ยอดนักรบจอมราชัน 96 น้องชายภรรยาในอนาคต

Now you are reading ยอดนักรบจอมราชัน Chapter 96 น้องชายภรรยาในอนาคต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ฮ่าฮ่า..คุณพี่สาวหยูดูเหมือนว่าภูเขาน้ำแข็งพันปีจะละลายลงแล้วนะคะ” หูวเค่อยิ้มอ่อนและพูด

 

ฉินหยูไม่ได้พูดอะไรเธอเพียงแค่ยิ้มอย่างมีความสุข

 

“พี่..นี่พี่ชอบเขาเหรอ เขาคนนั้นมีดียังไง..เขาก็แค่คนบ้านนอกหนิ” ฉินเฟิงพูดขึ้นมา เย่เชียนไม่ได้สังเกตเห็นมาก่อนหน้านี้ ว่ามีเด็กผู้ชายคนนึงกลับมาพร้อมกับพวกเธอด้วยในตอนนี้ เพราะพวกเขาทั้งหมดมัวแต่ให้ความสนใจกับบรรยากาศจึงลืมว่าเด็กคนนี้ก็มาด้วย

 

ฉินหยูมองไปที่ฉินเฟิงและพูดว่า “หุบปากของเธอไป..ถ้าเธอยังพูดอะไรที่ไร้สาระอีกก็ไปนอนในป่าซะ”

 

ฉินเฟิงแลบลิ้นของเขาใส่เธอและไม่เชื่อฟังที่เธอพูดอีกต่อไป ส่วนจ้าวหยายิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นปีศาจตัวน้อยตัวนี้เกรี้ยวกราด และเธอก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายเมื่อมองไปที่โต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารแสนอร่อยๆมากมาย “ฉันแทบจะทนไม่ไหวแล้ว..นี่พวกคุณรู้ไหมว่าอาหารที่เจ้าคนขี้โกงนี่ทำน่ะรสชาติดีกว่าอาหารที่ปรุงโดยเชฟในโรมแรมเสียอีก”

 

“เธอรู้ได้ยังไง?” ฉินหยูถามด้วยความประหลาดใจ

 

จ้าวหยาก็ตอบว่า “ก็เมื่อวานตอนเช้าเขาเตรียมบะหมี่เต้าเจี้ยวให้พวกเราเป็นอาหารเช้าน่ะ และมันเป็นบะหมี่เต้าเจี้ยวที่ดีที่สุดที่ฉันเคยกินมาเลย..ถ้าผู้ชายคนนี้ไปเป็นเชฟล่ะก็ฉันแน่ใจว่าเขาจะต้องยอดเยี่ยมมาก”

 

“จริงเหรอ!..แล้วทำไมฉันถึงไม่เห็นบะหมี่เต้าเจี้ยวเลยสักชามล่ะ” ฉินหยูไม่ได้โง่เธอเดาว่าจ้าวหยาต้องกินส่วนแบ่งของเธอไปหมดเลยอย่างแน่นอน ดังนั้นเธอจึงถามคำถามนี้ด้วยความหยอกล้อ

 

จ้าวหยาฝืนหัวเราะแห้งๆและพูดว่า “ก็..ก็มันอร่อยจริงๆนี่หน่า..ฉันเลยอดไม่ได้ที่จะกินส่วนแบ่งของอาเจ๊”

 

“ถึงเขาจะทำอาหารอร่อยแต่เขาก็ยังเป็นคนบ้านนอกอยู่ดี..และเราก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาหารพวกนี้น่ะมันสะอาดหรือเปล่า” ฉินเฟิงพึมพำ

 

ฉินหยูจ้องมองฉินเฟิงด้วยความโกรธเกรี้ยวจากนั้นฉินเฟิงก็หุบปากลงในทันที เพราะในครอบครัวของเธอนั้นปีศาจน้อยตัวนี้ไม่เกรงกลัวอะไรเลยแต่ทว่ามีอยู่สิ่งเดียวที่เขากลัวก็คือฉินหยู และเพียงแค่ฉินหยูจ้องมองเขาเพียงแค่ครั้งเดียวก็ทำเด็กคนนี้ว่านอนสอนง่ายและเหมือนตุ๊กตาคิตตี้ในนั้นที

