พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) 501 มหาวิถีแห่งเลือดปรากฏ

Now you are reading พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) Chapter 501 มหาวิถีแห่งเลือดปรากฏ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 501 มหาวิถีแห่งเลือดปรากฏ

เมื่อ ‘ผีเสื้อ’ ที่ด้านหลังภูเขาหายไป กฎของสวรรค์และโลกทุกประเภทที่ด้านหลังของภูเขาก็พวยพุ่งขึ้นอย่างบ้าคลั่ง เนื่องจากผนึกที่เคยปิดกั้นมันไว้ถูกคลายออก ส่งผลให้เหล่าคนนอกหลายคนที่ยังคงยุ่งอยู่กับการค้นหาสมบัติในอาณาเขตที่เคยถูกผนึกไว้ถูกสังหารทันทีก่อนที่พวกเขาจะสามารถตอบโต้ได้

เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ บางคนที่โชคดีรอดตายเนื่องจากไม่ได้อยู่ในเขตที่ถูกผนึกก็ได้แต่วิ่งหนีด้วยความตื่นตระหนก

ในทางกลับกัน เหล่าผู้คนของสำนักวิญญาณโลหิตที่อยู่พื้นที่ส่วนภูเขาด้านหน้าต่างตกตะลึงปนดีใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เจ้าสำนักวิญญาณโลหิต เว่ยกวน พูดดอย่างตื่นเต้นว่า “หอคัมภีร์ของเราถูกเปิดออกแล้ว! ต่อไปนี้บรรดาศิษย์ของพวกเราไม่ต้องฝึกเคล็ดวิชาตามความเข้าใจที่สืบทอดมาแบบไม่สมบูรณ์อีกต่อไป นับจากนี้เราสามารถให้เหล่าศิษย์เข้าไปอ่านเคล็ดวิชาที่ถูกต้องตามที่บรรพบุรุษของเราบันทึกไว้ได้โดยตรง!”

เนื่องจากวิชาที่พวกเขาฝึกร่วมไปถึงเหล่าศิษย์ที่ฝึกฝนกันตอนนี้มันเป็นการผสมผสานระหว่างความเข้าใจของคนรุ่นก่อน ๆ บวกกับคัมภีร์บางเล่มที่ยังคงหลงเหลือแบบไม่สมบูรณ์ มันจึงส่งผลให้บ่อยครั้งผู้ฝึกฝนเกิดความใจที่ผิดพลาดกับเคล็ดวิชา ซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ร้ายแรง หากให้ยกตัวอย่างก็คือ หนิงฉิงที่ระดับการบ่มเพาะของนางลดลงเหลือระดับสวรรค์สามัญและร่างกายของนางก็กลายเป็นรูปลักษณ์เหมือนเด็ก

“พวกเราไปดูกันว่าผู้อาวุโสผู้นั้นเป็นใครกันถึงสามารถจัดการให้ผู้อาวุโสผีเสื้อ ปลดผนึกที่ด้านหลังภูเขาได้” เว่ยกวนพูดอย่างตื่นเต้น

ด้านหลังของภูเขาถูกผนึกโดยเจตจำนงของผีเสื้อเริงระบำ ซึ่งการคลายผนึกนั้นต้องให้ใครสักคนลบเจตจำนงหรือทำให้ผู้อาวุโสผีเสื้อยอมจำนน หรือดูดซับเจตจำนงเข้าไปเช่นเดียวกับที่เทพกระบี่เคยทำ

ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน พวกเขาก็จำเป็นต้องไปคารวะผู้อาวุโสที่ปลดผนึกด้านหลังภูเขา เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ

อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขามาถึงด้านหลังของภูเขาสิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือซากศพเกลื่อนพื้น

ส่วนผู้อาวุโสปริศนาที่พวกเขาหวังว่าจะได้เจอกลับหายไปแล้วอย่างไร้ร่องรอย แม้แต่หนิงฉิง พวกเขาก็ไม่เห็นนางเช่นกัน

เว่ยกวนขมวดคิ้ว เกิดอะไรขึ้น? แล้วผู้อาวุโสท่านนั้นไปไหนแล้ว?

