พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 914

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 914 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ฝนตกฟ้าผ่าล้วนแฝงความเมตตาจากสวรรค์

คำพูดนี้ค่อนข้างแทงใจดำ นับว่าเป็นการยื่นคำขาดสุดท้าย เท่ากับเป็นการบอกอันหรูอวี้ว่านางไม่อยากฟังคำโกหก

สามารถพูดแบบนี้ออกมาได้ ก็แสดงออกถึงปัญหาอย่างชัดเจนแล้ว แสดงว่านางรู้อะไรมาบ้างแล้ว นางเหลือทางกลับตัวไว้ให้อันหรูอวี้อย่างที่นางบอก ถ้าอันหรูอวี้ยังอ่านสถานการณ์ไม่ออกอีก ไมตรีระหว่างศิษย์กับอาจารย์ก็มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว

อันหรูอวี้ยังจะกล้าปากแข็งได้อย่างไร นางไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว นางมีสามี มีลูกสาว มีน้องชายแท้ๆ นางแบกรับผลที่ตามมาไม่ไหว จึงกัดริมฝีปากและคุกเข่าลง กล่าวพร้อมน้ำตาทันทีว่า “ศิษย์เลอะเลือนไป ศิษย์เลอะเลือนไปเอง ท่านอาจารย์ได้โปรดเมตตา!”

มู่ฝานจวินจ้องมองข้างล่างอย่างเย็นชา ถามอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “โอวหยางกวงเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า?”

อันหรูอวี้พลันหวาดหวั่นพรั่นพรึง ผงกศีรษะโขกพื้นทันที พลางแก้ตัวอย่างร้อนรน “ท่านอาจารย์ ศิษย์เลอะเลือนเอง ศิษย์เลอะเลือนคนเดียว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับโอวหยางกวง โอวหยางกวงเกลี้ยกล่อมศิษย์ตั้งหลายครั้ง แต่ศิษย์เหมือนโดนภูติผีดลใจ ไม่เชื่อฟังเขา!”

ตอนนี้นางนึกเสียใจทีหลังแล้วจริงๆ เสียใจที่ไม่เชื่อฟังโอวหยางกวง ตอนนี้เหมือนโดนภูติผีดลใจจริงๆ

มู่ฝานจวินกล่าวอย่างไม่แยแสว่า “ท่านทูตสี่คน นักพรตบงกชทองสี่คน ตายไปเพราะความคิดชั่ววูบของเจ้า ถ้าไม่ลงโทษเจ้า แล้วจะให้อาจารย์อธิบายกับคนในใต้หล้าอย่างไร? เจ้าว่ามาเถอะ อาจารย์ควรจะลงโทษเจ้าอย่างไร?”

อันหรูอวี้ตอบพร้อมเสียงสะอื้น “เป็นความผิดของศิษย์คนเดียวค่ะ อาจารย์โปรดเมตตาสักครั้ง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับโอวหยางกวงจริงๆ!”

ถ้าสองสามีภรรยาได้รับโทษทั้งคู่ นางก็ไม่มีทางจินตนาการได้เลยว่าลูกสาวทั้งสองของตนจะทำอย่างไรเมื่อขาดที่พึ่ง นี่คือสังคมคนกินคน หากคนหนึ่งสิ้นอำนาจลง ก็มีคนอีกเป็นโขยงรอเหยียบ ฮูเหยียนไท่เป่าศิษย์พี่ใหญ่ก็เป็นตัวอย่างให้ดูแล้ว นางกลัวว่าลูกสาวตัวเองจะมีจุดจบเหมือนตระกูลฮูเหยียน บางครั้งผู้ชายก็แค่ตายไป แต่ผู้หญิงอาจจะลำบากยิ่งกว่าตายเสียอีก

“เจ้าทำแบบนี้ทำไม? หรือว่าเรื่องที่ลูกสาวเจ้าเสียความบริสุทธิ์ให้เหมียวอี้คือเรื่องจริงๆ?” มู่ฝานจวินถาม

อันหรูอวี้เอามือยืนพื้น ตอบว่า “ค่ะๆ” นับว่ายอมรับแล้ว

“ทำไมลูกสาวทั้งสองของเจ้าถึงไปอยู่กับเหมียวอี้ได้? เล่าที่มาที่ไปให้ชัดเจน!” มู่ฝานจวินตะคอกถาม

อันหรูอวี้หวาดกลัวยำเกรง จำเป็นต้องเล่าความจริงออกมา เรื่องนี้ย่อมมีที่มาจากทะเลทรายม่านเมฆา…

หลังจากรู้ว่าเหมียวอี้โดนฝาแฝดคู่นั้นขืนใจ ขนาดคนที่เยือกเย็นเงียบขรึมอย่างมู่ฝานจวิน ในดวงตาก็ยังฉายแววแปลกใจ

“เหมียวอี้ไม่ได้ผิดอะไร เจ้าวางแผนทำร้ายเขาเพราะเรื่องนี้น่ะเหรอ? ข้าเฝ้าดูเจ้าเติบโตมาตลอด เจ้าจิตใจคับแคบขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?”

“มีบางอย่างที่ท่านอาจารย์ยังไม่ทราบ! เดิมทีข้าตั้งใจจะให้ลูกสาวทั้งคู่แต่งงานกับเขา แต่ไอ้เหมียวจัญไรนั่นทำตัวน่ารังเกียจ…” อันหรูอวี้เล่าว่าตัวเองประจบเอาใจเหมียวอี้ย่างไร ถึงขนาดเล่าเรื่องที่บังคับให้ลูกสาวเย็บเสื้อผ้าให้เหมียวอี้ด้วย ใครจะคิดว่าเบื้องหลังเหมียวอี้จะแอบคบกับเถ้าแก่เนี้ยโรงเตี๊ยมเมฆาวายุ ทั้งยังแต่งงานกับอีกฝ่ายด้วย หลังจากเกิดเรื่องนั้นนางก็อับอายจนโกรธแค้น ลูกสาวที่โดนบังคับให้จับเข็มเย็บผ้าก็ยิ่งอับอายจนเกินทน แทบจะฆ่าตัวตายไปพร้อมกันแล้ว นางข่มความแค้นไม่ไหวจริงๆ

หลังจากได้ฟังความจริงจนจบ มู่ฝานจวินก็นับว่าเข้าใจแล้ว ตอนแรกที่เหมียวอี้ชิงตัวอวิ๋นจือชิวแล้วไม่กล้ากลับแดนเซียน สงสัยจะมีเหตุผลนี้แอบแฝงอยู่

แต่ถ้ามองจากอีกมุมหนึ่ง ก็เห็นได้ชัดว่าเหมียวอี้ชอบอวิ๋นจือชิวจริงๆ เขาไม่ใช่แค่สร้างศัตรูไปทั่วเพราะเรื่องนี้ ทั้งยังยอมทิ้งอนาคตที่ดีอีกด้วย

มู่ฝานจวินจึงกล่าวว่า “ธรรมเนียมของสังคมก็เป็นเช่นนี้ เรื่องร่างกายด่างพร้อยทำให้ฝ่ายหญิงรับไม่ได้ที่สุด ต่อให้แข็งแกร่งอย่างอาจารย์ ก็ไม่มีอาจเปลี่ยนธรรมเนียมของสังคมได้อยู่ดี ไหนๆ เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่สามารถย้อนกลับไปได้อีก ลูกสาวคู่นั้นของเจ้า เจ้าอยากจะให้พวกนางแต่งงาน หรืออยากจะให้เป็นอย่างนี้ไปทั้งชีวิต? ถ้าเจ้าอยากจะให้พวกนางแต่งงาน อาจารย์ก็จะช่วยเตรียมการให้เอง!”

อันหรูอวี้ที่ร้องไห้จนตาพร่าพลันเงยหน้า “ในโลกนี้มีแม่คนไหนไม่อยากให้ลูกสาวเป็นฝั่งเป็นฝาบ้างคะ อาจารย์ได้โปรดช่วยให้สมปรารถนา!”

ชีวิตการแต่งงานของลูกสาวทั้งคู่ หากมีท่านอาจารย์ออกหน้าสนับสนุนให้ได้ แบบนั้นก็ดีจนไม่รู้จะดียังไงแล้ว อย่างน้อยในภายหลังก็ไม่มีใครในแดนเซียนกล้านินทาว่าร้ายหรือสร้างความไม่เป็นธรรมต่อลูกสาวนาง นี่คือสิ่งที่นางปรารถนามาก

“ก่อนหน้านี้เจ้าอยากให้ลูกสาวแต่งงานกับเหมียวอี้ไม่ใช่เหรอ? ในเมื่อพวกนางเสียความบริสุทธิ์ให้เหมียวอี้แล้ว ถ้าจะดันทุรังให้แต่งกับคนอื่นก็จะฟังดูไม่เข้าท่า อาจารย์จะตัดสินใจเรื่องนี้ให้เจ้า แต่งกับเหมียวอี้ก็แล้วกัน แต่งให้เป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้!” มู่ฝานจวินกล่าว

ตอนแรกอันหรูอวี้ก็ดีใจ เมื่อฟังที่พูดตอนแรก ก็ยังนึกว่าท่านอาจารย์จะให้เหมียวอี้ทิ้งอวิ๋นจือชิวแล้วมาแต่งงานกับลูกสาวนาง ใครจะคิดว่าพอฟังถึงตอนท้าย ถึงได้รู้ว่าจะให้ลูกสาวทั้งสองของนางเป็นอนุภรรยา นางชะงักทันที หลังจากได้สติกลับมาแล้ว ก็โขกศีรษะพูดช่วงชิงทันที “ท่านอาจารย์ อวิ๋นจือชิวชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปไกลแล้ว ถ้าจะให้หย่าร้างก็ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม ศิษย์ไม่อยากให้ลูกสาวได้รับความไม่เป็นธรรม ท่านอาจารย์ได้โปรดออกคำสั่งให้เหมียวอี้เลิกกับอวิ๋นจือชิวด้วยค่ะ!”

มู่ฝานจวินที่เดิมทีสีหน้าเรียบเฉย ตอนนี้กลายเป็นบึ้งตึงในชั่วพริบตาเดียว ในดวงตาฉายแววขุ่นเคือง กล่าวเสียงเย็นว่า “อวิ๋นจือชิวน่ะ ข้าเป็นคนประทานงานแต่งงานให้เหมียวอี้เอง ที่ข้าอนุญาตให้ลูกสาวเจ้าแต่งงานกับเหมียวอี้อีกก็นับว่าเมตตาแล้ว! คำสั่งของข้าจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้อย่างไร คิดว่าคำสั่งของข้าเป็นของเด็กเล่นอย่างนั้นเหรอ?”

อันหรูอวี้ไม่รู้ว่าทำไมนางต้องไม่พอใจขนาดนี้ ก็แค่ทิ้งผู้หญิงจากแดนมารแค่คนเดียว นางจึงโขกศีรษะกับพื้นอีกครั้ง “ศิษย์มิบังอาจ! ศิษย์เพียง…”

“พอแล้ว!” มู่ฝานจวินพูดตัดบทเสียเลย “ผู้หญิงเราน่ะ ได้แต่งงานกับคนที่ใช่ถือว่าสำคัญที่สุด การจะมีชีวิตดีหรือไม่นั้น ไม่ได้เกี่ยวว่าเป็นภรรยาเอกหรือเป็นอนุภรรยา อาจารย์เป็นคนประทานงานสมรสด้วยตัวเอง เหมียวอี้ยังจะกล้าปฏิบัติต่อลูกสาวเจ้าอย่างโหดร้ายเชียวหรือ? ลูกสาวเจ้าเสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว แต่งกับเหมียวอี้ก็ดีกว่าแต่งกับคนอื่นให้โดนหมางเมินไปทั้งชีวิตไม่ใช่เหรอ? ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ ว่าความบริสุทธิ์ของสตรีหมายความว่าอย่างไรในธรรมเนียมของสังคม คำพูดคนนั้นน่ากลัว สามารถล่องหนฆ่าคนได้ ใช่ว่าในใจเจ้าจะไม่กังวลเรื่องนี้ เพียงแต่ฐานะของเจ้าทำให้เจ้าเสียหน้าไม่ลง ตอนนี้อาจารย์จะประทานงานสมรสเพื่อหาทางออกให้เจ้าแล้ว เจ้ายังจะเอาอย่างไรอีก? แต่งหรือไม่แต่ง ตอบข้ามาตรงๆ เดี๋ยวนี้เลย!”

อันหรูอวี้จำต้องยอมรับว่าโดนพูดเปิดโปงความกังวลในใจ การจะให้ลูกสาวไม่ได้แต่งงานไปทั้งชีวิต คนเป็นแม่ไม่อาจทำเรื่องแบบนั้นได้ ถึงแม้จะรู้สึกไม่ยอมที่ต้องไปเป็นอนุภรรยาของอีกฝ่าย แต่การที่ผู้ชายมีภรรยาหลายคนก็เป็นเรื่องปกติสำหรับโลกใบนี้ และในใจนางก็คิดว่าแต่งงานกับเหมียวอี้เหมาะสมที่สุด เพราะความบริสุทธิ์ของผู้หญิงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แต่นางแค่ทำใจเสียหน้าไม่ลง วันนี้ปราชญ์เซียนจะตัดสินใจให้แล้ว ถือเป็นการหาทางออกให้นางแล้วจริงๆ

นางเอามือยันพื้นพลางไตร่ตรองครู่หนึ่ง สุดท้ายก็กัดฟันตอบว่า “ศิษย์ยินดีเชื่อฟังตามที่อาจารย์เตรียมการ แต่งค่ะ!”

มู่ฝานจวินสีหน้าผ่อนคลายลงแล้ว “อย่าเพิ่งประกาศเรื่องนี้ให้ภายนอกรู้ อีกสองปีก็แล้วกัน! หลังจากส่งส่วยประจำปี อาจารย์จะประทานงานสมรสให้ลูกสาวทั้งสองของเจ้า รอให้ลูกสาวเจ้าแต่งงานเสร็จ เจ้าก็ไปรับช่วงต่อจากศิษย์พี่ใหญ่ที่เขตต้องห้ามของภูเขาด้านหลัง ไปยืนหันหน้าเข้าหากำแพงเพื่อทบทวนความผิดก็แล้วกัน! โอวหยางกวงควบคุมไม่ได้แม้แต่เมียของตัวเอง ข้าว่าตำแหน่งท่านทูตของเขาควรจะเปลี่ยนคนได้แล้ว รอจัดการทุกอย่างหลังจากจบงานแต่งงานของลูกสาวเจ้า เดี๋ยวให้โอวหยางกวงไปรับงานต่อจากอันเจิ้งเฟิงที่สมาคมร้านค้าทะเลทรายม่านเมฆา ส่วนตำแหน่งท่านทูตสายชวด ก็เปลี่ยนให้อันเจิ้งเฟิงน้องชายเจ้ามารับต่อแล้วกัน!”

ฝนตกฟ้าผ่าล้วนแฝงความเมตตาจากสวรรค์ อันหรูอวี้สะอึกสะอื้นพร้อมกล่าวว่า “ขอบคุณที่ท่านอาจารย์ช่วยให้สมปรารถนา!”

นางเองก็รู้ว่าท่านอาจารย์ไว้หน้านางเต็มที่แล้ว ถ่วงเวลาลงโทษพวกเขาสองสามีภรรยาเอาไว้หลังจากลูกสาวแต่งงาน ก็นับว่าให้เกียรติลูกสาวนางแล้ว ไม่ได้ลงโทษสามีกับน้องชายนางไปด้วย เพียงแค่สลับตำแหน่งเพื่อเป็นการตักเตือน นับว่าใจกว้างโอบอ้อมอารีแล้วเช่นกัน

“จงเจิ้น! เยว่เหยา!” มู่ฝานจวินพลันร่ายอิทธิฤทธิ์เรียก เสียงทะลุออกไปนอกตำหนักเก้าชั้นฟ้าโดยตรง

จงเจิ้นกับเยว่เหยารีบเดินเข้ามา เมื่อเห็นอันหรูอวี้นั่งคุกเข่าเช็ดน้ำตา ทั้งสองก็แอบแปลกใจ ไม่รู้ว่าศิษย์พี่ทำอะไรผิดมา  ทั้งสองยืนนิ่งแล้วกุมหมัดคารวะพร้อมกัน “ท่านอาจารย์!”

“เยว่เหยา ไปที่เขตต้องห้ามของภูเขาด้านหลัง เรียกศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้ามาพบข้า” มู่ฝานจวินกล่าว

เยว่เหยาอึ้งไปชั่วขณะ แต่ก็รีบเอ่ยรับคำสั่ง แล้วเร่งฝีเท้าเดินออกไปทันที

ผ่านไปไม่นาน ฮูเหยียนไท่เป่าที่ยืนสำนึกผิดอยู่ที่เขตหวงห้ามก็เร่งฝีเท้าเดินเข้ามา พอเห็นอันหรูอวี้กำลังคุกเข่า เขาก็แอบแปลกใจอยู่บ้าง ส่วนตัวเองก็คุกเข่าหน้าแนบพื้นเช่นกัน “ศิษย์เข้าพบท่านอาจารย์พร้อมความผิดติดตัว!”

“ทั้งคู่ลุกขึ้นเถอะ!” มู่ฝานจวินกล่าว

ฮูเหยียนไท่เป่ากับอันหรูอวี้ที่นั่งคุกเข่าสบตากันแวบหนึ่ง แล้วยืนขึ้นพร้อมกัน

“ไท่เป่า ตั้งแต่วันนี้ไป เจ้ามารับงานต่อจากหรูอวี้ เดี๋ยวพวกเจ้าสองคนไปส่งมอบงานกันด้วย” มู่ฝานจวินถามกล่าว

ฮูเหยียนไท่เป่างงทันที แต่ก็แอบดีใจ หมายความว่าตัวเองจะไม่ต้องยืนหันหน้าหากำแพงเพื่อสำนึกผิดแล้ว จึงกุมหมัดเอ่ยรับทันที “ขอรับ!”

“ค่ะ!” อันหรูอวี้เอ่ยรับเช่นกัน

มู่ฝานจวินมองไปที่จงเจิ้นอีก “จงเจิ้น นี่เป็นเวลาที่ต้องใช้งานคน ควรจะใช้งานคนเก่าคนแก่ของสมาคมร้านค้าได้แล้ว เดี๋ยวเจ้าไปเลือกนักพรตบงกชทองจากสมาคมร้านค้ามาสามคน ให้มารับตำแหน่งท่านทูตสายฉลู สายมะเมียกับสายกุนแล้วกัน”

“ขอรับ!” จงเจิ้นเอ่ยรับ จากนั้นก็ขอคำชี้แนะอีกว่า “ท่านอาจารย์ ท่านทูตสายมะโรง…”

“แต่งตั้งไว้แล้ว ให้เจ้าควบตำแหน่งท่านทูตสายมะโรงไปก่อนแล้วกัน” มู่ฝานจวินพูดตรงๆ

“ขอรับ!” จงเจิ้นกุมหมัดเอ่ยรับ

“หรูอวี้ ตอนนี้ท่านจื่อหยางนั่นอยู่ในมือของเหมียวอี้ใช่มั้ย?” มู่ฝานจวิน

อันหรูอวี้กุมหมัดตอบ “ยินดีกับท่านอาจารย์ ท่านจื่อหยางอยู่ในมือเหมียวอี้แล้วค่ะ”

“โง่เง่า! ยังต้องการคนคนนั้นอีกเหรอ? เดี๋ยวตาแก่คนอื่นๆ จะต้องมาหาถึงที่แน่  ใครเก็บไว้ก็โชคร้าย!” มู่ฝานจวินไม่พอใจมาก

อันหรูอวี้ก้มหน้าเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไร แต่ตำหนิในใจไม่หยุด ใครจะไปรู้ว่าท่านจะวางแผนแบบนี้ ถ้าพากลับมาได้ก็ย่อมต้องพากลับมาอยู่แล้ว ถ้าตกอยู่ในมือคนอื่นท่านก็ยิ่งไม่พอใจ ถ้าอยู่ในมือตัวเองจะฆ่าหรือจะเก็บไว้ก็ได้ทั้งนั้น มิหนำซ้ำข้าก็ไม่ได้เป็นคนพากลับมาด้วย

แต่นางก็จะผลักความรับผิดชอบไปให้เหมียวอี้ไม่ได้ เพราะเขากำลังจะกลายเป็นลูกเขยของนางแล้ว พอนึกถึงลูกเขยคนนี้ นางก็ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือกลุ้มใจ ในภายหลังเขาคงไม่ไประบายอารมณ์ใส่ลูกสาวของนางหรอกใช่มั้ย? พอคิดถึงตรงนี้ นางก็นึกเสียใจทีหลังอีกครั้งที่ตัวเองลงมือทำร้ายเหมียวอี้

มู่ฝานจวินก็พอจะรู้คร่าวๆ ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร รู้ว่าเรื่องที่ท่านจื่อหยางถูกจับตัวมาไม่เกี่ยวกับนาง จึงโบกมือบอกว่า “เจ้าออกไปได้แล้ว เรียกเหมียวอี้เข้ามา”

พวกเขาโค้งตัวคำนับแล้วถอยออกมา  พอออกจากตำหนักเก้าชั้นฟ้า โอวหยางกวงก็ไม่สบายใจนิดหน่อย มองออกว่าอันหรูอวี้เพิ่งร้องไห้ ในใจก็แอบร้องว่าท่าไม่ดีแล้ว

แต่กลับพบว่าอันหรูอวี้ค่อนข้างให้ความสนใจเหมียวอี้ เขาจึงมองตามนาง

เหมียวอี้ก็สังเกตเห็นเช่นกันว่าสองสามีภรรยากำลังมองเขา จึงท่าทางเหมือนบอกว่า ‘กลัวที่ไหนล่ะ เจ้ากล้ากัดข้าเหรอ’ หันหน้าไปอีกทาง มองดูท้องฟ้า ขี้คร้านจะสนใจ

เขาเดาว่าว่าสองผัวเมียคู่นี้คงแค้นเขาแทบตาย แต่ในเมื่อก่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ เขาก็ไม่สนใจอะไรแล้วไม่จำเป็นต้องเกรงใจสองคนนี้ เขาได้เตรียมกลั่นกรองคำพูดเอาไว้แล้ว กะว่าอีกประเดี๋ยวถ้ามีโอกาสได้พบมู่ฝานจวิน ต่อให้ต้องเปลืองคำพูดไปมากมาย ก็ต้องหาทางดึงสองผัวเมียคู่นี้ลงจากตำแหน่งให้ได้

จงเจิ้นเดินมาหยุดข้างกายเหมียวอี้ เหลือบมองเจ้าคนใจกล้าบุ่มบ่าม พร้อมเตือนว่า “เหมียวอี้ ท่านปราชญ์เรียกพบ!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด