พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 964 คนพังงานมาแล้ว

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 964 คนพังงานมาแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
บทที่ 964 คนพังงานมาแล้ว

หลังจากทั้งสองออกจากร้านค้าด้วยกัน ไม่ว่าใครก็ดูไม่ออกว่าทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน รักษามารยาทในการกระทำและคำพูดระหว่างกัน ดูแล้วเหมือนคนที่สนิทกันธรรมดา

ทั้งสองมุ่งตรงสู่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก พวกเขาไม่ได้ไปพบโค่วเหวินหลาน แต่พาอวิ๋นจือชิวมาลงทะเบียนร้านค้า ไม่ว่าจะเปิดร้านอะไรก็ต้องลงทะเบียนในเขตของตัวเอง จะได้มาเก็บภาษีได้สะดวก

ในเมื่อไม่อยากให้คนนอกรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง เดิมทีอวิ๋นจือชิวไม่อยากให้เหมียวอี้มาเป็นเพื่อน แต่หลังจากเหมียวอี้ได้รู้จักเจ้าเดรัจฉานเซี่ยโห้วหลงเฉิงแล้ว ก็กังวลกับพวกคนของตำหนักสวรรค์ อวิ๋นจือชิวอาจจะไม่ใช่ผู้หญิงประเภทที่สวยที่สุด แต่เหมียวอี้รู้ว่านางเป็นประเภทหญิงงามช่างยั่วแน่นอน นางไม่ค่อยคุ้นเคยกับพิภพใหญ่เท่าไรนัก ถ้าถูกถามอะไรแล้วตอบไม่ได้ขึ้นมา ถ้าไปโดนผู้ชายพวกนั้นทำเจ้าชู้ใส่ เขาจะไม่เสียเปรียบแย่หรอกเหรอ

อวิ๋นจือชิวมองออกว่าเขากังวลอะไร ทำให้นางแอบรู้สึกขำในใจ แต่ก็รู้สึกภูมิใจมาก ในใจรู้สึกหวานชื่น รู้ว่าเขาใส่ใจนาง นางชอบอะไรแบบนี้มาก

ในตำหนักพ่อบ้านที่จัดการธุระพวกนี้ ถึงแม้ทุกคนจะไม่คุ้นหน้าเหมียวอี้ แต่ก็รู้ว่าเป็นเพื่อนร่วมงานที่มาใหม่ เพราะเห็นระดับเกราะทองสามแถบของเหมียวอี้

สิ่งที่เรียกว่า ‘เกราะทองสามแถบ’ ก็หมายถึงแถบโลหะที่อยู่ทางซ้ายและขวาบนคอปกเกราะทองที่ตัวเหมียวอี้ นี่คือสัญลักษณ์ยศในกองทัพของทหารตำหนักสวรรค์ ยศเพิ่มขึ้นตามลำดับแถบ ถ้ามีแถบมากขึ้นอีกแถบ ก็เป็นสัญลักษณ์ว่ายศสูงขึ้นอีกขั้น ที่เหมียวอี้ใส่อยู่บนตัวก็คือเกราะทองสามแถบ เป็นสัญลักษณ์ของทหารเลวระดับสาม

ผู้ที่สวมเกราะเงินคือทหารสวรรค์ ผู้ที่สวมเกราะทองก็คือทหารเลวในกองทัพสวรรค์ ผู้ที่สวมเกราะม่วงคือแม่ทัพ ผู้ที่สวมเกราะแดงคือแม่ทัพใหญ่ ความสูงต่ำของแต่ละขั้นล้วนแยกโดยใช้ความแตกต่างของแถบบนคอปกเกราะรบ โดยในแต่ละขั้นนั้น หกแถบคือขั้นสูงสุด

ผู้บัญชาการอย่างโค่วเหวินหลานก็เป็นแค่เกราะทองห้าแถบ ผู้บัญชาการใหญ่ที่คุ้มสี่เขตเมืองคือหกแถบ ระดับของปี้เหยว่ฮูหยินที่คุมดาวเทียนหยวนก็คือแม่ทัพเกราะม่วงสามแถบ