 

จากนั้นไม่นานนักเย่เชียนก็เดินเข้ามาที่โต๊ะรับประทานอาหารด้วยท่าทางที่ดูกระตือรือร้น เขาดูระมัดระวังมากในขณะที่เขาถือวัตถุสีขาวเอาไว้ในมือทั้งสองข้างและค่อนข้างมันไม่ชัดเจนว่ามันคืออะไร เขานั่งขางหน้าฉินหยูและมอบให้เธออย่างระมัดระวัง “ผมขอมอบให้คุณ..คุณชอบมั้ย”

 

ทุกคนจ้องมองและเห็นกระต่ายสีขาวที่แกะสลักจากวัสดุที่มองไม่ออกว่ามันเป็นอะไร ฉินหยูยื่นมือของเธอและรับมัน จากนั้นเย่เชียนก็พูดอย่างเร่งรีบว่า “ระวังด้วยนะ..นี่ทำจากเต้าหู้เดี๋ยวมันจะเลอะเอา”

 

ทุกคนตกตะลึงอย่างมากเพราะการใช้เต้าหู้เพื่อสร้างกระต่ายน้อยที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ซึ่งจำเป็นต้องจะมีทักษะการใช้มีดที่ยอดเยี่ยมที่สุดและความใส่ใจในรายละเอียดและความอดทนเป็นอย่างมาก

 

“ขอบคุณนะ..นี่เป็นของขวัญที่พิเศษที่สุดและล้ำค่าที่สุดในชีวิตของฉันที่ฉันเคยได้รับเลย” ฉินหยูพูดขณะที่ยื่นมือรับ

 

เย่เชียนยิ้มอ่อนๆและพูดว่า “แต่มันไม่มีทางที่จะรักษาของขวัญชิ้นเอานี้ไว้ได้น่ะสิ”

 

“ไม่เป็นไร..ฉันจะเก็บมันเอาไว้ในใจตลอดไป” ฉินหยูพูดขณะที่เธอมองเย่เชียนอย่างอ่อนโยน

 

“ฉันก็อยากได้เหมือนกันนะ!” จ้าวหยาพูดและทำบุ้ยปาก เพราะเธอคิดว่าถึงยังไงก็ตามเธอก็เป็นภรรยาที่ชอบธรรมที่พ่อของเธอหมั้นหมายกับเย่เชียนเอาไว้และผู้ชายคนนี้ก็ให้ของขวัญกับผู้หญิงคนอื่นๆแต่ไม่ได้มอบให้ตัวเองเลยเพราะฉะนั้นมันจะเป็นการดูหมิ่นการมีอยู่ถึงสถานะของตัวตนของเธอมากเกินไป

 

“ไม่ให้!” เย่เชียนมองจ้าวหยาและพูดอย่างซุกซน

 

“หึ..จริงๆฉันก็ไม่ได้อยากได้หรอก” จ้าวหยาพูดและโกรธเคืองอย่างรุนแรง

 

“นี่พวกพี่ไม่หิวกันเหรอฉันหิวมากแล้ว..ท้องแถบจะร้องแล้วเนี่ย” ฉินเฟิงพึมพำ

 

ตอนนี้เย่เชียนก็เพิ่งจะสังเกตเห็นว่ามีเด็กอีกคนอยู่ในห้องนี้ด้วย และเมื่อเขาหันไปรอบๆและพบว่ามีเด็กผู้ชายคนที่เขาเพิ่งเจอที่สนามบาสเก็ตบอลโดยบังเอิญในบ่ายวันนั้นที่หน้าตาเหมือน รุคาว่า และตั้งแต่เขาเข้าประตูมาฉินเฟิงก็เอาแต่มองไปที่เย่เชียนอย่างเฉยเมยเพราะตอนนั้นมันค่อนข้างมืดดังนั้นเขาจึงไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก แต่ตอนนี้เขาสังเกตเห็นว่าคน ๆนี้เป็นผู้ชายที่ทำร้ายเขาด้วยลูกบาสเก็ตบอลในบ่ายวันนี้โดยไม่คาดคิด จากนั้นเขาก็ยืนขึ้นและพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เฮ้ยแก..โลกมันแคบจริงๆที่ได้เจอศัตรูอย่างแก..มา..ออกมาสะสางกันให้มันรู้ไปเลย!”

 

จ้าวหยานั้นคิดมานานสักพักแล้วและก็คิดว่ามันจะต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ ส่วนฉินหยูและหูวเค่อก็ได้แต่มองไปรอบๆด้วยความประหลาดใจและตกใจ “รู้จักกันเหรอ” ฉินหยูหันไปหาเย่เชียนและถามด้วยความประหลาดใจ

 

“เราเคยเล่นบาสเก็ตบอลด้วยกัน” เย่เชียนพูดเบาๆและยิ้ม

 

ฉินเฟิงแอบคิดกับตัวเองว่า ‘เล่นบาสเก็ตบอลบ้าอะไรวะ มันปาใส่หน้าชัดๆ”

 

“อ้อ” ฉินหยูพูดและชี้ไปทางฉินเฟิงและพูดว่า “นี่คือน้องชายของฉันเอง..ฉินเฟิง”

 

เย่เชียนพูดไม่ออกเพราะปรากฎว่าเขาจะต้องเป็นพี่เขยในอนาคตของเด็กคนนี้ เขายิ้มอ่อนๆและยื่นมือออกมาพร้อมพูดว่า “อ้อ..นายเป็นน้องชายคนเล็กนี่เอง..เรามาทำความรู้จักกันเถอะ..ฉันชื่อเย่เชียน ที่หมายถึง ‘อ่อนน้อมถ่อมตน’ นั่นคือชื่อของฉัน”

 

“เหอะ!” ฉินเฟิงจ้องมองเย่เชียนอย่างดูถูกเหยียดหยามและหันหน้าหนี

 

ฉินหยูขมวดคิ้วของเธอและจ้องมองฉินเฟิงที่กำลังโกรธเกรี้ยว ปากของฉินเฟิงเบี้ยวบูดในขณะที่เขาไม่เต็มใจที่จะยื่นมือออกไปและจับมือกับเย่เชียน และเมื่อเห็นใบหน้าที่ยิ้มอย่างเป็นมิตรของเย่เชียนนั้นฉินเฟิงก็เกิดความคิดที่ชั่วร้ายผุดขึ้นมาในหัวของเขาจากนั้นฉินเฟิงก็ฉีกยิ้มและพูดว่า “ฉันชื่อฉินเฟิง ที่หมายถึงยอดแห่งภูภา” ในขณะที่เขาพูดแบบนี้เขาก็ค่อยๆออกแรงมือเพื่อบีบมือของเย่เชียนเพื่อที่จะให้เย่เชียนเสียหน้า

 

เย่เชียนไม่รู้ว่าเด็กคนนี้คิดแผนชั่วๆอะไรเขาเพียงเขายิ้มอย่างใจเย็นและไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะเพิ่มกำลังไปที่มือของตัวเองเพื่อตอบโต้ ไม่นานหลังจากนั้นฉินเฟิงก็รู้สึกว่ามือของตัวเองถูกเหล็กร้อนหนีบด้วยความเจ็บปวดและความเจ็บปวดนั้นก็ยากที่จะทนได้ แต่เขาไม่ต้องการที่จะเสียหน้าเขาจึงอดทนอดกลั้นต่อไปและเหงื่อก็เริ่มไหลไปท่วมหน้าผากของเขา เขาพยายามที่จะดึงแขนออกไปอย่างสุดกำลังแต่เขาไม่สามารถดึงมันออกมาได้ฉินเฟิงรู้สึกถึงความยุ่งเหยิงในใจของเขา เพราะถ้าใครสักคนขึ้นไปขี่เสือแล้วมันก็ยากที่จะลงและได้แต่หวังว่าเย่เชียนจะยอมลดละเลิกและไม่ทำให้เขาลำบากใจแบบนี้ต่อ

 

เมื่อเย่เชียนรู้ว่าฉินเฟิงไม่สามารถทนได้อีกต่อไปเย่เชียนก็ผ่อนแรงลงเพราะท้ายที่สุดแล้วเขาก็อาจจะเป็นพี่เขยของเด็กคนนี้ในอนาคตเขาต้องยอมเด็กคนนี้สักหน่อยเพื่อที่จะผูกสัมพันธ์ที่ดีเอาไว้บ้าง และเมื่อเย่เชียนปล่อยฉินเฟิงก็ดึงแขนของตัวเองกลับไปอย่างสุดกำลังและไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้ฉินเฟิงสูญเสียการทรงตัวและเกือบจะล้มลงกับพื้นแต่เย่เชียนก็พยุงเขาเอาไว้ได้ทันและพูดด้วยรอบยิ้มว่า “อย่าตื่นเต้นสิ..เราจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นในอนาคต”

 

ฉินเฟิงมองเย่เชียนด้วยความตื่นเต้น ที่ได้รับการช่วยเหลือและไม่ทำให้เขาต้องเสียหน้า และอย่างไรก็ตามฉินเฟิงก็ได้แต่ยอมรับมัน

 

ฉินหยูก็สามารถเข้าใจสถานการณ์ได้ไม่มากก็น้อยแต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะฉินเฟิงเป็นปีศาจตัวน้อยที่ค่อนข้างเกเรและไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด และการที่ใครสักคนช่วยสั่งสอนเขาสักหน่อยก็จะดีมากเพราะเขาจะได้ไม่หยิ่งผยองแบบนี้ไปตลอด

 

“เอาล่ะ..ทุกคนกินกันเถอะ!” ฉินหยูพูด

 

และหลังจากที่ฉินหยูพูดคำเหล่านี้ เย่เชียนก็ตกใจเมื่อเห็นจ้าวหยามูมมามยัดอาหารใส่ปากของเธออย่างเมามันและเอร็ดอร่อย ส่วนหูวเค่อในตอนแรกเธอก็แค่ลองชิมอยู่สองสามคำด้วยท่าทางที่ละเอียดอ่อนและมีมารยาทตามนิสัยของเธอแต่หลังจากนั้นไม่นานเธอก็มูมมามเหมือนจ้าวหยาโดยไม่สนใจภาพลักษณ์ของเธอในฐานสุภาพสตรีและกุลสตรีที่เพรียบพร้อมเลยแม้แต่น้อย..

.

.

.

.

.

.

.

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยอดนักรบจอมราชัน 96 น้องชายภรรยาในอนาคต

Now you are reading ยอดนักรบจอมราชัน Chapter 96 น้องชายภรรยาในอนาคต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ฮ่าฮ่า..คุณพี่สาวหยูดูเหมือนว่าภูเขาน้ำแข็งพันปีจะละลายลงแล้วนะคะ” หูวเค่อยิ้มอ่อนและพูด

 

ฉินหยูไม่ได้พูดอะไรเธอเพียงแค่ยิ้มอย่างมีความสุข

 

“พี่..นี่พี่ชอบเขาเหรอ เขาคนนั้นมีดียังไง..เขาก็แค่คนบ้านนอกหนิ” ฉินเฟิงพูดขึ้นมา เย่เชียนไม่ได้สังเกตเห็นมาก่อนหน้านี้ ว่ามีเด็กผู้ชายคนนึงกลับมาพร้อมกับพวกเธอด้วยในตอนนี้ เพราะพวกเขาทั้งหมดมัวแต่ให้ความสนใจกับบรรยากาศจึงลืมว่าเด็กคนนี้ก็มาด้วย

 

ฉินหยูมองไปที่ฉินเฟิงและพูดว่า “หุบปากของเธอไป..ถ้าเธอยังพูดอะไรที่ไร้สาระอีกก็ไปนอนในป่าซะ”

 

ฉินเฟิงแลบลิ้นของเขาใส่เธอและไม่เชื่อฟังที่เธอพูดอีกต่อไป ส่วนจ้าวหยายิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นปีศาจตัวน้อยตัวนี้เกรี้ยวกราด และเธอก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายเมื่อมองไปที่โต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารแสนอร่อยๆมากมาย “ฉันแทบจะทนไม่ไหวแล้ว..นี่พวกคุณรู้ไหมว่าอาหารที่เจ้าคนขี้โกงนี่ทำน่ะรสชาติดีกว่าอาหารที่ปรุงโดยเชฟในโรมแรมเสียอีก”

 

“เธอรู้ได้ยังไง?” ฉินหยูถามด้วยความประหลาดใจ

 