เว่ยกวนหันกลับไปหาคนของเขาและพูดว่า “เก็บของของคนตายไปก่อน จากนั้นค่อยจัดการกับศพของพวกเขาภายหลัง ส่วนคนไหนที่ยังติดอยู่ในผนึกนั้น จงบอกให้พวกเขามอบทุกสิ่งทุกอย่างที่มีมา ไม่เช่นนั้นพวกเราจะฆ่าพวกเขาทั้งหมด”

เนื่องจากตอนนี้สำนักของพวกเขาได้รับการฟื้นฟูไปจนถึงด้านหลังของภูเขา พวกเขาจึงสามารถแสดงความน่าเกรงขามได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใด

เมื่อได้ยินคำสั่งของเว่ยกวน บรรดาผู้คนของสำนักวิญญาณโลหิตก็รีบแยกย้ายกันไปจัดการเหล่าศพที่นอนระเกะระกะ

ส่วนทางด้านของเว่ยกวน เขายังคงอยู่ในหอคัมภีร์เพื่อค้นหาวิชาโลหิตอมตะ และนำมาฝึกฝนในฐานะเจ้าสำนัก

อย่างไรก็ตาม หลังจากค้นหาไปได้สักพักเขากลับไม่พบร่องรอยของวิชาโลหิตอมตะในหอคัมภีร์ แต่เขากลับพบวิชาเงาโลหิตศักดิ์สิทธิ์ฉบับสมบูรณ์ที่เขากำลังฝึกฝนแทน

“แม้แต่หอคัมภีร์ก็ไม่มีวิชาโลหิตอมตะ ดูท่าทางสำนักวิญญาณโลหิตของข้าคงไม่มีทางกลับไปรุ่งโรจน์เหมือนเดิม!” เว่ยกวนถอนหายใจ

หากไม่มีวิชาโลหิตอมตะ การฟื้นตัวของสำนักวิญญาณโลหิตของเขาจะไม่สมบูรณ์ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เขาเสียใจมาก

“ภูเขาที่อยู่ด้านหลังได้รับการฟื้นฟูทั้งหมดแล้ว ตอนนี้มันก็คงเหลือแต่มหาเต๋าของสำนักที่ยังคงฟื้นคืนไม่สมบูรณ์” เว่ยกวนพูดด้วยความคาดหวัง

หนิงฉิงพาผู้อาวุโสท่านนั้นเข้าไปเข้าไปในเมืองใต้ดินรึเปล่า?

สถานที่ตั้งเมืองใต้ดินนั้นอยู่ลึกลงไปด้านล่างของสำนักวิญญาณโลหิตพอดี มันเป็นสถานที่ที่ในอดีตเหล่าบรรพบุรุษของสำนักวิญญาณโลหิตรุ่นก่อนได้แยกตัวออกไปอยู่อย่างสันโดษในช่วงบั้นปลายของชีวิต ดังนั้นมันจึงกลายเป็นสถานที่ที่เหล่าบรรพบุรุษทิ้งสมบัติของพวกเขาไว้มากมายเช่นกัน

แต่ความพิเศษของเมืองใต้ดินก็ไม่ได้มีเพียงแค่เท่านั้น เนื่องจากตามบันทึกของสำนักวิญญาณโลหิตได้บันทึกไว้ว่ามันคือสถานที่ที่สำคัญที่สุดในสำนัก

แต่มันสำคัญยังไงนั้นเหล่าคนรุ่นหลังก็ไม่ทราบเช่นกัน เนื่องจากหลังจากที่สำนักวิญญาณโลหิตของพวกเขาถูกผนึกแล้วมันก็ไม่มีใครในพวกเขาที่สามารถเข้าไปในเมืองใต้ดินได้เหมือนเดิม

ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้เลยว่ามีอะไรอยู่ในเมืองใต้ดินที่เป็นรากฐานของสำนัก แต่แล้วต่อมาพวกเขาก็หาวิธีที่จะเข้าไปสำรวจยังเมืองใต้ดินเจอ

วิธีการก็คือพวกเขาพยายามรับศิษย์สำนักหน้าใหม่เข้ามาโดยที่ไม่ได้สอนวิชาของสำนักวิญญาณโลหิตให้กับคนรุ่นใหม่ได้ฝึกฝน และปล่อยให้ศิษย์รุ่นใหม่เหล่านั้นที่ไม่มีกลิ่นอายของวิชาสำนักวิญญาณโลหิตเข้าไปสำรวจสถานที่ที่สำคัญของสำนัก และนำบรรดาสมบัติที่หลงเหลืออยู่กลับมา ซึ่งศิษย์บางคนนั้นถึงขนาดอาจหาญกล้าเข้าไปนำข้าวของของบรรพบุรุษออกมาด้วยซ้ำ

หลังจากหลายปีที่ผ่านไป เมื่อพวกเขามีความกล้ามากขึ้นและบรรดาศิษย์สำนักรุ่นใหม่ก็เริ่มแข็งแกร่งขึ้น พวกเขาจึงได้สั่งให้ศิษย์สำนักรุ่นใหม่เข้าไปสำรวจในเมืองใต้ดินเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับมันมากขึ้น

แต่แล้วสิ่งที่พวกเขาพบก็คือทะเลโลหิตที่เหือดแห้งและมหาเต๋าที่ค้ำจุนสำนักถูกผนึกเอาไว้จนไม่สามารถสำแดงอำนาจของมันได้

“นายท่าน เมืองใต้ดินของเราไม่มีอะไรให้สำรวจอีกต่อไปแล้ว” หนิงฉิงพูดด้วยน้ำเสียงเคารพต่อหลิงตู้ฉิง “ทะเลโลหิตของเราเหือดแห้งไปแล้ว ส่วนสมับติต่าง ๆ ของเหล่าบรรพบุรุษได้ถูกเราคิดวิธีนำพวกมันออกไปหมดแล้ว”

เนื่องจากบุคคลที่อยู่ตรงหน้านางสามารถปลดผนึกองภูเขาด้านหลังได้ นางจึงไม่กล้าที่จะปกปิดอะไรต่อหลิงตู้ฉิง ยิ่งไปกว่านั้นนางยังได้รับวิชามหาโลหิตแปรเปลี่ยนอย่างที่นางต้องการ ตราบเท่าที่นางมีเวลา นางจะสามารถฟื้นฟูรูปลักษณ์ดั้งเดิมของตัวเองและระดับการบ่มเพาะได้อย่างแน่นอน แน่นอนว่าตามสัญญานางต้องเชื่อฟังคำสั่งของหมิงยู่

ในตอนนี้ หลิงตู้ฉิงเหลือบมองไปที่หนิงฉิง และพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ที่นี่มันคือสถานที่ที่มหาเต๋าที่ค้ำจุนสำนักเจ้าดำรงอยู่ ทำไมเจ้าถึงพูดว่าที่นี่ไม่มีอะไรอีกแล้ว?”

“มหาเต๋าของพวกเราแตกสลายไปเมื่อหลายหมื่นปีแล้ว ถึงแม้ว่าผนึกของมันจะถูกคลายออกไป แต่มันก็คงไม่มีวันประสานกลับมาเป็นดังเดิม” หนิงฉิงหัวเราะอย่างขมขื่น

หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบกลับว่า “เจ้าไม่คิดบ้างเหรอว่าเหตุผลที่มหาเต๋าของสำนักเจ้าในตอนนี้ยังฟื้นฟูไม่สมบูรณ์มันเป็นเพราะผนึกของมันยังถูกคลายไม่หมด จะบอกอะไรให้ก็แล้วกัน ตราบใดที่ผนึกของมันถูกคลายออกทั้งหมด มหาเต๋าของสำนักเจ้าจะฟื้นฟูได้เองตามธรรมชาติ”

“แต่พวกเราไม่เห็นจะสัมผัสได้เลยว่าจุดที่ผนึกมันอยู่ที่ไหน!” หนิงฉิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงงุนงง “ที่ภูเขาด้านหน้าและด้านหลังเราสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงผนึกที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพกระบี่ และผู้อาวุโสผีเสื้อ แต่เราสัมผัสอะไรไม่ได้เลยกับผนึกที่ท่านพูดถึงในเมืองใต้ดินนี้”

หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและไม่พูดอะไรต่อ เขาเริ่มเดินนำทุกคนไปยังส่วนลึกของเมืองใต้ดินต่อไป

อันที่จริงเหตุผลที่คนของสำนักวิญญาณโลหิตไม่สามารถสัมผัสถึงผนึกที่ปิดกั้นมหาวิถีเต๋าของสำนักตนเองได้นั่นก็เพราะ มันคือผนึกที่ในตอนนั้นเขาเป็นคนผนึกมันด้วยตนเอง ตราบใดที่เขาไม่ได้เป็นผู้มาคลายผนึกนี้ด้วยตนเอง มันก็ไม่มีทางที่ใครจะสามารถเห็นมันได้ ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้ก็คือการปลดผนึกนี้ออกด้วยตนเอง

เมื่อเห็นว่าหลิงตู้ฉิงไม่ได้อธิบายใด ๆ เพิ่มเติม หนิงฉิงจึงไม่กล้าถามเกี่ยวกับผนึกต่อ นางเปลี่ยนไปเป็นการแนะนำสถานที่แทน “สถานที่ที่อยู่ตรงหน้าเราคือทะเลโลหิต เมื่อใดที่เหล่าศิษย์สำนักวิญญาณโลหิตบ่มเพาะในทะเลโลหิต พวกเขาจะได้รับผลประโยชน์มหาศาล”

น่าเสียดายที่ความพยายามแนะนำสถานที่ของหนิงฉิงนั้นไร้ประโยชน์

หลิงตู้ฉิงจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร? เหตุผลที่เขามาที่นี่ก็เพราะว่าเขารู้อยู่แล้วว่ามันคืออะไร ซึ่งเขาต้องการพาหมิงยู่มาที่นี่เพื่อใช้ทะเลโลหิตในการฝึกฝน วิชาโลหิตอมตะ

แต่แน่นอนว่าก่อนที่หมิงยู่จะสามารถฝึกฝนได้ เขาต้องคืนสภาพทะเลโลหิตให้กลับมาเป็นดังเดิมเสียก่อน

เมื่อมาถึงข้างทะเลโลหิต หลิงตู้ฉิงก็โยนยันต์สั่งสวรรค์ลงในทะเลโลหิตที่แห้งแล้ว

จากนั้น หลิงตู้ฉิงพึมพำคาถาขึ้นมาเบา ๆ ซึ่งมันส่งผลให้ผนึกที่ปิดผนึกทะเลโลหิตเริ่มคลายออกและพุ่งเข้าไปอยู่ด้านในของยันต์สั่งสวรรค์ ส่วนทะเลโลหิตที่เหือดแห้งอยู่นั้น เมื่อผนึกของมันถูกคลายออก เลือดสด ๆ ก็เริ่มโผล่ผุดออกมาจากก้นทะเลที่เหือดแห้ง

มันใช้เวลาเพียงชั่วครู่เท่านั้น ทะเลโลหิตก็ถูกเติมเต็มไปด้วยเลือดอย่างสมบูรณ์

ทางด้านของหนิงฉิง เมื่อนางเห็นภาพเช่นนี้และสัมผัสได้ถึงมหาวิถีเต๋าแห่งโลหิต นางก็มองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตาตกตะลึงทันที

“วะ วะ วิถีโลหิต… ข้ารู้ว่าแล้วว่าท่านเป็นใคร!” หนิงฉิงกรีดร้อง ในเวลาเดียวกันนางดูเหมือนจะเข้าใจบางสิ่งบางอย่างและคุกเข่าลงตรงหน้าหลิงตู้ฉิง พร้อมกับตัวสั่นและไม่กล้าพูดอะไรอีก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) 501 มหาวิถีแห่งเลือดปรากฏ

Now you are reading พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) Chapter 501 มหาวิถีแห่งเลือดปรากฏ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 501 มหาวิถีแห่งเลือดปรากฏ

เมื่อ ‘ผีเสื้อ’ ที่ด้านหลังภูเขาหายไป กฎของสวรรค์และโลกทุกประเภทที่ด้านหลังของภูเขาก็พวยพุ่งขึ้นอย่างบ้าคลั่ง เนื่องจากผนึกที่เคยปิดกั้นมันไว้ถูกคลายออก ส่งผลให้เหล่าคนนอกหลายคนที่ยังคงยุ่งอยู่กับการค้นหาสมบัติในอาณาเขตที่เคยถูกผนึกไว้ถูกสังหารทันทีก่อนที่พวกเขาจะสามารถตอบโต้ได้

เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ บางคนที่โชคดีรอดตายเนื่องจากไม่ได้อยู่ในเขตที่ถูกผนึกก็ได้แต่วิ่งหนีด้วยความตื่นตระหนก

ในทางกลับกัน เหล่าผู้คนของสำนักวิญญาณโลหิตที่อยู่พื้นที่ส่วนภูเขาด้านหน้าต่างตกตะลึงปนดีใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เจ้าสำนักวิญญาณโลหิต เว่ยกวน พูดดอย่างตื่นเต้นว่า “หอคัมภีร์ของเราถูกเปิดออกแล้ว! ต่อไปนี้บรรดาศิษย์ของพวกเราไม่ต้องฝึกเคล็ดวิชาตามความเข้าใจที่สืบทอดมาแบบไม่สมบูรณ์อีกต่อไป นับจากนี้เราสามารถให้เหล่าศิษย์เข้าไปอ่านเคล็ดวิชาที่ถูกต้องตามที่บรรพบุรุษของเราบันทึกไว้ได้โดยตรง!”

เนื่องจากวิชาที่พวกเขาฝึกร่วมไปถึงเหล่าศิษย์ที่ฝึกฝนกันตอนนี้มันเป็นการผสมผสานระหว่างความเข้าใจของคนรุ่นก่อน ๆ บวกกับคัมภีร์บางเล่มที่ยังคงหลงเหลือแบบไม่สมบูรณ์ มันจึงส่งผลให้บ่อยครั้งผู้ฝึกฝนเกิดความใจที่ผิดพลาดกับเคล็ดวิชา ซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ร้ายแรง หากให้ยกตัวอย่างก็คือ หนิงฉิงที่ระดับการบ่มเพาะของนางลดลงเหลือระดับสวรรค์สามัญและร่างกายของนางก็กลายเป็นรูปลักษณ์เหมือนเด็ก

“พวกเราไปดูกันว่าผู้อาวุโสผู้นั้นเป็นใครกันถึงสามารถจัดการให้ผู้อาวุโสผีเสื้อ ปลดผนึกที่ด้านหลังภูเขาได้” เว่ยกวนพูดอย่างตื่นเต้น

ด้านหลังของภูเขาถูกผนึกโดยเจตจำนงของผีเสื้อเริงระบำ ซึ่งการคลายผนึกนั้นต้องให้ใครสักคนลบเจตจำนงหรือทำให้ผู้อาวุโสผีเสื้อยอมจำนน หรือดูดซับเจตจำนงเข้าไปเช่นเดียวกับที่เทพกระบี่เคยทำ

ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน พวกเขาก็จำเป็นต้องไปคารวะผู้อาวุโสที่ปลดผนึกด้านหลังภูเขา เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ

อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขามาถึงด้านหลังของภูเขาสิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือซากศพเกลื่อนพื้น

ส่วนผู้อาวุโสปริศนาที่พวกเขาหวังว่าจะได้เจอกลับหายไปแล้วอย่างไร้ร่องรอย แม้แต่หนิงฉิง พวกเขาก็ไม่เห็นนางเช่นกัน

เว่ยกวนขมวดคิ้ว เกิดอะไรขึ้น? แล้วผู้อาวุโสท่านนั้นไปไหนแล้ว?

เว่ยกวนหันกลับไปหาคนของเขาและพูดว่า “เก็บของของคนตายไปก่อน จากนั้นค่อยจัดการกับศพของพวกเขาภายหลัง ส่วนคนไหนที่ยังติดอยู่ในผนึกนั้น จงบอกให้พวกเขามอบทุกสิ่งทุกอย่างที่มีมา ไม่เช่นนั้นพวกเราจะฆ่าพวกเขาทั้งหมด”

เนื่องจากตอนนี้สำนักของพวกเขาได้รับการฟื้นฟูไปจนถึงด้านหลังของภูเขา พวกเขาจึงสามารถแสดงความน่าเกรงขามได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใด

เมื่อได้ยินคำสั่งของเว่ยกวน บรรดาผู้คนของสำนักวิญญาณโลหิตก็รีบแยกย้ายกันไปจัดการเหล่าศพที่นอนระเกะระกะ

ส่วนทางด้านของเว่ยกวน เขายังคงอยู่ในหอคัมภีร์เพื่อค้นหาวิชาโลหิตอมตะ และนำมาฝึกฝนในฐานะเจ้าสำนัก

อย่างไรก็ตาม หลังจากค้นหาไปได้สักพักเขากลับไม่พบร่องรอยของวิชาโลหิตอมตะในหอคัมภีร์ แต่เขากลับพบวิชาเงาโลหิตศักดิ์สิทธิ์ฉบับสมบูรณ์ที่เขากำลังฝึกฝนแทน

“แม้แต่หอคัมภีร์ก็ไม่มีวิชาโลหิตอมตะ ดูท่าทางสำนักวิญญาณโลหิตของข้าคงไม่มีทางกลับไปรุ่งโรจน์เหมือนเดิม!” เว่ยกวนถอนหายใจ

หากไม่มีวิชาโลหิตอมตะ การฟื้นตัวของสำนักวิญญาณโลหิตของเขาจะไม่สมบูรณ์ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เขาเสียใจมาก

“ภูเขาที่อยู่ด้านหลังได้รับการฟื้นฟูทั้งหมดแล้ว ตอนนี้มันก็คงเหลือแต่มหาเต๋าของสำนักที่ยังคงฟื้นคืนไม่สมบูรณ์” เว่ยกวนพูดด้วยความคาดหวัง

หนิงฉิงพาผู้อาวุโสท่านนั้นเข้าไปเข้าไปในเมืองใต้ดินรึเปล่า?

สถานที่ตั้งเมืองใต้ดินนั้นอยู่ลึกลงไปด้านล่างของสำนักวิญญาณโลหิตพอดี มันเป็นสถานที่ที่ในอดีตเหล่าบรรพบุรุษของสำนักวิญญาณโลหิตรุ่นก่อนได้แยกตัวออกไปอยู่อย่างสันโดษในช่วงบั้นปลายของชีวิต ดังนั้นมันจึงกลายเป็นสถานที่ที่เหล่าบรรพบุรุษทิ้งสมบัติของพวกเขาไว้มากมายเช่นกัน

แต่ความพิเศษของเมืองใต้ดินก็ไม่ได้มีเพียงแค่เท่านั้น เนื่องจากตามบันทึกของสำนักวิญญาณโลหิตได้บันทึกไว้ว่ามันคือสถานที่ที่สำคัญที่สุดในสำนัก

แต่มันสำคัญยังไงนั้นเหล่าคนรุ่นหลังก็ไม่ทราบเช่นกัน เนื่องจากหลังจากที่สำนักวิญญาณโลหิตของพวกเขาถูกผนึกแล้วมันก็ไม่มีใครในพวกเขาที่สามารถเข้าไปในเมืองใต้ดินได้เหมือนเดิม

ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้เลยว่ามีอะไรอยู่ในเมืองใต้ดินที่เป็นรากฐานของสำนัก แต่แล้วต่อมาพวกเขาก็หาวิธีที่จะเข้าไปสำรวจยังเมืองใต้ดินเจอ

วิธีการก็คือพวกเขาพยายามรับศิษย์สำนักหน้าใหม่เข้ามาโดยที่ไม่ได้สอนวิชาของสำนักวิญญาณโลหิตให้กับคนรุ่นใหม่ได้ฝึกฝน และปล่อยให้ศิษย์รุ่นใหม่เหล่านั้นที่ไม่มีกลิ่นอายของวิชาสำนักวิญญาณโลหิตเข้าไปสำรวจสถานที่ที่สำคัญของสำนัก และนำบรรดาสมบัติที่หลงเหลืออยู่กลับมา ซึ่งศิษย์บางคนนั้นถึงขนาดอาจหาญกล้าเข้าไปนำข้าวของของบรรพบุรุษออกมาด้วยซ้ำ

หลังจากหลายปีที่ผ่านไป เมื่อพวกเขามีความกล้ามากขึ้นและบรรดาศิษย์สำนักรุ่นใหม่ก็เริ่มแข็งแกร่งขึ้น พวกเขาจึงได้สั่งให้ศิษย์สำนักรุ่นใหม่เข้าไปสำรวจในเมืองใต้ดินเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับมันมากขึ้น

แต่แล้วสิ่งที่พวกเขาพบก็คือทะเลโลหิตที่เหือดแห้งและมหาเต๋าที่ค้ำจุนสำนักถูกผนึกเอาไว้จนไม่สามารถสำแดงอำนาจของมันได้

“นายท่าน เมืองใต้ดินของเราไม่มีอะไรให้สำรวจอีกต่อไปแล้ว” หนิงฉิงพูดด้วยน้ำเสียงเคารพต่อหลิงตู้ฉิง “ทะเลโลหิตของเราเหือดแห้งไปแล้ว ส่วนสมับติต่าง ๆ ของเหล่าบรรพบุรุษได้ถูกเราคิดวิธีนำพวกมันออกไปหมดแล้ว”

เนื่องจากบุคคลที่อยู่ตรงหน้านางสามารถปลดผนึกองภูเขาด้านหลังได้ นางจึงไม่กล้าที่จะปกปิดอะไรต่อหลิงตู้ฉิง ยิ่งไปกว่านั้นนางยังได้รับวิชามหาโลหิตแปรเปลี่ยนอย่างที่นางต้องการ ตราบเท่าที่นางมีเวลา นางจะสามารถฟื้นฟูรูปลักษณ์ดั้งเดิมของตัวเองและระดับการบ่มเพาะได้อย่างแน่นอน แน่นอนว่าตามสัญญานางต้องเชื่อฟังคำสั่งของหมิงยู่

ในตอนนี้ หลิงตู้ฉิงเหลือบมองไปที่หนิงฉิง และพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ที่นี่มันคือสถานที่ที่มหาเต๋าที่ค้ำจุนสำนักเจ้าดำรงอยู่ ทำไมเจ้าถึงพูดว่าที่นี่ไม่มีอะไรอีกแล้ว?”

“มหาเต๋าของพวกเราแตกสลายไปเมื่อหลายหมื่นปีแล้ว ถึงแม้ว่าผนึกของมันจะถูกคลายออกไป แต่มันก็คงไม่มีวันประสานกลับมาเป็นดังเดิม” หนิงฉิงหัวเราะอย่างขมขื่น

หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบกลับว่า “เจ้าไม่คิดบ้างเหรอว่าเหตุผลที่มหาเต๋าของสำนักเจ้าในตอนนี้ยังฟื้นฟูไม่สมบูรณ์มันเป็นเพราะผนึกของมันยังถูกคลายไม่หมด จะบอกอะไรให้ก็แล้วกัน ตราบใดที่ผนึกของมันถูกคลายออกทั้งหมด มหาเต๋าของสำนักเจ้าจะฟื้นฟูได้เองตามธรรมชาติ”

“แต่พวกเราไม่เห็นจะสัมผัสได้เลยว่าจุดที่ผนึกมันอยู่ที่ไหน!” หนิงฉิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงงุนงง “ที่ภูเขาด้านหน้าและด้านหลังเราสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงผนึกที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพกระบี่ และผู้อาวุโสผีเสื้อ แต่เราสัมผัสอะไรไม่ได้เลยกับผนึกที่ท่านพูดถึงในเมืองใต้ดินนี้”

หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและไม่พูดอะไรต่อ เขาเริ่มเดินนำทุกคนไปยังส่วนลึกของเมืองใต้ดินต่อไป

อันที่จริงเหตุผลที่คนของสำนักวิญญาณโลหิตไม่สามารถสัมผัสถึงผนึกที่ปิดกั้นมหาวิถีเต๋าของสำนักตนเองได้นั่นก็เพราะ มันคือผนึกที่ในตอนนั้นเขาเป็นคนผนึกมันด้วยตนเอง ตราบใดที่เขาไม่ได้เป็นผู้มาคลายผนึกนี้ด้วยตนเอง มันก็ไม่มีทางที่ใครจะสามารถเห็นมันได้ ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้ก็คือการปลดผนึกนี้ออกด้วยตนเอง

เมื่อเห็นว่าหลิงตู้ฉิงไม่ได้อธิบายใด ๆ เพิ่มเติม หนิงฉิงจึงไม่กล้าถามเกี่ยวกับผนึกต่อ นางเปลี่ยนไปเป็นการแนะนำสถานที่แทน “สถานที่ที่อยู่ตรงหน้าเราคือทะเลโลหิต เมื่อใดที่เหล่าศิษย์สำนักวิญญาณโลหิตบ่มเพาะในทะเลโลหิต พวกเขาจะได้รับผลประโยชน์มหาศาล”

น่าเสียดายที่ความพยายามแนะนำสถานที่ของหนิงฉิงนั้นไร้ประโยชน์

หลิงตู้ฉิงจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร? เหตุผลที่เขามาที่นี่ก็เพราะว่าเขารู้อยู่แล้วว่ามันคืออะไร ซึ่งเขาต้องการพาหมิงยู่มาที่นี่เพื่อใช้ทะเลโลหิตในการฝึกฝน วิชาโลหิตอมตะ

แต่แน่นอนว่าก่อนที่หมิงยู่จะสามารถฝึกฝนได้ เขาต้องคืนสภาพทะเลโลหิตให้กลับมาเป็นดังเดิมเสียก่อน

เมื่อมาถึงข้างทะเลโลหิต หลิงตู้ฉิงก็โยนยันต์สั่งสวรรค์ลงในทะเลโลหิตที่แห้งแล้ว

จากนั้น หลิงตู้ฉิงพึมพำคาถาขึ้นมาเบา ๆ ซึ่งมันส่งผลให้ผนึกที่ปิดผนึกทะเลโลหิตเริ่มคลายออกและพุ่งเข้าไปอยู่ด้านในของยันต์สั่งสวรรค์ ส่วนทะเลโลหิตที่เหือดแห้งอยู่นั้น เมื่อผนึกของมันถูกคลายออก เลือดสด ๆ ก็เริ่มโผล่ผุดออกมาจากก้นทะเลที่เหือดแห้ง

มันใช้เวลาเพียงชั่วครู่เท่านั้น ทะเลโลหิตก็ถูกเติมเต็มไปด้วยเลือดอย่างสมบูรณ์

ทางด้านของหนิงฉิง เมื่อนางเห็นภาพเช่นนี้และสัมผัสได้ถึงมหาวิถีเต๋าแห่งโลหิต นางก็มองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตาตกตะลึงทันที

“วะ วะ วิถีโลหิต… ข้ารู้ว่าแล้วว่าท่านเป็นใคร!” หนิงฉิงกรีดร้อง ในเวลาเดียวกันนางดูเหมือนจะเข้าใจบางสิ่งบางอย่างและคุกเข่าลงตรงหน้าหลิงตู้ฉิง พร้อมกับตัวสั่นและไม่กล้าพูดอะไรอีก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+