พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 912

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 912 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตกใจมาก

เฟิงเป่ยเฉินยกมือขึ้น ห้ามไม่ให้ลูกศิษย์ตามไป เขาไปคนเดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าให้คนอื่นไปแดนโพ้นสวรรค์ด้วย ก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับเขาเลย ถ้าเกิดเรื่องขึ้นและต้องสู้กับมู่ฝานจวินจริงๆ คนอื่นก็ช่วยไม่ไหวเหมือนกัน บางทีอาจจะกลายเป็นตัวถ่วงเขาด้วยซ้ำ

หลังจากกลุ่มคนที่อยู่ตรงนั้นมองส่งตามเฟิงเป่ยเฉินจากไปไกล จีเต๋อไห่ที่กำลังอยู่ในความเศร้าโศกปนโกรธแค้น ฝาไห่และอวี้หนูเจียวก็รีบรายงานข่าวไปบอกอาจารย์ตัวเอง

คนจากสำนักหลอมของวิเศษแต่ละแห่งก็มากล่าวอำลาเจ้าสำนักโม่หมิงเช่นกัน ไม่มีใครอยากอยู่ที่นี่ต่อแล้ว ใครก็คาดไม่ถึงว่าการประลองของวิเศษจะจบลงด้วยวิธีการแบบนี้ ไม่นานก็แยกย้ายกลับไปหมด

โชคดีที่เฟิงเป่ยเฉินมาคุมที่นี่ จึงไม่มีการต่อสู้ใหญ่โต รอบนี้ไม่ได้สร้างความเสียหายกับสำนักงามวิจิตรมากนัก แต่ความเรี่ยราดระเกะระเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ย่อมมีคนไปเก็บกวาดให้อยู่แล้ว

ในชั้นลอย ฉินซีที่เห็นทุกอย่างกับตาตัวเองขมวดคิ้วโดยไม่พูดอะไร

ในบ้านเดี่ยวที่งดงามหลังหนึ่งตรงภูเขาด้านหลัง เซี่ยงไป่ถิงที่งานยุ่งมาพักหนึ่ง พอกลับมาถึงโถงรับแขกก็เห็นภรรยานั่งทำหน้าหดหู่เศร้าซึมอยู่อย่างนั้น

หลังจากมีข่าวลือออกมา โม่จวินหลันก็มีท่าทางอย่างนี้มาตลอด ถ้าในใจเซี่ยงไป่ถิงยังสุขสำราญได้ก็แปลกแล้ว เขาไม่อยากเห็นใบหน้าแบบนั้นของนาง ขณะกำลังจะหันตัวเดินออกไป เสียงของโม่จวินหลันที่อยู่ข้างหลังก็ดังขึ้น “ศิษย์พี่ใหญ่!”

เซี่ยงไป่ถิงหยุดฝีเท้า กำลังฟังเสียงฝีเท้าของโม่จวินหลันที่เดินเข้ามาใกล้ โม่จวินหลันยืนอยู่ข้างหลังเขาแล้ว ถามเสียงสั่นเล็กน้อยว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ข่าวลือเป็นเรื่องจริงรึเปล่า?”

หลังจากมีข่าวลือออกมา นางก็อยากถามแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่จนใจที่พูดไม่ออก แต่สุดท้ายวันนี้ก็ทนไม่ไหว จึงถามออกมาแล้ว

เซี่ยงไป่ถิงพลันหันตัวมาตบหน้านางฉาดหนึ่งอย่างแรง เสียงตบดังสนั่น ตบจนโม่จวินหลันล้มนั่งลงบนพื้น จากนั้นก็ชี้นางพลางตวาดว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร? ตอนนี้เจ้ายังคิดจะทำอะไรอีก? นึกเสียใจทีหลังที่แต่งงานกับข้าเหรอ? อยากรู้ว่าจริงหรือเปล่าก็ไปถามแม่เจ้าโน่น!”

เขาเองก็ไม่รู้ว่าความโมโหมาจากไหน สรุปก็คือคำพูดของโม่จวินหลันทำให้เขาเดือดดาลขึ้นมากะทันหัน ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยหยาบคายกับนางเลย แม้แต่พูดแรงๆ สักคำก็ไม่เคย และไม่กล้าด้วย ถนอมปกป้องไว้ในอุ้งมือมาตลอด วันนี้กลับควบคุมไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

แต่พอตบเสร็จแล้วก็นึกเสียใจทีหลัง ถึงแม้สามีเป็นช้างเท้าหน้าจะเป็นค่านิยมของโลกใบนี้ แต่เรื่องบางเรื่องก็แบ่งแยกชนชั้นอยู่เสมอ คนอื่นมีภรรยาหลายคนได้ แต่เขากลับไม่กล้า ขนาดเรื่องรับอนุภรรยายังไม่กล้าเอ่ยถึง ภูมิหลังของโม่จวินหลันก็เห็นๆ กันอยู่ ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะไปมีเรื่องด้วยไหว

ดังนั้นเขาจึงรีบประคองโม่จวินหลันขึ้นมาด้วยความหวาดระแวงกลัว รีบขอโทษซ้ำๆ โม่จวินหลันสีหน้าเศร้าสลด ปล่อยให้เขาปลอบโยนไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ…

ณ แดนโพ้นสวรรค์ สถานที่ที่สงบเงียบและเจริญรุ่งเรือง

เมฆหมอกเลื่อนลอย ตำหนักหยกหลังหนึ่งที่มีท่วงทำนองโบราณและเรียบง่าย ตำหนักเก้าชั้นฟ้า!

ตำหนักหยกหลังหนึ่งที่มีท่วงทำนองโบราณและเรียบง่าย นอกตำหนักเก้าชั้นฟ้า เมฆหมอกเลื่อนลอยตามลม บนบันไดหยกที่สูงลิ่ว มู่ฝานจวินยืนเอามือไขว้หลัง สีหน้าเรียบเฉยเย็นชา

โอวหยางกวงที่สีหน้าเศร้าอาดูรยืนก้มหน้าอยู่บนบันไดเบื้องล่าง ท่านทูตอีกเจ็ดคนที่โชคดีรอดมาได้ก็อยู่ด้วยเช่นกัน ยืนเรียงรายอยู่ทางซ้ายและขวา โอวหยางกวงยังคงพร่ำบ่นอย่างระทมทุกข์

เรื่องที่เกิดขึ้นที่สำนักงามวิจิตร ท่านทูตทั้งแปดที่มาถึงก่อนได้รายงานข้อมูลอย่างละเอียดแล้ว ขอให้ปราชญ์เซียนมู่ฝานจวินทวงความเป็นธรรมให้

ถึงแม้พวกเหมียวอี้จะมาทางนี้เหมือนกัน แต่การเหาะที่มีเหมียวอี้อยู่ตรงกลางนั้นค่อนข้างช้า สู้ความเร็วของคนพวกนี้ไม่ได้

ข้างหลังมู่ฝานจวิน จงเจิ้น ถังจวิน หงเฉินและเยว่เหยากำลังยืนเรียงแถวหน้ากระดาน

หลังจากรู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่สำนักงามวิจิตร บนใบหน้าเยว่เหยาก็เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม หงเฉินเอียงหน้ามามองนางอยู่เป็นระยะ พลางแอบทอดถอนใจ พี่ใหญ่คนนี้ก่อเรื่องเก่งเกินไปแล้ว บางครั้งก็แอบซ่อนตัวไม่โผล่ออกมา แต่พอโผล่มาก็ก่อเรื่องทันที ก่อเรื่องไว้ใหญ่ขนาดนี้ จะหาข้อยุติอย่างไรดีล่ะ?

“พูดจบรึยัง?” พอโอวหยางกวงที่อยู่ข้างล่างหุบปาก มู่ฝานจวินก็มองลงเบื้องล่างพลางถามเสียงเรียบ

โอวหยางกวงกำหมัด “เหมียวอี้เป็นหนอนบ่อนไส้ ทำให้คุณชายรองไปตกอยู่ในมือเฟิงเป่ยเฉิน ท่านปราชญ์ได้โปรดลงโทษให้หนัก!”

“ไม่รู้ว่าเหมียวอี้กับแดนอู๋เลี่ยงมีความแค้นต่อกันหรืออย่างไร? ใครเป็นคนอนุญาตให้เหมียวอี้ไปที่สำนักงามวิจิตร? เยว่เทียนโปสมองมีปัญหารึเปล่า?” มู่ฝานจวินถาม

นางถามเข้าประเด็นทันที โอวหยางกวงอึ้งจนพูดไม่ออก เขารู้สถานการณ์เบื้องลึกชัดเจน เรื่องที่ไปแดนอู๋เลี่ยง มู่ฝานจวินส่งต่อให้อันหรูอวี้จัดการ และตอนที่เยว่เทียนโปรายงานเรื่องนี้ขึ้นไป อันหรูอวี้ก็ตอบตกลงทันที ตอนแรกโอวหยางกวงก็ไม่รู้ ไปถึงสำนักงามวิจิตรแล้วถึงได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

โชคดีที่เยว่เทียนโปตายแล้ว ตายแล้วก็ไม่มีใครเป็นพยาน โอวหยางกวงที่โดนถามจนเสียวสันหลังวาบตอบอย่างเคารพว่า “ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ”

ในดวงตามู่ฝานจวินฉายแววคมกริบ ชำเลืองมาอย่างเย็นเยียบ “แดนปีศาจกับแดนอู๋เลี่ยงร่วมมือกันลอบสังหารเหมียวอี้ ในกลุ่มพวกเจ้ามีใครทำตัวเป็นหนอนบ่อนไส้ไปเข้าร่วมด้วยรึเปล่า?”

นางถามคำถามนี้อย่างมีต้นสายปลายเหตุ เรียกได้ว่าแทงเข้าประเด็นสำคัญดาบแล้วดาบเล่า สามารถกลายเป็นหนึ่งในหกปราชญ์ได้จนถึงทุกวันนี้ด้วยฐานะสตรี แสดงว่าไม่ใช่คนโง่อยู่แล้ว และไม่มีอะไรน่าโง่ด้วย ไม่อย่างนั้นคงวางกับดักรั้งเหมียวอี้ไว้ไม่ได้ตั้งแต่แรกหรอก นางบีบจุดอ่อนของเหมียวอี้ไว้อย่างแน่นหนา

โอวหยางกวงโดนถามจนเหงื่อแทบแตก เขารู้สึกตั้งแต่แรกแล้วว่าทำแบบนี้ไม่เหมาะสม เคยเกลี้ยกล่อมอันหรูอวี้มาหลายครั้ง แต่ก็ช่วยไม่ได้ เวลาผู้หญิงจะดื้อดึงขึ้นมา จะเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็เกลี้ยกล่อมไม่อยู่

แต่ในตอนนี้โอวหยางกวงย่อมไม่ยอมรับอยู่แล้ว ตอบเหมือนกับท่านทูตคนอื่นๆ บอกว่าไม่มีใครทำแบบนั้น

ท่านทูตคนอื่นๆ ไม่รู้เรื่องทราวเบื้องลึกจริงๆ อันหรูอวี้ก็ไม่ได้โง่เหมือนกัน ใครจะประกาศไปทั่วว่าตัวเองทำเรื่องแบบนี้

“ไม่มีก็ดี!” มู่ฝานจวินกล่าวเสียงเรียบ กวาดสายตามองทุกคน แล้วหยุดจ้องบนหน้าโอวหยางกวงครู่หนึ่ง เมื่อเห็นทุกคนไม่ยอมรับ ก็ไม่ได้ถามอะไรมากอีก นางหลับตาลงช้าๆ แล้วยืนเอามือไขว้หลังรออยู่ที่นี่

ในเมื่อนางไม่ขยับไปไหน บรรดาท่านทูตที่อยู่ข้างล่างกับลูกศิษย์ที่อยู่ข้างหลังก็ยืนนิ่งอย่างว่านอนสอนง่ายเช่นกัน

รออยู่ไม่นาน ดวงตาหงส์ของมู่ฝานจวินก็พลันลืมตาขึ้น มองไปที่ขอบฟ้าด้วยตาเป็นประกาย ทุกคนมองตามอย่างรวดเร็ว

เห็นคนกลุ่มหนึ่งเหาะมา พวกอวิ๋นเป้า กลุ่มปีศาจทะเลดาวนักษัตร เหาะมาเป็นกลุ่มเป็นก้อนพร้อมกับเหมียวอี้ ส่วนในมือเหมียวอี้ก็ยังจับตัวชุยหย่งเจินอยู่ โดยมีเฟิงเป่ยเฉินเหาะตามอยู่ข้างหลังกลุ่มพวกเขาอย่างไม่รีบร้อน

เมื่อเห็นมู่ฝานจวินยืนอยู่นอกตำหนักเก้าชั้นฟ้า เฟิงเป่ยเฉินก็ถลันตัวเข้ามา ยืนอยู่บนบันไดซึ่งอยู่ไม่ห่างจากมู่ฝานจวิน สีหน้าเรียบเฉยเย็นชา แล้วดึงอันหรูอวี้ออกมา ก่อนจะใช้มือบีบคอนางไว้ สภาพนางตอนนี้สะบักสะบอมเกินทน โดนจับเป็นตัวประกันอยู่ในข้อมือเหล็กของเฟิงเป่ยเฉิน

“ศิษย์พี่!” จงเจิ้นและศิษย์คนอื่นๆ เรียกอย่างเป็นห่วง

มู่ฝานจวินยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาเบาๆ ทำให้ลูกศิษย์ทุกคนเงียบทันที จากนั้นก็มองไปทางเหมียวอี้ที่กำลังนำกลุ่มคนเหาะลงมา ในมือเขากำลังจับชุยหย่งเจินเป็นตัวประกัน

เมื่อมาถึงที่นี่ พวกอวิ๋นเป้าลอยอยู่บนฟ้าไม่ได้เหยียบลงพื้น มีเพียงประมุขถิ่นสี่ทิศของทะเลดาวนักษัตรที่ล้อมระวังรอบด้านให้เหมียวอี้

จะพูดอย่างไรดีล่ะ? ไม่ว่าเหมียวอี้จะถูกหรือจะผิด แต่การที่สามารถจับชุยหย่งเจินมาเป็นตัวประกันได้ สามารถกดดันจนเฟิงเป่ยเฉินจับตัวประกันมาขู่ สามารถต่อต้านเฟิงเป่ยเฉินและกลับมาจนถึงแดนโพ้นสวรรค์ได้ แค่นี้ก็ทำให้มู่ฝานจวินชื่นชมมากแล้ว แต่มู่ฝานจวินยังคงไม่แสดงอารมณ์ใดๆ บนใบหน้า

“เจ้ายังกล้ากลับมาอีกเหรอ!” โอวหยางกวงชี้เหมียวอี้พลางตะคอกอย่างโมโห

“ไอ้เวรตะไลใจกล้า!”

“ไอ้หนอนบ่อนไส้!”

พวกท่านทูตเห็นเขาแล้วโมโหเดือดดาลมาก ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่เหมียวอี้เอาชีวิตพวกเขาไปแลกเปลี่ยน ไม่น่าเชื่อว่าประมุขปราสาทคนหนึ่งจะเอาชีวิตพวกท่านทูตไปแลกเปลี่ยน ไม่ต้องพูดถึงว่าน่าแค้นขนาดไหน ลองคิดดูว่าตอนนั้นหวาดเสียวขนาดไหน แทบจะเอาชีวิตไม่รอดแล้ว ไม่โกรธแค้นก็คงแปลก ย่อมต้องร่วมประณามอยู่แล้ว

จงเจิ้นกับถังจวินย้ายสายตากลับมาจากตัวเหมียวอี้ ทั้งสองสบตากันโดยจิตใต้สำนึกแวบหนึ่ง ต่างก็รู้สึกพูดไม่ออก

ในดวงตาของหงเฉินกับเยว่เหยาเต็มไปด้วยความกังวลทุกข์ใจ

เหมียวอี้เหยียบลงบนบันไดด้านล่าง เหลือบมองเจ้าสามก่อนแวบหนึ่ง พึมพำในใจว่า พวกเจ้าคิดว่าข้าเต็มใจรึไง ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าสามอยู่ที่นี่ ข้าคงสะบัดก้นหนีไปนานแล้ว

แต่คำพูดนี้แค่ผุดขึ้นในใจเท่านั้น เขาไม่ยอมเป็นคนเงียบที่ปล่อยให้คนอื่นประณามหรอก พอเอ่ยปากก็กล่าวด้วยสีหน้าเศร้าโศกปนโกรธแค้นทันที “ท่านปราชญ์ได้โปรดทวงความยุติธรรมให้ข้าน้อย!”

มู่ฝานจวินขานรับเสียงเรียบ แล้วถามกลับว่า “ประมุขปราสาทเล็กๆ อย่างเจ้า มีเรื่องอะไรต้องให้ข้าทวงความยุติธรรมให้งั้นเหรอ?”

เหมียวอี้บุ้ยปากไปทางกลุ่มท่านทูต “ไม่รู้ว่ามีใครบางคนในกลุ่มพวกเขาที่ไปร่วมมือกับแดนปีศาจและแดนอู๋เลี่ยง วางกับดักลอบทำร้ายข้าน้อยที่สำนักงามวิจิตร!”

เขาไม่ได้ระบุว่าเป็นอันหรูอวี้ เคาะไม้กระบองไปมั่วๆ ก่อน ไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีทางแก้ตัวได้ว่าทำไมไม่สนใจความเป็นความตายของกลุ่มท่านทูต เอาชีวิตของกลุ่มท่านทูตมาแลกเปลี่ยน

“เหลวไหล ประมุขปราสาทอย่างเจ้าคนเดียว มีค่าพอให้พวกเราวางแผนลอบทำร้ายด้วยเหรอ!” เหล่าท่านทูตย่อมโต้เถียงอย่างเดือดดาล

มู่ฝานจวินกวาดสายตาเย็นเยียบมองพวกอวิ๋นเป้ากับพวกทะเลดาวนักษัตร แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า  “เรื่องนี้เดี๋ยวค่อยว่ากัน!” จากนั้นก็หันตัวไปถามเฟิงเป่ยเฉิน “เฟิงเป่ยเฉิน เสียแรงที่ครั้งก่อนข้าไปช่วยเจ้าจากเงื้อมมือของอวิ๋นอ้าวเทียนได้ทันเวลา แต่เจ้ากลับสังหารท่านทูตของข้า คิดจะเปิดศึกกับข้าเหรอ?”

เฟิงเป่ยเฉินตอบว่า “ข้าเองก็ไม่ใช่คนที่จะฆ่าผู้บริสุทธิ์ แต่เพราะลูกน้องเจ้าวางแผนทำให้ท่านทูตของข้าตายไปสี่คน แล้วอีกอย่าง ลูกน้องเจ้าจับลูกศิษย์ข้ามาเป็นตัวประกันเพื่อต่อรองเงื่อนไขก่อนนะ ชีวิตลูกศิษย์ข้าอยู่ในมือลูกน้องเจ้า เขาดึงดันจะขู่บังคับให้ได้ ข้าก็แค่ช่วยให้เขาสมปรารถนา!”

“อย่าพูดเหลวไหลไร้ประโยชน์เลย เจ้าจะเอาอย่างไร?” มู่ฝานจวินถาม

เฟิงเป่ยเฉินใช้มือดันอันหรูอวี้ที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอม “หนึ่งชีวิตแลกกับหนึ่งชีวิต!”

ถึงแม้เหมียวอี้จะรับปากแล้วว่าจะปล่อยตัวชุยหย่งเจินเมื่อมาถึงที่นี่ แต่นี่ไม่ใช่ที่ที่เหมียวอี้สามารถตัดสินใจเองได้ เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด… นี่ก็คือจุดประสงค์ที่เขาจับตัวอันหรูอวี้

มู่ฝานจวินเอียงหน้ามองเหมียวอี้ที่ยืนอยู่ตรงตีนบันได พลางกล่าวเสียงเรียบ “ส่งตัวคนให้เขา!”

“ขอรับ!” เหมียวอี้เอ่ยรับอย่างเด็ดขาด กดมือที่ขยุ้มคอชุยหย่งเจินเล็กน้อย ทำให้ชุยหย่งเจินร้องครางออกมาหนึ่งที ตอนนี้โดนเหมียวอี้โยนออกไปแล้ว

เฟิงเป่ยเฉินเอามือช้อนชุยหย่งเจินที่โซเซเข้ามา พร้อมทั้งผลักอันหรูอวี้จนโซเซออกไป

มู่ฝานจวินรับตัวอันหรูอวี้ไปวางไว้อีกด้าน หงเฉินกับเยว่เหยาเข้ามาประคองอันหรูอวี้ทันที แล้วถามอย่างร้อนใจว่า “ศิษย์พี่ เป็นอย่างไรบ้างคะ?”

เฟิงเป่ยเฉินรับตัวชุยหย่งเจินมาเก็บไว้ แต่กลับถลันตัวเข้ามา โผเข้าใส่เหมียวอี้ด้วยความเร็วปานสายฟ้า

“เฟิงเป่ยเฉิน!” มู่ฝานจวินตวาดเสียงเข้ม ไล่ตามเข้ามาทันที

เหมียวอี้ตกใจมาก นึกไม่ถึงว่าเฟิงเป่ยเฉินจะลอบโจมตีในสถานที่แบบนี้ และอานุภาพยามเฟิงเป่ยเฉินลงมือ ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะต้านทานไหวเลย

เคราะห์ดีที่ประมุขถิ่นสี่ทิศที่อยู่ข้างกายเคลื่อนไหวพร้อมกัน รีบลงมือปกป้องเขา อานุภาพยามลงมือไม่ใช่สิ่งที่พวกท่านทูตจะเทียบติด แถมทั้งสี่ยังเคยมีประสบการณ์สู้กับเฟิงเป่ยเฉินมาแล้วด้วย

สงเวยคุ้มกันเหมียวอี้ให้ถอยหลังอย่างรวดเร็ว ส่วนหงเทียนกับฝูชิงก็ออกหมัดมาสกัดเอาไว้ราวกับขุนเขา อิงอู๋ตี๋กลายร่างเป็นมายามานับร้อยพันในชั่วพริบตาเดียว ใช้กรงเล็บเหยี่ยวขยุ้มตัดสลับกันไปทั่ว รีบล้อมโจมตีเฟิงเป่ยเฉิน

ยามพวกเขาประมือกันก็เหมือนโลกจะแตก จงเจิ้นกับเหล่าท่านทูตรีบร่ายอิทธิฤทธิ์ปกป้องยอดเขาเอาไว้ ตำหนักเก้าชั้นฟ้าจะได้ไม่พังทลาย

มู่ฝานจวินเหาะมาถึงในชั่วอึดใจเดียว พอม้วนแขนเสื้อขึ้น ก็ปรากฏอัสนีบาตสีสันสะดุดตาเจ็ดสายทันที ราวกับมีงูสายฟ้าพันอยู่บนแขนนาง นางชกไปที่เฟิงเป่ยเฉินหนึ่งหมัด สายฟ้าผ่าตัดสลับกันท่ามกลางเสียงฟ้าผ่า สายฟ้าที่แฝงอยู่ในเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้า สิ่งนี้ต่างหากที่เป็นอานุภาพของเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอย่างแท้จริง!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด