พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1979 วิกฤติ

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1979 วิกฤติ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตามเวลาค้นหาที่นางคำนวณไว้ อีกไม่นานกองทัพองครักษ์ก็จะพบสถานที่ผนึกแล้ว

วิกฤติกำลังประชิดมาจ่อคิ้วแล้ว ลูกชายนางก็อยู่ทางนั้น จะให้นางไม่กระวนกระวายได้อย่างไร ช่วงนี้นางไปที่นั่นบ่อย จุดประสงค์ก็คือโน้มน้าวให้ไต้ซือศีลเจ็ดหนีออกไป ล้มเลิกกันเฝ้าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโป แต่โน้มน้าวไม่สำเร็จ ไต้ซือศีลเจ็ดไม่ยอมหนีไป กลัวว่าจะไม่มีใครคอยควบคุมไว้ พระปีศาจหนานโปก็จะทำให้ชาวบ้านลำบาก ในปีนั้นเขาเห็นฉากอันน่าเวทนาในหุบเขากับตาตัวเอง จะปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีกไม่ได้ ต่อให้ช่วยชีวิตคนได้สักคนก็ยังดี

เพียงแต่ไต้ซือศีลเจ็ดก็ไม่ได้คร่ำครึจนเหมือนคนตาย เขารับน้ำใจของอวี้หลัวช่าแล้ว ให้อวี้หลัวช่าพาลูกชายตัวเองกับปีศาจโลหิตออกไป ส่วนเขาก็จะอยู่เฝ้าที่นี่คนเดียว

อวี้หลัวช่าก็อยากจะทำอย่างนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้ลูกชายตัวเองตกอยู่ในอันตราย แต่ถ้าทำอย่างนี้จริงก็กังวลอีก เพราะนั่นคืออาจารย์ของศีลแปด และเป็นคนที่เหมียวอี้เคารพด้วย นางเองก็เคารพไต้ซือศีลเจ็ดเช่นกัน ถ้าทิ้งไต้ซือศีลเจ็ดเอาไว้เพื่อลูกชายตัวเองจริงๆ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับไต้ซือศีลเจ็ด นางเอกก็ไม่มีทางชี้แจงกับศีลแปดและเหมียวอี้ได้

ด้วยความที่บันดาลโทสะ นางถึงขั้นคิดจะจับตัวไต้ซือศีลเจ็ดไปเสียเลย แต่สุดท้ายก็ยังไม่กล้าทำเรื่องเสียมารยาทกับไต้ซือศีลเจ็ด ชีวิตนี้ราวกับความฝัน ได้พบคนที่ทำให้ตัวเองเคารพอย่างแท้จริง นางเต็มใจปฏิบัติด้วยความเคารพเลื่อมใส ที่ปกป้องก็คือหัวใจตัวเอง

มาที่นี่กี่รอบก็ไม่มีประโยชน์ ศีลแปดไม่ใช่คนที่จะจัดการงานสำคัญได้ นางเองก็ไม่สามารถตัดสินใจเรื่องนี้ได้ด้วยตัวคนเดียว สุดท้ายอวี้หลัวช่าก็ตัดสินใจปรึกษาเรื่องนี้กับเหมียวอี้ ศีลแปดคือน้องชายของเหมียวอี้ นางนับว่าเป็นน้องสะใภ้ของเหมียวอี้ พี่ชายคนโตเสมือนบิดา คิดไปคิดมาก็พบว่าเหมียวอี้ต่างหากที่เป็นคนที่เหมาะสมจะคิดเรื่องนี้ที่สุด คิดไปคิดมาก็โยนเรื่องนี้ไปให้เหมียวอี้ปวดหัวเอง ถ้าไม่ได้จริงๆ นางก็ทำได้เพียงพาลูกชายตัวเองไปก่อน…

ทุ่งน้ำแข็งโบราณ ลมหนาวเย็นยะเยือก หุบเขาแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยพลังจิตวิญญาณเข้มข้น ลมพัดไม่หายไปไหน

ในถ้ำน้ำแข็งกลางหุบเขา พลังจิตวิญญาณก็ยิ่งเข้มข้นจนเหมือนกับฝนตก มองสภาพในนี้ไม่ชัดเจนเลย

ตามที่พลังจิตวิญญาณในหุบเขานี้เริ่มหายไปอย่างช้าๆ ถ้ำน้ำแข็งก็เริ่มปรากฏหน้าตาให้เห็นชัดเจน พลังจิตวิญญาณในถ้ำน้ำแข็งหายไปอีกครั้ง ค่อยๆ เผยโฉมหน้าเหมียวอี้ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงน้ำแข็ง ตรงหว่างคิ้วมีตราอิทธิฤทธิ์รูปเปลวเพลิงสีทอง

รูปบงกชรุ้งในตอนแรกหลอมรวมกลายเป็นภาพเปลวเพลิงตามความรู้สึกของใจแล้ว เมื่อบรรลุถึงระดับนี้ คนนอกไม่มีทางตัดสินได้ถึงวรยุทธ์โดยละเอียด มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่รู้อยู่แก่ใจ

วรยุทธ์ของเขาในตอนนี้บรรลุถึงระดับบงกชกลายขั้นเก้า การฝึกตนสั้นๆ สามพันกว่าปี ความคืบหน้าในการฝึกตนน่ากลัวมาก บรรลุสิบกว่าขั้นต่อเนื่องกัน

สิ่งที่น่ากลัวเช่นเดียวกันก็คือจำนวนลูกแก้วพลังปรารถนาที่เขาใช้ไปในแต่ละวัน ถ้าแลกเป็นยาแก่นเซียน ก็เท่ากับว่าในแต่ละวันเขาใช้ไปหนึ่งร้อยล้านเม็ด หรือหมายความว่าในหนึ่งปีเขาจะต้องใช้ยาแก่นเซียนสามพันกว่าเม็ด ค่าใช้จ่ายมหาศาลในการฝึกตนนี้ ไม่ใช่สิ่งที่กำลังทรัพย์ของคนทั่วไปจะรับไหว ดังนั้นนักพรตส่วนใหญ่ในใต้หล้า ทั้งชีวิตนี้ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะบรรลุถึงระดับนี้

ที่โชคดีก็คือ วิชาอัคนีดาราใช้ประโยชน์จากผลดีอันน่าทึ่งของลูกแก้วพลังปรารถนา ให้ประหยัดทรัพยากรไปได้เยอะมาก

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่อาศัยความก้าวหน้าในปัจจุบันของเขา ถ้าคิดอยากจะบรรลุจากบงกชกลายขั้นเก้าไปเป็นระดับสำแดงฤทธิ์ ก็ต้องใช้เวลาอีกสามหมื่นกว่าปี เพียงแต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว นี่ไม่ใช่ปัญหาเลย ฝึกตนที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์หลายหมื่นปี หุบเขาฟ้าไม่ดับสูญกับทุ่งน้ำแข็งโบราณมีธาตุไฟหยางบริสุทธิ์กับธาตุไฟหยินบริสุทธิ์ให้เขาใช้ไม่รู้จบ ไม่ต้องกังวลปัญหาการใช้ธาตุไฟจนหมดเหมือนกับที่อื่น ความคืบหน้าในการฝึกตนก้าวกระโดดมาตลอด ทุกขณะทุกวันล้วนก้าวกระโดด

การเก็บตัวฝึกตนครั้งนี้นับว่าได้สัมผัสถึงความมหัศจรรย์ของวิชาอัคนีดาราอย่างเต็มที่ ถ้าฝึกตนที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ต่อไป เขากล้ารับประกันเลยว่าการบรรลุระดับสำแดงฤทธิ์จะต้องใช้เวลาไม่ถึงสามหมื่นปีแน่นอน บางทีไม่กี่พันปีก็เพียงพอแล้ว

เดิมทีเขาอยากจะบรรลุระดับสำแดงฤทธิ์ให้ได้ในอึดใจเดียว แต่สุดท้ายก็ถูกเรื่องทางโลกมารบกวนอย่างเลี่ยงไม่ได้ อวี้หลัวช่าส่งข่าวมาแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่สนใจ รู้ว่าอวี้หลัวช่าก็มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีของอวี้หลัวช่า ทำไมมีเรื่องอะไรก็จะไม่ติดต่อมาหาเขาง่ายๆ

หลังจากหยุดฝึกวิชาและหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อ เหมียวอี้ก็เริ่มมีสีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาฉายแววคุณคิด

รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปอาจจะกลายเป็นปัญหา ไม่อาจโชคดีผ่านไปได้ สุดท้ายก็ต้องมาถึงยังเลี้ยงไม่ได้

เขาเข้าใจความคร่ำครึหัวโบราณของไต้ซือศีลเจ็ด เขาเองก็อยากจะให้อวี้หลัวช่าจับตัวไต้ซือศีลเจ็ดไปเสียเลย

แต่คิดไปคิดมา เขาเองก็ไม่อยากเสียมารยาทกับไต้ซือศีลเจ็ด สำหรับพระสงฆ์ท่านนี้ เขาเคารพนับถือจริงๆ ตึกพระสงฆ์ที่ไม่มีจิตใจเห็นแก่ตัว เป็นพระสงฆ์ที่สละตัวเองเพื่อผู้อื่น ไม่มีความแค้นกับใคร เป็นพระที่ไม่เคยติดค้างใคร มีแต่คนอื่นที่ติดค้างเขา คนแบบนี้พบได้น้อยมากในใต้หล้า ทำให้คนไม่มีทางคิดจะปฏิบัติด้วยไม่ดี

ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นอาจารย์ของศีลแปด เขาเอาแต่สั่งให้ศีลแปดเคารพอาจารย์ ตัวเองไม่สะดวกจะทำตัวเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี มารยาทที่ควรรักษาไว้ก็ยังต้องรักษา ดังนั้นจึงตัดสินใจที่จะไปด้วยตัวเองสักรอบ ถ้าไม่ไหวจริงๆ  เดี๋ยวค่อยเจรจาด้วยเหตุผลอีกทีก็ยังไม่สาย

เมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เปลวเพลิงสีทองตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้ก็เลือนหายไป ออกจากถ้ำน้ำแข็ง ปล่อยตั๊กแตนทมิฬในหุบเขาตัวหนึ่ง ควบคุมให้มันบินไปที่รังหงส์ ออกจากที่นี่ก็ต้องบอกลาเจ้าบ้านหน่อย

หลังจากแขกกับเจ้าบ้านในตำหนักน้ำแข็งกล่าวอำลากัน เดิมทีเหมียวอี้จะออกไปทันที แต่จู่ๆก็นึกขึ้นได้ว่าสองคนตรงหน้าเคยสู้กับพระปีศาจหนานโป เขาครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเป็นฝ่ายบอกเหตุผลที่ตัวเองจากไปในครั้งนี้ “ไม่ปิดบังทั้งสอง ที่ข้าออกไปครั้งนี้เกี่ยวข้องกับพระปีศาจหนานโป”

“…” สองพี่น้องเฟิ่งหวงตกใจ แม้แต่เฟิ่งที่สีหน้าเย็นชามาตลอดก็ทำสีหน้าตกตะลึงเช่นกัน

พอดึงสติกลับมาได้ เฟิ่งก็ถามอย่างร้อนใจว่า “พระปีศาจหนานโปฟื้นคืนชีพแล้วหรือ?”

เหมียวอี้ส่ายหน้า “เรื่องบางเรื่องก็ร้ายแรงมาก ที่ตอนแรกข้าไม่บอกก็เพราะกังวลนิดหน่อย ที่จริงข้ารู้สถานที่ผนึกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปนานแล้ว ข้าให้คนเฝ้าไว้ตลอด ป้องกันไม่ให้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปหลุดออกไป”

สองพี่น้องเฟิ่งหวงมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เฟิ่งถามอีกว่า “พูดแบบนี้ อย่าบอกนะว่าคนที่เฝ้าอยู่ปล่อยข่าวอะไรแล้ว?”

เหมียวอี้ตอบว่า “ไม่ใช่ แต่ตำหนักสวรรค์กำลังจะหาสถานที่ผนึกเจอแล้ว เกรงว่าจะไม่ให้คนของข้าถอนกำลังออกมาก็คงไม่ได้ ทั้งสองเคยสู้กับเขา รู้ตื้นลึกหนาบางของเขาอยู่บ้าง ข้าเลยอยากขอคำชี้แนะจากทั้งสองท่าน มีวิธีการอะไรที่จะทำลายวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปให้สิ้นซากบ้างไหม?”

นี่ก็คือสาเหตุที่เขาเปิดเผยให้รู้ อวี้หลัวช่าพาลูกชายออกไปแล้วอาจจะไม่เป็นอะไร พระปีศาจหนานโปไม่รู้จักชื่ออวี้หลัวช่า แต่กลับรู้ชื่อของเขา ถ้าคุณของตำหนักสวรรค์หาพบ แล้วพระปีศาจหนานโปเปิดโปงให้ตำหนักสวรรค์รู้ เกรงว่าเขาจะเกิดปัญหา

มิหนำซ้ำ การเก็บวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปเอาไว้ก็คือภัยพิบัติอย่างหนึ่ง ถ้ามีโอกาสก็ไม่สู้กันจัดไปเลยในรวดเดียว กำจัดปัญหาที่จะตามมาในภายหลัง เขาถึงได้ขอคำชี้แนะจากทั้งสอง

เฟิ่งกลับกล่าวอย่างประหลาดใจ “ท่านพูดแบบนี้ ข้ากลับรู้สึกแปลกใจ พระปีศาจหนานโปเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์โดดเด่น  เป็นสิ่งอัปมงคลชั่วร้ายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในแดนฝึกตน สร้างเคล็ดวิชาพิเศษขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า ใต้หล้าไร้เทียมทาน พูดถึงการต่อสู้ ต่อให้พลังของท่านจะเหนือกว่าอาจารย์ของท่าน แต่ก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา แต่ถ้าพูดถึงการกำจัดวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาทิ้ง วิชาอัคนีดาราของท่านก็น่าจะเป็นสิ่งที่ข่มวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้สิ วิชาอัคนีดาราเผาไหม้หยินหยาง น่าจะเผาทำลายวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้ง่ายๆ ทำให้เขาเกิดใหม่ไม่ได้อีกตลอดกาล แต่ทำไมท่านควบคุมเขามานานขนาดนี้ แต่กลับไม่ลงมือทำลาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาล่ะ กลับมาถามพวกเราเสียอย่างนั้น?”

“…” เหมียวอี้อ้าปากค้างมองพวกนางสองคน ค่อนข้างพูดไม่ออก ที่แท้วุ่นวายอยู่ตั้งนาน แต่วิชาอัคนีดาราที่ตนฝึกก็คือดาวข่มวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ อดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อนพร้อมถามว่า “ไม่มีใครเอ่ยถึงสิ่งนี้มาก่อนเลย ข้าไม่รู้จริงๆ แต่ที่ยุ่งยากก็คือ เดิมทีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปถูกลูกศิษย์ทั้งหกของเขาวางค่ายกลใหญ่ขังเอาไว้ คนนอกยากที่จะเข้าไปได้ ต่อให้ข้าอยากจะกำจัดเขา แต่ก็ต้องทำลายค่ายกลนั่นก่อน แต่ถ้าทำลายค่ายกลแล้ว ไม่มีค่ายกลใหญ่คอยควบคุมแล้ว มนต์คร่าชีวิตของพระปีศาจก็น่ากลัวจริงๆ ข้ากังวลว่าจะไม่มีใครควบคุมเขาได้”

“มนต์คร่าชีวิต?” เฟิ่งที่พูดน้อยอุทานถาม เบิกตากว้างบอกว่า “เขาไม่มีกายหยาบแล้ว น่าจะสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์ไปแล้วสิ ยังสามารถใช้มนต์คร่าชีวิตได้อีกเหรอ?”

เหมียวอี้พยักหน้า “ไม่ผิดแน่ เรื่องนี้ข้ายืนยันได้ ข้าเกือบจะโดนเขาควบคุมแล้ว แม้แต่ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ก็ยากจะหลบเลี่นง พระปีศาจน่ากลัวจริงๆ” ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ที่เขาหมายถึงก็คืออวี้หลัวช่า

สองพี่น้องเฟิ่งหวงรู้สึกเสียวสันหลังวาบ รู้สึกขนหัวลุก ทำสีหน้าหวาดกลัว

“ถ้าให้พระปีศาจหลุดออกไปเมื่อไร ใต้หล้าจะต้องประสบหายนะแน่!” เฟิ่งกล่าวเสียงต่ำ

เฟิ่งส่ายหน้าอย่างทำใจเชื่อได้ยาก “ไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์แต่ยังใช้มนต์คร่าชีวิตได้ จะเป็นไปได้เหรอ?”

เหมียวอี้ถูกคำพูดของนางกระตุ้น ในหัวพลันเกิดแสงสว่าง นึกขึ้นได้ถึงเหตุการณ์ที่ศีลแปดไม่ได้ใช้พลังอิทธิฤทธิ์แต่สามารถใช้พุทธธรรมควบคุมปรากฏการณ์ธรรมชาติได้  จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างลังเล “ข้าเองก็รู้สึกว่าไม่น่าเป็นไปได้ แต่ข้าก็เห็นเองกับตา ความจริงพิสูจน์แล้วว่าเขามีพลังอภินิการนี้จริงๆ พระปีศาจเข้าใจความหมายอันลึกซึ้งของหกลัทธิอย่างปรุโปร่ง เคล็ดวิชาของมารปีศาจผีคนล้วนแตกฉาน ถึงขนาดควบคุมการเวียนว่ายตายเกิดได้ ข้าสงสัยว่าเขาไม่ได้ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ แต่ใช้พุทธธรรมควบคุม”

สองพี่น้องเงียบไป เหมือนกำลังคิดถึงความเป็นไปได้ของคำพูดเหมียวอี้ จู่ๆ เฟิ่งก็อุทาน “ไม่ถูกสิ วิชาอัคนีดาราที่ท่านฝึก ถ้าใช้ปกป้องร่างกายก็น่าจะกันมนต์คร่าชีวิตได้สิ ทำไมโดนมนต์คร่าชีวิตควบคุมได้?”

เหมียวอี้ตะลึงอีกครั้ง เหมือนจะมีเรื่องแบบนี้จริงๆ เขาเคยใช้วิชาอัคนีดารต้านการโจมตีจากคลื่นเสียงของสัตว์เทพ ครั้งก่อนเหมือนจะลืมนึกไปชั่วขณะ จึงไม่ทันได้ใช้มันป้องกันมนต์คร่าชีวิต เขายิ้มเจื่อนพลางตอบว่า “ไม่ทันได้เตรียมพร้อม”

สองพี่น้องสบตากันแวบหนึ่ง พบว่าเหมียวอี้เหมือนจะรู้เกี่ยวกับเคล็ดวิชาที่ตัวเองฝึกน้อยมาก ไม่ค่อยรู้ว่าเพราะอะไร

เฟิ่งอธิบายว่า “สรรพสิ่งในโลกหล้าล้วนแบกหยางอุ้มหยิน วิชาอัคนีดารากลับควบคุมได้ทั้งหยินหยาง เป็นเคล็ดวิชาที่อัศจรรย์ ดังนั้นท่านจะดูถูกเคล็ดวิชาฝึกตนของท่านไม่ได้เด็ดขาด ที่วิชาอัคนีดาราต้านทานมนต์คร่าชีวิตได้ ไม่ใช่เพราะกันคลื่นเสียงโจมตีได้ แต่มันกำลังกันหยินหยาง ตามหลักแล้วต่อให้ท่านต้านทานไม่ได้ แต่มนต์คร่าชีวิตก็ควบคุมท่านได้ยาก หยินหยางข่มกันโดยธรรมชาติ ถ้าหยินหยางเสียสมดุลเมื่อไร ก็คงจะกระตุ้นให้วิชาอัคนีดาราปรับสมดุลเองสิ คนที่ฝึกวิชาอัคนีดาราสามารถปัดเป่าสิ่งอัปมงคล ร้อยพิษไม่รุกล้ำ เพราะเวลาเวลาที่ท่านถูกเขาควบคุมสั้นไปหรือเปล่า ยังไม่ทันกระตุ้นปฏิกิริยาของวิชาอัคนีดารา?”

“เหมือนจะเป็นอย่างนี้” เหมียวอี้นึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขื่นขม “เมื่อก่อนตอนทั้งสองท่านสู้กับเขา รับมือกับมนต์คร่าชีวิตยังไง?”

“มนต์คร่าชีวิตไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ท่านคิด แค่ตัดขาดการได้ยินก็ไม่ถูกรบกวนแล้ว กลัวก็แต่จะถูกสถานการณ์ที่ไม่รู้จักทำให้สับสน” เฟิ่งตอบ

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ ถ้าเป็นแบบนี้ เขาก็มีวิธีกำจัดวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปแล้ว

เฟิ่งแปลกใจอีก “ตามหลักแล้วประมุขชิงกับประมุขพุทธะก็น่าจะรู้เหมือนกันว่าพระปีศาจหนานโปน่ากลัวขนาดไหน ให้คนของตำหนักสวรรค์หาเจอแล้วไม่ดีตรงไหน? ถ้าหาเจอเมื่อไร ประมุขชิงกับประมุขพุทธะคงจะกำจัดเขาโดยเร็วที่สุด ไม่กล้าปล่อยให้เวลานานจนเกิดอุปสรรคเยอะสิ”

…………………………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1979 วิกฤติ

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1979 วิกฤติ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตามเวลาค้นหาที่นางคำนวณไว้ อีกไม่นานกองทัพองครักษ์ก็จะพบสถานที่ผนึกแล้ว

วิกฤติกำลังประชิดมาจ่อคิ้วแล้ว ลูกชายนางก็อยู่ทางนั้น จะให้นางไม่กระวนกระวายได้อย่างไร ช่วงนี้นางไปที่นั่นบ่อย จุดประสงค์ก็คือโน้มน้าวให้ไต้ซือศีลเจ็ดหนีออกไป ล้มเลิกกันเฝ้าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโป แต่โน้มน้าวไม่สำเร็จ ไต้ซือศีลเจ็ดไม่ยอมหนีไป กลัวว่าจะไม่มีใครคอยควบคุมไว้ พระปีศาจหนานโปก็จะทำให้ชาวบ้านลำบาก ในปีนั้นเขาเห็นฉากอันน่าเวทนาในหุบเขากับตาตัวเอง จะปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีกไม่ได้ ต่อให้ช่วยชีวิตคนได้สักคนก็ยังดี

เพียงแต่ไต้ซือศีลเจ็ดก็ไม่ได้คร่ำครึจนเหมือนคนตาย เขารับน้ำใจของอวี้หลัวช่าแล้ว ให้อวี้หลัวช่าพาลูกชายตัวเองกับปีศาจโลหิตออกไป ส่วนเขาก็จะอยู่เฝ้าที่นี่คนเดียว

อวี้หลัวช่าก็อยากจะทำอย่างนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้ลูกชายตัวเองตกอยู่ในอันตราย แต่ถ้าทำอย่างนี้จริงก็กังวลอีก เพราะนั่นคืออาจารย์ของศีลแปด และเป็นคนที่เหมียวอี้เคารพด้วย นางเองก็เคารพไต้ซือศีลเจ็ดเช่นกัน ถ้าทิ้งไต้ซือศีลเจ็ดเอาไว้เพื่อลูกชายตัวเองจริงๆ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับไต้ซือศีลเจ็ด นางเอกก็ไม่มีทางชี้แจงกับศีลแปดและเหมียวอี้ได้

ด้วยความที่บันดาลโทสะ นางถึงขั้นคิดจะจับตัวไต้ซือศีลเจ็ดไปเสียเลย แต่สุดท้ายก็ยังไม่กล้าทำเรื่องเสียมารยาทกับไต้ซือศีลเจ็ด ชีวิตนี้ราวกับความฝัน ได้พบคนที่ทำให้ตัวเองเคารพอย่างแท้จริง นางเต็มใจปฏิบัติด้วยความเคารพเลื่อมใส ที่ปกป้องก็คือหัวใจตัวเอง

มาที่นี่กี่รอบก็ไม่มีประโยชน์ ศีลแปดไม่ใช่คนที่จะจัดการงานสำคัญได้ นางเองก็ไม่สามารถตัดสินใจเรื่องนี้ได้ด้วยตัวคนเดียว สุดท้ายอวี้หลัวช่าก็ตัดสินใจปรึกษาเรื่องนี้กับเหมียวอี้ ศีลแปดคือน้องชายของเหมียวอี้ นางนับว่าเป็นน้องสะใภ้ของเหมียวอี้ พี่ชายคนโตเสมือนบิดา คิดไปคิดมาก็พบว่าเหมียวอี้ต่างหากที่เป็นคนที่เหมาะสมจะคิดเรื่องนี้ที่สุด คิดไปคิดมาก็โยนเรื่องนี้ไปให้เหมียวอี้ปวดหัวเอง ถ้าไม่ได้จริงๆ นางก็ทำได้เพียงพาลูกชายตัวเองไปก่อน…

ทุ่งน้ำแข็งโบราณ ลมหนาวเย็นยะเยือก หุบเขาแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยพลังจิตวิญญาณเข้มข้น ลมพัดไม่หายไปไหน

ในถ้ำน้ำแข็งกลางหุบเขา พลังจิตวิญญาณก็ยิ่งเข้มข้นจนเหมือนกับฝนตก มองสภาพในนี้ไม่ชัดเจนเลย

ตามที่พลังจิตวิญญาณในหุบเขานี้เริ่มหายไปอย่างช้าๆ ถ้ำน้ำแข็งก็เริ่มปรากฏหน้าตาให้เห็นชัดเจน พลังจิตวิญญาณในถ้ำน้ำแข็งหายไปอีกครั้ง ค่อยๆ เผยโฉมหน้าเหมียวอี้ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงน้ำแข็ง ตรงหว่างคิ้วมีตราอิทธิฤทธิ์รูปเปลวเพลิงสีทอง

รูปบงกชรุ้งในตอนแรกหลอมรวมกลายเป็นภาพเปลวเพลิงตามความรู้สึกของใจแล้ว เมื่อบรรลุถึงระดับนี้ คนนอกไม่มีทางตัดสินได้ถึงวรยุทธ์โดยละเอียด มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่รู้อยู่แก่ใจ

วรยุทธ์ของเขาในตอนนี้บรรลุถึงระดับบงกชกลายขั้นเก้า การฝึกตนสั้นๆ สามพันกว่าปี ความคืบหน้าในการฝึกตนน่ากลัวมาก บรรลุสิบกว่าขั้นต่อเนื่องกัน

สิ่งที่น่ากลัวเช่นเดียวกันก็คือจำนวนลูกแก้วพลังปรารถนาที่เขาใช้ไปในแต่ละวัน ถ้าแลกเป็นยาแก่นเซียน ก็เท่ากับว่าในแต่ละวันเขาใช้ไปหนึ่งร้อยล้านเม็ด หรือหมายความว่าในหนึ่งปีเขาจะต้องใช้ยาแก่นเซียนสามพันกว่าเม็ด ค่าใช้จ่ายมหาศาลในการฝึกตนนี้ ไม่ใช่สิ่งที่กำลังทรัพย์ของคนทั่วไปจะรับไหว ดังนั้นนักพรตส่วนใหญ่ในใต้หล้า ทั้งชีวิตนี้ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะบรรลุถึงระดับนี้

ที่โชคดีก็คือ วิชาอัคนีดาราใช้ประโยชน์จากผลดีอันน่าทึ่งของลูกแก้วพลังปรารถนา ให้ประหยัดทรัพยากรไปได้เยอะมาก

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่อาศัยความก้าวหน้าในปัจจุบันของเขา ถ้าคิดอยากจะบรรลุจากบงกชกลายขั้นเก้าไปเป็นระดับสำแดงฤทธิ์ ก็ต้องใช้เวลาอีกสามหมื่นกว่าปี เพียงแต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว นี่ไม่ใช่ปัญหาเลย ฝึกตนที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์หลายหมื่นปี หุบเขาฟ้าไม่ดับสูญกับทุ่งน้ำแข็งโบราณมีธาตุไฟหยางบริสุทธิ์กับธาตุไฟหยินบริสุทธิ์ให้เขาใช้ไม่รู้จบ ไม่ต้องกังวลปัญหาการใช้ธาตุไฟจนหมดเหมือนกับที่อื่น ความคืบหน้าในการฝึกตนก้าวกระโดดมาตลอด ทุกขณะทุกวันล้วนก้าวกระโดด

การเก็บตัวฝึกตนครั้งนี้นับว่าได้สัมผัสถึงความมหัศจรรย์ของวิชาอัคนีดาราอย่างเต็มที่ ถ้าฝึกตนที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ต่อไป เขากล้ารับประกันเลยว่าการบรรลุระดับสำแดงฤทธิ์จะต้องใช้เวลาไม่ถึงสามหมื่นปีแน่นอน บางทีไม่กี่พันปีก็เพียงพอแล้ว

เดิมทีเขาอยากจะบรรลุระดับสำแดงฤทธิ์ให้ได้ในอึดใจเดียว แต่สุดท้ายก็ถูกเรื่องทางโลกมารบกวนอย่างเลี่ยงไม่ได้ อวี้หลัวช่าส่งข่าวมาแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่สนใจ รู้ว่าอวี้หลัวช่าก็มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีของอวี้หลัวช่า ทำไมมีเรื่องอะไรก็จะไม่ติดต่อมาหาเขาง่ายๆ

หลังจากหยุดฝึกวิชาและหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อ เหมียวอี้ก็เริ่มมีสีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาฉายแววคุณคิด

รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปอาจจะกลายเป็นปัญหา ไม่อาจโชคดีผ่านไปได้ สุดท้ายก็ต้องมาถึงยังเลี้ยงไม่ได้

เขาเข้าใจความคร่ำครึหัวโบราณของไต้ซือศีลเจ็ด เขาเองก็อยากจะให้อวี้หลัวช่าจับตัวไต้ซือศีลเจ็ดไปเสียเลย

แต่คิดไปคิดมา เขาเองก็ไม่อยากเสียมารยาทกับไต้ซือศีลเจ็ด สำหรับพระสงฆ์ท่านนี้ เขาเคารพนับถือจริงๆ ตึกพระสงฆ์ที่ไม่มีจิตใจเห็นแก่ตัว เป็นพระสงฆ์ที่สละตัวเองเพื่อผู้อื่น ไม่มีความแค้นกับใคร เป็นพระที่ไม่เคยติดค้างใคร มีแต่คนอื่นที่ติดค้างเขา คนแบบนี้พบได้น้อยมากในใต้หล้า ทำให้คนไม่มีทางคิดจะปฏิบัติด้วยไม่ดี

ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นอาจารย์ของศีลแปด เขาเอาแต่สั่งให้ศีลแปดเคารพอาจารย์ ตัวเองไม่สะดวกจะทำตัวเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี มารยาทที่ควรรักษาไว้ก็ยังต้องรักษา ดังนั้นจึงตัดสินใจที่จะไปด้วยตัวเองสักรอบ ถ้าไม่ไหวจริงๆ  เดี๋ยวค่อยเจรจาด้วยเหตุผลอีกทีก็ยังไม่สาย

เมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เปลวเพลิงสีทองตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้ก็เลือนหายไป ออกจากถ้ำน้ำแข็ง ปล่อยตั๊กแตนทมิฬในหุบเขาตัวหนึ่ง ควบคุมให้มันบินไปที่รังหงส์ ออกจากที่นี่ก็ต้องบอกลาเจ้าบ้านหน่อย

หลังจากแขกกับเจ้าบ้านในตำหนักน้ำแข็งกล่าวอำลากัน เดิมทีเหมียวอี้จะออกไปทันที แต่จู่ๆก็นึกขึ้นได้ว่าสองคนตรงหน้าเคยสู้กับพระปีศาจหนานโป เขาครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเป็นฝ่ายบอกเหตุผลที่ตัวเองจากไปในครั้งนี้ “ไม่ปิดบังทั้งสอง ที่ข้าออกไปครั้งนี้เกี่ยวข้องกับพระปีศาจหนานโป”

“…” สองพี่น้องเฟิ่งหวงตกใจ แม้แต่เฟิ่งที่สีหน้าเย็นชามาตลอดก็ทำสีหน้าตกตะลึงเช่นกัน

พอดึงสติกลับมาได้ เฟิ่งก็ถามอย่างร้อนใจว่า “พระปีศาจหนานโปฟื้นคืนชีพแล้วหรือ?”

เหมียวอี้ส่ายหน้า “เรื่องบางเรื่องก็ร้ายแรงมาก ที่ตอนแรกข้าไม่บอกก็เพราะกังวลนิดหน่อย ที่จริงข้ารู้สถานที่ผนึกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปนานแล้ว ข้าให้คนเฝ้าไว้ตลอด ป้องกันไม่ให้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปหลุดออกไป”

สองพี่น้องเฟิ่งหวงมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เฟิ่งถามอีกว่า “พูดแบบนี้ อย่าบอกนะว่าคนที่เฝ้าอยู่ปล่อยข่าวอะไรแล้ว?”

เหมียวอี้ตอบว่า “ไม่ใช่ แต่ตำหนักสวรรค์กำลังจะหาสถานที่ผนึกเจอแล้ว เกรงว่าจะไม่ให้คนของข้าถอนกำลังออกมาก็คงไม่ได้ ทั้งสองเคยสู้กับเขา รู้ตื้นลึกหนาบางของเขาอยู่บ้าง ข้าเลยอยากขอคำชี้แนะจากทั้งสองท่าน มีวิธีการอะไรที่จะทำลายวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปให้สิ้นซากบ้างไหม?”

นี่ก็คือสาเหตุที่เขาเปิดเผยให้รู้ อวี้หลัวช่าพาลูกชายออกไปแล้วอาจจะไม่เป็นอะไร พระปีศาจหนานโปไม่รู้จักชื่ออวี้หลัวช่า แต่กลับรู้ชื่อของเขา ถ้าคุณของตำหนักสวรรค์หาพบ แล้วพระปีศาจหนานโปเปิดโปงให้ตำหนักสวรรค์รู้ เกรงว่าเขาจะเกิดปัญหา

มิหนำซ้ำ การเก็บวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปเอาไว้ก็คือภัยพิบัติอย่างหนึ่ง ถ้ามีโอกาสก็ไม่สู้กันจัดไปเลยในรวดเดียว กำจัดปัญหาที่จะตามมาในภายหลัง เขาถึงได้ขอคำชี้แนะจากทั้งสอง

เฟิ่งกลับกล่าวอย่างประหลาดใจ “ท่านพูดแบบนี้ ข้ากลับรู้สึกแปลกใจ พระปีศาจหนานโปเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์โดดเด่น  เป็นสิ่งอัปมงคลชั่วร้ายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในแดนฝึกตน สร้างเคล็ดวิชาพิเศษขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า ใต้หล้าไร้เทียมทาน พูดถึงการต่อสู้ ต่อให้พลังของท่านจะเหนือกว่าอาจารย์ของท่าน แต่ก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา แต่ถ้าพูดถึงการกำจัดวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาทิ้ง วิชาอัคนีดาราของท่านก็น่าจะเป็นสิ่งที่ข่มวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้สิ วิชาอัคนีดาราเผาไหม้หยินหยาง น่าจะเผาทำลายวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้ง่ายๆ ทำให้เขาเกิดใหม่ไม่ได้อีกตลอดกาล แต่ทำไมท่านควบคุมเขามานานขนาดนี้ แต่กลับไม่ลงมือทำลาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาล่ะ กลับมาถามพวกเราเสียอย่างนั้น?”

“…” เหมียวอี้อ้าปากค้างมองพวกนางสองคน ค่อนข้างพูดไม่ออก ที่แท้วุ่นวายอยู่ตั้งนาน แต่วิชาอัคนีดาราที่ตนฝึกก็คือดาวข่มวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ อดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อนพร้อมถามว่า “ไม่มีใครเอ่ยถึงสิ่งนี้มาก่อนเลย ข้าไม่รู้จริงๆ แต่ที่ยุ่งยากก็คือ เดิมทีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปถูกลูกศิษย์ทั้งหกของเขาวางค่ายกลใหญ่ขังเอาไว้ คนนอกยากที่จะเข้าไปได้ ต่อให้ข้าอยากจะกำจัดเขา แต่ก็ต้องทำลายค่ายกลนั่นก่อน แต่ถ้าทำลายค่ายกลแล้ว ไม่มีค่ายกลใหญ่คอยควบคุมแล้ว มนต์คร่าชีวิตของพระปีศาจก็น่ากลัวจริงๆ ข้ากังวลว่าจะไม่มีใครควบคุมเขาได้”

“มนต์คร่าชีวิต?” เฟิ่งที่พูดน้อยอุทานถาม เบิกตากว้างบอกว่า “เขาไม่มีกายหยาบแล้ว น่าจะสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์ไปแล้วสิ ยังสามารถใช้มนต์คร่าชีวิตได้อีกเหรอ?”

เหมียวอี้พยักหน้า “ไม่ผิดแน่ เรื่องนี้ข้ายืนยันได้ ข้าเกือบจะโดนเขาควบคุมแล้ว แม้แต่ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ก็ยากจะหลบเลี่นง พระปีศาจน่ากลัวจริงๆ” ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ที่เขาหมายถึงก็คืออวี้หลัวช่า

สองพี่น้องเฟิ่งหวงรู้สึกเสียวสันหลังวาบ รู้สึกขนหัวลุก ทำสีหน้าหวาดกลัว

“ถ้าให้พระปีศาจหลุดออกไปเมื่อไร ใต้หล้าจะต้องประสบหายนะแน่!” เฟิ่งกล่าวเสียงต่ำ

เฟิ่งส่ายหน้าอย่างทำใจเชื่อได้ยาก “ไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์แต่ยังใช้มนต์คร่าชีวิตได้ จะเป็นไปได้เหรอ?”

เหมียวอี้ถูกคำพูดของนางกระตุ้น ในหัวพลันเกิดแสงสว่าง นึกขึ้นได้ถึงเหตุการณ์ที่ศีลแปดไม่ได้ใช้พลังอิทธิฤทธิ์แต่สามารถใช้พุทธธรรมควบคุมปรากฏการณ์ธรรมชาติได้  จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างลังเล “ข้าเองก็รู้สึกว่าไม่น่าเป็นไปได้ แต่ข้าก็เห็นเองกับตา ความจริงพิสูจน์แล้วว่าเขามีพลังอภินิการนี้จริงๆ พระปีศาจเข้าใจความหมายอันลึกซึ้งของหกลัทธิอย่างปรุโปร่ง เคล็ดวิชาของมารปีศาจผีคนล้วนแตกฉาน ถึงขนาดควบคุมการเวียนว่ายตายเกิดได้ ข้าสงสัยว่าเขาไม่ได้ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ แต่ใช้พุทธธรรมควบคุม”

สองพี่น้องเงียบไป เหมือนกำลังคิดถึงความเป็นไปได้ของคำพูดเหมียวอี้ จู่ๆ เฟิ่งก็อุทาน “ไม่ถูกสิ วิชาอัคนีดาราที่ท่านฝึก ถ้าใช้ปกป้องร่างกายก็น่าจะกันมนต์คร่าชีวิตได้สิ ทำไมโดนมนต์คร่าชีวิตควบคุมได้?”

เหมียวอี้ตะลึงอีกครั้ง เหมือนจะมีเรื่องแบบนี้จริงๆ เขาเคยใช้วิชาอัคนีดารต้านการโจมตีจากคลื่นเสียงของสัตว์เทพ ครั้งก่อนเหมือนจะลืมนึกไปชั่วขณะ จึงไม่ทันได้ใช้มันป้องกันมนต์คร่าชีวิต เขายิ้มเจื่อนพลางตอบว่า “ไม่ทันได้เตรียมพร้อม”

สองพี่น้องสบตากันแวบหนึ่ง พบว่าเหมียวอี้เหมือนจะรู้เกี่ยวกับเคล็ดวิชาที่ตัวเองฝึกน้อยมาก ไม่ค่อยรู้ว่าเพราะอะไร

เฟิ่งอธิบายว่า “สรรพสิ่งในโลกหล้าล้วนแบกหยางอุ้มหยิน วิชาอัคนีดารากลับควบคุมได้ทั้งหยินหยาง เป็นเคล็ดวิชาที่อัศจรรย์ ดังนั้นท่านจะดูถูกเคล็ดวิชาฝึกตนของท่านไม่ได้เด็ดขาด ที่วิชาอัคนีดาราต้านทานมนต์คร่าชีวิตได้ ไม่ใช่เพราะกันคลื่นเสียงโจมตีได้ แต่มันกำลังกันหยินหยาง ตามหลักแล้วต่อให้ท่านต้านทานไม่ได้ แต่มนต์คร่าชีวิตก็ควบคุมท่านได้ยาก หยินหยางข่มกันโดยธรรมชาติ ถ้าหยินหยางเสียสมดุลเมื่อไร ก็คงจะกระตุ้นให้วิชาอัคนีดาราปรับสมดุลเองสิ คนที่ฝึกวิชาอัคนีดาราสามารถปัดเป่าสิ่งอัปมงคล ร้อยพิษไม่รุกล้ำ เพราะเวลาเวลาที่ท่านถูกเขาควบคุมสั้นไปหรือเปล่า ยังไม่ทันกระตุ้นปฏิกิริยาของวิชาอัคนีดารา?”

“เหมือนจะเป็นอย่างนี้” เหมียวอี้นึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขื่นขม “เมื่อก่อนตอนทั้งสองท่านสู้กับเขา รับมือกับมนต์คร่าชีวิตยังไง?”

“มนต์คร่าชีวิตไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ท่านคิด แค่ตัดขาดการได้ยินก็ไม่ถูกรบกวนแล้ว กลัวก็แต่จะถูกสถานการณ์ที่ไม่รู้จักทำให้สับสน” เฟิ่งตอบ

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ ถ้าเป็นแบบนี้ เขาก็มีวิธีกำจัดวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปแล้ว

เฟิ่งแปลกใจอีก “ตามหลักแล้วประมุขชิงกับประมุขพุทธะก็น่าจะรู้เหมือนกันว่าพระปีศาจหนานโปน่ากลัวขนาดไหน ให้คนของตำหนักสวรรค์หาเจอแล้วไม่ดีตรงไหน? ถ้าหาเจอเมื่อไร ประมุขชิงกับประมุขพุทธะคงจะกำจัดเขาโดยเร็วที่สุด ไม่กล้าปล่อยให้เวลานานจนเกิดอุปสรรคเยอะสิ”

…………………………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+