พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 905

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 905 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่

“น้อมรับคำสั่ง!” เหมียวจวินอี๋เอ่ยรับตามฟู่หยวนคัง แล้วออกไปรวบรวมกำลังพลด้วยกัน

ทิ้งโม่หมิงให้ยืนตัวสั่นงันงกอยู่คนเดียว จากนั้นเฟิงเป่ยเฉินที่สีหน้ามืดครึ้มเดาอารมณ์ยากก็โบกมือ บอกให้เขาออกไปได้แล้ว

เฟิงเป่ยเฉินแดนเดินหน้าเครียดกลับไปที่ตำหนักหลัก ปรากฏว่าเห็นฉินซีเดินออกมาจากห้อง ยืนนิ่งๆ อยู่ในโถง

“เหมือนท่านจะไม่พอใจมาก เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือคะ?” ฉินซีถาม

เฟิงเป่ยเฉินไม่พอใจมากจริงๆ เมื่อเห็นฉินซีในยามนี้ก็ยิ่งไม่พอใจ เพราะใบหน้าเย็นชาเรียบเฉยของนาง เป็นใบหน้าที่ไม่เคยยิ้มให้เขามาหลายปีแล้ว

ไฟโกรธเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เฟิงเป่ยเฉินไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรทั้งนั้น จู่ๆ ก็ดึงมือนางเดินเข้าไปในห้อง ฉีกเสื้อผ้าบนร่างกายนางออก ร่างเปลือยอ้อนแอ้นที่ขาวหมดจดเปิดเผยอยู่กลางอากาศ ทำให้คนเลือดลมสูบฉีด

ฉินซียังคงไม่สะทกสะท้าน มองดูการกระทำของเฟิงเป่ยเฉินด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นก็โดนโถมทับ ปล่อยให้เฟิงเป่ยเฉินระบายอารมณ์…

ที่สำนักงามวิจิตร ตอนที่คนกลุ่มหนึ่งเหาะผ่านฟ้ามาอย่างรวดเร็ว เรือนพักรับแขกของแดนปีศาจก็มีคนกลุ่มหนึ่งเหาะออกมาเช่นกัน

ฟู่หยวนคังหันกลับไปมอง จากนั้นก็ยกมือเล็กน้อย เจอกับจีเต๋อไห่ที่นำคนกลุ่มหนึ่งเหาะมา ตอนนี้จีเต๋อไห่สีหน้าแย่มากเช่นกัน

“ศิษย์น้องข้าหายไปแล้ว” ฟู่หยวนคังกล่าว

“น้องสาวข้าก็หายไปแล้วเหมือนกัน!” จีเต๋อไห่กัดฟัน

ทั้งสองเข้าในใจทันที ทั้งสองฝ่ายประสบเหตุการณ์เดียวกัน จึงรีบนำคนเหาะออกไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

ที่เรือนพักรับแขกของนภาจอมมาร อวิ๋นเป้านำคนกลุ่มหนึ่งมองดูคนอีกสองกลุ่มเหาะผ่านไปอย่างรวดเร็ว แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “น่าสนุก!”

“คุณชายแปด เกิดอะไรขึ้น?” ซ่งหยวนฟานเอ่ยถาม เขารู้ว่าเหมียวอี้อยู่ที่นี่ แต่ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

“ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับพวกเรา” อวิ๋นเป้าหนตัวมามองทุกคน แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “คืนนี้อาจจะได้ดูอะไรสนุกๆ พวกเราสนใจแค่เป้าหมายที่ตัวเองมาที่นี่ก็พอ แต่ถ้ามีโอกาสได้ชุบมือเปิบก็ลงมือได้เลย”

ที่เรือนพักรับรองแขกของทะเลดาวนักษัตร ประมุขถิ่นสี่ทิศมองตามคนสองกลุ่มนั้นเช่นกัน บนใบหน้าเจือด้วยความฉงนสนเท่ห์

“คงไม่เกี่ยวกับเจ้าห้าหรอกใช่มั้ย?” สงเวยหันซ้ายหันขวาเอ่ยถาม พี่น้องที่เหลือส่ายหน้า แสดงออกว่าไม่รู้เหมือนกัน

ที่เรือนพักรับแขกของแดนพุทธะ ฝาไห่ที่แววตาเย็นชา สีหน้าไร้อารมณ์ รูปร่างผอมสูงและสวมจีวรสีม่วงทั้งตัวยืนประนมมืออยู่ข้างหน้า ข้างหลังเป็นพระสงฆ์กลุ่มหนึ่ง พวกเขาถูกการเคลื่อนไหวใหญ่ของคนสองกลุ่มทำให้ตกใจเช่นกัน มองไปทางที่คนสองกลุ่มนั้นหายไปด้วยกัน

“ใครก็ได้ ตามข้าไปดูหน่อยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น!” ฝาไห่เอ่ยเรียก แล้วนำกำลังพลเหาะขึ้นฟ้าตามไปอย่างรวดเร็ว

ที่เรือนพักของแดนผี อวี้หนูเจียวที่สวมชุดกระโปรงสีดำทั้งตัวนำคนกลุ่มหนึ่งไล่ตามไป

ที่เรือนพักรับแขกของแดนเซียน หลังจากคนกลุ่มหนึ่งเห็นเงาคนหายไปในม่านราตรี ก็หันไปมองอันหรูอวี้ที่ยืนอยู่ใต้ชายคาพร้อมกัน

ปรากฏว่าอันหรูอวี้ไม่พูดอะไรทั้งนั้น หันตัวเดินกลับเข้าไปในห้อง โอวหยางกวงโผล่หน้าออกมา แล้วเดินตามหลังเข้าไปในห้องเช่นกัน

หลังจากหลบสายตาฝูงชนแล้ว ทั้งสองก็ถ่ายทอดเสียงคุยกันอย่างระวังตัว โอวหยางกวงถามว่า “ฮูหยิน ทิศทางที่พวกเขาไป… พวกเราไปดูกันสักหน่อยมั้ย?”

อันหรูอวี้ถามว่า “จะไปดูอะไร? กลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้เหรอว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพวกเรา? แดนมารกับทะเลดาวนักษัตรยังไม่เคลื่อนไหวอะไร คนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเหมียวอี้ก็ไม่เคลื่อนไหว พวกเราจะไปทำอะไรล่ะ?”

โอวหยางกวงถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้ากังวลว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นรึเปล่า? จะว่าไปแล้วเจ้าเด็กนั่นก็ผ่านอุปสรรคอันตรายมาไม่น้อย ข้ารู้สึกว่าเจ้าเด็กนั่นมันไม่ได้ตายง่ายๆ ขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นคงไม่รอดชีวิตมาจนถึงวันนี้หรอก”

อันหรูอวี้แสยะยิ้ม “ถ้าคนสองกลุ่มร่วมมือกันแล้วยังฆ่าไอ้ฆ่าไอ้จัญไรนั่นไม่ได้ ก็แปลว่าคนสองกลุ่มนั้นไม่ได้เรื่อง ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดแล้วอย่างไรล่ะ ขอแค่เจ้าชักใยอยู่เบื้องหลังอย่างระมัดระวัง ไม่ทิ้งจุดอ่อนอะไรเอาไว้ก็พอแล้ว”

“เฮ้อ! ในเวลาและสถานที่แบบนี้ ข้าว่าที่พวกเราทำเรื่องแบบนี้เหมือนจะไม่ค่อยเหมาะนะ” โอวหยางกวงกล่าวอย่างจนใจ

“ความคิดอ่านพื้นๆ เหมือนสตรี!” ในฐานะที่เป็นภรรยา คำพูดนี้ของอันหรูทำให้เขาค่อนข้างพูดไม่ออก “ถ้าไม่ฉวยโอกาสทำตอนนี้ ด้วยฐานะตำแหน่งปัจจุบันของเขา ถ้ากลับไปแล้วเจ้ายังจะทำอะไรเขาได้อีกเหรอ? ถ้าท่านปราชญ์ไม่อนุญาต ที่แดนเซียนก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องเขาเลย!”

ตรงสถานที่เก่าของสำนักงามวิจิตร คนสองกลุ่มเหาะตามกันลงมา ไม่นานก็พบร่องรอยการต่อสู้ รอยเลือดบนพื้นได้บ่งบอกปัญหาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

ตอนนี้ไม่ได้กังวลกับเรื่องนี้ คนที่ตายไปแล้วก็คือตายไปแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือการยืนยันว่าชุยหย่งเจินกับจีเหม่ยเหมยยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

คนที่ฟู่หยวนคังกับจีเต๋อไห่พามาต่างก็แยกย้ายกันออกไป ตามหาเบาะแสไปทั่วทุกที่

ฝาไห่กับอวี้หนูเจียวเจอกัน ทั้งสองสบตาอย่างรู้ความคิดของกันและกัน  ย่อมมองออกว่าตรงนี้เคยเกิดการต่อสู้มาก่อน ทั้งคู่ไปหาฟู่หยวนคังกับจีเต๋อไห่ที่กำลังเหลียวซ้ายแลขวา อวี้หนูเจียวถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

ทั้งสองย่อมไม่บอกอยู่แล้วว่าตัวเองวางกับดักสู้กับเหมียวอี้แต่กลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบเสียเอง ปล่อยให้ฝาไห่กับอวี้หนูเจียวถามไป ทั้งสองฝ่ายก็แค่ปิดปากเงียบไม่ตอบอะไร

คนที่แยกย้ายกันไปตามหา หลังจากค้นหาจนทั่วเป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วยาม ก็กลับมารายงานอย่างไม่มีผลงานอะไรเลย

ฟู่หยวนคังกับจีเต๋อไห่เหลือกำลังคนเอาไว้ที่นี่เพื่อค้นหาต่อ แล้วทั้งสองก็รีบกลับไปที่สำนักงามวิจิตร

ที่เขตหวงห้ามของสำนักงามวิจิตร เมื่อได้รับรายงานจากลูกศิษย์ที่กลับมา เฟิงเป่ยเฉินก็ลุกออกจากกายเนื้ออันขาวหมดจดของฉินซี เขาลุกนั่งอยู่บนเตียง แล้วลูบไล้บนเรือนร่างของฉินซีอย่างถนอมรักพักหนึ่ง ทำสีหน้าเหมือนยังติดใจในรสชาติ

หลังจากแต่งตัวเสร็จ เฟิงเป่ยเฉินที่ได้ระบายอารมณ์ก็ใจเย็นลงแล้ว เขาหันกลับมามองฉินซีที่โดนเขารังแกจนนอนเปลือยแน่นิ่งอยู่บนเตียงแวบหนึ่ง พอโบกแขนเสื้อ ผ้าห่มก็ม้วนขึ้นมาห่มร่างกายนาง จากนั้นก็หันตัวเดินจากไป

ออกมาเจอฟู่หยวนคังกับจีเต๋อไห่ หลังจากถามสถานการณ์ชัดเจนแล้ว สีหน้าของเฟิงเป่ยเฉินก็บูดบึ้งลง ถามจีเต๋อไห่ว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าฝ่ายทะเลดาวนักษัตรไม่ได้เข้าไปช่วย?”

“เปล่าเลย! ข้าเฝ้าอยู่ที่นั่นตลอด ” จีเต๋อไห่ตอบ

“ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครไปช่วย ด้วยความสามารถของไอ้เด็กจัญไรนั่น คงรับมือกับนักพรตบงกชทองมากมายขนาดนั้นไม่ไหว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะฆ่าหมดจนไม่เหลือกลับมาสักคน!” เฟิงเป่ยเฉินแสยะยิ้ม “พวกเราคงตกหลุมพรางแล้ว หรือไม่ก็มีคนแอบช่วยเหลือ แต่ต่อให้มีคนแอบช่วยเหลือ เรื่องราวเกิดขึ้นปุบปับแต่ยังเตรียมสถานที่ได้แม่นยำ แปลว่ามีคนปล่อยข่าวเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว สงสัยพวกเราจะโดนวางกับดัก!”

“หมายถึงฝ่ายแดนเซียนเหรอ?” จีเต๋อไห่ลังเล จากนั้นก็ส่ายหน้าทันที “ข้าว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ จะไม่เป็นการย้ายหินทุ่มใส่เท้าตัวเองเหรอ ตัวพวกเขาก็ยังอยู่ที่นี่ ไม่กลัวพวกเราจะล้างแค้นเชียวหรือ?”

“เจ้ามีหลักฐานอะไรมายืนยันว่าฝ่ายแดนเซียนเข้าร่วมเรื่องนี้ด้วย?” เฟิงเป่ยเฉินถาม

จีเต๋อไห่ไม่ตอบอะไร เพราะไม่มีหลักฐานจริงๆ มีแค่คนแอบมาติดต่อกับฝ่ายเขา บอกว่าจะหาทางล่อเหมียวอี้ออกไปให้ จะสร้างโอกาสให้พวกเขาลงมือ

“ไม่ว่าพวกเขาจะยอมรับหรือไม่ เจ้าก็ต้องไปขอคำอธิบาย ถ้าไม่ได้คำอธิบาย ก็เอาชีวิตแลกชีวิต หาตัวคนที่อยู่เบื้องหลังมาให้ได้!” เฟิงเป่ยเฉินสั่งฟู่หยวนคัง

เขาไม่เชื่อว่าเหมียวอี้จะสามารถรับมือกับคนมากมายขนาดนั้นได้ ต่อให้พวกอันหรูอวี้จะมาช่วย แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าหมดจนไม่เหลือรอดกลับมาสักคน เขาสงสัยว่ายังมีคนซ่อนอยู่เบื้องหลัง

“ขอรับ!” ฟู่หยวนคังกุมหมัดน้อมรับคำสั่ง แล้วหันตัวไปมองจีเต๋อไห่ “เจ้าล่ะ?”

จีเต๋อไห่ลังเลนิดหน่อย จากนั้นก็พยักหน้า “ข้าไปด้วย!”

จากนั้นทั้งสองก็ออกไปด้วยกัน ผ่านไปครู่เดียว ทั้งสองฝ่ายก็เลือกยอดฝีมือของตัวเอง แล้วรีบไปล้อมภูเขาซึ่งเป็นที่พักของแดนเซียนเอาไว้ ท่าทางเหมือนเสือที่พร้อมตะครุบ

การเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ ทำให้พวกฝาไห่กับอวี้หนูเจียวที่กำลังกลับที่พักรู้สึกเหลือเชื่อมาก ย่อมต้องมามุงดูเอาสนุกสักหน่อย

บรรดาสำนักหลอมของวิเศษที่ได้รับเชิญมาดูการประลองของวิเศษก็ประหลาดใจไม่หยุดเช่นกัน ต่างก็หันมามองทางด้านนี้

“ยะฮู้! ความบันเทิงเริ่มขึ้นแล้ว ไปเถอะ ไปดูกันสักหน่อย!” อวิ๋นเป้าเรียกกำลังพลเหาะออกไป ขณะเดียวกันก็เหลือคนส่วนหนึ่งให้เฝ้าไว้ ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็ยังซ่อนตัวอยู่ที่นี่

เมื่อเผชิญกับสถานการณ์แบบนี้ เป็นไปไม่ได้ที่ฝ่ายแดนเซียนจะไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบเลย กำลังพลมารวมกันตรงนี้แล้ว เฝ้าระวังกำลังผลที่ล้อมอยู่บนฟ้า อันหรูอวี้ก็ยิ่งชี้นิ้วขึ้นไปบนฟ้าพลางตวาดว่า “ฟู่หยวนคัง จีเต๋อไห่ พวกเจ้าทำแบบนี้หมายความว่ายังไง?”

“หมายความว่ายังไงเหรอ?” ฟู่หยวนคังแสยะยิ้ม นำแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งออกมาสะบัด ทำให้ศพหลายศพร่วงกระแทกลงพื้น

จีเต๋อไห่ก็ทำแบบนี้เช่นกัน ศพหลายศพที่กลับร่างเดิมและโดนควักยาปีศาจออกไปแล้ว ในตอนนี้ถูกโยนลงในลานบ้านด้านล่างเช่นกัน

ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นศพท่านทูตของแดนอู๋เลี่ยงและแดนปีศาจตั้งแปดศพ ฝาไห่กับอวี้หนูเจียวตกใจมาก คนอื่นๆ ก็ตกตะลึงเช่นกัน นี่มันเรื่องอะไรกัน?

อวิ๋นเป้าเอามือลูบคางพูดกลั้วหัวเราะ “เด็กๆ เอ๋ย ตอนกลางวันยังเห็นแปดคนนี้ตัวเป็นๆ อยู่เลย ทำไมชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นเนื้อที่พร้อมกินซะแล้วล่ะ? ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยสักนิด ใครมันฆ่าคนได้เก่งกาจขนาดนี้!”

ชัดเจนว่าเจ้าเวรนี่กำลังมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น กำลังพลของเขาก็หัวเราะร่าเช่นกัน โดยเฉพาะคนที่เข้าร่วมอยู่ในนั้น

แน่นอน ฝาไห่กับอวี้หนูเจียวก็มีความสุขอยู่บนความทุกข์ของคนอื่นเช่นกัน

คนของฝ่ายแดนเซียนค่อนข้างตกใจ ส่วนใหญ่หาคำตอบกับเรื่องนี้ไม่ได้ อันหรูอวี้กับโอวหยางกวงสีหน้าเปลี่ยนทันที พอจะเดาอะไรได้รางๆ แล้ว ทั้งสองรู้ดีอยู่แก่ใจ เป็นไปได้สูงว่าจะทำพลาด ไม่อย่างนั้นสองคนนี้คงไม่จำเป็นต้องฆ่าท่านทูตพวกนี้เพื่อแสดงละครตบตาหรอก เพราะผลที่ตามมาใหญ่หลวงเกินไป

โอวหยางกวงชำเลืองอันหรูอวี้ฮูหยินของตัวเองแวบหนึ่ง โน้มน้าวอย่างไรก็ไม่ได้ผล ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ!

อันหรูอวี้ถลันตัวเหาะขึ้นไปบนหลังคาบ้าน แล้วถามอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ฟู่หยวนคัง แดนอู๋เลี่ยงของพวกเจ้ามีวิธีรับแขกอย่างนี้เหรอ?”

“อย่ามาแกล้งโง่หน่อยเลย! เจ้าติดต่อกับพวกเราสองแดนให้วางกับดักลอบสังหารไอ้เหมียวจัญไร ผลก็คือคนของพวกเราตายแล้ว! อันหรูอวี้ ถ้าวันนี้เจ้าไม่ให้คำอธิบาย ก็อย่าคิดว่าจะรอดชีวิตออกจากที่นี่ไปได้!” ฟู่หยวนคังตะคอก

เยว่เทียนโปที่เตรียมพร้อมอยู่ในลานบ้านหันขวับไปมองอันหรูอวี้ ดวงตาฉายแววระแวงสงสัย

“มันเรื่องอะไรกัน?” อวิ๋นเป้าพลันตะคอกถาม “สังหารเขยของนภาจอมมารเหรอ? เหมียวอี้ล่ะ? เหมียวอี้อยู่ที่ไหน?” พูดเหมือนกลัวว่าในใต้หล้าจะไม่เกิดเรื่องวุ่นวาย

กลุ่มปีศาจเฒ่าของทะเลดาวนักษัตรที่ดูเหตุการณ์อยู่ไกลๆ พอได้ยินแล้วก็เหาะพรวดเข้ามา มาเรียงแถวหน้ากระดานออยู่บนฟ้า แล้วมองลงมาข้างล่างด้วยแววตาเย็นเยียบ

ทั้งสี่แอบประหลาดใจอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้ได้รับข่าวจากราชาปีศาจกระดูกขาว ว่าเหมียวอี้แอบลักลอบเข้ามา เหมือนจะยังสบายดี ทั้งยังพูดสั่งอย่างอะไรบางอย่างเอาไว้อย่างลับลมคมนัย อย่าบอกนะว่าเวลาสั้นๆ แค่นี้ก็เกิดเรื่องขึ้นได้?

อันหรูอวี้เหมือนจะทำสีหน้าแปลกๆ นางรู้สึกอึ้งนิดหน่อย จากนั้นก็พูดเหมือนอยากขำว่า “ฟู่หยวนคัง พวกเรากับพวกเจ้าร่วมกันวางแผนลอบสังหารเหมียวอี้งั้นเหรอ เจ้าคิดว่าเป็นไปได้รึไง? ถ้าอยากจะสู้กับกำลังพลของแดนเซียนก็เข้ามาได้เลย ไม่จำเป็นต้องหาข้ออ้างอะไรหรอก คิดว่าเรากลัวพวกเจ้ารึไงล่ะ!”

นางเองก็นึกไม่ถึงว่าการฆ่าเหมียวอี้แค่คนเดียวจะสร้างเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ได้ รู้ว่าไม่มีทางคุยกันดีๆ ได้แล้ว ท่านทูตตายไปแล้วแปดคนไม่ใช่เรื่องล้อเล่น นางแค่คิดไม่ตก ว่ามียอดฝีมือมากมายแต่ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ได้? แดนปีศาจกับแดนอู๋เลี่ยงเลี้ยงฝูงหมูเอาไว้รึไง!

ท่านทูตทั้งสิบสองสายของนางถืออาวุธลอยขึ้นมาบนฟ้าแล้ว แต่ละคนมองหญิงรับใช้ของตัวเองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าถ้าลงมือต่อสู้กัน ถ้ากลุ่มนักพรตบงกชทองได้แลกหมัดกัน หญิงรับใช้ของตัวเองก็จะมีโอกาสตายมากกว่ารอด ทุกคนแอบถ่ายทอดเสียงสั่งว่า “ถ้าเห็นท่าไม่ดีก็หนีไปทันที!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด