พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1958 ไก่บินสุนัขกระโดด

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1958 ไก่บินสุนัขกระโดด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

พอได้ยินคำว่าไม้ไม่ผุ ก็ทำให้บรรยากาศในภัตตาคารค่อนข้างแปลกประหลาด จู่ๆ ก็เงียบลงจนเหลวไหล ทุกคนต่างใช้วิธีการต่างๆ นานาสังเกตการณ์ฝั่งจัวเซียงเหลียน แม้แต่บริกรที่วิ่งเต้นทำงานก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน

สายตาของทุกคนกำลังเน้นสังเกตปฏิกิริยาของนกน้อยสีเขียวมรกตกับงูน้อยสีเทาตัวนั้น

คนที่นั่งอยู่ในร้านไม่มีใครเคยเห็นว่าไม้ไม่ผุหน้าตาเป็นอย่างไร เพียงเคยได้ยินมาเท่านั้น ส่วนปิ่นปักผมบนศีรษะจัวเซียงเหลียน ถ้าไม่สังเกตก็อาจไม่มีใครเก็บมาใส่ใจเลย เมื่อถูกเตือนแล้วก็พบว่าเหมือนไม้ไม่ผุในตำนานจริงๆ ด้วย โดยเฉพาะรูปร่างแบบนั้น เห็นได้ชัดว่าเหมือนหักมาจากกิ่งไม้

การที่นกน้อยสีเขียวมรกตกับงูน้อยสีเทาปรากฏตัว ก็ชัดเจนว่ามีคนกำลังทดสอบลักษณะพิเศษบางอย่างของไม้ไม่ผุในตำนาน คนในแดนฝึกตนบนสัตว์ตัวเล็กพวกนี้ติดตัวไว้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร คนที่พกพวกเสือโคร่งตัวใหญ่ยังมีเลย บางคนก็นำมาเป็นของเล่น บางคนก็นำมาเป้นอาหาร หรือไม่ก็เลี้ยงให้เป็นอาหารของสัตว์เลี้ยง

ปฏิกิริยาของนกน้อยสีเขียวมรกตทำให้คนใจสั่น งูน้อยสีเทาเลื้อยค่อนข้างช้า เป็นงูธรรมดาตัวหนึ่ง น่าจะไม่เคยฝึกมาก่อน จู่ๆ มาปรากฏตัวอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมนี้ก็ไม่ได้หวาดกลัวอะไร ไม่ได้หนีไปด้วย เลื้อยไปที่โต๊ะนั้นโดยตรง

ปิ่นปักผมมีลักษณะสอดคล้อง มีกลิ่นหอมสอดคล้อง ปฏิกิริยาของสัตว์เล็กก็สอดคล้องกัน ฉากนี้ทำให้คนไม่น้อยมองจนหนักตากระตุก

ต้วนอ้ายเอ๋อร์โบกมือร่ายอิทธิฤทธิ์ไล่นกน้อยสีเขียวมรกตที่บินวนเวียนอยู่เหนือศีรษะ แต่กลับไล่ไม่ไป บินออกไปแล้วก็อ้อมกลับมาอีก เหมือนอยากบินโผเข้าหาปิ่นปักผมของจัวเซียงเหลียน แต่ก็ไม่สะดวกจะลงมือสังหารสัตว์ของคนอื่น สำนักเทียนกู่ไม่ใช่สำนักใหญ่อะไร ไม่มีความมั่นใจที่จะก่อเรื่อง

จัวเซียงเหลียนและศิษย์น้องทั้งสองสีหน้าค่อนข้างแย่ พวกนางไม่คิดว่าของบนศีรษะจัวเซียงเหลียนคือไม้ไม่ผุในตำนาน ศิษย์พี่ใหญ่จะไปได้ของในตำนานมาได้อย่างไร เพียงสายตาของกลุ่มคนที่มองพวกนางดูแปลกๆ ราวกับเป็นหมาป่า

ทั้งสามตระหนักได้ว่ามีปัญหาแล้ว จึงส่งสายตาให้กัน อยู่ที่นี่นานไม่ได้แล้ว

ทั้งสามลุกขึ้นยืนพร้อมกัน ฉางหงเหมยโบกมือ ร่ายอิทธิฤทธิ์ดีดงูน้อยสีเทาที่เข้ามาใกล้ตรงหน้าออกไป

“บริกร คิดเงิน!” ฉางหงเหมยรีบเดินมาข้างหน้าแล้วตะโกนบอก

บริกรพยักหน้าด้วยยิ้มแข็งทื่อ แล้วยื่นมือเชิญให้นางลงไปชั้นล่าง เพียงแต่สายตามองบนศีรษะจัวเซียงเหลียนเป็นระยะ

ฉางหงเหมยถ่ายทอดเสียงบอกนิดหน่อย จัวเซียงเหลียนดึงปิ่นปักผมบนศีรษะมาเก็บไว้ทันที

แต่งูสีเทาตัวนั้นเลี้ยวไปหาทั้งสามคนอีก นกน้อยสีเขียวมรกตที่ร้องเจื้อยแจ้วก็บินตามไปเช่นกัน

เมื่อสังเกตเห็นปฏิกิริยาของงูและนก ลูกค้าบนภัตตาคารก็แทบจะทยอยกันลุกขึ้น บางคนเขย่าระฆังดาราในแขนเสื้อติดต่อไปที่ไหนสักแห่ง

ตอนที่ลงมาคิดเงินข้างล่าง ฉางหงเหมยก็สัมผัสได้ว่าบริกรกำลังถ่ายทอดเสียงคุยกับผู้จัดการร้าน แล้วผู้จัดการร้านก็พลันเงยหน้ามองไปที่ทั้งสามแวบหนึ่งด้วยความตกตะลึง จากนั้นก็พบว่าลูกค้ากลุ่มหนึ่งเดินเนิบนาบลงมาจากชั้นบน และสายตาของพวกเขาก็แอบสังเกตผู้หญิงทั้งสามอย่างแนบเนียน

เมื่อออกจากภัตตาคารแล้ว ทั้งสามก็เร่งฝีเท้าเดินออกไป ส่วนลูกค้าที่เดินตามออกมาทีหลังก็ใจกล้ามาก ไม่ต้องทวงเงินเลย โยนเงินลงบนโต๊ะคิดเงินแล้วก็ออกไปแล้ว

พวกฉางหงเหมยรู้สึกได้ว่ามีปัญหาติดพันแล้ว เห็นได้ชัดว่าข้างหลังมีคนกลุ่มหนึ่งตามพวกนางมา อยู่ที่ตลาดสวรรค์อาจจะไม่กล้าลงมือ แต่ถ้าออกจากตลาดสวรรค์เมื่อไรก็จะเกิดปัญหาแน่นอน แต่ที่จริงอยู่ที่ตลาดสวรรค์ก็อาจไม่ปลอดภัยกว่ากันสักเท่าไร

ทั้งสามถ่ายทอดเสียงคุยกับ แอบใช้ระฆังดาราติดต่อสำนัก

ตอนที่รีบเดินมาถึงประตูเมือง จู่ๆ ฉางหงเหมยก็เดินไปหาผู้ช่วยผู้บัญชาการคนหนึ่งที่เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ตรงประตู แล้วพึมพำคุยกันสองสามประโยค ไม่รู้ว่าพูดอะไรกัน

ผู้ช่วยผู้บัญชาการคนนั้นหันกลับมามองแวบหนึ่ง พบว่ามีกลุ่มคนหยุดเดินและทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่ไม่ไกลจริงด้วย เขาเลิกคิ้วแล้วโบกมือ กำลังพลที่เฝ้าประตูมาขวางตรงหน้าประตูเมืองทันที พร้อมทั้งนำคนกลุ่มหนึ่งประชิดเข้าไปหาคนพวกนั้น

กลุ่มคนที่ตามมาตลอดทางมองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้ว่าผู้หญิงสามคนนี้มีความสัมพันธ์อะไรกับทหารยามของที่นี่

ยังไม่ทันรู้ตัว คนกลุ่มนี้ก็ถูกล้อมไว้แล้ว ผู้ช่วยผู้บัญชาการเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ทำอะไร?”

ฉางหงเหมยเพิ่งจะรายงานเรื่องคนพวกนี้ บอกว่าเห็นคนคล้ายผู้ร้ายหลบหนีที่ตำหนักสวรรค์ออกหมายจับ และผู้ช่วยผู้บัญชาการคนนั้นก็พบว่าคนกลุ่มนี้มีท่าทางลับๆ ล่อๆ หลังจากพบว่าเขาสังเกตเห็นพวกเขา พวกเขาก็ไม่กล้าเข้าใกล้ ยิ่งทำให้ดูน่าสงสัยมากขึ้น ย่อมต้องนำกำลังพลมาล้อมเพื่อตรวจสอบทันที

ส่วนฉางหงเหมยและศิษย์พี่ศิษย์น้องก็รีบฉวยโอกาสหนีออกนอกเมือง รีบเหาะขึ้นไปบนฟ้า

“ไม้ไม่ผุ?”

ในจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล เหมียวอี้ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะยาวพลันยืนขึ้น แล้วอุทานถามอย่างประหลาดใจ

หยางเจาชิงตอบว่า “ยังยืนยันไม่ได้ ถึงยังไงก็ไม่มีใครเคยเห็น เพียงแต่คล้ายกับที่ได้ยินมามากขอรับ”

เหมียวอี้ตาเป็นประกาย รีบถามว่า “บอกให้ทางตลาดสวรรค์จับคนไว้ก่อนแล้วค่อยยืนยัน ให้หวงลี่นำแม่ทัพใหญ่หนึ่งร้อยคนให้เลือกกำลังพลหนึ่งล้านไปรับเดี๋ยวนี้ บอกเสี้ยวฮ่าวเต๋อ ห้ามรายงานเรื่องนี้ขึ้นไปเบื้องบน รอให้พวกเรารู้แน่ชัดก่อนแล้วค่อยว่ากัน แล้วก็ห้ามให้เหวินเจ๋อรู้ด้วย”

มีของแบบนี้ปรากฏอยู่บนอาณาเขตตัวเอง มีหรือที่จะไม่สืบให้กระจ่าง ถ้าได้มาไว้ในมือก็จะดีที่สุด ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนี้อยู่ในสถานการณ์พิเศษ เขาก็คิดจะออกหน้าด้วยตัวเองแล้ว ของที่ทำให้อายุยืนเป็นอมตะ มีใครบ้างที่ไม่ต้องการ? ถ้าเขาไม่มีอำนาจก็ขี้คร้านจะไปแก่งแย่งเหมือนกัน แย่งมาไว้ในมือก็รักษาไว้ไม่ได้อยู่ดี แต่ประเด็นคือตอนนี้เขามีศักยภาพที่จะแย่งชิงแล้ว

“รับทราบ!” หยางเจาชิงปฏิบัติตามทันที

ดาวเฟยหัว ตลาดสวรรค์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการที่อยู่ตรงประตูเมืองยังคงสอบสวนที่มาที่ไปของคนกลุ่มนั้น จู่ๆ ตรงหน้าก็วุ่นวายอยู่พักหนึ่ง วุ่นวายจนไก่บินสุนัขกระโดดหนี

ผู้ช่วยผู้บัญชาการขมวดคิ้วมองไป แล้วก็พูดไม่ออกไปพักหนึ่ง เห็นเพียงกำลังพลหลายสายพุ่งเข้ามาที่นี่ แทบจะไม่ต่างอะไรกับเหาะเข้ามาเลย ถ้าไม่ใช่เพราะตลาดสวรรค์ห้ามเหาะ คาดว่าคนพวกนี้คงจะเหาะมาจากบนฟ้าโดยตรงแล้ว

ผู้ที่มาล้วนไม่ธรรมดา ล้วนเป็นผู้จัดการร้านของร้านค้าใหญ่ๆ ของตลาดสวรรค์ คนที่หนุนหลังล้วนเป็นพวกลูกพี่ใหญ่ระดับบนสุดของตำหนักสวรรค์

ทั้งยังพาพรรคพวกมาด้วย ท่าทางร้อนรนกระวนกระวายแบบนั้นทำให้คนที่เห็นรู้สึกตกใจ

“ขุนพลถาน เป็นอะไรไปแล้ว?” ผู้จัดการร้านคนหนึ่งเอ่ยถาม

ไม่สะดวกจะไม่ไว้หน้าคนพวกนี้ ผู้ช่วยผู้บัญชาการเล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ แล้วก็มีผู้จัดการร้านอีกคนเดินเข้ามาทันที ยัดกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งใส่มือผู้ช่วยผู้บัญชาการเสียเลย กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เข้าใจผิดแล้ว นี่คือคนงานในร้านของข้า จะกลายเป็นผู้ร้ายหลบหนีไปได้ยังไง ข้ารับประกันว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้ร้ายหลบหนี ถ้าเป็นก็มาเอาผิดที่ข้าได้เลย ขุนพลถานได้โปรดอำนวยความสะดวก”

“ขุนพลถาน นี่ก็เป็นคนงานในร้านค้าของข้าเหมือนกัน”

ชั่วพริบตานั้นมีผู้จัดการร้านเบียดเข้ามาพร้อมกันหลายคน หนึ่งในนั้นยัดกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งใส่มือผู้ช่วยผู้บัญชาการ

ผู้ช่วยผู้บัญชาการยังไม่ทันเข้าใจว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร ลูกน้องของกลุ่มผู้จัดการร้านก็ลงมือแล้ว ผลักเบียดทหารยามที่ล้อมคนกลุ่มนี้เอาไว้ออกไปแล้ว เหมือนจะชิงตัวคน กลุ่มคนที่ตามหญิงสามสามคนค่อนข้างงุนงง บางคนถึงขนาดโดนคนสี่ห้าคนลากไปทีเดียวพร้อมกัร

ระหว่างผู้จัดการร้านเริ่มจ้องมองกันอย่างดุร้าย เผยกลิ่นอายสังหาร ทำท่าเหมือนกำลังจะสู้กัน

ผู้จัดการร้านหนึ่งในนั้นถ่ายทอดเสียงบอกว่า “กำลังพลของตำหนักคุ้มเมืองกำลังจะมาถึงแล้ว ทุกคนเสียเวลาต่อไปก็ไม่มีใครได้อะไร แยกย้ายกันหาดีมั้ย?”

เป็นอย่างนี้จริงๆ ดังนั้นกลุ่มคนที่เพิ่งถูกล้อมจึงแยกย้ายกันไปตามผู้จัดการร้านของตัวเอง

ขณะเดียวกันก็มีคนขอให้ผู้ช่วยผู้บัญชาการให้ความสะดวก มีกลุ่มคนออกไปตามหาผู้หญิงสามคนนั้นแล้ว

กลุ่มคนที่ถูกจับแยกไปรู้สึกหวาดระแวงกลัว มีคนอยากจะดิ้นรนอธิบาย ผลปรากฏว่าโดนมีดสั้นจ่อที่เอวทันที ข้างหูมีเสียงเตือนอันเย็นเยียบดังมา “พวกเราคือคนของอ๋องสวรรค์ฮ่าว ถ้าไม่อยากตายก็ทำตัวดีๆ หน่อย!”

ก็เป็นอย่างนี้ คนกลุ่มหนึ่งมาอย่างไว แล้วก็ไปไวเช่นกัน ชั่วพริบตาเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว

ผู้ช่วยผู้บัญชาการคนนั้นกลุ้มใจ นี่มันเรื่องอะไรกัน? แต่เขาก็ไม่กลัวเช่นกัน ผู้จัดการร้านรับประกันให้คนกลุ่มนั้นต่อหน้าฝูงชนแล้ว ถ้าเป็นผู้ร้ายหลบหนีจริงๆ เขาก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากมาย

พอร่ายอิทธิฤทธิ์มองกำไลเก็บสมบัติที่อยู่บนมือ เขาก็ดีใจแทบแย่ อีกฝ่ายจ่ายหนักจริงๆ  เป็นทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก

ในขณะนี้เอง จู่ๆ ผู้ช่วยผู้บัญชาการก็หยิบระฆังดาราออกมา สีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจัง แล้วรีบกันตัวมาตะโกนว่า “ปิดประตูเมืองเดี๋ยวนี้!”

ประตูเมืองถูกปิดเสียงดังครืน ในที่สุดผู้ช่วยผู้บัญชาการคนนั้นก็เริ่มกังวลแล้ว ความเคลื่อนไหวแบบนี้ เมื่อครู่ตัวเองคงไม่ได้สร้างปัญหาอะไรหรอกใช่มั้ย?

ประตูเมืองทั้งสี่แทบจะถูกปิดพร้อมกัน ผู้บัญชาการใหญ่เสี้ยวฮ่าวเต๋อนำกำลังพลกลุ่มหนึ่งออกมาจากตำหนักคุ้มเมืองเร็วมาก

ขณะเดียวกันก็มีกำลังพลกลุ่มหนึ่งมาควบคุมภัตตาคารไว้อย่างรวดเร็ว ควบคุมทุกคนในภัตตาคารเอาไว้ แล้วสอบสวนอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะหน้าตาของผู้หญิงสามคนนั้น

ผู้จัดการภัตตาคารแอบร้องในใจ เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าบนศีรษะผู้หญิงคนนั้นใช่ไม้ไม่ผุหรือเปล่า แต่กลับรู้ว่าปัญหามาถึงตัวแล้ว ตัวเองไร้ความสามารถจะไปยื้อแย่ง แต่ที่สำคัญคือมีคนเห็นเยอะเกินไป ปิดบังไม่ไหว ถ้ารู้เรื่องแล้วไม่ยอมรายงานขึ้นไป เดี๋ยวจะต้องมีคนมาลงโทษเขาแน่นอน ดังนั้นเขาไม่เพียงรายงานไปที่ตำหนักคุ้มเมืองเท่านั้น ทั้งยังรายงานไปยังอำนาจฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย เพราะถ้าหากไม่รายงาน ไม่ว่าจะเป็นตระกูลไหนเขาก็มีเรื่องด้วยไม่ไหวทั้งนั้น

ใครจะไปคิดล่ะ ว่าภัตตาคารของเขาจะเป็นหนังหน้าไฟ

ปิดประตูเมืองกะทันหัน คนในเมืองฮือฮาอยู่พักหนึ่ง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

ในเมืองที่กำลังเดือดพล่านมีคนเข้ามาประสมโรงอีก จู่ๆ ในร้านค้าแต่ละแห่งก็มีคนสวมชุดคลุมดำขอบทองและหมวกดำปักลายเมฆทองสิบกว่าคนโผล่ออกมา เร่งตามไปยังนอกร้านที่ถูกปิดอย่างรวดเร็ว คนที่เป็นหัวหน้าเผยป้ายคำสั่งแผ่นหนึ่ง ตะคอกบอกทหารยามที่เข้ามาขวางว่า “หน่วยตรวจการขวาได้รับบัญชาจากฝ่าบาทให้มาสืบคดี ใครขัดขวาง ฆ่าไม่ละเว้น!”

ชวิ้ง! สมาชิกที่อยู่ข้างหลังชักดาบออกมาจ่อคอทหารยามตรงประตู บังคับให้คนแยกออกไป แล้วหัวหน้าของหน่วยตรวจการขวาก็นำคนพุ่งเข้าไปโดยตรง เมื่อเห็นผู้รับผิดชอบพื้นที่นี้ ก็เผยป้ายคำสั่งอีกครั้งทันที “รองผู้บัญชาการใหญ่ห่าว คนที่นี่ หน่วยตรวจการขวาจะรับช่วงต่อ!”

รองผู้บัญชาการใหญ่ห่าวสีหน้าหนักแน่น ไม่ได้พูดอะไร และไม่ได้ขัดขวางด้วย เพียงแต่เมื่อครู่นี้ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวด้านนอก จึงซ่อนตัวบริกรคนหนึ่งไว้ทันที

ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนละโมบอะไร เขาเองก็รู้ว่าของบางอย่างตัวเองกลืนไม่ไหว เพียงแต่ถ้าไม่ทำอะไรสักหน่อย เขาก็ไม่อาจรายงานผลการปฏิบัติงานต่อนายท่านผู้สำเร็จราชการได้ ในเวลานี้ทุกคนล้วนทำหน้าที่เพื่อเจ้านายตัวเอง เดิมทีเขาก็เป็นคนของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลอยู่แล้ว ฝ่าบาทอยู่ไกลจากเขาเกินไป ควรจะรับใช้ใครก็ไม่ต้องให้สอน

“ผู้บัญชาการใหญ่!”

ตรงประตูเมือง พอผู้ช่วยผู้บัญชาการที่เฝ้าเมืองเห็นผู้บัญชาการใหญ่เสี้ยวฮ่าวเต๋อนำคนออกมาด้วยตัวเองอย่างดุร้าย ในใจก็ร้องว่าแย่แล้ว คาดว่าคงเจอเรื่องใหญ่แล้วจริงๆ เขารีบไปทำความเคารพ

เสี้ยวฮ่าวเต๋อมองไปรอบๆ แล้วตะคอกถามว่า “คนล่ะ?”

ผู้ช่วยผู้บัญชาการที่เฝ้าเมืองเหงื่อแตกราวกับสายฝนทันที อึกอักไม่รู้จะตอบว่าอะไร

พลทหารคนหนึ่งทำสายตาลอกแล่ก แล้วก้าวออกมาเล่าสถานการณ์เมื่อครู่นี้ให้ฟังทันที

บนใบหน้าเสี้ยวฮ่าวเต๋อฉายแววสังหาร แล้วจู่ๆ ก็ชักกระบี่ออกมา แทงทะลุหัวใจผู้ช่วยผู้บัญชาการคนนั้น เลือดสดพุ่งออกจากแผ่นหลัง

“สมควรตาย!” เสี้ยวฮ่าวเต๋อตะคอกอย่างโมโห แล้วเตะร่างผู้ช่วยผู้บัญชาการที่หัวใจเป็นรูกระเด็นออกไปทันที จากนั้นชี้กระบี่ไปยังพลทหารที่เพิ่งรายงาน “ตั้งแต่นี้ไป เจ้ารับตำแหน่งต่อจากเขา”

“รับทราบ!” พลทหารคนนั้นรีบกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง

“ผู้หญิงสามคนนั้นไปที่ไหนแล้ว?” เสี้ยวฮ่าวเต๋อถามเสียงเข้ม

“ผู้บัญชาการใหญ่รอสักครู่” พลทหารคนนั้นรีบเหาะไปสืบจากทหารที่เฝ้าบนกำแพงเมือง

ในขณะนี้เอง มีคนสามคนเหาะลงมาจากฟ้า เป็นคนของหน่วยตรวจการขวา ผู้ที่นำหน้ามาเผยป้ายคำสั่งอีก “ผู้บัญชาการใหญ่เสี้ยว มีบัญชาการจากฝ่าบาท ตั้งแต่นี้ไป หน่วยตรวจการขวาจะรับหน้าที่เฝ้าป้องกันเมืองนี้ชั่วคราว ใครขัดคำสั่ง ประหาร!”

ตอนนี้ประมุขชิงไม่รู้เรื่องรู้ราวเลย หน่วยตรวจการขวากำลังถ่ายทอดคำสั่งเท็จทั้งนั้น แต่การออกคำสั่งเท็จก็ต้องรู้จักแยกแยะเวลาเหมือนกัน บางเรื่องประมุขชิงไม่เพียงแค่จะไม่คัดค้าน กลับจะอนุญาตด้วยซ้ำ

………………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1958 ไก่บินสุนัขกระโดด

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1958 ไก่บินสุนัขกระโดด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

พอได้ยินคำว่าไม้ไม่ผุ ก็ทำให้บรรยากาศในภัตตาคารค่อนข้างแปลกประหลาด จู่ๆ ก็เงียบลงจนเหลวไหล ทุกคนต่างใช้วิธีการต่างๆ นานาสังเกตการณ์ฝั่งจัวเซียงเหลียน แม้แต่บริกรที่วิ่งเต้นทำงานก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน

สายตาของทุกคนกำลังเน้นสังเกตปฏิกิริยาของนกน้อยสีเขียวมรกตกับงูน้อยสีเทาตัวนั้น

คนที่นั่งอยู่ในร้านไม่มีใครเคยเห็นว่าไม้ไม่ผุหน้าตาเป็นอย่างไร เพียงเคยได้ยินมาเท่านั้น ส่วนปิ่นปักผมบนศีรษะจัวเซียงเหลียน ถ้าไม่สังเกตก็อาจไม่มีใครเก็บมาใส่ใจเลย เมื่อถูกเตือนแล้วก็พบว่าเหมือนไม้ไม่ผุในตำนานจริงๆ ด้วย โดยเฉพาะรูปร่างแบบนั้น เห็นได้ชัดว่าเหมือนหักมาจากกิ่งไม้

การที่นกน้อยสีเขียวมรกตกับงูน้อยสีเทาปรากฏตัว ก็ชัดเจนว่ามีคนกำลังทดสอบลักษณะพิเศษบางอย่างของไม้ไม่ผุในตำนาน คนในแดนฝึกตนบนสัตว์ตัวเล็กพวกนี้ติดตัวไว้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร คนที่พกพวกเสือโคร่งตัวใหญ่ยังมีเลย บางคนก็นำมาเป็นของเล่น บางคนก็นำมาเป้นอาหาร หรือไม่ก็เลี้ยงให้เป็นอาหารของสัตว์เลี้ยง

ปฏิกิริยาของนกน้อยสีเขียวมรกตทำให้คนใจสั่น งูน้อยสีเทาเลื้อยค่อนข้างช้า เป็นงูธรรมดาตัวหนึ่ง น่าจะไม่เคยฝึกมาก่อน จู่ๆ มาปรากฏตัวอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมนี้ก็ไม่ได้หวาดกลัวอะไร ไม่ได้หนีไปด้วย เลื้อยไปที่โต๊ะนั้นโดยตรง

ปิ่นปักผมมีลักษณะสอดคล้อง มีกลิ่นหอมสอดคล้อง ปฏิกิริยาของสัตว์เล็กก็สอดคล้องกัน ฉากนี้ทำให้คนไม่น้อยมองจนหนักตากระตุก

ต้วนอ้ายเอ๋อร์โบกมือร่ายอิทธิฤทธิ์ไล่นกน้อยสีเขียวมรกตที่บินวนเวียนอยู่เหนือศีรษะ แต่กลับไล่ไม่ไป บินออกไปแล้วก็อ้อมกลับมาอีก เหมือนอยากบินโผเข้าหาปิ่นปักผมของจัวเซียงเหลียน แต่ก็ไม่สะดวกจะลงมือสังหารสัตว์ของคนอื่น สำนักเทียนกู่ไม่ใช่สำนักใหญ่อะไร ไม่มีความมั่นใจที่จะก่อเรื่อง

จัวเซียงเหลียนและศิษย์น้องทั้งสองสีหน้าค่อนข้างแย่ พวกนางไม่คิดว่าของบนศีรษะจัวเซียงเหลียนคือไม้ไม่ผุในตำนาน ศิษย์พี่ใหญ่จะไปได้ของในตำนานมาได้อย่างไร เพียงสายตาของกลุ่มคนที่มองพวกนางดูแปลกๆ ราวกับเป็นหมาป่า

ทั้งสามตระหนักได้ว่ามีปัญหาแล้ว จึงส่งสายตาให้กัน อยู่ที่นี่นานไม่ได้แล้ว

ทั้งสามลุกขึ้นยืนพร้อมกัน ฉางหงเหมยโบกมือ ร่ายอิทธิฤทธิ์ดีดงูน้อยสีเทาที่เข้ามาใกล้ตรงหน้าออกไป

“บริกร คิดเงิน!” ฉางหงเหมยรีบเดินมาข้างหน้าแล้วตะโกนบอก

บริกรพยักหน้าด้วยยิ้มแข็งทื่อ แล้วยื่นมือเชิญให้นางลงไปชั้นล่าง เพียงแต่สายตามองบนศีรษะจัวเซียงเหลียนเป็นระยะ

ฉางหงเหมยถ่ายทอดเสียงบอกนิดหน่อย จัวเซียงเหลียนดึงปิ่นปักผมบนศีรษะมาเก็บไว้ทันที

แต่งูสีเทาตัวนั้นเลี้ยวไปหาทั้งสามคนอีก นกน้อยสีเขียวมรกตที่ร้องเจื้อยแจ้วก็บินตามไปเช่นกัน

เมื่อสังเกตเห็นปฏิกิริยาของงูและนก ลูกค้าบนภัตตาคารก็แทบจะทยอยกันลุกขึ้น บางคนเขย่าระฆังดาราในแขนเสื้อติดต่อไปที่ไหนสักแห่ง

ตอนที่ลงมาคิดเงินข้างล่าง ฉางหงเหมยก็สัมผัสได้ว่าบริกรกำลังถ่ายทอดเสียงคุยกับผู้จัดการร้าน แล้วผู้จัดการร้านก็พลันเงยหน้ามองไปที่ทั้งสามแวบหนึ่งด้วยความตกตะลึง จากนั้นก็พบว่าลูกค้ากลุ่มหนึ่งเดินเนิบนาบลงมาจากชั้นบน และสายตาของพวกเขาก็แอบสังเกตผู้หญิงทั้งสามอย่างแนบเนียน

เมื่อออกจากภัตตาคารแล้ว ทั้งสามก็เร่งฝีเท้าเดินออกไป ส่วนลูกค้าที่เดินตามออกมาทีหลังก็ใจกล้ามาก ไม่ต้องทวงเงินเลย โยนเงินลงบนโต๊ะคิดเงินแล้วก็ออกไปแล้ว

พวกฉางหงเหมยรู้สึกได้ว่ามีปัญหาติดพันแล้ว เห็นได้ชัดว่าข้างหลังมีคนกลุ่มหนึ่งตามพวกนางมา อยู่ที่ตลาดสวรรค์อาจจะไม่กล้าลงมือ แต่ถ้าออกจากตลาดสวรรค์เมื่อไรก็จะเกิดปัญหาแน่นอน แต่ที่จริงอยู่ที่ตลาดสวรรค์ก็อาจไม่ปลอดภัยกว่ากันสักเท่าไร

ทั้งสามถ่ายทอดเสียงคุยกับ แอบใช้ระฆังดาราติดต่อสำนัก

ตอนที่รีบเดินมาถึงประตูเมือง จู่ๆ ฉางหงเหมยก็เดินไปหาผู้ช่วยผู้บัญชาการคนหนึ่งที่เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ตรงประตู แล้วพึมพำคุยกันสองสามประโยค ไม่รู้ว่าพูดอะไรกัน

ผู้ช่วยผู้บัญชาการคนนั้นหันกลับมามองแวบหนึ่ง พบว่ามีกลุ่มคนหยุดเดินและทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่ไม่ไกลจริงด้วย เขาเลิกคิ้วแล้วโบกมือ กำลังพลที่เฝ้าประตูมาขวางตรงหน้าประตูเมืองทันที พร้อมทั้งนำคนกลุ่มหนึ่งประชิดเข้าไปหาคนพวกนั้น

กลุ่มคนที่ตามมาตลอดทางมองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้ว่าผู้หญิงสามคนนี้มีความสัมพันธ์อะไรกับทหารยามของที่นี่

ยังไม่ทันรู้ตัว คนกลุ่มนี้ก็ถูกล้อมไว้แล้ว ผู้ช่วยผู้บัญชาการเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ทำอะไร?”

ฉางหงเหมยเพิ่งจะรายงานเรื่องคนพวกนี้ บอกว่าเห็นคนคล้ายผู้ร้ายหลบหนีที่ตำหนักสวรรค์ออกหมายจับ และผู้ช่วยผู้บัญชาการคนนั้นก็พบว่าคนกลุ่มนี้มีท่าทางลับๆ ล่อๆ หลังจากพบว่าเขาสังเกตเห็นพวกเขา พวกเขาก็ไม่กล้าเข้าใกล้ ยิ่งทำให้ดูน่าสงสัยมากขึ้น ย่อมต้องนำกำลังพลมาล้อมเพื่อตรวจสอบทันที

ส่วนฉางหงเหมยและศิษย์พี่ศิษย์น้องก็รีบฉวยโอกาสหนีออกนอกเมือง รีบเหาะขึ้นไปบนฟ้า

“ไม้ไม่ผุ?”

ในจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล เหมียวอี้ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะยาวพลันยืนขึ้น แล้วอุทานถามอย่างประหลาดใจ

หยางเจาชิงตอบว่า “ยังยืนยันไม่ได้ ถึงยังไงก็ไม่มีใครเคยเห็น เพียงแต่คล้ายกับที่ได้ยินมามากขอรับ”

เหมียวอี้ตาเป็นประกาย รีบถามว่า “บอกให้ทางตลาดสวรรค์จับคนไว้ก่อนแล้วค่อยยืนยัน ให้หวงลี่นำแม่ทัพใหญ่หนึ่งร้อยคนให้เลือกกำลังพลหนึ่งล้านไปรับเดี๋ยวนี้ บอกเสี้ยวฮ่าวเต๋อ ห้ามรายงานเรื่องนี้ขึ้นไปเบื้องบน รอให้พวกเรารู้แน่ชัดก่อนแล้วค่อยว่ากัน แล้วก็ห้ามให้เหวินเจ๋อรู้ด้วย”

มีของแบบนี้ปรากฏอยู่บนอาณาเขตตัวเอง มีหรือที่จะไม่สืบให้กระจ่าง ถ้าได้มาไว้ในมือก็จะดีที่สุด ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนี้อยู่ในสถานการณ์พิเศษ เขาก็คิดจะออกหน้าด้วยตัวเองแล้ว ของที่ทำให้อายุยืนเป็นอมตะ มีใครบ้างที่ไม่ต้องการ? ถ้าเขาไม่มีอำนาจก็ขี้คร้านจะไปแก่งแย่งเหมือนกัน แย่งมาไว้ในมือก็รักษาไว้ไม่ได้อยู่ดี แต่ประเด็นคือตอนนี้เขามีศักยภาพที่จะแย่งชิงแล้ว

“รับทราบ!” หยางเจาชิงปฏิบัติตามทันที

ดาวเฟยหัว ตลาดสวรรค์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการที่อยู่ตรงประตูเมืองยังคงสอบสวนที่มาที่ไปของคนกลุ่มนั้น จู่ๆ ตรงหน้าก็วุ่นวายอยู่พักหนึ่ง วุ่นวายจนไก่บินสุนัขกระโดดหนี

ผู้ช่วยผู้บัญชาการขมวดคิ้วมองไป แล้วก็พูดไม่ออกไปพักหนึ่ง เห็นเพียงกำลังพลหลายสายพุ่งเข้ามาที่นี่ แทบจะไม่ต่างอะไรกับเหาะเข้ามาเลย ถ้าไม่ใช่เพราะตลาดสวรรค์ห้ามเหาะ คาดว่าคนพวกนี้คงจะเหาะมาจากบนฟ้าโดยตรงแล้ว

ผู้ที่มาล้วนไม่ธรรมดา ล้วนเป็นผู้จัดการร้านของร้านค้าใหญ่ๆ ของตลาดสวรรค์ คนที่หนุนหลังล้วนเป็นพวกลูกพี่ใหญ่ระดับบนสุดของตำหนักสวรรค์

ทั้งยังพาพรรคพวกมาด้วย ท่าทางร้อนรนกระวนกระวายแบบนั้นทำให้คนที่เห็นรู้สึกตกใจ

“ขุนพลถาน เป็นอะไรไปแล้ว?” ผู้จัดการร้านคนหนึ่งเอ่ยถาม

ไม่สะดวกจะไม่ไว้หน้าคนพวกนี้ ผู้ช่วยผู้บัญชาการเล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ แล้วก็มีผู้จัดการร้านอีกคนเดินเข้ามาทันที ยัดกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งใส่มือผู้ช่วยผู้บัญชาการเสียเลย กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เข้าใจผิดแล้ว นี่คือคนงานในร้านของข้า จะกลายเป็นผู้ร้ายหลบหนีไปได้ยังไง ข้ารับประกันว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้ร้ายหลบหนี ถ้าเป็นก็มาเอาผิดที่ข้าได้เลย ขุนพลถานได้โปรดอำนวยความสะดวก”

“ขุนพลถาน นี่ก็เป็นคนงานในร้านค้าของข้าเหมือนกัน”

ชั่วพริบตานั้นมีผู้จัดการร้านเบียดเข้ามาพร้อมกันหลายคน หนึ่งในนั้นยัดกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งใส่มือผู้ช่วยผู้บัญชาการ

ผู้ช่วยผู้บัญชาการยังไม่ทันเข้าใจว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร ลูกน้องของกลุ่มผู้จัดการร้านก็ลงมือแล้ว ผลักเบียดทหารยามที่ล้อมคนกลุ่มนี้เอาไว้ออกไปแล้ว เหมือนจะชิงตัวคน กลุ่มคนที่ตามหญิงสามสามคนค่อนข้างงุนงง บางคนถึงขนาดโดนคนสี่ห้าคนลากไปทีเดียวพร้อมกัร

ระหว่างผู้จัดการร้านเริ่มจ้องมองกันอย่างดุร้าย เผยกลิ่นอายสังหาร ทำท่าเหมือนกำลังจะสู้กัน

ผู้จัดการร้านหนึ่งในนั้นถ่ายทอดเสียงบอกว่า “กำลังพลของตำหนักคุ้มเมืองกำลังจะมาถึงแล้ว ทุกคนเสียเวลาต่อไปก็ไม่มีใครได้อะไร แยกย้ายกันหาดีมั้ย?”

เป็นอย่างนี้จริงๆ ดังนั้นกลุ่มคนที่เพิ่งถูกล้อมจึงแยกย้ายกันไปตามผู้จัดการร้านของตัวเอง

ขณะเดียวกันก็มีคนขอให้ผู้ช่วยผู้บัญชาการให้ความสะดวก มีกลุ่มคนออกไปตามหาผู้หญิงสามคนนั้นแล้ว

กลุ่มคนที่ถูกจับแยกไปรู้สึกหวาดระแวงกลัว มีคนอยากจะดิ้นรนอธิบาย ผลปรากฏว่าโดนมีดสั้นจ่อที่เอวทันที ข้างหูมีเสียงเตือนอันเย็นเยียบดังมา “พวกเราคือคนของอ๋องสวรรค์ฮ่าว ถ้าไม่อยากตายก็ทำตัวดีๆ หน่อย!”

ก็เป็นอย่างนี้ คนกลุ่มหนึ่งมาอย่างไว แล้วก็ไปไวเช่นกัน ชั่วพริบตาเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว

ผู้ช่วยผู้บัญชาการคนนั้นกลุ้มใจ นี่มันเรื่องอะไรกัน? แต่เขาก็ไม่กลัวเช่นกัน ผู้จัดการร้านรับประกันให้คนกลุ่มนั้นต่อหน้าฝูงชนแล้ว ถ้าเป็นผู้ร้ายหลบหนีจริงๆ เขาก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากมาย

พอร่ายอิทธิฤทธิ์มองกำไลเก็บสมบัติที่อยู่บนมือ เขาก็ดีใจแทบแย่ อีกฝ่ายจ่ายหนักจริงๆ  เป็นทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก

ในขณะนี้เอง จู่ๆ ผู้ช่วยผู้บัญชาการก็หยิบระฆังดาราออกมา สีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจัง แล้วรีบกันตัวมาตะโกนว่า “ปิดประตูเมืองเดี๋ยวนี้!”

ประตูเมืองถูกปิดเสียงดังครืน ในที่สุดผู้ช่วยผู้บัญชาการคนนั้นก็เริ่มกังวลแล้ว ความเคลื่อนไหวแบบนี้ เมื่อครู่ตัวเองคงไม่ได้สร้างปัญหาอะไรหรอกใช่มั้ย?

ประตูเมืองทั้งสี่แทบจะถูกปิดพร้อมกัน ผู้บัญชาการใหญ่เสี้ยวฮ่าวเต๋อนำกำลังพลกลุ่มหนึ่งออกมาจากตำหนักคุ้มเมืองเร็วมาก

ขณะเดียวกันก็มีกำลังพลกลุ่มหนึ่งมาควบคุมภัตตาคารไว้อย่างรวดเร็ว ควบคุมทุกคนในภัตตาคารเอาไว้ แล้วสอบสวนอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะหน้าตาของผู้หญิงสามคนนั้น

ผู้จัดการภัตตาคารแอบร้องในใจ เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าบนศีรษะผู้หญิงคนนั้นใช่ไม้ไม่ผุหรือเปล่า แต่กลับรู้ว่าปัญหามาถึงตัวแล้ว ตัวเองไร้ความสามารถจะไปยื้อแย่ง แต่ที่สำคัญคือมีคนเห็นเยอะเกินไป ปิดบังไม่ไหว ถ้ารู้เรื่องแล้วไม่ยอมรายงานขึ้นไป เดี๋ยวจะต้องมีคนมาลงโทษเขาแน่นอน ดังนั้นเขาไม่เพียงรายงานไปที่ตำหนักคุ้มเมืองเท่านั้น ทั้งยังรายงานไปยังอำนาจฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย เพราะถ้าหากไม่รายงาน ไม่ว่าจะเป็นตระกูลไหนเขาก็มีเรื่องด้วยไม่ไหวทั้งนั้น

ใครจะไปคิดล่ะ ว่าภัตตาคารของเขาจะเป็นหนังหน้าไฟ

ปิดประตูเมืองกะทันหัน คนในเมืองฮือฮาอยู่พักหนึ่ง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

ในเมืองที่กำลังเดือดพล่านมีคนเข้ามาประสมโรงอีก จู่ๆ ในร้านค้าแต่ละแห่งก็มีคนสวมชุดคลุมดำขอบทองและหมวกดำปักลายเมฆทองสิบกว่าคนโผล่ออกมา เร่งตามไปยังนอกร้านที่ถูกปิดอย่างรวดเร็ว คนที่เป็นหัวหน้าเผยป้ายคำสั่งแผ่นหนึ่ง ตะคอกบอกทหารยามที่เข้ามาขวางว่า “หน่วยตรวจการขวาได้รับบัญชาจากฝ่าบาทให้มาสืบคดี ใครขัดขวาง ฆ่าไม่ละเว้น!”

ชวิ้ง! สมาชิกที่อยู่ข้างหลังชักดาบออกมาจ่อคอทหารยามตรงประตู บังคับให้คนแยกออกไป แล้วหัวหน้าของหน่วยตรวจการขวาก็นำคนพุ่งเข้าไปโดยตรง เมื่อเห็นผู้รับผิดชอบพื้นที่นี้ ก็เผยป้ายคำสั่งอีกครั้งทันที “รองผู้บัญชาการใหญ่ห่าว คนที่นี่ หน่วยตรวจการขวาจะรับช่วงต่อ!”

รองผู้บัญชาการใหญ่ห่าวสีหน้าหนักแน่น ไม่ได้พูดอะไร และไม่ได้ขัดขวางด้วย เพียงแต่เมื่อครู่นี้ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวด้านนอก จึงซ่อนตัวบริกรคนหนึ่งไว้ทันที

ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนละโมบอะไร เขาเองก็รู้ว่าของบางอย่างตัวเองกลืนไม่ไหว เพียงแต่ถ้าไม่ทำอะไรสักหน่อย เขาก็ไม่อาจรายงานผลการปฏิบัติงานต่อนายท่านผู้สำเร็จราชการได้ ในเวลานี้ทุกคนล้วนทำหน้าที่เพื่อเจ้านายตัวเอง เดิมทีเขาก็เป็นคนของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลอยู่แล้ว ฝ่าบาทอยู่ไกลจากเขาเกินไป ควรจะรับใช้ใครก็ไม่ต้องให้สอน

“ผู้บัญชาการใหญ่!”

ตรงประตูเมือง พอผู้ช่วยผู้บัญชาการที่เฝ้าเมืองเห็นผู้บัญชาการใหญ่เสี้ยวฮ่าวเต๋อนำคนออกมาด้วยตัวเองอย่างดุร้าย ในใจก็ร้องว่าแย่แล้ว คาดว่าคงเจอเรื่องใหญ่แล้วจริงๆ เขารีบไปทำความเคารพ

เสี้ยวฮ่าวเต๋อมองไปรอบๆ แล้วตะคอกถามว่า “คนล่ะ?”

ผู้ช่วยผู้บัญชาการที่เฝ้าเมืองเหงื่อแตกราวกับสายฝนทันที อึกอักไม่รู้จะตอบว่าอะไร

พลทหารคนหนึ่งทำสายตาลอกแล่ก แล้วก้าวออกมาเล่าสถานการณ์เมื่อครู่นี้ให้ฟังทันที

บนใบหน้าเสี้ยวฮ่าวเต๋อฉายแววสังหาร แล้วจู่ๆ ก็ชักกระบี่ออกมา แทงทะลุหัวใจผู้ช่วยผู้บัญชาการคนนั้น เลือดสดพุ่งออกจากแผ่นหลัง

“สมควรตาย!” เสี้ยวฮ่าวเต๋อตะคอกอย่างโมโห แล้วเตะร่างผู้ช่วยผู้บัญชาการที่หัวใจเป็นรูกระเด็นออกไปทันที จากนั้นชี้กระบี่ไปยังพลทหารที่เพิ่งรายงาน “ตั้งแต่นี้ไป เจ้ารับตำแหน่งต่อจากเขา”

“รับทราบ!” พลทหารคนนั้นรีบกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง

“ผู้หญิงสามคนนั้นไปที่ไหนแล้ว?” เสี้ยวฮ่าวเต๋อถามเสียงเข้ม

“ผู้บัญชาการใหญ่รอสักครู่” พลทหารคนนั้นรีบเหาะไปสืบจากทหารที่เฝ้าบนกำแพงเมือง

ในขณะนี้เอง มีคนสามคนเหาะลงมาจากฟ้า เป็นคนของหน่วยตรวจการขวา ผู้ที่นำหน้ามาเผยป้ายคำสั่งอีก “ผู้บัญชาการใหญ่เสี้ยว มีบัญชาการจากฝ่าบาท ตั้งแต่นี้ไป หน่วยตรวจการขวาจะรับหน้าที่เฝ้าป้องกันเมืองนี้ชั่วคราว ใครขัดคำสั่ง ประหาร!”

ตอนนี้ประมุขชิงไม่รู้เรื่องรู้ราวเลย หน่วยตรวจการขวากำลังถ่ายทอดคำสั่งเท็จทั้งนั้น แต่การออกคำสั่งเท็จก็ต้องรู้จักแยกแยะเวลาเหมือนกัน บางเรื่องประมุขชิงไม่เพียงแค่จะไม่คัดค้าน กลับจะอนุญาตด้วยซ้ำ

………………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+