สวนบูรพาผู้ใต้บังคับบัญชาของเขตเมืองตะวันออก นอกจากโค่วเหวินหลานที่มีเกราะทองห้าแถบ ก็มีแค่รองผู้บัญชาการฝั่งซ้ายฝั่งขวาสองคนที่มีเกราะทองสี่แถบ มีลูกน้องเป็นทหารเกราะทองสามแถบอีกหกคน บวกเหมียวอี้เข้าไปด้วยอีกคน ก็รวมเป็นเจ็ดคน และแน่นอน คนอื่นล้วนมีหน้าที่ มีเพียงเหมียวอี้คนเดียวที่ยังว่าง

ในเมื่อมียศอยู่แล้ว เมื่อเข้าตำหนักพ่อบ้านของจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกก็ย่อมไม่มีใครขวาง

ผู้ที่คุมตำหนักนี้และรับผิดชอบธุระเบ็ดเตล็ดทั่วไปของตลาดสวรรค์เขตเมืองตะวันออก ชื่อว่าสวีถังหราน เป็นหนึ่งในทหารเลวเกราะทองสามแถบเจ็ดคนในจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก โดยทั่วไปการลงทะเบียนร้านค้าไม่ต้องให้สวีถังหรานทำเอง ย่อมมีพวกลูกน้องไปจัดการอยู่แล้ว แต่มีหนึ่งในลูกน้องที่อ่านสถานการณ์ออก มารายงานก่อนล่วงหน้าแล้ว สวีถังหรานจึงออกมาจากโถงข้างหลังทันที ไม่ใช่ว่าไว้หน้าเหมียวอี้ แต่ทุกคนต่างก็ได้ยินมาว่าเหมียวอี้คือคนที่โค่วเหวินหลานรับเข้ามาเอง ดีไม่ดีอาจจะมีความสัมพันธ์อะไรกับโค่วเหวินหลานก็ได้ คงไม่ดีหากจะไปล่วงเกิน

เมื่อมีเหมียวอี้ออกหน้าพูดให้ พนักงานที่จัดการเรื่องนี้ก็ถามอวิ๋นจือชิวแค่สองสามคำอย่างไม่ใส่ใจ ถามว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร เตรียมจะเปิดร้านขายอะไร จากนั้นก็อนุมัติให้อย่างสบายอกสบายใจ แล้วสั่งให้คนนำไปให้สวีถังหรานลงนาม

ทางนี้ยังไม่ทันนำของออกมา สวีถังหรานก็เดินก้าวยาวเข้ามาแล้ว พวกลูกน้องลุกขึ้นต้อนรับอย่างเคารพ เหมียวอี้ได้ยินแล้วกุมหมัดคารวะทันที “ได้ยินชื่อเสียงของพ่อบ้านสวีมานานแล้ว หนิวโหย่วเต๋อเพิ่งมาเป็นครั้งแรก ฝากเนื้อฝากตัวกับพี่สวีด้วย”

สวีถังหรานหัวเราะเบาๆ แล้วกุมหมัดคารวะตอบ “พี่หนิวไม่มีน้ำใจเสียบ้างเลย! พี่น้องคนนี้กำลังรอให้เจ้ามาเลี้ยงอาหารอยู่นะ แต่เจ้ากลับไม่มีความเคลื่อนไหวเลย!”

“แน่นอนๆ เดี๋ยวข้าเลี้ยงแน่!” เหมียวอี้รับประกันอย่างเต็มปากเต็มคำ

“พี่หนิวมาที่นี่มีธุระอะไรล่ะ?” พอสวีถังหรานเอ่ยปาก ก็มีลูกน้องนำเรื่องมารายงานทันที

หลังจากรู้ว่าเหมียวอี้มาเป็นเพื่อนคนที่มาลงทะเบียนร้านค้า สายตาสวีถังหรานก็มองไปที่อวิ๋นจือชิวที่กำลังกุมหมัดคารวะอยู่ข้างๆ เขาตาเป็นประกายทันที เหลือบมองหลายครั้งโดยไม่รู้ตัว แล้วถามเหมียวอี้พร้อมรอยยิ้ม “ไม่ทราบว่าท่านนี้เป็นอะไรกับพี่หนิว?”

“สหาย!” เหมียวอี้ตอบ

หลังจากอ่านดูแผ่นหยกในมือแล้ว สวีถังหรานก็ไม่ถามอะไรเพิ่ม ลงตราประทับให้โดยตรง แล้วส่งให้อวิ๋นจือชิว เหมือนมีเจตนาอยากจะคุยกับนาง

เหมียวอี้จึงบอกให้อวิ๋นจือชิวออกไปรอข้างนอก

ปรากฏว่าพออวิ๋นจือชิวหันตัวไป สวีถังหรานก็ถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ทันที “ผู้หญิงคนนี้รูปร่างมีสวนบูรพาเว้าสวนบูรพาโค้ง หุ่นดีจริงๆ มีลักษณะเฉพาะตัวเหนือคนอื่น ในความสง่างามแฝงความเย้ายวน มีเสน่ห์จากภายใน มองปราดเดียวก็รู้ว่าหาพบได้ยากในหมู่ผู้หญิง พี่หนิว หากสะดวกล่ะก็ รบกวนเป็นคนกลางติดต่อให้ขาหน่อยสิ”

เป็นคนกลางติดต่อให้แม่เจ้าสิ! เหมียวอี้หน้าบึ้งทันที “พี่สวีกำลังตบหน้าข้าเหรอ? ข้าจีบนางมาตลอดนะ!”

“อ้อ… ขออภัย ขออภัย!” สวีถังหรานกุมหมัดคารวะอย่างอับอายทันที

เหมียวอี้คิดในใจว่า โชคดีนะที่ข้ามาด้วย ไม่อย่างนั้นใครจะไปรู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น

เขาย่อมรู้ดีว่าอวิ๋นจือชิวมีความงามเป็นอย่างไร สาเหตุที่เขาชอบนาง ย่อมเกี่ยวกับความงามของนางแน่นอน ถ้าเป็นผู้หญิงอัปลักษณ์ขี้เหร่ เหมียวอี้คงไม่เสี่ยงชีวิตเพื่อแต่งงานกับนางหรอก นางย่อมมีจุดที่ดึงดูดเขาอยู่แล้ว ในเมื่อสามารถดึงดูดเขาได้ ก็ย่อมดึงดูดชายอื่นได้เหมือนกัน

ถ้ามองในมุมที่เห็นแก่ตัวของผู้ชาย เหมียวอี้เองก็ไม่อยากอวิ๋นจือชิวโผล่หน้าออกมา ตอนอยู่ที่พิภพเล็ก อาศัยภูมิหลังของนางจึงไม่มีใครกล้าแตะต้อง แต่เมื่ออยู่ที่พิภพใหญ่ ทุกอย่างก็ต่างออกไปแล้ว ถ้าอยากจะเลี้ยงอวิ๋นจือชิวให้เป็นนกคีรีบูนในกรงก็คงทำไม่ได้แน่นอน เรื่องนี้ทำให้เขาปวดหัวมาก

หลังจากทั้งสองคุยกันพักหนึ่ง ก็นัดหมายเวลาให้เหมียวอี้เลี้ยงอาหาร สวีถังหรานรับหน้าที่รวบรวมคน แล้วก็กล่าวอำลากัน

พอออกประตูมาเจออวิ๋นจือชิว ทั้งสองก็กลับไปยังร้านค้าที่ระเกะระกะด้วยกัน อวิ๋นจือชิวรีบกลับพิภพเล็ก จึงยื่นแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งให้เหมียวอี้

ที่นางมาครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อมาเยี่ยมเหมียวอี้อย่างเดียว แต่มาเพื่อส่งของให้ด้วย ผลึกแดงบริสุทธิ์ที่ตั๊กแตนผลิตชุดแรกออกมาแล้ว เมื่อเห็นว่าเหมียวอี้ไม่กลับไปเอาสักที นางก็กังวลเรื่องความปลอดภัยของเหมียวอี้ ถึงได้นำมาส่งให้ด้วยตัวเอง จะได้ให้เหมียวอี้ทำของวิเศษดีๆ ไว้ป้องกันตัว

อวิ๋นจือชิวที่เพิ่งมาถึงไม่ได้อยู่ต่อเลยสักวัน บททจะไปก็ไปเลย รีบไปดึงคนมาช่วยเปิดร้านค้า เหมียวอี้รั้งอย่างไรก็รั้งไม่อยู่ และไม่สะดวกจะไปส่งด้วย

ในคืนนั้น เหมียวอี้เป็นเจ้าภาพใน ‘สวนบูรพา’ เลี้ยงอาหารพวกเพื่อนร่วมงาน ทั้งยังเชิญหอกลิ่นสวรรค์มาร้องเล่นเต้นระบำด้วย

ไม่ต้องจ่ายค่าการแสดง ท่านแม่สวียอมใจกว้างให้ครั้งหนึ่ง เสวี่ยหลิงหลงก็ขึ้นเวทีโดยไม่คิดเงินเช่นกัน นับว่าแสดงน้ำใจที่เหมียวอี้ได้เลื่อนตำแหน่ง มาเป็นหน้าเป็นตาให้เหมียวอี้

ในศาลาหลังใหญ่กลางน้ำ ประดับโคมไฟแวววาว มีการร้องระบำอย่างอ่อนช้อยงดงาม

ทหารเลวเจ็ดคนในเขตเมืองตะวันออก เมื่อรวมเหมียวอี้ไปด้วยก็ครบแล้ว นอกจากเหมียวอี้ที่ไม่มีลูกน้อง คนอื่นๆ พาลูกน้องมาด้วยสิบกว่าคน คนเกือบร้อยคนทำให้งานเลี้ยงสนุกสนานครึกครื้น

การร้องระบำกำลังครึกครื้น สุรากำลังออกฤทธิ์ จนกระทั่งเสวี่ยหลิงหลงขึ้นเวที ก็ทำให้ทั้งงานโห่ร้องดีใจทันที

สวีถังหรานก็ยิ่งตบบ่าเหมียวอี้อย่างแรง เหมือนกำลังบอกว่าเหมียวอี้ช่างมีน้ำใจไมตรี แม้แต่เสวี่ยหลิงหลงก็เชิญมาได้

“วายุบุปผา หิมะจันทรา ราตรีมอมเมา…”

เมื่อเสียงบรรเลงดนตรีดังตามมา ทั้งงานก็เงียบทันที

เหมียวอี้ที่ถือจอกสุราจ่อตรงปากชะงักทันที ดวงตาฉายแววตกตะลึง ขณะมองดูเสวี่ยหลิงหลงที่กำลังร้องระบำอย่างนุ่มนวลอ่อนหวาน เขาก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง

เขาเคยพบเจอเสวี่ยหลิงหลงแบบใกล้ๆ ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง แต่คืนนี้เพิ่งเห็นเสวี่ยหลิงหลงร้องเพลงเป็นครั้งแรก พอนางสะบัดแขนเสื้อพลิ้วดุจริ้วเมฆร่ายรำ ก็ทำให้คนตื่นตะลึงทันที โดยเฉพาะดอกไม้ที่โปรยลงพื้นตามการร่ายรำของนาง ช่างเป็นการผสมผสานที่สมบูรณ์แบบ ราวกับนางเป็นเทพธิดาแห่งมวลหมู่ดอกไม้ ทำให้คนในงานที่กำลังตั้งใจชมราวกับเคลิบเคลิ้มเมามาย

เหมียวอี้นับว่าเป็นผู้มีอำนาจในพิภพเล็กเช่นกัน ใช่ว่าจะไม่เคยชมการร้องเล่นเต้นระบำดีๆ แต่เมื่อเทียบกับเสวี่ยหลิงหลงแล้ว พวกนั้นนับว่าเป็นคนละชั้นจริงๆ

เสวี่ยหลิงหลงสวยมากจริงๆ เมื่อก่อนเหมียวอี้กลับรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้สวยแบบไร้เดียงสา ให้ความรู้สึกเหมือนซื่อบื้อ แต่วันนี้เพิ่งจะได้เห็นฉากที่เสวี่ยหลิงหลงมีราศีเปล่งประกายอย่างแท้จริง สมกับเป็นดาวเด่นของหอกลิ่นสวรรค์ พอสวี่ยหลิงหลงออกมาร้อยบุปผาก็ร่วงโรย ไม่มีใครบนเวทีกล้าแข่งกับนาง

สวีถังหรานเหมือนจะชอบวิจารณ์ผู้หญิงเป็นพิเศษ ถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้แล้วว่า “เจ้าดูเอวเล็กๆ นั่นสิ แล้วก็แขนขาทั้งสี่ อ่อนช้อยเหมือนไร้กระดูกจริงๆ! ตอนเข้าห้องหอคงจะรสชาติดีมิรู้ลืม ถ้าได้มาร่วมห้องสักคืน ต่อให้ตายก็คุ้มค่า แต่น่าเสียดายที่ผู้หญิงคนนี้มีผู้บัญชาการโค่ว เซี่ยโห้วหลงเฉิง และหวงฝู่จวินโหรวคุ้มครองอยู่ เป็นดอกไม้งามที่ไม่มีใครกล้าเด็ด ไม่อย่างนั้นคงโดนคนอื่นเก็บไว้เป็นเนื้อต้องห้ามของตัวเองตั้งนานแล้ว…”

ตรงนี้ยังไม่ทันพูดจบ ไม่รู้ว่าใครทำเสียเรื่อง ฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนกำลังเคลิบเคลิ้มมัวเมา ทุ่มหินก้อนใหญ่ลงมาจากฟ้าก้อนหนึ่ง แขกทุกคนในงานตกใจ แต่กว่าจะรู้ตัวก็สายไปแล้ว มีเสียงดังโครมคราม กระเบื้องหลังคาพังตกลงมา

แต่ทุกคนในงานก็ไม่ใช่ไก่อ่อน แทบจะร่ายอิทธิฤทธิ์ดันไว้พร้อมกัน ทำให้หินก้อนใหญ่กับกระเบื้องหลังคาและคานที่ทุ่มลงมาให้กระเด็นออกไป สุราอาหารที่อยู่ตรงหน้าคนในงานกลับไม่เปื้อนฝุ่นเลยด้วยซ้ำ

โครม! ตูม! เสียงของพังตกลงกระทบผิวน้ำ

“ใครกัน!” ทุกคนยืนขึ้นตะโกน ใจกล้าเกินไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้ามากำเริบเสิบสานกับเขาที่เขตเมืองตะวันออก สงสัยเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่

เสวี่ยหลิงหลงที่อยู่บนเวทีเหมือนจะถูกทำให้ตกใจเช่นกัน การร้องระบำหยุดลงแล้ว เสียงดนตรีบรรเลงก็หยุดแล้วเช่นกัน

เหมียวอี้ยืนขึ้นและหันไปมอง เขาเบิกตากว้างทันที รู้อยู่แล้วว่าถ้าข่าวแพร่ออกไปจะมีคนบางคนมาหาเรื่อง นึกไม่ถึงว่าจะมาในเวลาแบบนี้

ผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน เซี่ยโห้วหลงเฉิงมาแล้ว เดินวางก้ามมาจากบนสะพาน ทำหน้าแสยะยิ้ม เรียกได้ว่ากำเริบเสิบสาน ข้างหลังมีคนติดตามสี่คน

ไม่ต้องบอกเลย คนที่กล้าก่อเรื่องแบบนี้ นอกจากเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ไม่มีใครแล้ว

คนในงานเงียบทันที คนที่พอจะได้ยินข่าวมาบ้างต่างก็รู้ว่ามีเซี่ยโห้วหลงเฉิงมีคนหนุนหลัง ทุกคนไปมีเรื่องด้วยไม่ไหว มีแค่ผู้บัญชาการโค่วเหวินหลานที่กล้ามีเรื่องด้วย

คนกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัวอะไร ทหารเล็กๆ ที่นั่งอยู่ข้างหลังย่อมไม่กล้าหาเรื่องใส่ตัวอยู่แล้ว พากันหลีกทางให้

“เอ๋!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่เดินเข้ามาในศาลากลางน้ำ พอเงยหน้ามองหลังคาก็หัวเราะทันที “ข้าก็นึกว่าพวกเจ้ามีเรื่องอะไร? ถึงแม้จะเป็นอาณาเขตของเจ้าตุ้งติ้ง พอพวกเจ้าดูการร่ายรำแล้วไม่บันเทิงใจ แต่ก็ไม่ควรทำลายหลังคาของคนอื่นสิ ช่างพาลเกเรเสียจริง แบบนี้ไม่ค่อยเข้าท่าแล้วมั้ง!”

สวีถังหรานจึงกล่าวว่า “ผู้บัญชาการเซี่ยโห้ว ท่านรู้อยู่แก่ใจแล้วทำไมต้องถาม ท่านเป็นคนพังหลังคาชัดๆ”

เซี่ยโห้วหลงเฉิงเหล่ตามอง แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “สุราสามารถดื่มซี้ซั้วได้ แต่คำพูดไม่อาจพูดซี้ซั้วได้ เจ้าเห็นกับตาเหรอว่าข้าทำพัง? ขอเพียงเจ้าหาพยานได้ ข้าก็จะกินศาลาพังๆ นี้ให้ดูทันที!”

“…” สวีถังหรานพูดไม่ออก เพราะไม่มีใครเห็นจริงๆ เมื่อครู่นี้ทุกคนกำลังเคลิบเคลิ้มเหม่อลอยกับบทเพลง ใครจะมีอารมณ์ไปสนใจ บางทีคนอื่นในสวนบูรพาอาจจะเห็น แต่ใครจะกล้ายืนขึ้นเป็นพยานให้ล่ะ? ตอนหลังต้องโดนเซี่ยโห้วหลงเฉิงเล่นงานถึงตายแน่

อีกฝั่งหนึ่งมีเสียงของปู้เหลียนจงดังขึ้น  “ผู้บัญชาการเซี่ยโห้ว นี่ท่านกำลังจงใจมาป่วน”

เซี่ยโห้วหลงเฉิงหัวเราะหึหึ แล้วบอกว่า “ข้าได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวใหญ่ของที่นี่ เลยตั้งใจมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นอะไรไปล่ะ? หรือว่าข้ามาเดินเล่นที่นี่เฉยๆ ไม่ได้? ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ครั้งหน้าถ้าคนของเขตเมืองตะวันออกถ่อไปที่เขตเมืองตะวันตกของข้า ข้าก็หักขาพวกเจ้าได้เลยใช่มั้ย?”

“เด็กๆ มาจับเจ้าสองคนที่มันใส่ร้ายผู้บัญชาการคนนี้ไปสั่งสอนหน่อยซิ!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงโบกมือสั่ง

สี่คนที่อยู่ข้างหลังพุ่งเข้ามาใส่สวีถังหรานกับปู้เหลียนจงทันที

พอตรงนี้เคลื่อนไหว พวกทหารเลวของเขตเมืองตะวันออกก็กรูกันเข้ามาทันที มาขวางสี่คนนั้นไว้พร้อมเตือนว่า “ใครบังอาจมากำเริบเสิบสาน!”

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด