ไม่รู้เหมือนกันว่าเหมียวอี้พูดอะไรบ้าง เฉาหม่านเริ่มมีสีหน้าจริงจัง หลังจากเก็บระฆังดาราแล้วก็ไม่สงสัยอะไรอีก บอกชีเจวี๋ยที่อยู่ข้างกันว่า “ประกาศให้เบื้องล่างให้ความร่วมมือ ออกจากแดนรัตติกาลชั่วคราว”

ไม่หนีไปไม่ได้หรอก กำลังจะเกิดศึกแล้ว อยู่ที่นี่อันตรายจริงๆ ต่อให้เขาจะมีกำลังมากแค่ไหน แต่ยามเผชิญกับการเข่นฆ่าขนาดใหญ่แบบนี้ ก็ยังไม่มีศักยภาพมากพอ แม้จะรู้เจตนาที่บรรดาอ๋องสวรรค์รวบรวมกำลังพลมาบ้างแล้ว แต่ก็นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเหมียวอี้เตรียมจะใช้กำลังปะทะ

“ขอรับ!” ชีเจวี๋ยเอ่ยรับคำสั่ง

เมื่อได้รับความร่วมมือจากตึกศาลาสัตยพรต ก็ไม่มีความวุ่นวายใดๆ คนของตลาดผีหายไปหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว ถูกส่งออกไปภายใต้การคุ้มกันของทัพใหญ่ ทั้งหมดหนีออกจากแดนรัตติกาลแล้ว

คนที่มาล่าสัตว์ที่น้ำพุวังเวง หลังจากรู้เรื่องแล้วก็หนีออกจากแดนรัตติกาลทันที

เมื่อตลาดผีว่างเปล่าแล้ว เหมียวอี้ก็สั่งให้กำลังทหารปิดล้อมทางเข้าออกแดนรัตติกาล ขณะเดียวกันก็แอบย้ายกำลังพลกลุ่มหนึ่งออกไปซุ่มจับตาดูด้านนอกทางเข้าออก

จนป่านนี้แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะปล่อยให้คนนอกเข้าออกแดนรัตติกาลตามอำเภอใจ ถ้ามีคนลักลอบปล่อยกำลังพลกลุ่มใหญ่เข้ามาก็จะยุ่งยากแล้ว เขาเองก็ไม่รู้ว่าที่ตลาดผีมีคนมากขนาดไหนที่ถูกอำนาจภายนอกควบคุม ดังนั้นกวาดล้างให้หมดจะเหมาะสมกว่า

เขาเข้าใจชัดเจนดี มาถึงตอนนี้แล้ว อีกฝ่ายขาดแค่ข้ออ้างในการบุกโจมตีเท่านั้น เขาไม่อาจรอให้เกิดเรื่องก่อนแล้วค่อยเตรียมพร้อม

สร้างความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ ประกอบกับแอบย้ายกำลังพลกลุ่มใหญ่ในอาณาเขตสี่ทัพ จำไว้ให้คนนึกเชื่อมโยงก็คงยาก

ผู้ฝึกตนก่อสร้างบ้านเรือนเร็วมาก ทัพใหญ่และสมาชิกในครอบครัวทางฝั่งนี้เพิ่งจะมีที่อยู่ ก็ได้รับความกดดันมหาศาลทันที

มาถึงขั้นนี้แล้ว เหมียวอี้รู้แล้วว่าต่อให้ปิดบังอีกก็กลับจะทำให้เกิดความวุ่นวายด้วยซ้ำ เขาเรียกรวมแม่ทัพหนึ่งหมื่นคนมาเตรียมในจวนผู้สำเร็จราชการก่อนทำศึก

บนลานกว้างนอกตำหนักมีคนรวมตัวกันนับหมื่น เหมียวอี้ที่อยู่บนบันไดหน้าตำหนักสวมเกราะรบสีสดทั้งตัว กำลังหันหน้าเข้าหากลุ่มคน

“ข้ารู้ว่าช่วงนี้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ค่อนข้างมาก คาดเดากันไปต่างๆ นานา ไม่มีอะไรน่าเดาแล้ว วันนี้ที่เรียกทุกคนมาก็เพราะจะประกาศอย่างจริงใจ มีบางคนนึกเชื่อมโยงไปแล้วว่าการเคลื่อนไหวของพวกเราเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ห้าอ๋องสวรรค์แอบระดมกำลังพล ไม่ผิดหรอก! ข้าได้ข่าวมาบ้างแล้ว ห้าอ๋องสวรรค์นั่นต้องการระดมทัพใหญ่แล้วหาข้ออ้างมาปราบพวกเรา ตอนนี้ขาดแค่ข้ออ้างที่จะลงมือเท่านั้น! ทำไมต้องการจะปราบพวกเราน่ะเหรอ ดูจากที่พวกนั้นปฏิเสธเข้าประชุมขุนนางก็รู้แล้ว พวกเขาไม่สนกฎเกณฑ์ คิดว่าใต้หล้าเป็นของพวกเขา ไม่ยอมให้อำนาจฝ่ายอื่นผงาดขึ้นมา แต่หนิวคนนี้ดันตั้งตัวเป็นอิสระนอกการปกครองของพวกเขา ที่ร้ายแรงที่สุดก็คือช่วงนี้ข้ามีกำลังพลเพิ่มมาห้าสิบล้าน ก็เลยกลายเป็นตะปูตอกตา เป็นเสี้ยนหนามแทงเนื้อพวกเขา แม้พวกเราจะไม่ได้ทำความผิดอะไร แต่พวกเขาก็ยอมให้มีพวกเราอยู่ไม่ได้ แค่อยากจะกำจัดพวกเราทิ้ง!”

“บางมีอาจจะมีคนรู้สึกว่าศักยภาพต่างกันเกินไป ไม่สู้ยอมแพ้ดีกว่า! พูดถึงตัวข้าเองก่อน ข้าเป็นผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลที่ตำหนักสวรรค์แต่งตั้ง ถ้ายอมแพ้ต่อพวกเขาแล้วจะกลายเป็นอะไรล่ะ? จะไม่กลายเป็นโจรกบฏของตำหนักสวรรค์หรอกหรือ! มิหนำซ้ำ ขอพูดสิ่งที่ทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจ เกรงว่าต่อให้ยอมแพ้ไปก็ตายสถานเดียว! เช่นนั้นพวกเจ้าล่ะ?”

เหมียวอี้กำลังกล่าวเสียงดังก้องอยู่บนลานกว้าง แล้วจู่ๆ ก็ชี้ไปที่กลุ่มคน “หรือพวกเจ้าคิดว่ายอมแพ้แล้วจะมีทางรอด? คนที่มาหาข้าที่นี่ล้วนเป็นใครล่ะ? ส่วนใหญ่เป็นคนที่ภายนอกไม่โปรดปราน กำลังพลเดิมของแดนรัตติกาลหัวหน้าภาคล้วนถูกพวกเขาบีบคั้นจนหมดหนทาง ถึงได้มารวมตัวอยู่ด้วยกัน ถ้ายอมแพ้แล้วจะได้มีชีวิตที่ดีเหรอ? กำลังพลห้าสิบล้านที่มาใหม่ ทำไมถึงมาหาข้าที่นี่ล่ะ? ก็เพราะรู้แจ่มแจ้งไม่ใช่เหรอ ว่าถ้าไปพึ่งพาพวกเขาแล้วจะถูกบีบคั้น? หรือคืดว่าตอนหลังค่อยไปพึ่งพาพวกเขาแล้วจะได้อยู่อย่างสบาย? ไม่ผิดหรอก! ช่วงนี้ข้าปรับปรุงทัพใหญ่ บางทีอาจขัดใจบางคน อาจทำให้บางคนไม่พอใจ แต่จะไม่ปรับปรุงได้เหรอ? ท่ามกลางพวกเรามีสายลับของภายนอกอยู่มากเท่าไรล่ะ? ถ้าไม่ปรับปรุงแล้วเจอกับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นตอนนี้ พวกเจ้าจะให้ข้าทำยังไง? ข้าจึงต้องปรับปรุง ไม่สนใจด้วยว่าจะมีคนไม่พอใจ อย่างน้อยอยู่กับข้าที่นี่ทุกคนก็มีโอกาสเท่าเทียมกัน ไม่ต้องกังวลว่าไปพึ่งพาคนนอกพวกนั้นแล้วจะได้รับความอัปยศจนอยู่มีสู้ตาย มีคนไม่น้อยที่มีครอบครัว พวกเจ้าทนรับความอัปยศพวกนั้นได้เหรอ พวกเจ้าทนมองเห็นครอบครัวได้รับความอัปยศได้หรือเปล่า? ไม่ต้องเดาข้าก็รู้ว่าหลังจากพวกเจ้าไปพึ่งพาพวกเขาแล้วจะเกิดอะไรขึ้น จะโดนเพื่อนร่วมงานใช้อุบายรีดทรัพยื หยอกเย้าแย่งชิงภรรยาและลูกสาวพวกเจ้าไม่จบไม่สิ้น แต่พวกเจ้าทำอะไรไม่ได้เลยสักนิด ได้แต่มองดูเฉยๆ”

“บางคนอาจจะคิดว่า ถ้าไม่ยอมแพ้ พวกเขามีกำลังอำนาจมาก พวกเราไม่มีหวังที่จะชนะเลย ดูแล้วก็เหมือนจะเป็นอย่างนี้จริงๆ แต่พวกเจ้ารู้ไหม ว่าตอนข้าทำศึกกับพวกเขา ทำไมใช้คนน้อยกว่าแล้วเอาชนะพวกเขาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า? ก็เพราะกำลังพลเบื้องล่างของพวกเขามีเส้นสาย ความสัมพันธ์ญาติมิตรซับซ้อน มีพวกไร้ความสามารถเยอะมาก กลายเป็นฟืนผุแล้ว ดูเผินๆ เหมือนยิ่งใหญ่ แต่ความจริงแล้วทนรับการโจมตีไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียว ไม่อย่างนั้นในปีนั้นสี่ทัพจะปรับปรุงกองทัพทำไม ปรับปรุงแล้วได้ประสิทธิภาพหรือเปล่าล่ะ? ไม่มี! พวกเขาก็แค่ทำผิวเผินเหมือนบีบตุ่มหนองก็เท่านั้นเอง หรือไม่ก็ฉวยโอกาสกำจัดคนคิดต่าง ตัดขาดไม่ได้ ถ้าทำอย่างนั้นจริงๆ ก็จะอันตรายถึงชีวิตตัวเอง เพราะคนที่ปรับปรุงกองทัพเอง ญาติมิตรในครอบครัวพวกเขาก็ยื่นมือออกไปจนมั่วเช่นกัน ขนาดตัวเองยังไม่สะอาดด้วยซ้ำ ข้าไม่ได้ด้อยค่าพวกเขานะ เพราะพวกเขาก็มีกำลังอำนาจมากจริงๆ ถ้าคิดจะอาศัยคนของพวกเราเอาชนะพวกเขาก็เป็นเรื่องยาก ถ้าได้ยินมาว่าพวกเขาจะใช้ทัพใหญ่สี่ร้อยล้านมาล้อมปราบพวกเรา พวกเขารู้สึกว่าต้องทำสำเร็จแน่นอน แต่เกรงว่าจะไม่แน่! ข้าเตรียมตัวสำหรับกรณีที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว ต่อให้สละชีวิตกำลังพลยี่สิบสามสิบล้านคน ก็อาจจะไม่มีทางหนีพ้น แต่พวกเรามีความสามารถ และมีความมั่นใจด้วย จะให้ใช้กำลังพลสามสิบล้านกำจัดกำลังพลสามร้อยล้านของพวกเขาน่ะเหรอ! ไม่ไหวจริงๆ พวกเราควรหนีเข้าอาณาเขตดาวนิรนาม รับมือกับพวกเขาในระยะยาว ถ้ามีเวลาว่างค่อยออกมาสู้กับพวกเขาสักตั้ง ถ้าว่างค่อยออกมาฆ่าพวกเขา ถ้าว่างค่อยออกมาปล้นพวกเขา ถ้าพวกเราไม่ได้อยู่อย่างสงบสุข พวกเขาก็เลิกคิดไปเลยว่าจะได้อยู่อย่างสงบสุข กำลังพลหลายสิบล้านจู่โจมในระยะยาว ใต้หล้าใหญ่ขนาดนั้น ถ้าจะคอยดูว่าพวกเขาจะป้องกันได้ยังไง!”

เมื่อได้ยินว่าเตรียมตัวจะสละกำลังพลเกือบครึ่งหนึ่ง คนที่อยู่ตรงนั้นก็ฮือฮาทันที พากันซุบซิบปรึกษากัน

เหมียวอี้ไม่สนใจเรื่องพวกนี้ พูดเสียงดังต่อไปว่า “ถ้าพวกเขากล้ามารุกล้ำจริงๆ ข้าจะเตรียมให้ครอบครัวของทุกคนย้ายไปก่อน! นอกจากนี้ ถ้าใครคิดจะไปพึ่งพาพวกเขาก็ถือโอกาสทำเสียตั้งแต่เนิ่นๆ อย่ารอให้ทหารมาบุกประชิดประตูเมืองแล้วค่อยเสี่ยงอันตราย ถ้าอยากจะไปตอนนี้ก็ไปได้เลย ข้าจะไม่ขัดขวางแน่นอน และไม่บังคับด้วย ไม่กลั่นแกล้งเด็ดขาด! ถ้าอยู่ต่อก็ต้องเตรียมตัวที่จะสู้ตายกับพวกเขา ถึงยังไงข้าก็จะไม่ยอมแพ้อยู่แล้ว ต่อให้ตายแต่ก็ต้องกัดให้พวกเขาบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก…”

ประกาศสิ่งนี้อย่างเปิดเผย ไม่มีการปิดเป็นความลับใดๆ กอปรกับเหมียวอี้ตั้งใจกระจายข่าวสู่ภายนอก ในวันที่ประกาศแบบนี้ ข่าวก็แพร่ออกไปแล้ว แทบจะทำให้ใต้หล้าฮือฮา

จวนท่านปู่สวรรค์ สวนต้องห้าม เซี่ยโห้วลิ่งที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ลุกขึ้นยืนแล้ว เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาพร้อมถามว่า “เจ้าเด็กนั่นคิดจะสู้ตายจริงเหรอ?”

เว่ยซูพยักหน้า “ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ก็เหมือนจะเป็นอย่างนี้จริงๆ แดนรัตติกาลถูกเขาย้ายคนออกจนว่างแล้ว เตรียมพร้อมรับศึกแล้ว”

เซี่ยโห้วลิ่งส่ายหน้า “ประสาท!”

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ก่วงลิ่งกงที่กำลังเดินไปเดินมาอยู่ในป่าบีบแผ่นหยกในมือจนแหลก สีหน้าแย่สุดๆ เขาพบว่าตัวเองโดนปั่นหัว ที่แท้เจ้าเวรนั่นก็รู้แล้วว่าฝั่งนี้กำลังจะลงมือกับเขา

ก่วงเม่ยเอ๋อร์วิ่งเข้ามาในห้องของมารดา หลังจากกระซิบข้างหูมารดาพักหนึ่ง ก็ถามเบาๆ ว่า “ท่านแม่ เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าคะ?”

เม่ยเหนียงส่ายหน้าถอนหายใจ “จริงเท็จแม่ก็ไม่รู้ รู้เพียงว่าเรื่องแบบนี้พวกเราเข้าไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้ เข้าใจมั้ย?”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก้มหน้าเงียบๆ

จวนอ๋องสวรรค์โค่ว หอสามรากฐาน โค่วหลิงซวีนั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะยาว โยนแผ่นหยกที่อ่านแล้วลงบนโต๊ะ แล้วแสยะยิ้มพูดว่า “เขาคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะหยุดยั้งไม่ให้พวกเราลงมือกับเขาได้เหรอ?”

อุทยานหลวง พระตำหนักอุทยาน ประมุขชิงที่เดินไปเดินมาอยู่ในศาลาบีบแผ่นหยกจนแหลก สีหน้าดูแย่มาก การที่เหมียวอี้ทำแบบนี้ ทำให้เขาไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ถ้าพวกอ๋องสวรรค์จะบุกโจมตีจริงๆ จะไม่กลายเป็นว่าเขาไร้ความสามารถที่จะหยุดยั้งหรอกหรือ?

แดนอเวจี ดาวอู๋เลี่ยง ในตึกศาลา หยางชิ่งยืนอยู่ริมหน้าต่าง ถือแผ่นหยกที่อ่านเสร็จแล้วไขว้หลังและทอดสายตามองไปไกล ถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ด้านนอกไม่มีความเคลื่อนไหวอื่นเหรอ?”

จินม่านที่อยู่ข้างๆ ถามว่า “ไม่มีความผิดปกติอย่างอื่น เจ้าอยากจะเห็นความเคลื่อนไหวอะไรกันแน่?”

หยางชิ่งส่ายหน้าเบาๆ แล้วพึมพำกับตัวเองว่า “หรือเขาคิดจะนิ่งดูดายจริงๆ?”

………………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+