พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) 349 ร่างหยินทมิฬ

Now you are reading พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) Chapter 349 ร่างหยินทมิฬ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 349 ร่างหยินทมิฬ

เมื่อเข้ามาในห้อง หลิวเฟ่ยเฟ่ยยิ้มทันที “สามี ภรรยาของท่านมาแล้ว!”

หลิงตู้ฉิงไม่ได้พูดอะไรตอบโต้นาง แต่เขากลับยื่นหยกจันทราเยือกแข็งให้กับหลิวเฟ่ยเฟ่ยแทน

หลังจากฝึกฝนวิชาดรุณีเยือกแข็งมาเป็นเวลานาน หลิวเฟ่ยเฟ่ยจึงรู้ดีว่านางต้องการอะไร นางเข้าใจว่าทำไมหลิงตู้ฉิงถึงไม่เลือกกระดูกศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับเลือกหยกจันทราเยือกแข็ง จากตำหนักเทพเหมันต์

นั่นเป็นเพราะหลิงตู้ฉิงต้องการนำหยกจันทราเยือกแข็งมาให้กับนาง

“สามี ข้าคิดว่าหากข้าหลอมรวมหยกจันทราเยือกแข็งเข้ากับร่างกายของข้าเมื่อไหร่ ข้าคิดว่าร่างของข้าคงจะต้องบรรลุไปถึงระดับ ร่างหยินทมิฬ แน่นอน!” หลิวเฟ่ยเฟ่ยพูดขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น

หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ถูกต้อง! และเมื่อร่างกายของเจ้าพัฒนาจนไปถึงระดับร่างหยินทมิฬเมื่อไหร่ ความแข็งแกร่งของเจ้าจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด!”

“เป็นเพราะข้า สามีของข้าเลยไม่ได้รับกระดูกศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งข้าต้องขออภัยต่อท่านด้วยจริง ๆ ”

หลิงตู้ฉิงหัวเราะและพูดว่า “มันก็แค่กระดูกศักดิ์สิทธิ์ชิ้นเดียวเท่านั้นเอง สำหรับข้ามันก็เป็นแค่วัตถุที่ไว้ใช้สร้างสมบัติวิเศษเท่านั้น ถ้าข้าอยากได้มันในไม่ช้าก็เร็วข้าก็หามันมาได้ไม่ยากนักหรอก”

“ซึ่งถ้านำมาเทียบกับการที่จะทำให้เจ้าพัฒนาร่างกายไปถึงระดับร่างหยินทมิฬนั้นย่อมสำคัญกว่าแน่นอน ถึงแม้ว่าเจ้าจะบรรลุพลังไปถึงระดับน้ำแข็งทมิฬได้แล้ว แต่เมื่อเทียบกับมี่ไลและคนอื่น ๆ เจ้าก็ยังคงอ่อนแอกว่า แต่เมื่อไหร่ที่เจ้าพัฒนาร่างกายไปถึงระดับร่างหยินทมิฬได้ ปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำของพลังของเจ้าและคนอื่น ๆ ก็จะหมดไป”

“เข้าใจแล้วสามี งั้นข้าจะพัฒนาร่างของข้าให้เร็วที่สุด!” แต่ก่อนที่หลิวเฟ่ยเฟ่ยจะจากไป นางก็เหลือบมองไปที่หลิงตู้ฉิง “ว่าแต่สามี ก่อนข้าจะไปท่านต้องการให้ข้าปรนนิบัติท่านก่อนไหม?”

“ไม่จำเป็น ตอนนี้เจ้าจงรีบไปพัฒนาร่างของเจ้าก่อนเถอะ!” หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดขึ้น “กล้วยไม้หยกนั่นมันจะปรากฏขึ้นในอีกไม่ช้า ดังนั้นเจ้าจงรีบพัฒนาร่างของเจ้าให้เร็วที่สุด”

หลิวเฟ่ยเฟ่ยพยักหน้า พลางหยิบหยกจันทราเยือกแข็ง และรีบเดินกลับห้องของนางเพื่อไปฝึกฝนต่อทันที

และในขณะเดียวกับที่หลิงตู้ฉิงเสร็จสิ้นจากการเตรียมการทุกอย่างให้กับคนในครอบครัวของเขา ปิงยู่หลางและครอบครัวของเขาก็มาถึงที่เรือนพอดี

เนื่องจากที่อยู่ของหลิงตู้ฉิงนั้นไม่ได้ถูกปกปิดเป็นความลับอะไรนัก ฉะนั้นมันจึงหาได้ง่ายมากและโดยเฉพาะถ้าหากยังไม่พูดถึงที่ลั่วหยุนก็ได้เอ่ยบอกไว้กับพวกเขาแล้วเช่นกัน

“ท่านหลิง ข้าน้อยผู้นี้คือ ปิงเจิ้งซู จากตำหนักเทพเหมันต์ ที่ข้ามาเยี่ยมท่านในครั้งนี้เนื่องจากข้าอยากจะฝากลูกชายของข้า ปิงยู่หลาง ให้ติดตามท่านไปสู่​​เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ เมื่อถึงเวลานั้นโปรดท่านกรุณาช่วยดูแลลูกชายของข้าด้วย!” ปิงเจิ้งซูพูดกับหลิงตู้ฉิงด้วยน้ำเสียงเคารพ

ในท้ายที่สุดเขาก็เลือกที่จะเชื่อลั่วหยุน และพาลูกชายของเขามาพบหลิงตู้ฉิงล่วงหน้า

เมื่อพูดจบเขาก็มอบวัสดุ 15 ชิ้นและพูดกับหลิงตู้ฉิงว่า “นี่เป็นวัสดุทั้งหมดที่ท่านหลิงต้องการ ทางเราได้เตรียมพวกมันมาให้ท่านที่นี่ทั้งหมดแล้ว โปรดเชิญตรวจสอบดูก่อน”

หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “ถ้างั้นก็ให้ลูกชายของเจ้ามาอยู่กับข้าก่อน ข้าสามารถนำเขาเข้าไปในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับด้วยกันกับข้าได้ แต่ข้าจะทำเพียงแค่นำเขาเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับเท่านั้น หลังจากเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับลูกของเจ้าด้านในข้าจะถือว่าไม่ใช่เรื่องเรื่องของข้าอีกต่อไป จะว่าไปถ้าลูกชายของเจ้ากลายเป็นศัตรูของข้าในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ ข้าก็อาจจะไม่ละเว้นเขา”

ปิงเจิ้งซูขมวดคิ้วแล้วยิ้ม “ข้าไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรแบบนั้นขึ้นแน่นอนท่านหลิง!”

ปิงเจิ้งซูตอบพลางคิดในใจว่า เนื่องจากทั้งสองคนไม่ได้อยู่ในขอบเขตเดียวกัน มันจึงน่าจะเป็นไปยากที่พวกเขาจะกระทบกระทั่งกัน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ใส่ใจ

หลิงตู้ฉิงสลับมองไปยังปิงเจิ้งซู และปิงยู่หลาง จากนั้นก็หันกลับไปมองที่ปิงเจิ้งซู และพูดว่า “เอาล่ะ ในเมื่อตอนนี้เจ้าส่งเขาเสร็จเรียบร้อย เจ้าก็จงออกไปได้แล้ว”

คิ้วของปิงเจิ้งซูกระตุก เขายังคงฝืนยิ้มและพูดว่า “นอกจากลูกชายของข้าแล้วยังมีคนรับใช้เก่าที่จะคอยดูแลลูกชายของข้า ข้าหวังว่าท่านหลิงจะอนุญาตให้เขาอยู่ด้วย”

“อืม!” หลิงตู้ฉิงโบกมือส่งสัญญาณให้ปิงเจิ้งซูออกไป

ปิงเจิ้งซูแอบส่ายหัวอย่างลับ ๆ โดยคิดว่าเขาเองที่เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุด ซึ่งกำลังจะทะลวงไปสู่ขอบเขตถัดไปได้อยู่แล้ว แต่หลิงตู้ฉิงกลับทำตัวหยาบคายกับเขาเป็นอย่างมาก ไม่ว่าในอดีตเขาจะวิเศษวิโสมากสักแค่ไหน แต่ตอนนี้เขายังอยู่แค่ขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 10 เพียงเท่านั้น ไม่ใช่ว่าเขาควรจะทำตัวให้เกียรติผู้อื่นบ้างสักหน่อยจะไม่ได้เลยงั้นเหรอไง?

แม้ว่าเขาจะพึมพำในใจ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา หลังจากสั่งปิงยู่หลางแล้วเขาก็ทิ้งคนรับใช้ผู้ซึ่งมีระดับการบ่มเพาะอยู่ในระดับนักบุญไว้ให้ปกป้องลูกชายของเขา จากนั้นเขาจึงออกจากเรือนของหลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ

แน่นอนว่าเขายังไม่ได้กลับไปที่ตำหนักเทพเหมันต์ เนื่องจากปรากฎการณ์การเบ่งบานของกล้วยไม้หยกที่กำลังจะเกิดขึ้นในเมืองหยูหลัน ปิงเจิ้งซูจึงตั้งใจว่าจะอยู่รอดูปรากฎการณ์นี้ให้จบก่อน จากนั้นเขาค่อยจากไป

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังสามารถอาศัยโอกาสนี้ในการจับตาดูหลิงตู้ฉิงได้อย่างใกล้ชิดด้วยอีกต่างหาก

ปิงยู่หลางรอจนกระทั่งพ่อแม่ของเขาจากไป ก่อนที่เขาจะยิ้มและพูดกับหลิงตู้ฉิงว่า “พี่หลิง โปรดดูแลข้าด้วย”

เขามองไปที่หลิงตู้ฉิง ซึ่งดูแล้วน่าจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา เขาจึงไม่ต้องการที่จะเรียกหลิงตู้ฉิงว่า ‘ท่าน’ แต่เขาใช้คำพูดว่า ‘พี่’ แทน ซึ่งทำให้พวกเขาดูสนิทกันมากขึ้น

หลิงตู้ฉิงมองไปที่ปิงยู่หลาง และพูดกับเสี่ยวเยว่เฟิง “เฟิง บอกกฎที่นี่กับเขา”

หลังจากนั้นเขาก็ไม่สนใจปิงยู่หลางอีกต่อไป และไม่สนใจถึงความเจ้าชู้ของปิงยู่หลางด้วยซ้ำ

เมื่อเสี่ยวเยว่เฟิงกำลังจะบอกปิงยู่หลางเกี่ยวกับกฎ สีเป่ยเซียะก็เดินเข้ามาพร้อมกับหลานชายของนาง

นางได้พบกับหลิงตู้ฉิงมาแล้วอยู่ 2-3 ครั้ง แถมยังคุ้นเคยกับเย่ชิงเฉิงอยู่พอสมควร ดังนั้นนางจึงทำตัวตามสบายเมื่อมาหาหลิงตู้ฉิงรอบนี้

“ดูเหมือนว่ารอบนี้ท่านจะได้ลาภไปไม่น้อยเลยสินะ?” สีเป่ยเซียะพูดด้วยรอยยิ้ม “แต่ที่ท่านเลือกที่จะปฏิเสธกระดูกศักดิ์สิทธิ์ไปนั้น ข้าว่ามันดูน่าเสียของไปสักหน่อย ท่านน่าจะลองคำนึงถึงข้อที่ว่าสันเขาทรราชสามารถนำเอากระดูกศักดิ์สิทธิ์ออกมาประมูลได้ มันก็ต้องแสดงว่าพวกเขาได้นำของล้ำค่าหลายอย่างติดตัวมาแน่นอน ถ้าเป็นข้า ข้าจะรีดพวกเขาให้หมดตัวกันเลยทีเดียว”

หลิงตู้ฉิงพูดว่า “ข้าไม่ใช่เจ้าสักหน่อย!”

สีเป่ยเซียะหัวเราะและพูดว่า “เอาล่ะ ๆ ช่างมันเถอะเรื่องมันก็ผ่านไปแล้วน่ะนะ นี่คือหลานชายของข้าชื่อ สีอี้เฉิง ในเมื่อไหน ๆ เราก็เป็นคนคุ้นเคยกันอยู่แล้ว ฉะนั้นข้าขอฝากวานท่านช่วยดูแลหลานชายคนนี้ให้ข้าจนกว่าประตูเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับจะเปิดขึ้นสักหน่อยก็แล้วกัน! ว่าแต่ ข้ายังไม่ได้ถามท่านเลย สรุปแล้วท่านจะเข้าไปด้านในด้วยรึเปล่า?”

หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและตอบกลับว่า “ข้าเคยพูดไปก่อนหน้านี้แล้วว่าข้ามีหน้าที่แค่มอบสิทธิ์ให้กับพวกเจ้าและข้าจะไม่ทำอะไรอย่างอื่นให้อีก แต่ถ้าเจ้าต้องการให้ข้าดูแลคนของเจ้าแล้วจริง ๆ ล่ะก็ เจ้าก็จงกลับไปที่สำนักของเจ้าแล้วนำแร่ทองคำศักดิ์สิทธิ์มาให้กับข้า แล้วข้าจะตกลงดูแลคนของเจ้าให้”

สีเป่ยเซียะตะคอก “ท่านนี่มันอภิมหาหน้าเงินจริง ๆ อะไร ๆ ก็เป็นเงินเป็นของล้ำค่าไปหมด! ช่างเถอะข้าขี้เกียจจะคุยอะไรต่อกับท่านแล้ว ข้าจะไปหาน้องชิงเฉิง น้องชิงเฉิงอยู่ที่ไหนกันตอนนี้? ส่วนอี้เฉิง เจ้านั่งรอป้าอยู่ที่นี่และดูลุงหลิงของเจ้าหลอมโอสถ!”

เมื่อได้ยินคำสั่งของป้าของเขา เหงื่อเม็ดโต ๆ ก็ได้ผุดขึ้นมาบนหน้าผากของสีอี้เฉิงอย่างช่วยไม่ได้ นี่นางกำลังขอให้เขาเรียกหลิงตู้ฉิงว่าลุงงั้นเหรอ?

ในแง่ของวิถีการบ่มเพาะ เขานั้นอยู่ที่ขอบเขตรวมแสงดาราแล้วแถมเขายังไม่ชอบการหลอมโอสถอีกต่างหาก

“เอ่อ…ท่านป้า ข้าคิดว่าข้าจะขอตัวไปนั่งรออยู่ด้านนอกเพื่อบ่มเพาะสักหน่อย เอ๊ะจริงสิ! เมื่อครู่ข้าเห็นว่าคนของตำหนักเทพเหมันต์ก็มาที่นี่เช่นกัน ข้าขอไปทักทายพวกเขาสักหน่อยจะดีกว่า เผื่อไว้เมื่อถึงเวลาที่ข้ากับพวกเขาไปเจอกันข้างใน หากมีอะไรเกิดขึ้นเราจะได้ช่วยเหลือกันได้”

สีเป่ยเซียะมองไปที่สีอี้เฉิงที่จากไปและถอนหายใจ เด็กคนนี้ไม่เข้าใจเลยใช่ไหมว่านางกำลังให้โอกาสเขา? นางหันกลับมาและถามหลิงตู้ฉิง “ท่านคิดอย่างไรกับหลานชายของข้า?”

“ไม่ยอดเยี่ยมเท่ากับลูกชายของข้า” หลิงตู้ฉิงตอบกลับด้วยสีหน้านิ่ง

“ข้าเองก็รู้สึกว่าพื้นฐานของเขาไม่ค่อยจะดีนัก หลานข้าคนนี้เกิดจากผู้หญิงที่อาศัยอยู่ในอาณาเขตนภานั่นแหละ น้องชายของข้าตกหลุมรักผู้หญิงคนนั้นเข้าอย่างจังเลยทีเดียว นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมน้องชายของข้าถึงไม่จำเป็นต้องตัดสินใจเลยว่าจะให้ใครได้รับสิทธิ์การเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงไปนอกจาก อี้เฉิง” สีเป่ยเซียะหัวเราะ “ว่าแต่เต๋าอักขระเวทย์และค่ายกลของท่านนั้นลึกล้ำเป็นอย่างมาก ทำไมท่านถึงไม่ช่วยชี้แนะให้น้องชายของข้าบ้าง ข้ารู้สึกว่าเขาน่าจะไปได้สวยกับเต๋าอักขระเวทย์อยู่พอสมควร”

หลิงตู้ฉิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เราค่อยคุยกันเรื่องนี้เมื่อถึงเวลา!”

สีเป่ยเซียะหัวเราะ “งั้นก็เอาแบบนี้ก็แล้วกัน เศษดาวหางทองคำก้อนนี้ถือว่าเป็นค่าชี้แนะของน้องชายข้าล่วงหน้า!”

หลิงตู้ฉิงรับเศษดาวหางทองคำที่ถูกโยนมาโดยไม่พูดอะไร

สีเป่ยเซียะไม่ได้พูดคุยในเรื่องนี้ต่อ แต่ถามเรื่องอื่นต่อ “โอ้ใช่แล้ว ท่านยังไม่ได้บอกข้าเลยว่าน้องชิงเฉิงไปไหน ข้าอยากจะคุยกับนางสักหน่อย”

เมื่อนึกถึงเศษดาวหางทองคำ หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “จื่อรุ่ย ไปรายงานนายหญิงเยว่ของเจ้าที”

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) 349 ร่างหยินทมิฬ

Now you are reading พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) Chapter 349 ร่างหยินทมิฬ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 349 ร่างหยินทมิฬ

เมื่อเข้ามาในห้อง หลิวเฟ่ยเฟ่ยยิ้มทันที “สามี ภรรยาของท่านมาแล้ว!”

หลิงตู้ฉิงไม่ได้พูดอะไรตอบโต้นาง แต่เขากลับยื่นหยกจันทราเยือกแข็งให้กับหลิวเฟ่ยเฟ่ยแทน

หลังจากฝึกฝนวิชาดรุณีเยือกแข็งมาเป็นเวลานาน หลิวเฟ่ยเฟ่ยจึงรู้ดีว่านางต้องการอะไร นางเข้าใจว่าทำไมหลิงตู้ฉิงถึงไม่เลือกกระดูกศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับเลือกหยกจันทราเยือกแข็ง จากตำหนักเทพเหมันต์

นั่นเป็นเพราะหลิงตู้ฉิงต้องการนำหยกจันทราเยือกแข็งมาให้กับนาง

“สามี ข้าคิดว่าหากข้าหลอมรวมหยกจันทราเยือกแข็งเข้ากับร่างกายของข้าเมื่อไหร่ ข้าคิดว่าร่างของข้าคงจะต้องบรรลุไปถึงระดับ ร่างหยินทมิฬ แน่นอน!” หลิวเฟ่ยเฟ่ยพูดขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น

หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ถูกต้อง! และเมื่อร่างกายของเจ้าพัฒนาจนไปถึงระดับร่างหยินทมิฬเมื่อไหร่ ความแข็งแกร่งของเจ้าจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด!”

“เป็นเพราะข้า สามีของข้าเลยไม่ได้รับกระดูกศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งข้าต้องขออภัยต่อท่านด้วยจริง ๆ ”

หลิงตู้ฉิงหัวเราะและพูดว่า “มันก็แค่กระดูกศักดิ์สิทธิ์ชิ้นเดียวเท่านั้นเอง สำหรับข้ามันก็เป็นแค่วัตถุที่ไว้ใช้สร้างสมบัติวิเศษเท่านั้น ถ้าข้าอยากได้มันในไม่ช้าก็เร็วข้าก็หามันมาได้ไม่ยากนักหรอก”

“ซึ่งถ้านำมาเทียบกับการที่จะทำให้เจ้าพัฒนาร่างกายไปถึงระดับร่างหยินทมิฬนั้นย่อมสำคัญกว่าแน่นอน ถึงแม้ว่าเจ้าจะบรรลุพลังไปถึงระดับน้ำแข็งทมิฬได้แล้ว แต่เมื่อเทียบกับมี่ไลและคนอื่น ๆ เจ้าก็ยังคงอ่อนแอกว่า แต่เมื่อไหร่ที่เจ้าพัฒนาร่างกายไปถึงระดับร่างหยินทมิฬได้ ปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำของพลังของเจ้าและคนอื่น ๆ ก็จะหมดไป”

“เข้าใจแล้วสามี งั้นข้าจะพัฒนาร่างของข้าให้เร็วที่สุด!” แต่ก่อนที่หลิวเฟ่ยเฟ่ยจะจากไป นางก็เหลือบมองไปที่หลิงตู้ฉิง “ว่าแต่สามี ก่อนข้าจะไปท่านต้องการให้ข้าปรนนิบัติท่านก่อนไหม?”

“ไม่จำเป็น ตอนนี้เจ้าจงรีบไปพัฒนาร่างของเจ้าก่อนเถอะ!” หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดขึ้น “กล้วยไม้หยกนั่นมันจะปรากฏขึ้นในอีกไม่ช้า ดังนั้นเจ้าจงรีบพัฒนาร่างของเจ้าให้เร็วที่สุด”

หลิวเฟ่ยเฟ่ยพยักหน้า พลางหยิบหยกจันทราเยือกแข็ง และรีบเดินกลับห้องของนางเพื่อไปฝึกฝนต่อทันที

และในขณะเดียวกับที่หลิงตู้ฉิงเสร็จสิ้นจากการเตรียมการทุกอย่างให้กับคนในครอบครัวของเขา ปิงยู่หลางและครอบครัวของเขาก็มาถึงที่เรือนพอดี

เนื่องจากที่อยู่ของหลิงตู้ฉิงนั้นไม่ได้ถูกปกปิดเป็นความลับอะไรนัก ฉะนั้นมันจึงหาได้ง่ายมากและโดยเฉพาะถ้าหากยังไม่พูดถึงที่ลั่วหยุนก็ได้เอ่ยบอกไว้กับพวกเขาแล้วเช่นกัน

“ท่านหลิง ข้าน้อยผู้นี้คือ ปิงเจิ้งซู จากตำหนักเทพเหมันต์ ที่ข้ามาเยี่ยมท่านในครั้งนี้เนื่องจากข้าอยากจะฝากลูกชายของข้า ปิงยู่หลาง ให้ติดตามท่านไปสู่​​เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ เมื่อถึงเวลานั้นโปรดท่านกรุณาช่วยดูแลลูกชายของข้าด้วย!” ปิงเจิ้งซูพูดกับหลิงตู้ฉิงด้วยน้ำเสียงเคารพ

ในท้ายที่สุดเขาก็เลือกที่จะเชื่อลั่วหยุน และพาลูกชายของเขามาพบหลิงตู้ฉิงล่วงหน้า

เมื่อพูดจบเขาก็มอบวัสดุ 15 ชิ้นและพูดกับหลิงตู้ฉิงว่า “นี่เป็นวัสดุทั้งหมดที่ท่านหลิงต้องการ ทางเราได้เตรียมพวกมันมาให้ท่านที่นี่ทั้งหมดแล้ว โปรดเชิญตรวจสอบดูก่อน”

หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “ถ้างั้นก็ให้ลูกชายของเจ้ามาอยู่กับข้าก่อน ข้าสามารถนำเขาเข้าไปในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับด้วยกันกับข้าได้ แต่ข้าจะทำเพียงแค่นำเขาเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับเท่านั้น หลังจากเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับลูกของเจ้าด้านในข้าจะถือว่าไม่ใช่เรื่องเรื่องของข้าอีกต่อไป จะว่าไปถ้าลูกชายของเจ้ากลายเป็นศัตรูของข้าในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ ข้าก็อาจจะไม่ละเว้นเขา”

ปิงเจิ้งซูขมวดคิ้วแล้วยิ้ม “ข้าไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรแบบนั้นขึ้นแน่นอนท่านหลิง!”

ปิงเจิ้งซูตอบพลางคิดในใจว่า เนื่องจากทั้งสองคนไม่ได้อยู่ในขอบเขตเดียวกัน มันจึงน่าจะเป็นไปยากที่พวกเขาจะกระทบกระทั่งกัน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ใส่ใจ

หลิงตู้ฉิงสลับมองไปยังปิงเจิ้งซู และปิงยู่หลาง จากนั้นก็หันกลับไปมองที่ปิงเจิ้งซู และพูดว่า “เอาล่ะ ในเมื่อตอนนี้เจ้าส่งเขาเสร็จเรียบร้อย เจ้าก็จงออกไปได้แล้ว”

คิ้วของปิงเจิ้งซูกระตุก เขายังคงฝืนยิ้มและพูดว่า “นอกจากลูกชายของข้าแล้วยังมีคนรับใช้เก่าที่จะคอยดูแลลูกชายของข้า ข้าหวังว่าท่านหลิงจะอนุญาตให้เขาอยู่ด้วย”

“อืม!” หลิงตู้ฉิงโบกมือส่งสัญญาณให้ปิงเจิ้งซูออกไป

ปิงเจิ้งซูแอบส่ายหัวอย่างลับ ๆ โดยคิดว่าเขาเองที่เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุด ซึ่งกำลังจะทะลวงไปสู่ขอบเขตถัดไปได้อยู่แล้ว แต่หลิงตู้ฉิงกลับทำตัวหยาบคายกับเขาเป็นอย่างมาก ไม่ว่าในอดีตเขาจะวิเศษวิโสมากสักแค่ไหน แต่ตอนนี้เขายังอยู่แค่ขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 10 เพียงเท่านั้น ไม่ใช่ว่าเขาควรจะทำตัวให้เกียรติผู้อื่นบ้างสักหน่อยจะไม่ได้เลยงั้นเหรอไง?

แม้ว่าเขาจะพึมพำในใจ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา หลังจากสั่งปิงยู่หลางแล้วเขาก็ทิ้งคนรับใช้ผู้ซึ่งมีระดับการบ่มเพาะอยู่ในระดับนักบุญไว้ให้ปกป้องลูกชายของเขา จากนั้นเขาจึงออกจากเรือนของหลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ

แน่นอนว่าเขายังไม่ได้กลับไปที่ตำหนักเทพเหมันต์ เนื่องจากปรากฎการณ์การเบ่งบานของกล้วยไม้หยกที่กำลังจะเกิดขึ้นในเมืองหยูหลัน ปิงเจิ้งซูจึงตั้งใจว่าจะอยู่รอดูปรากฎการณ์นี้ให้จบก่อน จากนั้นเขาค่อยจากไป

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังสามารถอาศัยโอกาสนี้ในการจับตาดูหลิงตู้ฉิงได้อย่างใกล้ชิดด้วยอีกต่างหาก

ปิงยู่หลางรอจนกระทั่งพ่อแม่ของเขาจากไป ก่อนที่เขาจะยิ้มและพูดกับหลิงตู้ฉิงว่า “พี่หลิง โปรดดูแลข้าด้วย”

เขามองไปที่หลิงตู้ฉิง ซึ่งดูแล้วน่าจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา เขาจึงไม่ต้องการที่จะเรียกหลิงตู้ฉิงว่า ‘ท่าน’ แต่เขาใช้คำพูดว่า ‘พี่’ แทน ซึ่งทำให้พวกเขาดูสนิทกันมากขึ้น

หลิงตู้ฉิงมองไปที่ปิงยู่หลาง และพูดกับเสี่ยวเยว่เฟิง “เฟิง บอกกฎที่นี่กับเขา”

หลังจากนั้นเขาก็ไม่สนใจปิงยู่หลางอีกต่อไป และไม่สนใจถึงความเจ้าชู้ของปิงยู่หลางด้วยซ้ำ

เมื่อเสี่ยวเยว่เฟิงกำลังจะบอกปิงยู่หลางเกี่ยวกับกฎ สีเป่ยเซียะก็เดินเข้ามาพร้อมกับหลานชายของนาง

นางได้พบกับหลิงตู้ฉิงมาแล้วอยู่ 2-3 ครั้ง แถมยังคุ้นเคยกับเย่ชิงเฉิงอยู่พอสมควร ดังนั้นนางจึงทำตัวตามสบายเมื่อมาหาหลิงตู้ฉิงรอบนี้

“ดูเหมือนว่ารอบนี้ท่านจะได้ลาภไปไม่น้อยเลยสินะ?” สีเป่ยเซียะพูดด้วยรอยยิ้ม “แต่ที่ท่านเลือกที่จะปฏิเสธกระดูกศักดิ์สิทธิ์ไปนั้น ข้าว่ามันดูน่าเสียของไปสักหน่อย ท่านน่าจะลองคำนึงถึงข้อที่ว่าสันเขาทรราชสามารถนำเอากระดูกศักดิ์สิทธิ์ออกมาประมูลได้ มันก็ต้องแสดงว่าพวกเขาได้นำของล้ำค่าหลายอย่างติดตัวมาแน่นอน ถ้าเป็นข้า ข้าจะรีดพวกเขาให้หมดตัวกันเลยทีเดียว”

หลิงตู้ฉิงพูดว่า “ข้าไม่ใช่เจ้าสักหน่อย!”

สีเป่ยเซียะหัวเราะและพูดว่า “เอาล่ะ ๆ ช่างมันเถอะเรื่องมันก็ผ่านไปแล้วน่ะนะ นี่คือหลานชายของข้าชื่อ สีอี้เฉิง ในเมื่อไหน ๆ เราก็เป็นคนคุ้นเคยกันอยู่แล้ว ฉะนั้นข้าขอฝากวานท่านช่วยดูแลหลานชายคนนี้ให้ข้าจนกว่าประตูเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับจะเปิดขึ้นสักหน่อยก็แล้วกัน! ว่าแต่ ข้ายังไม่ได้ถามท่านเลย สรุปแล้วท่านจะเข้าไปด้านในด้วยรึเปล่า?”

หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและตอบกลับว่า “ข้าเคยพูดไปก่อนหน้านี้แล้วว่าข้ามีหน้าที่แค่มอบสิทธิ์ให้กับพวกเจ้าและข้าจะไม่ทำอะไรอย่างอื่นให้อีก แต่ถ้าเจ้าต้องการให้ข้าดูแลคนของเจ้าแล้วจริง ๆ ล่ะก็ เจ้าก็จงกลับไปที่สำนักของเจ้าแล้วนำแร่ทองคำศักดิ์สิทธิ์มาให้กับข้า แล้วข้าจะตกลงดูแลคนของเจ้าให้”

สีเป่ยเซียะตะคอก “ท่านนี่มันอภิมหาหน้าเงินจริง ๆ อะไร ๆ ก็เป็นเงินเป็นของล้ำค่าไปหมด! ช่างเถอะข้าขี้เกียจจะคุยอะไรต่อกับท่านแล้ว ข้าจะไปหาน้องชิงเฉิง น้องชิงเฉิงอยู่ที่ไหนกันตอนนี้? ส่วนอี้เฉิง เจ้านั่งรอป้าอยู่ที่นี่และดูลุงหลิงของเจ้าหลอมโอสถ!”

เมื่อได้ยินคำสั่งของป้าของเขา เหงื่อเม็ดโต ๆ ก็ได้ผุดขึ้นมาบนหน้าผากของสีอี้เฉิงอย่างช่วยไม่ได้ นี่นางกำลังขอให้เขาเรียกหลิงตู้ฉิงว่าลุงงั้นเหรอ?

ในแง่ของวิถีการบ่มเพาะ เขานั้นอยู่ที่ขอบเขตรวมแสงดาราแล้วแถมเขายังไม่ชอบการหลอมโอสถอีกต่างหาก

“เอ่อ…ท่านป้า ข้าคิดว่าข้าจะขอตัวไปนั่งรออยู่ด้านนอกเพื่อบ่มเพาะสักหน่อย เอ๊ะจริงสิ! เมื่อครู่ข้าเห็นว่าคนของตำหนักเทพเหมันต์ก็มาที่นี่เช่นกัน ข้าขอไปทักทายพวกเขาสักหน่อยจะดีกว่า เผื่อไว้เมื่อถึงเวลาที่ข้ากับพวกเขาไปเจอกันข้างใน หากมีอะไรเกิดขึ้นเราจะได้ช่วยเหลือกันได้”

สีเป่ยเซียะมองไปที่สีอี้เฉิงที่จากไปและถอนหายใจ เด็กคนนี้ไม่เข้าใจเลยใช่ไหมว่านางกำลังให้โอกาสเขา? นางหันกลับมาและถามหลิงตู้ฉิง “ท่านคิดอย่างไรกับหลานชายของข้า?”

“ไม่ยอดเยี่ยมเท่ากับลูกชายของข้า” หลิงตู้ฉิงตอบกลับด้วยสีหน้านิ่ง

“ข้าเองก็รู้สึกว่าพื้นฐานของเขาไม่ค่อยจะดีนัก หลานข้าคนนี้เกิดจากผู้หญิงที่อาศัยอยู่ในอาณาเขตนภานั่นแหละ น้องชายของข้าตกหลุมรักผู้หญิงคนนั้นเข้าอย่างจังเลยทีเดียว นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมน้องชายของข้าถึงไม่จำเป็นต้องตัดสินใจเลยว่าจะให้ใครได้รับสิทธิ์การเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงไปนอกจาก อี้เฉิง” สีเป่ยเซียะหัวเราะ “ว่าแต่เต๋าอักขระเวทย์และค่ายกลของท่านนั้นลึกล้ำเป็นอย่างมาก ทำไมท่านถึงไม่ช่วยชี้แนะให้น้องชายของข้าบ้าง ข้ารู้สึกว่าเขาน่าจะไปได้สวยกับเต๋าอักขระเวทย์อยู่พอสมควร”

หลิงตู้ฉิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เราค่อยคุยกันเรื่องนี้เมื่อถึงเวลา!”

สีเป่ยเซียะหัวเราะ “งั้นก็เอาแบบนี้ก็แล้วกัน เศษดาวหางทองคำก้อนนี้ถือว่าเป็นค่าชี้แนะของน้องชายข้าล่วงหน้า!”

หลิงตู้ฉิงรับเศษดาวหางทองคำที่ถูกโยนมาโดยไม่พูดอะไร

สีเป่ยเซียะไม่ได้พูดคุยในเรื่องนี้ต่อ แต่ถามเรื่องอื่นต่อ “โอ้ใช่แล้ว ท่านยังไม่ได้บอกข้าเลยว่าน้องชิงเฉิงไปไหน ข้าอยากจะคุยกับนางสักหน่อย”

เมื่อนึกถึงเศษดาวหางทองคำ หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “จื่อรุ่ย ไปรายงานนายหญิงเยว่ของเจ้าที”

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+