พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) 259 เหนือกฎเกณฑ์

Now you are reading พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) Chapter 259 เหนือกฎเกณฑ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 259 เหนือกฎเกณฑ์

หลิงว่านจุน ในตอนนี้ไม่ได้มองว่านี่คือการเล่นหมากรุกอีกต่อไปแล้ว เขารู้สึกว่าตอนนี้เขาอยู่ในสนามรบมากกว่า

และตอนนี้เขารู้สึกได้ถึงอันตราย เขาจึงพยายามวางแนวป้องกันอย่างสุดชีวิต

หลิงตู้ฉิงที่กำลังรอให้หลิงว่านจุนวางแนวป้องกันใกล้เสร็จ จากนั้นเขาส่งเบี้ยของตนเองบุกเข้าปะทะทันที

เมื่อเห็นว่าฝั่งตรงข้ามเริ่มบุกกดดันเข้ามาจนแทบจะจ่อคอหอยเขาอยู่แล้ว เมื่อเจอสถานการณ์เช่นนี้จึงเป็นธรรมดาที่หลิงว่านจุนจะต้องตอบโต้ เขาส่งเบี้ยทหารของตนเองที่อยู่ตรงกลางกระดานเข้าปะทะกับเบี้ยทหารของฝั่งตรงข้ามทันที

แต่เมื่อเขาส่งทหารเข้าปะทะ วินาทีต่อมาเบี้ยทหารของเขาก็ถูกทำลายสลายหายไปจากกระดาน

สถานการณ์เช่นนี้เป็นสถานการณ์ที่แปลกเป็นอย่างมาก เนื่องจากตามปกติแล้วมันควรเป็นเบี้ยของเขาที่มันควรจะเป็นฝั่งถูกส่งไปกินเบี้ยของฝั่งตรงข้าม แต่นี่มันกลับกลายเป็นว่าฝั่งของเขาถูกกินไปซะอย่างนั้น

จากนั้น หลิงตู้ฉิงก็ยังคงใช้เบี้ยทหารตัวเดิมบุกตรงเข้ามาทางเลนกลางของกระดานลึกเข้ามาเรื่อย ๆ ซึ่งมันดูขัดกับทุกหลักการ การเล่นหมากรุกเป็นอย่างมาก

แต่ถึงแม้ว่าจะเห็นการเดินหมากเช่นนี้ หลิงว่านจุนเองก็ไม่รู้สึกว่ามันไร้เหตุผลหรือขัดกับกฎแต่อย่างใด เขายังคงส่งบรรดาหมากของเขาทุกตัวเข้าระดมโจมตีหมากทหารของหลิงตู้ฉิง

แต่น่าเสียดายที่เบี้ยทหารของหลิงตู้ฉิงนั้นถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายสังหาร แม้ว่ามันจะถูกโจมตีโดยหมากประเภทไหนของหลิงว่านจุน มันยังคงเดินหน้าและกินหมากที่เข้าปะทะกับมันอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งหมากทุกตัวที่ถูกกินหายไปนั้นมันยังส่งผลให้เหล่าทหารของหลิงว่านจุนที่ยืนแถวอยู่ด้านหลังค่อย ๆ หมดสติลงไปทีละกลุ่มทีละกลุ่ม

หลิงว่านจุนที่เห็นภาพเช่นนี้ บนหน้าผากของเขาก็เริ่มมีเหงื่อแตกผลักออกมาจนชุ่ม เมื่อเขารู้ว่าตัวเองไม่มีโอกาสอีกแล้วแน่นอน เขาจึงนั่งหลับตาเพื่อรอการถูกพิชิตแต่โดยดี

หลิงตู้ฉิงเมื่อเห็นเช่นนั้นเขาจึงไม่รอช้ากินหมากตัวสุดท้ายของลูกชายเขาอย่างโหดเหี้ยม ส่งผลให้หลิงว่านจุนหมดสติลงไปทันที

หลังจากนั้นหลิงตู้ฉิงเองก็ได้นั่งรออยู่ที่จุดนั้นไม่ขยับไปไหน จนหลิงว่านจุนและบรรดาทหารของเขาค่อย ๆ ตื่นขึ้น

เมื่อหลิงว่านจุนตื่นขึ้นและความทรงจำก่อนหน้าที่เขาจะหมดสติได้กลับคืนมา เขาจึงเริ่มตะโกนโวยวายขึ้นทันที “ท่านพ่อ! ท่านน่าไม่อาย! ท่านโกงข้า! มันจะเป็นไปได้ยังไงที่เบี้ยทหารมันจะเก่งขนาดนั้น?!”

“เจ้าทำหยั่งกะเจ้าไม่เคยแพ้พ่อมาก่อนอย่างนั้นแหละ” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “และเจ้าอย่าลืมสิว่าจะมีเบี้ยทหารที่เก่งแบบนี้บ้างไม่ได้หรือยังไง ถ้าให้พ่อยกตัวอย่างก็เช่นเหล่ากองทหารของลุงสามจองเจ้านั่นไงล่ะ”

หลิงว่านจุนเมื่อได้ยินแบบนี้ก็เงียบลง

หลิงตู้ฉิงตบไปที่ไหล่ของหลิงว่านจุน และพูดว่า “เจ้าลองนำหมากกระดานนี้กลับไปทบทวนดูให้ดี ๆ มันจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าในอนาคตเป็นอย่างมาก”

หลิงว่านจุนพยักหน้าอย่างหนักแน่น

“เอาล่ะ มันถึงเวลาที่พ่อต้องไปแล้ว พวกเจ้าสองพี่น้องระวังตัวกันให้ดี ๆ ด้วยล่ะ” พูดจบหลิงตู้ฉิงก็เดินกลับขึ้นไปบนรถม้าด้วยรอยยิ้ม และกงหนิวก็ลากรถม้าพุ่งขึ้นหายไปบนท้องฟ้าภายในพริบตา

หลิงว่านจุน เมื่อเห็นว่าพ่อของเขาได้จากไปแล้ว เขาจึงเดินกลับเข้าไปที่เต้นท์บัญชาการ เพื่อทำการวางแผนการรบใหม่ทั้งหมดจากความเข้าใจที่เขาได้มาใหม่จากหลิงตู้ฉิง

ส่วนหลิงยู่ชานเองก็ตามหลิงว่านจุนเข้าไปดูแผนการรบใหม่ในเต้นท์เช่นกัน ส่งผลให้การเดินทัพจึงต้องหยุดลงชั่วคราว

ด้วยเหตุผลที่พวกเขาต้องปรับแผนการรบใหม่ให้ดีขึ้นกว่าเดิม

ทางด้านในรถม้า หลิวเฟ่ยเฟ่ยได้ถามหลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าสงสัย “สามี หมากรุกนั่นก็เป็นวิถีการบ่มเพาะอีกวิถีหนึ่งอย่างนั้นรึเปล่า?”

“ถูกต้อง!” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า

ซือโถวเหวินหยวนถอนหายใจและพูดว่า “เฮ้อ…ถ้าเป็นคนปกติทั่วไปแค่สามารถบรรลุวิถีการบ่มเพาะจนถึงจุดสูงสุดได้เพียงแค่อย่างเดียวมันก็เป็นความสำเร็จที่น่ายกย่องสูงสุดแล้ว แต่นี่นายท่านกลับรู้แจ้งไปหมดทุกแขนง นายท่านข้าขอถามท่านสักหน่อยได้ไหม การที่ท่านสามารถเป็นได้อย่างทุกวันนี้ได้ ท่านทำมันได้ยังไง?”

ซือโถวเหวินหยวนนั้นไม่เข้าใจจริง ๆ เนื่องจากแค่เขาเองที่ฝึกวิชาเก้าอักขระมนตราของสำนักเต๋าสวรรค์แค่เพียงอย่างเดียวก็แทบรากเลือดแล้ว

ไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปีมาแล้วที่เขาฝึกฝนมัน เขาก็ยังเพิ่งบรรลุอักขระได้แค่เพียง 3 คำเท่านั้น ส่วนที่เหลืออีก 6 คำเขายังไม่รู้เลยว่าจะบรรลุพวกมันจนครบได้ก่อนที่เขาจะตายหรือเปล่า

หลิงตู้ฉิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ไม่ยากเลย แค่ตราบใดที่เจ้ามีคู่ต่อกรจนมากพอ เจ้าก็จะรู้ทุกอย่างตามไปด้วยเอง”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ซือโถวเหวินหยวนก็ยิ่งแสดงสีหน้าเครียดหนัก

ถ้าหากเขาต้องการบรรลุวิชาหลาย ๆ แขนง นี่เขาจำเป็นต้องมีศัตรูเยอะ ๆ งั้นเหรอ?

อันที่จริงสิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ หลิงตู้ฉิงยังมีอีกประโยคหนึ่งที่อยากพูดก็คือ ‘ตราบใดที่เจ้าฆ่าศัตรูจนมากพอ เจ้าก็จะสามารถแย่งชิงสิ่งที่บรรดาศัตรูของเจ้ารู้มาเป็นของตัวเองได้มากขึ้นเท่านั้น!’

ในขณะที่ซือโถวเหวินหยวนกำลังนึกถึงจำนวนของศัตรูที่หลิงตู้ฉิงมีอยู่ เสี่ยวเยว่เฟิงก็ได้ตะโกนขึ้นจากด้านนอก “นายท่าน ก่อนที่พวกเราจะออกจากทะเลชางหมาง ข้าขอพาพวกเราไปที่เกาะน้ำเต้าก่อนได้ไหม? เกาะน้ำเต้าเป็นเกาะที่กลุ่มเสื้อคลุมโลหิตของข้าได้ตั้งฐานที่มั่นใหญ่เอาไว้ ข้าอยากจะกลับไปหาพวกเขาและโน้มน้าวให้พวกเขามาเข้าร่วมกับอาณาจักรจันทรา”

หลิงตู้ฉิงตอบกลับด้วยสีหน้าที่ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก “ตอนนี้พวกเรายังพอมีเวลาเหลืออยู่ ฉะนั้นหากเจ้าอยากเจอกับพวกของเจ้าก็เอาตามนั้น”

“ขอบคุณ นายท่าน” เสี่ยว่เฟิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น จากนั้นนางหันไปสั่งกงหนิวให้เปลี่ยนทิศมุ่งหน้าไปยังเกาะน้ำเต้า

เกาะน้ำเต้า เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในทะเลชางหมาง และด้วยรูปร่างของเกาะที่คล้ายกับผลน้ำเต้ามันจึงถูกตั้งชื่อเรียกเช่นนี้

และส่วนที่พวกเขากำลังจะมุ่งหน้าไปคือส่วนของเกาะที่รูปร่างคล้ายปากขวดน้ำเต้า

“นายท่าน เดี๋ยวเราคงต้องร่อนลงก่อนที่จะถึงที่หมาย” เสี่ยวเยว่เฟิงเอ่ยกับหลิงตู้ฉิง “เนื่องจากว่าชื่อเสียงของกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตนั้นค่อนข้างจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ถ้าหากว่ามีใครล่วงรู้ถึงตำแหน่งที่ตั้งของฐานเข้า ข้าเกรงว่าพวกเขาอาจจะถูกฆ่าล้างจนหมดไม่มีเหลือ”

“หรือต่อให้พวกเขาจะหนีรอดจากการถูกล้อม แต่ด้วยระยะที่ห่างของที่นี่กับอาณาจักรจันทรา กว่าที่พวกเขาจะหนีไปถึงอาณาจักรจันทรา จำนวนที่หนีรอดเหลือไปได้มันก็คงมีจำนวนไม่มาก”

หลิงตู้ฉิงเมื่อได้ยินคำอธิบายเขาก็ไม่ได้พูดอะไรตอบ และเมื่อรถม้าร่อนลงถึงพื้น ทุกคนก็ลงจากรถ ส่วนกงหนิวก็กลับร่างมนุษย์เพื่อไม่ให้เป็นที่เตะตาแก่ผู้พบเห็น

เมื่อเห็นว่าทุกคนพร้อมแล้ว เสี่ยวเยว่เฟิงจึงส่งสัญญาณให้กับพรรคพวกของนางรู้ว่านางได้มาถึงที่นี่แล้ว

หลังจากส่งสัญญาณออกไปเป็นเวลาเพียงครู่เดียว ชายชราผู้หนึ่งที่มีสีหน้าแข็งกระด้างซึ่งมีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตครึ่งสวรรค์ก็ได้บินเข้ามาหา

“ท่านลุงเหริ่น ทำไมถึงเป็นท่านที่ออกมารับข้าด้วยตัวเอง?” เสี่ยวเยว่เฟิงรีบถามขึ้นด้วยสีหน้างุนงง “ทุกคน นี่คือผู้อาวุโสของตระกูลข้า เหริ่นอี้ฟาง เขาได้อยู่กับตระกูลของข้ามาเป็นเวลาหลายปีแล้ว”

หลิงตู้ฉิงพยักหน้ามองไปยังเหริ่นอี้ฟาง แต่ไม่ได้พูดทักทายอะไรออกไป

เหริ่นอี้ฟางถามขึ้นด้วยสีหน้าระแวง “เฟิง คนพวกนี้เป็นใครกัน?”

เสี่ยวเยว่เฟิงหัวเราะและตอบว่า “ท่านลุงเหริ่น นี่คือเจ้านายของข้าและครอบครัวของเขา ข้าได้รับตำแหน่งให้เป็นสารถี ส่วนอีกคนคือ ซือโถวเหวินหยวน ซึ่งมาจากสำนักเต๋าสวรรค์ เขาเองก็เป็นผู้ติดตามของนายท่านของข้าเช่นกัน”

เมื่อได้ยินว่าเสี่ยวเยว่เฟิงได้กลายเป็นสารถีให้ใครไปแล้วก็ไม่รู้ สีหน้าของเหริ่นอี้ฟางก็มืดหม่นลงทันที เขาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าเป็นคนของภูเขาฟินิกซ์ของเรา ทำไมเจ้ากลับกลายไปเป็นสารถีให้กับคนอื่นไปได้? ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่มีอำนาจเหมือนเช่นก่อนแล้ว แต่เราก็ไม่ได้ตกต่ำถึงขนาดให้เจ้าไปรับใช้ไอ้…”

เสี่ยวเยว่เฟิง เมื่อเห็นท่าทีของเหริ่นอี้ฟางเช่นนี้ นางรีบพูดแทรกขึ้นทันที “เดี๋ยวก่อนท่านลุงเหริ่น ข้าเองเป็นคนที่เต็มใจรับใช้นายท่าน ด้วยความช่วยเหลือของนายท่านตอนนี้ข้าได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์อย่างเต็มตัวแล้ว แถมข้ายังควบแน่นร่างแท้ของฟีนิกซ์ได้แล้วอีกต่างหาก”

เสี่ยวเยว่เฟิงยิ้มและพูดต่อ “ความสำเร็จที่ข้ามีในวันนี้ทั้งหมด ต้องขอบคุณนายท่านของข้าทั้งหมด ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่สามารถที่จะเป็นอย่างเช่นทุกวันนี้ที่เป็นได้”

ถึงแม้ว่าจะได้ยินคำเยินยอเช่นนี้จากเสี่ยวเยว่เฟิง สีหน้าของเหริ่นอี้ฟางที่มองไปยังหลิงตู้ฉิงก็ยังคงไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด ๆ

“ก็ดีแล้วที่เจ้ากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ ดังนั้นเจ้าจงกลับไปที่ฐานบัญชาการหลักของเราเพื่อรับตำแหน่งคุ้มกันที่นั่นไว้ และอีกอย่างตอนนี้ข้าได้รับข่าวมาจากนายน้อยว่าเขาเพิ่งจะส่งคนเข้ามาที่ทะเลชางหมางเพื่อขยายอาณาเขตใหม่ เขาอาจจะต้องการความช่วยเหลือของเจ้า” เหริ่นอี้ฟางออกคำสั่ง

เสี่ยวเยว่เฟิงส่ายหัวและตอบกลับ “ข้าเกรงว่าข้าคงจะทำตามที่ท่านบอกไม่ได้ ตอนนี้ข้ายังมีหน้าที่ต้องไปส่งนายท่านของข้าที่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ในที่สุดเหริ่นอี้ฟางก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นตื่นเต้นพร้อมกับถามไปยังหลิงตู้ฉิง “นี่พวกเจ้ามีกุญแจเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับงั้นเหรอ?”

หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบกลับ “ถูกต้องแล้ว”

เหริ่นอี้ฟาง เมื่อได้รับการยืนยันจากหลิงตู้ฉิง เขารีบพูดขึ้นทันที “นายน้อยของข้ากำลังต้องการกุญแจนี่อยู่พอดี ข้าหวังว่าเจ้าคงจะตกลงมอบที่ว่างสำหรับเข้าในไปเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับให้กับนายน้อยของข้า”

“ไม่มีทาง” หลิงตู้ฉิงตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย

เหริ่นอี้ฟางสีหน้าเป็นเป็นน่าเกลียดทันทีเมื่อได้รับคำตอบเช่นนี้ เขาหันหน้าไปมองเสี่ยวเยว่เฟิง และพูดว่า “ข้าหวังว่าเจ้าจะโน้มน้าวเขาให้ตกลงได้ ไม่งั้นพวกเขากับข้าก็คงไม่ต้องคุยอะไรกันอีกแล้ว”

เสี่ยวเยว่เฟิงเงียบอยู่สักพัก จากนั้นนางจึงตอบกลับว่า “ท่านลุงเหริ่น ถ้าอย่างนั้นข้าขอฝากทักทายทุกคนด้วย ตอนนี้ข้าคงต้องขอตัวลาก่อนก็แล้วกัน”

เมื่อพูดจบ เสี่ยวเยว่เฟิงก็ได้นำรถม้าออกมาจากแหวนมิติของนางทันที และเตรียมที่จะบอกให้หลิงตู้ฉิงขึ้นรถม้าไปจากที่นี่

แต่ว่าก่อนที่นางจะได้เรียกหลิงตู้ฉิง เหริ่นอี้ฟางได้พูดขึ้นว่า “ข้าเพิ่งบอกให้เจ้าต้องอยู่ที่นี่เพื่อคุ้มครองฐานบัญชาการของเรา เพราะตอนนี้พวกเรากำลังต้องการผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ และนายน้อยเองก็คงต้องการตัวของเจ้าเช่นกัน ฉะนั้นเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้จากไป!”

หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดขึ้น “เฟิง ขึ้นรถ พวกเราควรไปกันได้แล้ว!”

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) 259 เหนือกฎเกณฑ์

Now you are reading พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) Chapter 259 เหนือกฎเกณฑ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 259 เหนือกฎเกณฑ์

หลิงว่านจุน ในตอนนี้ไม่ได้มองว่านี่คือการเล่นหมากรุกอีกต่อไปแล้ว เขารู้สึกว่าตอนนี้เขาอยู่ในสนามรบมากกว่า

และตอนนี้เขารู้สึกได้ถึงอันตราย เขาจึงพยายามวางแนวป้องกันอย่างสุดชีวิต

หลิงตู้ฉิงที่กำลังรอให้หลิงว่านจุนวางแนวป้องกันใกล้เสร็จ จากนั้นเขาส่งเบี้ยของตนเองบุกเข้าปะทะทันที

เมื่อเห็นว่าฝั่งตรงข้ามเริ่มบุกกดดันเข้ามาจนแทบจะจ่อคอหอยเขาอยู่แล้ว เมื่อเจอสถานการณ์เช่นนี้จึงเป็นธรรมดาที่หลิงว่านจุนจะต้องตอบโต้ เขาส่งเบี้ยทหารของตนเองที่อยู่ตรงกลางกระดานเข้าปะทะกับเบี้ยทหารของฝั่งตรงข้ามทันที

แต่เมื่อเขาส่งทหารเข้าปะทะ วินาทีต่อมาเบี้ยทหารของเขาก็ถูกทำลายสลายหายไปจากกระดาน

สถานการณ์เช่นนี้เป็นสถานการณ์ที่แปลกเป็นอย่างมาก เนื่องจากตามปกติแล้วมันควรเป็นเบี้ยของเขาที่มันควรจะเป็นฝั่งถูกส่งไปกินเบี้ยของฝั่งตรงข้าม แต่นี่มันกลับกลายเป็นว่าฝั่งของเขาถูกกินไปซะอย่างนั้น

จากนั้น หลิงตู้ฉิงก็ยังคงใช้เบี้ยทหารตัวเดิมบุกตรงเข้ามาทางเลนกลางของกระดานลึกเข้ามาเรื่อย ๆ ซึ่งมันดูขัดกับทุกหลักการ การเล่นหมากรุกเป็นอย่างมาก

แต่ถึงแม้ว่าจะเห็นการเดินหมากเช่นนี้ หลิงว่านจุนเองก็ไม่รู้สึกว่ามันไร้เหตุผลหรือขัดกับกฎแต่อย่างใด เขายังคงส่งบรรดาหมากของเขาทุกตัวเข้าระดมโจมตีหมากทหารของหลิงตู้ฉิง

แต่น่าเสียดายที่เบี้ยทหารของหลิงตู้ฉิงนั้นถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายสังหาร แม้ว่ามันจะถูกโจมตีโดยหมากประเภทไหนของหลิงว่านจุน มันยังคงเดินหน้าและกินหมากที่เข้าปะทะกับมันอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งหมากทุกตัวที่ถูกกินหายไปนั้นมันยังส่งผลให้เหล่าทหารของหลิงว่านจุนที่ยืนแถวอยู่ด้านหลังค่อย ๆ หมดสติลงไปทีละกลุ่มทีละกลุ่ม

หลิงว่านจุนที่เห็นภาพเช่นนี้ บนหน้าผากของเขาก็เริ่มมีเหงื่อแตกผลักออกมาจนชุ่ม เมื่อเขารู้ว่าตัวเองไม่มีโอกาสอีกแล้วแน่นอน เขาจึงนั่งหลับตาเพื่อรอการถูกพิชิตแต่โดยดี

หลิงตู้ฉิงเมื่อเห็นเช่นนั้นเขาจึงไม่รอช้ากินหมากตัวสุดท้ายของลูกชายเขาอย่างโหดเหี้ยม ส่งผลให้หลิงว่านจุนหมดสติลงไปทันที

หลังจากนั้นหลิงตู้ฉิงเองก็ได้นั่งรออยู่ที่จุดนั้นไม่ขยับไปไหน จนหลิงว่านจุนและบรรดาทหารของเขาค่อย ๆ ตื่นขึ้น

เมื่อหลิงว่านจุนตื่นขึ้นและความทรงจำก่อนหน้าที่เขาจะหมดสติได้กลับคืนมา เขาจึงเริ่มตะโกนโวยวายขึ้นทันที “ท่านพ่อ! ท่านน่าไม่อาย! ท่านโกงข้า! มันจะเป็นไปได้ยังไงที่เบี้ยทหารมันจะเก่งขนาดนั้น?!”

“เจ้าทำหยั่งกะเจ้าไม่เคยแพ้พ่อมาก่อนอย่างนั้นแหละ” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “และเจ้าอย่าลืมสิว่าจะมีเบี้ยทหารที่เก่งแบบนี้บ้างไม่ได้หรือยังไง ถ้าให้พ่อยกตัวอย่างก็เช่นเหล่ากองทหารของลุงสามจองเจ้านั่นไงล่ะ”

หลิงว่านจุนเมื่อได้ยินแบบนี้ก็เงียบลง

หลิงตู้ฉิงตบไปที่ไหล่ของหลิงว่านจุน และพูดว่า “เจ้าลองนำหมากกระดานนี้กลับไปทบทวนดูให้ดี ๆ มันจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าในอนาคตเป็นอย่างมาก”

หลิงว่านจุนพยักหน้าอย่างหนักแน่น

“เอาล่ะ มันถึงเวลาที่พ่อต้องไปแล้ว พวกเจ้าสองพี่น้องระวังตัวกันให้ดี ๆ ด้วยล่ะ” พูดจบหลิงตู้ฉิงก็เดินกลับขึ้นไปบนรถม้าด้วยรอยยิ้ม และกงหนิวก็ลากรถม้าพุ่งขึ้นหายไปบนท้องฟ้าภายในพริบตา

หลิงว่านจุน เมื่อเห็นว่าพ่อของเขาได้จากไปแล้ว เขาจึงเดินกลับเข้าไปที่เต้นท์บัญชาการ เพื่อทำการวางแผนการรบใหม่ทั้งหมดจากความเข้าใจที่เขาได้มาใหม่จากหลิงตู้ฉิง

ส่วนหลิงยู่ชานเองก็ตามหลิงว่านจุนเข้าไปดูแผนการรบใหม่ในเต้นท์เช่นกัน ส่งผลให้การเดินทัพจึงต้องหยุดลงชั่วคราว

ด้วยเหตุผลที่พวกเขาต้องปรับแผนการรบใหม่ให้ดีขึ้นกว่าเดิม

ทางด้านในรถม้า หลิวเฟ่ยเฟ่ยได้ถามหลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าสงสัย “สามี หมากรุกนั่นก็เป็นวิถีการบ่มเพาะอีกวิถีหนึ่งอย่างนั้นรึเปล่า?”

“ถูกต้อง!” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า

ซือโถวเหวินหยวนถอนหายใจและพูดว่า “เฮ้อ…ถ้าเป็นคนปกติทั่วไปแค่สามารถบรรลุวิถีการบ่มเพาะจนถึงจุดสูงสุดได้เพียงแค่อย่างเดียวมันก็เป็นความสำเร็จที่น่ายกย่องสูงสุดแล้ว แต่นี่นายท่านกลับรู้แจ้งไปหมดทุกแขนง นายท่านข้าขอถามท่านสักหน่อยได้ไหม การที่ท่านสามารถเป็นได้อย่างทุกวันนี้ได้ ท่านทำมันได้ยังไง?”

ซือโถวเหวินหยวนนั้นไม่เข้าใจจริง ๆ เนื่องจากแค่เขาเองที่ฝึกวิชาเก้าอักขระมนตราของสำนักเต๋าสวรรค์แค่เพียงอย่างเดียวก็แทบรากเลือดแล้ว

ไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปีมาแล้วที่เขาฝึกฝนมัน เขาก็ยังเพิ่งบรรลุอักขระได้แค่เพียง 3 คำเท่านั้น ส่วนที่เหลืออีก 6 คำเขายังไม่รู้เลยว่าจะบรรลุพวกมันจนครบได้ก่อนที่เขาจะตายหรือเปล่า

หลิงตู้ฉิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ไม่ยากเลย แค่ตราบใดที่เจ้ามีคู่ต่อกรจนมากพอ เจ้าก็จะรู้ทุกอย่างตามไปด้วยเอง”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ซือโถวเหวินหยวนก็ยิ่งแสดงสีหน้าเครียดหนัก

ถ้าหากเขาต้องการบรรลุวิชาหลาย ๆ แขนง นี่เขาจำเป็นต้องมีศัตรูเยอะ ๆ งั้นเหรอ?

อันที่จริงสิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ หลิงตู้ฉิงยังมีอีกประโยคหนึ่งที่อยากพูดก็คือ ‘ตราบใดที่เจ้าฆ่าศัตรูจนมากพอ เจ้าก็จะสามารถแย่งชิงสิ่งที่บรรดาศัตรูของเจ้ารู้มาเป็นของตัวเองได้มากขึ้นเท่านั้น!’

ในขณะที่ซือโถวเหวินหยวนกำลังนึกถึงจำนวนของศัตรูที่หลิงตู้ฉิงมีอยู่ เสี่ยวเยว่เฟิงก็ได้ตะโกนขึ้นจากด้านนอก “นายท่าน ก่อนที่พวกเราจะออกจากทะเลชางหมาง ข้าขอพาพวกเราไปที่เกาะน้ำเต้าก่อนได้ไหม? เกาะน้ำเต้าเป็นเกาะที่กลุ่มเสื้อคลุมโลหิตของข้าได้ตั้งฐานที่มั่นใหญ่เอาไว้ ข้าอยากจะกลับไปหาพวกเขาและโน้มน้าวให้พวกเขามาเข้าร่วมกับอาณาจักรจันทรา”

หลิงตู้ฉิงตอบกลับด้วยสีหน้าที่ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก “ตอนนี้พวกเรายังพอมีเวลาเหลืออยู่ ฉะนั้นหากเจ้าอยากเจอกับพวกของเจ้าก็เอาตามนั้น”

“ขอบคุณ นายท่าน” เสี่ยว่เฟิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น จากนั้นนางหันไปสั่งกงหนิวให้เปลี่ยนทิศมุ่งหน้าไปยังเกาะน้ำเต้า

เกาะน้ำเต้า เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในทะเลชางหมาง และด้วยรูปร่างของเกาะที่คล้ายกับผลน้ำเต้ามันจึงถูกตั้งชื่อเรียกเช่นนี้

และส่วนที่พวกเขากำลังจะมุ่งหน้าไปคือส่วนของเกาะที่รูปร่างคล้ายปากขวดน้ำเต้า

“นายท่าน เดี๋ยวเราคงต้องร่อนลงก่อนที่จะถึงที่หมาย” เสี่ยวเยว่เฟิงเอ่ยกับหลิงตู้ฉิง “เนื่องจากว่าชื่อเสียงของกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตนั้นค่อนข้างจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ถ้าหากว่ามีใครล่วงรู้ถึงตำแหน่งที่ตั้งของฐานเข้า ข้าเกรงว่าพวกเขาอาจจะถูกฆ่าล้างจนหมดไม่มีเหลือ”

“หรือต่อให้พวกเขาจะหนีรอดจากการถูกล้อม แต่ด้วยระยะที่ห่างของที่นี่กับอาณาจักรจันทรา กว่าที่พวกเขาจะหนีไปถึงอาณาจักรจันทรา จำนวนที่หนีรอดเหลือไปได้มันก็คงมีจำนวนไม่มาก”

หลิงตู้ฉิงเมื่อได้ยินคำอธิบายเขาก็ไม่ได้พูดอะไรตอบ และเมื่อรถม้าร่อนลงถึงพื้น ทุกคนก็ลงจากรถ ส่วนกงหนิวก็กลับร่างมนุษย์เพื่อไม่ให้เป็นที่เตะตาแก่ผู้พบเห็น

เมื่อเห็นว่าทุกคนพร้อมแล้ว เสี่ยวเยว่เฟิงจึงส่งสัญญาณให้กับพรรคพวกของนางรู้ว่านางได้มาถึงที่นี่แล้ว

หลังจากส่งสัญญาณออกไปเป็นเวลาเพียงครู่เดียว ชายชราผู้หนึ่งที่มีสีหน้าแข็งกระด้างซึ่งมีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตครึ่งสวรรค์ก็ได้บินเข้ามาหา

“ท่านลุงเหริ่น ทำไมถึงเป็นท่านที่ออกมารับข้าด้วยตัวเอง?” เสี่ยวเยว่เฟิงรีบถามขึ้นด้วยสีหน้างุนงง “ทุกคน นี่คือผู้อาวุโสของตระกูลข้า เหริ่นอี้ฟาง เขาได้อยู่กับตระกูลของข้ามาเป็นเวลาหลายปีแล้ว”

หลิงตู้ฉิงพยักหน้ามองไปยังเหริ่นอี้ฟาง แต่ไม่ได้พูดทักทายอะไรออกไป

เหริ่นอี้ฟางถามขึ้นด้วยสีหน้าระแวง “เฟิง คนพวกนี้เป็นใครกัน?”

เสี่ยวเยว่เฟิงหัวเราะและตอบว่า “ท่านลุงเหริ่น นี่คือเจ้านายของข้าและครอบครัวของเขา ข้าได้รับตำแหน่งให้เป็นสารถี ส่วนอีกคนคือ ซือโถวเหวินหยวน ซึ่งมาจากสำนักเต๋าสวรรค์ เขาเองก็เป็นผู้ติดตามของนายท่านของข้าเช่นกัน”

เมื่อได้ยินว่าเสี่ยวเยว่เฟิงได้กลายเป็นสารถีให้ใครไปแล้วก็ไม่รู้ สีหน้าของเหริ่นอี้ฟางก็มืดหม่นลงทันที เขาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าเป็นคนของภูเขาฟินิกซ์ของเรา ทำไมเจ้ากลับกลายไปเป็นสารถีให้กับคนอื่นไปได้? ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่มีอำนาจเหมือนเช่นก่อนแล้ว แต่เราก็ไม่ได้ตกต่ำถึงขนาดให้เจ้าไปรับใช้ไอ้…”

เสี่ยวเยว่เฟิง เมื่อเห็นท่าทีของเหริ่นอี้ฟางเช่นนี้ นางรีบพูดแทรกขึ้นทันที “เดี๋ยวก่อนท่านลุงเหริ่น ข้าเองเป็นคนที่เต็มใจรับใช้นายท่าน ด้วยความช่วยเหลือของนายท่านตอนนี้ข้าได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์อย่างเต็มตัวแล้ว แถมข้ายังควบแน่นร่างแท้ของฟีนิกซ์ได้แล้วอีกต่างหาก”

เสี่ยวเยว่เฟิงยิ้มและพูดต่อ “ความสำเร็จที่ข้ามีในวันนี้ทั้งหมด ต้องขอบคุณนายท่านของข้าทั้งหมด ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่สามารถที่จะเป็นอย่างเช่นทุกวันนี้ที่เป็นได้”

ถึงแม้ว่าจะได้ยินคำเยินยอเช่นนี้จากเสี่ยวเยว่เฟิง สีหน้าของเหริ่นอี้ฟางที่มองไปยังหลิงตู้ฉิงก็ยังคงไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด ๆ

“ก็ดีแล้วที่เจ้ากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ ดังนั้นเจ้าจงกลับไปที่ฐานบัญชาการหลักของเราเพื่อรับตำแหน่งคุ้มกันที่นั่นไว้ และอีกอย่างตอนนี้ข้าได้รับข่าวมาจากนายน้อยว่าเขาเพิ่งจะส่งคนเข้ามาที่ทะเลชางหมางเพื่อขยายอาณาเขตใหม่ เขาอาจจะต้องการความช่วยเหลือของเจ้า” เหริ่นอี้ฟางออกคำสั่ง

เสี่ยวเยว่เฟิงส่ายหัวและตอบกลับ “ข้าเกรงว่าข้าคงจะทำตามที่ท่านบอกไม่ได้ ตอนนี้ข้ายังมีหน้าที่ต้องไปส่งนายท่านของข้าที่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ในที่สุดเหริ่นอี้ฟางก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นตื่นเต้นพร้อมกับถามไปยังหลิงตู้ฉิง “นี่พวกเจ้ามีกุญแจเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับงั้นเหรอ?”

หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบกลับ “ถูกต้องแล้ว”

เหริ่นอี้ฟาง เมื่อได้รับการยืนยันจากหลิงตู้ฉิง เขารีบพูดขึ้นทันที “นายน้อยของข้ากำลังต้องการกุญแจนี่อยู่พอดี ข้าหวังว่าเจ้าคงจะตกลงมอบที่ว่างสำหรับเข้าในไปเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับให้กับนายน้อยของข้า”

“ไม่มีทาง” หลิงตู้ฉิงตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย

เหริ่นอี้ฟางสีหน้าเป็นเป็นน่าเกลียดทันทีเมื่อได้รับคำตอบเช่นนี้ เขาหันหน้าไปมองเสี่ยวเยว่เฟิง และพูดว่า “ข้าหวังว่าเจ้าจะโน้มน้าวเขาให้ตกลงได้ ไม่งั้นพวกเขากับข้าก็คงไม่ต้องคุยอะไรกันอีกแล้ว”

เสี่ยวเยว่เฟิงเงียบอยู่สักพัก จากนั้นนางจึงตอบกลับว่า “ท่านลุงเหริ่น ถ้าอย่างนั้นข้าขอฝากทักทายทุกคนด้วย ตอนนี้ข้าคงต้องขอตัวลาก่อนก็แล้วกัน”

เมื่อพูดจบ เสี่ยวเยว่เฟิงก็ได้นำรถม้าออกมาจากแหวนมิติของนางทันที และเตรียมที่จะบอกให้หลิงตู้ฉิงขึ้นรถม้าไปจากที่นี่

แต่ว่าก่อนที่นางจะได้เรียกหลิงตู้ฉิง เหริ่นอี้ฟางได้พูดขึ้นว่า “ข้าเพิ่งบอกให้เจ้าต้องอยู่ที่นี่เพื่อคุ้มครองฐานบัญชาการของเรา เพราะตอนนี้พวกเรากำลังต้องการผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ และนายน้อยเองก็คงต้องการตัวของเจ้าเช่นกัน ฉะนั้นเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้จากไป!”

หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดขึ้น “เฟิง ขึ้นรถ พวกเราควรไปกันได้แล้ว!”

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+