จ้าวหยาก็ตอบว่า “ก็เมื่อวานตอนเช้าเขาเตรียมบะหมี่เต้าเจี้ยวให้พวกเราเป็นอาหารเช้าน่ะ และมันเป็นบะหมี่เต้าเจี้ยวที่ดีที่สุดที่ฉันเคยกินมาเลย..ถ้าผู้ชายคนนี้ไปเป็นเชฟล่ะก็ฉันแน่ใจว่าเขาจะต้องยอดเยี่ยมมาก”

 

“จริงเหรอ!..แล้วทำไมฉันถึงไม่เห็นบะหมี่เต้าเจี้ยวเลยสักชามล่ะ” ฉินหยูไม่ได้โง่เธอเดาว่าจ้าวหยาต้องกินส่วนแบ่งของเธอไปหมดเลยอย่างแน่นอน ดังนั้นเธอจึงถามคำถามนี้ด้วยความหยอกล้อ

 

จ้าวหยาฝืนหัวเราะแห้งๆและพูดว่า “ก็..ก็มันอร่อยจริงๆนี่หน่า..ฉันเลยอดไม่ได้ที่จะกินส่วนแบ่งของอาเจ๊”

 

“ถึงเขาจะทำอาหารอร่อยแต่เขาก็ยังเป็นคนบ้านนอกอยู่ดี..และเราก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาหารพวกนี้น่ะมันสะอาดหรือเปล่า” ฉินเฟิงพึมพำ

 

ฉินหยูจ้องมองฉินเฟิงด้วยความโกรธเกรี้ยวจากนั้นฉินเฟิงก็หุบปากลงในทันที เพราะในครอบครัวของเธอนั้นปีศาจน้อยตัวนี้ไม่เกรงกลัวอะไรเลยแต่ทว่ามีอยู่สิ่งเดียวที่เขากลัวก็คือฉินหยู และเพียงแค่ฉินหยูจ้องมองเขาเพียงแค่ครั้งเดียวก็ทำเด็กคนนี้ว่านอนสอนง่ายและเหมือนตุ๊กตาคิตตี้ในนั้นที

 

จากนั้นไม่นานนักเย่เชียนก็เดินเข้ามาที่โต๊ะรับประทานอาหารด้วยท่าทางที่ดูกระตือรือร้น เขาดูระมัดระวังมากในขณะที่เขาถือวัตถุสีขาวเอาไว้ในมือทั้งสองข้างและค่อนข้างมันไม่ชัดเจนว่ามันคืออะไร เขานั่งขางหน้าฉินหยูและมอบให้เธออย่างระมัดระวัง “ผมขอมอบให้คุณ..คุณชอบมั้ย”

 

ทุกคนจ้องมองและเห็นกระต่ายสีขาวที่แกะสลักจากวัสดุที่มองไม่ออกว่ามันเป็นอะไร ฉินหยูยื่นมือของเธอและรับมัน จากนั้นเย่เชียนก็พูดอย่างเร่งรีบว่า “ระวังด้วยนะ..นี่ทำจากเต้าหู้เดี๋ยวมันจะเลอะเอา”

 

ทุกคนตกตะลึงอย่างมากเพราะการใช้เต้าหู้เพื่อสร้างกระต่ายน้อยที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ซึ่งจำเป็นต้องจะมีทักษะการใช้มีดที่ยอดเยี่ยมที่สุดและความใส่ใจในรายละเอียดและความอดทนเป็นอย่างมาก

 

“ขอบคุณนะ..นี่เป็นของขวัญที่พิเศษที่สุดและล้ำค่าที่สุดในชีวิตของฉันที่ฉันเคยได้รับเลย” ฉินหยูพูดขณะที่ยื่นมือรับ

 

เย่เชียนยิ้มอ่อนๆและพูดว่า “แต่มันไม่มีทางที่จะรักษาของขวัญชิ้นเอานี้ไว้ได้น่ะสิ”

 

“ไม่เป็นไร..ฉันจะเก็บมันเอาไว้ในใจตลอดไป” ฉินหยูพูดขณะที่เธอมองเย่เชียนอย่างอ่อนโยน

 

“ฉันก็อยากได้เหมือนกันนะ!” จ้าวหยาพูดและทำบุ้ยปาก เพราะเธอคิดว่าถึงยังไงก็ตามเธอก็เป็นภรรยาที่ชอบธรรมที่พ่อของเธอหมั้นหมายกับเย่เชียนเอาไว้และผู้ชายคนนี้ก็ให้ของขวัญกับผู้หญิงคนอื่นๆแต่ไม่ได้มอบให้ตัวเองเลยเพราะฉะนั้นมันจะเป็นการดูหมิ่นการมีอยู่ถึงสถานะของตัวตนของเธอมากเกินไป

 

“ไม่ให้!” เย่เชียนมองจ้าวหยาและพูดอย่างซุกซน

 

“หึ..จริงๆฉันก็ไม่ได้อยากได้หรอก” จ้าวหยาพูดและโกรธเคืองอย่างรุนแรง

 

“นี่พวกพี่ไม่หิวกันเหรอฉันหิวมากแล้ว..ท้องแถบจะร้องแล้วเนี่ย” ฉินเฟิงพึมพำ

 

ตอนนี้เย่เชียนก็เพิ่งจะสังเกตเห็นว่ามีเด็กอีกคนอยู่ในห้องนี้ด้วย และเมื่อเขาหันไปรอบๆและพบว่ามีเด็กผู้ชายคนที่เขาเพิ่งเจอที่สนามบาสเก็ตบอลโดยบังเอิญในบ่ายวันนั้นที่หน้าตาเหมือน รุคาว่า และตั้งแต่เขาเข้าประตูมาฉินเฟิงก็เอาแต่มองไปที่เย่เชียนอย่างเฉยเมยเพราะตอนนั้นมันค่อนข้างมืดดังนั้นเขาจึงไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก แต่ตอนนี้เขาสังเกตเห็นว่าคน ๆนี้เป็นผู้ชายที่ทำร้ายเขาด้วยลูกบาสเก็ตบอลในบ่ายวันนี้โดยไม่คาดคิด จากนั้นเขาก็ยืนขึ้นและพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เฮ้ยแก..โลกมันแคบจริงๆที่ได้เจอศัตรูอย่างแก..มา..ออกมาสะสางกันให้มันรู้ไปเลย!”

 

จ้าวหยานั้นคิดมานานสักพักแล้วและก็คิดว่ามันจะต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ ส่วนฉินหยูและหูวเค่อก็ได้แต่มองไปรอบๆด้วยความประหลาดใจและตกใจ “รู้จักกันเหรอ” ฉินหยูหันไปหาเย่เชียนและถามด้วยความประหลาดใจ

 

“เราเคยเล่นบาสเก็ตบอลด้วยกัน” เย่เชียนพูดเบาๆและยิ้ม

 

ฉินเฟิงแอบคิดกับตัวเองว่า ‘เล่นบาสเก็ตบอลบ้าอะไรวะ มันปาใส่หน้าชัดๆ”

 

“อ้อ” ฉินหยูพูดและชี้ไปทางฉินเฟิงและพูดว่า “นี่คือน้องชายของฉันเอง..ฉินเฟิง”

 

เย่เชียนพูดไม่ออกเพราะปรากฎว่าเขาจะต้องเป็นพี่เขยในอนาคตของเด็กคนนี้ เขายิ้มอ่อนๆและยื่นมือออกมาพร้อมพูดว่า “อ้อ..นายเป็นน้องชายคนเล็กนี่เอง..เรามาทำความรู้จักกันเถอะ..ฉันชื่อเย่เชียน ที่หมายถึง ‘อ่อนน้อมถ่อมตน’ นั่นคือชื่อของฉัน”

 

“เหอะ!” ฉินเฟิงจ้องมองเย่เชียนอย่างดูถูกเหยียดหยามและหันหน้าหนี

 

ฉินหยูขมวดคิ้วของเธอและจ้องมองฉินเฟิงที่กำลังโกรธเกรี้ยว ปากของฉินเฟิงเบี้ยวบูดในขณะที่เขาไม่เต็มใจที่จะยื่นมือออกไปและจับมือกับเย่เชียน และเมื่อเห็นใบหน้าที่ยิ้มอย่างเป็นมิตรของเย่เชียนนั้นฉินเฟิงก็เกิดความคิดที่ชั่วร้ายผุดขึ้นมาในหัวของเขาจากนั้นฉินเฟิงก็ฉีกยิ้มและพูดว่า “ฉันชื่อฉินเฟิง ที่หมายถึงยอดแห่งภูภา” ในขณะที่เขาพูดแบบนี้เขาก็ค่อยๆออกแรงมือเพื่อบีบมือของเย่เชียนเพื่อที่จะให้เย่เชียนเสียหน้า

 

เย่เชียนไม่รู้ว่าเด็กคนนี้คิดแผนชั่วๆอะไรเขาเพียงเขายิ้มอย่างใจเย็นและไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะเพิ่มกำลังไปที่มือของตัวเองเพื่อตอบโต้ ไม่นานหลังจากนั้นฉินเฟิงก็รู้สึกว่ามือของตัวเองถูกเหล็กร้อนหนีบด้วยความเจ็บปวดและความเจ็บปวดนั้นก็ยากที่จะทนได้ แต่เขาไม่ต้องการที่จะเสียหน้าเขาจึงอดทนอดกลั้นต่อไปและเหงื่อก็เริ่มไหลไปท่วมหน้าผากของเขา เขาพยายามที่จะดึงแขนออกไปอย่างสุดกำลังแต่เขาไม่สามารถดึงมันออกมาได้ฉินเฟิงรู้สึกถึงความยุ่งเหยิงในใจของเขา เพราะถ้าใครสักคนขึ้นไปขี่เสือแล้วมันก็ยากที่จะลงและได้แต่หวังว่าเย่เชียนจะยอมลดละเลิกและไม่ทำให้เขาลำบากใจแบบนี้ต่อ

 

เมื่อเย่เชียนรู้ว่าฉินเฟิงไม่สามารถทนได้อีกต่อไปเย่เชียนก็ผ่อนแรงลงเพราะท้ายที่สุดแล้วเขาก็อาจจะเป็นพี่เขยของเด็กคนนี้ในอนาคตเขาต้องยอมเด็กคนนี้สักหน่อยเพื่อที่จะผูกสัมพันธ์ที่ดีเอาไว้บ้าง และเมื่อเย่เชียนปล่อยฉินเฟิงก็ดึงแขนของตัวเองกลับไปอย่างสุดกำลังและไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้ฉินเฟิงสูญเสียการทรงตัวและเกือบจะล้มลงกับพื้นแต่เย่เชียนก็พยุงเขาเอาไว้ได้ทันและพูดด้วยรอบยิ้มว่า “อย่าตื่นเต้นสิ..เราจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นในอนาคต”

 

ฉินเฟิงมองเย่เชียนด้วยความตื่นเต้น ที่ได้รับการช่วยเหลือและไม่ทำให้เขาต้องเสียหน้า และอย่างไรก็ตามฉินเฟิงก็ได้แต่ยอมรับมัน

 

ฉินหยูก็สามารถเข้าใจสถานการณ์ได้ไม่มากก็น้อยแต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะฉินเฟิงเป็นปีศาจตัวน้อยที่ค่อนข้างเกเรและไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด และการที่ใครสักคนช่วยสั่งสอนเขาสักหน่อยก็จะดีมากเพราะเขาจะได้ไม่หยิ่งผยองแบบนี้ไปตลอด

 

“เอาล่ะ..ทุกคนกินกันเถอะ!” ฉินหยูพูด

 

และหลังจากที่ฉินหยูพูดคำเหล่านี้ เย่เชียนก็ตกใจเมื่อเห็นจ้าวหยามูมมามยัดอาหารใส่ปากของเธออย่างเมามันและเอร็ดอร่อย ส่วนหูวเค่อในตอนแรกเธอก็แค่ลองชิมอยู่สองสามคำด้วยท่าทางที่ละเอียดอ่อนและมีมารยาทตามนิสัยของเธอแต่หลังจากนั้นไม่นานเธอก็มูมมามเหมือนจ้าวหยาโดยไม่สนใจภาพลักษณ์ของเธอในฐานสุภาพสตรีและกุลสตรีที่เพรียบพร้อมเลยแม้แต่น้อย..

.

.

.

.

.

.

.

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+