ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง 96 ใบไม้เขียวหนา บุปผาแดงโรย ยามออกจากเมืองฟ่ง

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง Chapter 96 ใบไม้เขียวหนา บุปผาแดงโรย ยามออกจากเมืองฟ่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 96 ใบไม้เขียวหนา บุปผาแดงโรย ยามออกจากเมืองฟ่ง
โดย

                ตระกูลเว่ยรุ่งเรืองมาในเฟิ่งโจวหลายร้อยปี หยั่งรากลึกมั่นคง ยามนี้บ้านใหญ่จะแต่งบุตรสาวออกทั้งยังเป็นหลานสาวคนเดียวในรุ่นนี้ด้วย และบ้านสามีก็ยังเป็นตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียงผู้ซึ่งถูกกำหนดเป็นการภายในแล้วว่าจะเป็นประมุขคนต่อไป จึงทำให้บรรยากาศวันนี้ครื้นเครงยิ่งนัก

                เว่ยฮ่วนสั่งความไปทั่วทั้งนอกและในเมืองด้วยตนเอง ว่านับแต่ก่อนวันที่เว่ยฉางอิ๋งออกเรือนหนึ่งวันจะมีงานเลี้ยงอาหารสิบวัน โดยในระหว่างนั้นจะมีสุรา อาหารชั้นเลิศมากมายมาจัดเลี้ยงมิได้ขาด ไม่มีการสอบถามว่ามั่งมียากจนหรือมาแต่ที่ใด ผู้ใดก็ตามที่เข้ามากล่าวคำมงคลอวยพรก็จักได้รับการต้อนรับจากคนในตระกูลเว่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยง ทั้งยังให้ช่างที่มีฝีมือชั้นยอดจัดทำโคมรูปดอกบัว นกกระพือปีก นกเป็ดน้ำคล้องคอกันและรูปอื่นๆ ที่บ่งบอกถึงความงดงามสมบูรณ์และการรักใคร่ปรองดองกัน แล้วจุดให้ส่องสว่างอยู่ทั้งคืน ให้ทั่วเมืองสว่างไสวเรืองรองประหนึ่งยามกลางวัน

                เพียงชั่วเวลาเดียว ทั้งในและนอกตัวเมืองเฟิ่งโจว กลางวันจึงมีพุ่มดอกไม้ละลานตา กลางคืนมีโคมประดับต้นไม้ระยิบระยับ คึกคักและมีสีสันยิ่งนัก ชื่อเสียงของหกตระกูลสูงศักดิ์ในเขตทะเลยิ่งใหญ่นัก ทว่าก็มิใช่ว่าทุกครั้งที่แต่งบุตรสาวออกหรือแต่งบุตรสะใภ้เข้าจะมีการจัดงานที่อลังการถึงเพียงนี้ ผู้ที่เดินทางผ่านเฟิ่งโจวจำนวนมากถึงขั้นเจาะจงจะหยุดพักอยู่ที่เฟิ่งโจวเพื่องานแต่งงานครานี้ เพื่อจักได้เปิดหูเปิดตา ทั้งยังเก็บเอาไว้พูดคุยได้ในวันหน้าอีกด้วย

                เมื่อถึงวันที่เว่ยฉางอิ๋งออกเดินทาง ด้วยข่าวคราวที่ตระกูลเว่ยตระเตรียมสุราอาหารรสเลิศเอาไว้มากมายแพร่ออกไปทั้งในและนอกตัวเมือง จึงคาดว่าอาจจะไปรบกวนขบวนออกเรือน ดังนั้นจึงได้มีการจุดธูปจากไม้เหนือหอมเฉินกวงทั้งอ่างเอาไว้ทุกๆ สิบก้าวจากภายในรุ่ยอวี่ถังจนออกไปนอกเมืองสิบลี้ ธูปเฉินกวงมิได้ผลิตในต้าเว่ย หากแต่เป็นของบรรณาการจากแคว้นถูหุน หลายปีมานี้เพราะพลานุภาพของต้าเว่ยอ่อนแอลง จึงมิได้มีธูปเฉินกวงเขามาบรรณาการใหม่แล้ว และเพราะเหตุนี้จึงทำให้ธูปชนิดนี้ยิ่งมีราคาสูงขึ้นทุกวัน

                เครื่องหอมที่มาจากแดนไกลชนิดนี้ แม้จะดมอยู่นานก็หาได้รู้สึกเบื่อหน่ายไม่ และสิ่งที่แตกต่างจากเครื่องหอมชนิดอื่นก็คือตอนที่จุดนั้นจะเกิดแสงสว่างขึ้นด้วย… ซึ่งตามธรรมเนียมแล้วเว่ยฉางอิ๋งจักต้องออกจากบ้านก่อนพลบค่ำ ผู้ที่มารับและส่งเจ้าสาวนั้นมีจำนวนมากมายยิ่ง ทั้งยังมีทหารกองเกียรติยศอีก บวกกับสินติดกายเจ้าสาวและผู้คนที่จะไปพร้อมกับเว่ยฉางอิ๋งยามแต่งงาน ก็มิใช่ว่าขบวนเจ้าสาวยาวสิบลี้ก็จะแห่แหนไปได้ทั้งหมด จึงเป็นเหตุให้การเคลื่อนขบวนเป็นไปได้อย่างล่าช้า วันแรกที่ออกเดินทางนั้นจึงสามารถเดินทางไปได้เพียงไม่กี่ก้าวฟ้าก็มืดเสียแล้ว… ตระกูลเว่ยจงใจเลือกใช้ธูปเฉินกวงก็ด้วยคำนึงว่าท่ามกลางเวลาค่ำคืน เมื่อจุดธูปชนิดนี้ก็จะมีแสงสว่างดังโคมไฟ นอกจากจะใช้ส่องสว่างหนทางแล้วยังส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว ถือเป็นการปูเส้นทางส่งอำลาทว่ามีความยิ่งใหญ่อลังการยามเว่ยฉางอิ๋งเดินทางออกจากบ้าน เพื่อแสดงว่าตระกูลเว่ยให้ความสำคัญแก่เว่ยฉางอิ๋งเพียงใด

                ขณะที่ผู้คนซึ่งมาชมพิธีกำลังรู้สึกเสียดายเครื่องหอมเลื่องชื่ออยู่นั้น ในเวลาเดียวกันก็จะพลอยตื่นตะลึงกับทรัพย์สมบัติของตระกูลเว่ยเป็นนักหนาจึงถึงขั้นลิ้นจุกปาก ทั้งยังจักจดจำคุณหนูที่ชื่อเสียงถูกทำลายไปกว่าครึ่งผู้นี้ได้เป็นอย่างดี

                มีไข่มุกและอัญมณีรายรอบ บรรจงแต่งกาย อาภรณ์หรูหรา เว่ยฉางอิ๋งสวมเครื่องประดับศีรษะที่ดีที่สุดในชีวิต มีมงกุฎดอกไม้อยู่สองข้างซ้ายขวา ซึ่งเป็นปิ่นหยกคู่สีเลือดที่ฮูหยินซูมอบให้ สวมชุดแต่งงานเต็มยศที่ต้องใช้ช่างปักฝีมือดีนับสิบและใช้เวลากว่าหนึ่งปีจึงปักสำเร็จออกมา แล้วทำพิธีกราบไหว้โดยการคุกเข่าสามคราโขกหัวเก้าหนเพื่อเป็นการอำลาศาลบรรพชน นางหวงนำผ้าคลุมศีรษะซึ่งปักเป็นรูปใบและดอกบัวที่เตรียมมาบรรจงคลุมให้แก่นาง

                …จากนั้น นางและเสิ่นจั้งเฟิงก็จะอำลาปู่ย่าและบิดามารดาพร้อมกัน

                เนื่องจากได้ไปหาเว่ยเจิ้งหงมาล่วงหน้าแล้ว แม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งต่างพากันคำนึงถึงร่างกายของเว่ยเจิ้งหงจึงมิได้ไปรบกวนในวันออกเดินทางนี้ หลังจากคู่บ่าวสาวเข้าไปคำนับอำลาเว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งแล้ว ยามคำนับอำลาฮูหยินซ่งจึงได้หันหน้าไปไหว้ทางทิศของเรือนเล่ออี๋ ฮูหยินซ่งน้ำตาคลอ กล่าวสั่งความบุตรสาวด้วยเสียงสั่นเครือว่า “เชื่อฟังเขา เคารพเขา ทุกวันคืนอย่าขืนขัด[1]!” ส่วนคำกล่าวที่ว่า “ทำตามเขา เคารพเขา ในห้องหับอย่าขืนขัด” นั้นได้สั่งความไปก่อนหน้านี้แล้ว

                เสียงระฆังและกลองโหมดังขึ้น แม้จักตั้งใจหลบเลี่ยงมิให้รบกวนทางเรือนเล่ออี๋ แต่ยามเมื่ออยู่ที่ลานในเรือนก็ยังคงได้ยินเสียงดนตรีและเสียงอึกทึกดังมาแต่ไกลครั้งแล้วก็ครั้งเล่าอยู่ตลอดทั้งวัน

                ในสายลมอ่อนที่โชยไปมา หลี่ว์หานมองดูผู้ที่ยืนอยู่ในลานบ้านอย่างกังวลใจ “นายท่านใหญ่ขอรับ ที่นี่ไม่มีที่บังลม อย่างไรก็กลับเข้าห้องเถิดขอรับ?”

                “เฮอะๆ… มิเป็นไร” วันนี้เว่ยเจิ้งหงตั้งใจเปลี่ยนมาใส่ชุดเฟิงเผาซึ่งเป็นชุดยาวทั้งตัวแขนกระบอก ซึ่งโดยทั่วไปจะตัดเย็บเอาไว้ใช้ยามเริ่มฤดูใบไม้ผลิ ในยามนี้ชุดเฟิงเผาชุดนี้ดูหลวมลงไปมาก มองเห็นความซูบผอมจนเห็นกระดูกได้อย่างชัดเจน ยามเขายืนอยู่ในลานบ้านนั้น เสื้อผ้าที่หลวมเกินไปต้องลมฤดูใบไม้ผลิพัดโบกจนสะบัดไปมา จนคลายจะปลิดปลิวไปตามแรงลมนั้น ทำให้หลี่ว์หานเกิดลางไม่ใคร่ดีขึ้นมาในใจ

                โชคดีที่ใบหน้าของเว่ยเจิ้งหงที่ซีดขาวมาโดยตลอดแต่วันนี้กลับมีสีแดงระเรื่อขึ้นมาหลายส่วน อย่างไรก็ดี ยามนี้บุตรสาวออกเรือน ทั้งบุตรเขยที่นางแต่งด้วยนั้นเขาเองก็รู้สึกว่าไม่เลวทีเดียว แม้ร่างกายจะยังคงอ่อนแออยู่ แต่กลับมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมา เขายิ้มอยู่ในอีกฟากของกำแพง ยังคงมองไปทางเรือนหลักแล้วว่า “วันนี้ข้าอารมณ์ดีเหลือเกิน อยากจะไปดูที่ข้างหน้าเสียจริงๆ”

                หลี่ว์หานตกใจใหญ่ รีบกล่าวทัดทานไปว่า “ท่านหมอเทวดาจี้บอกเอาไว้ว่า…”

                “ข้ารู้” แม้เว่ยเจิ้งหงจะเจ็บป่วยมานานทว่าก็มีการดูแลฟักฟื้นมาเป็นอย่างดี แต่ไรมาจึงไม่เคยมีอาการเจ็บป่วยกำเริบขึ้นมาจนทำให้ใครๆ ตื่นตกใจ และไม่จงใจทำให้ผู้ที่คอยปรนนิบัติตนต้องลำบากใจ ดังนั้นจึงรีบพยักหน้า กล่าวว่า “ถึงวันนี้ข้าจักรู้สึกว่าร่างกายดีขึ้นมาก ทว่าตอนนี้ข้างหน้ากำลังยุ่งวุ่นวายกัน หากข้าไป พวกเขาก็จะต้องยุ่งยากขึ้นไปอีก… ข้าก็เพียงพูดไปเช่นนั้นเอง”

                หลี่ว์หานพลันรู้สึกอดรนทนไม่ได้ขึ้นมา แล้วว่า “นายท่านใหญ่ขอรับ หรือพวกเราหาที่สูงๆ ดูสักหน่อยขอรับ?”

                “…” เว่ยจิ้งหงรู้สึกใจเต้นขึ้นมา ทว่าหลังจากลังเลอยู่เป็นนานก็กลับถอนหายใจออกมาคราหนึ่งพลางส่ายหัวแล้วว่า “หากท่านแม่และเวยเอ๋อร์รู้เข้าย่อมต้องไม่วางใจ แล้วก็จักต้องมาดูด้วยตนเอง ครานี้เป็นฉางอิ๋งออกเรือน ผู้ที่มีงานยุ่งที่สุดก็คือพวกนางแล้ว ด้วยข้าเจ็บป่วย คอยเป็นตัวถ่วงพวกนางมานานปี ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่อาจช่วยสิ่งใดได้ แล้วจักทำให้พวกนางเป็นห่วงอีกหรือ?” เขาหมุนตัวกลับมารอบหนึ่งในลานบ้านแห่งนั้น แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนา แต่กลับบอกว่า “ข้าจักคอยฟังอยู่ที่นี่ล่ะ”

                หลี่ว์หานรู้สึกปวดร้าวใจขึ้นมาทันใด ฝืนยิ้มพลางว่า “เช่นนั้นข้าน้อยจะไปนำฉากกันลมสองด้านและตั่งอ่อนมานะขอรับ นายท่านใหญ่จักได้มีที่หย่อนขาขอรับ”

                เว่ยเจิ้งหงตอบรับลอยๆ คราหนึ่ง แล้วค่อยๆ เดินไปทางกำแพง จับจ้องไปยังเสียงไม่ใคร่ชัดเจนนักที่ดังลอยมาแต่ไกลๆ ….ฟังไปพลาง และคาดเดาพิธีไปตามที่ตนเข้าใจไปพลาง ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ระหว่างนั้นหลี่ว์หานได้ตระเตรียมตั่งอ่อนมาเรียบร้อยและเชิญเขาเข้ามาอยู่หลังฉากกันลมเพื่อมิให้ต้องลม แต่กลับถูกขับสะบัดแขนเสื้อสั่งให้ถอยไปอย่างรู้สึกรำคาญ…

                ที่สุดเสียงระฆังและกลองก็ดังแจ่มชัดขึ้นมา เสียงดนตรีดังสนั่น เสียงคนโห่ร้องลั่น … ไม่ต้องถามก็รู้ได้ว่าคู่บ่าวสาวจะออกจากบ้านแล้ว

                “ลูกข้าเอย ไม่ว่าจะสักกี่ชาติต่อกี่ชาติ บิดายอมรับทุกข์ทนจากความเจ็บป่วยเช่นนี้ไปชั่วนิรันดร์ ก็จักยอมกล้ำกลืนเอาไว้อย่างหอมหวานดังอมลูกกวาด เพียงขอวิงวอนต่อสวรรค์โปรดปกปักษ์คุ้มครองลูกข้า ให้การเดินทางหนนี้ราบรื่นตลอดทาง เป็นที่ต้องใจของทุกผู้ทุกคนในบ้านสามี มีแต่คนรักทวีคูณ!” เมื่อคิดถึงว่าไข่มุกที่มีในมือเพียงเม็ดเดียวจักออกเรือน ทว่าตนเองนั้น แม้แต่จะไปสอนสั่งบุตรสาวต่อหน้าแขกในพิธีสักคำก็ยังทำไม่ได้ ความโศกเศร้าในอกของเว่ยเจิ้งหงก็พลันประเดประดังขึ้นมา แม้ว่าภายหลังจะถูกเขาพยายามข่มมันเอาไว้ ริมฝีปากและฟันสั่นระริก พึมพำออกมาอย่างไร้ซุ่มเสีย หลังจากพยายามตั้งสติ ที่สุดก็กลับกลายเป็นความรู้สึกผ่อนคลายเป็นอิสระ

                ยามที่เว่ยเจิ้งหงอยู่ในลานของเรือนเล่ออี๋และภาวนาต่อสวรรค์ให้อำนวยพรแก่บุตรสาวนั้น เว่ยฉางอิ๋งที่มีผ้าคลุมหน้าอยู่ก็กำลังเกาะอยู่บนหลังของเว่ยฉางเฟิง นางขบริมฝีปากเบาๆ คิดอยากจะหันหลังกลับมามองโดยไม่รู้สาเหตุ

                เพียงแต่กำลังจะหันมอง ก็ถูกนางหวงที่ตามมาข้างๆ ติดๆ สังเกตเห็น จึงรีบกำชับเสียงเบาๆ ไปว่า “คุณหนูใหญ่อย่าหันหน้ากลับมา ไม่เป็นมงคลเจ้าค่ะ!”

                ตลอดทางจนกระทั่งขึ้นไปบนเกี้ยว นางหวงจึงได้เอ่ยเตือนนางผ่านม่านในเกี้ยวว่า “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ ตลอดทางนี้ห้ามหันหลังกลับมา นี่เป็นคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยิน คุณหนูใหญ่อย่าได้หลงลืมเป็นเด็ดขาดเชียวเจ้าค่ะ!”

                คำโบราณกล่าวว่าหากหันหลังกลับยามออกเรือน ด้วยอาลัยบ้านตนเกินไป ก็จะต้องได้กลับมาจริงๆ …หากไม่ถูกทอดทิ้ง สามีก็จักเสียชีวิต และบ้านสามีก็จักไม่ให้อภัย สรุปแล้วล้วนมิใช่เรื่องดีทั้งสิ้น

                ข้อห้ามต่างๆ เหล่านี้ เว่ยฉางอิ๋งล้วนถูกกำชับกำชามาก่อนหน้านี้แล้ว แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ กลับอดไม่ได้ เคราะห์ดีที่เครื่องประดับบนศีรษะมีน้ำหนักมาก ทำให้นางขยับตัวได้ไม่ถนัดนัก และเมื่อครู่นี้นางหวงก็เพิ่งจะมีโอกาสเข้ามาเตือนนางอีกหน

                เมื่อคิดถึงตรงนี้เว่ยฉางอิ๋งอดจะเยาะตนเองไม่ได้ คิดในใจว่ามิน่าเล่าเครื่องประดับยามออกเรือนจึงต้องหนักถึงเพียงนี้ คงเพราะคำนึงถึงเหตุนี้กระมัง?

                ในขณะที่นางกำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่นั้นเอง พิธีข้างนอกเสร็จสิ้นแล้ว แม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งพากันรีบมาที่ข้างเกี้ยว และอดจะร้องห่มร้องไห้ด้วยความอาลัยอีกคราหนึ่งไม่ได้… ทว่าแม้จักอาลัยอาวรณ์เพียงใดก็ไม่กล้าทำให้เสียเวลา เกี้ยวสลักลวดลายที่มีนั่งที่จำจากไม้เนื้อหอมเฉินกวง ประดับตกแต่งด้วยแผ่นทองคำและไข่มุก อีกทั้งทั้งสี่มุมยังมีธูปกิเลนมงคลที่สามารถส่งกลิ่นหอมไปได้ตลอดทางหลังนั้น ก็ยังค่อยๆ ถูกหามขึ้นมา

                “ลูกข้า! ลูกข้า!” ฮูหยินซ่งตะโกนร้องไห้เสียงดังอยู่ภายนอกเกี้ยว เว่ยฉางอิ๋งที่อยู่ในเกี้ยวพลันน้ำตาไหลริน เผลอคิดไปว่าอยากจะเปิดผ้าคลุมหน้าออกเสีย แล้วเปิดม่านออกมามองมารดาอีกสักหน แต่กลับถูกฉินเกอและเยี่ยนเกอที่นั่งมาในเกี้ยวด้วยกดมือเอาไว้แน่น แล้วกล่าวเสียงต่ำๆ ว่า “ไม่เป็นมงคลเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่โปรดสงบใจสักหน่อยเจ้าค่ะ!”

                โชคดีที่นอกเกี้ยวนั้นยังมีแม่เฒ่าซ่งคอยช่วยบรรเทาความเศร้าโศก นางรั้งตัวฮูหยินซ่งเอาไว้ “จั้งเฟิงเป็นเด็กดี เป็นคู่สวรรค์สร้าง พวกเราควรจักดีใจจึงจะ…”

                เพียงแต่ว่า แม้แม่เฒ่าซ่งจะกล่าวทัดทานสะใภ้เช่นนี้ แต่เมื่อนางมองเห็นว่าเกี้ยวประดับลวดลายที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปตามเสียงดนตรีมุ่งหน้าไปทางเมืองหลวง กำลังจักเคลื่อนตัวพ้นหางตาไป แม่เฒ่าซ่งที่เคร่งขรึมและสงวนท่าทีมาโดยตลอดก็ยังปล่อยมือจากสะใภ้ แล้วร้องตะโกนเสียงดังต่อหน้าสายตาของธารกำนัลว่า “ลูกเอ๊ย จะ…เจ้าจักต้องมีชีวิตที่ดีนะ!”

                 เสียงที่ร้องออกมานี้ก็ถูกกลืนไปกับเสียงดนตรีและเสียงผู้คน หากมิใช่เพราะเว่ยฉางอิ๋งหูดีทั้งยังคุ้นเคยกับเสียงของท่านย่าเป็นอย่างยิ่งก็คงยากจะได้ยิน น้ำตานางหลั่งดังสายฝน แล้วสะอื้นว่า “ขะ…ข้าไม่อยาก…”

                ฉินเกอและเยี่ยนเกอเกรงว่านางจะเอ่ยวาจาทำนองว่าไม่อยากจะแต่งงาน จึงรีบเตือนสตินางว่า “คุณหนูใหญ่โปรดคิดให้ตก คิดให้ตกนะเจ้าคะ! นี่เป็นเรื่องมงคล เรื่องมงคลเจ้าค่ะ”

                แล้วปลอบประโลมนางเสียงเบาๆ ว่า “ ท่านเขยมีน้ำใจกว้างขวาง เจรจาง่ายยิ่งนัก! หากวันหน้าคุณหนูใหญ่คิดถึงฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยิน ก็เพียงขออนุญาตจากท่านพ่อท่านแม่ของท่านเขย ก็มิใช่ว่าจะกลับมาเยี่ยมญาติโดยมีท่านเขยมาด้วยไม่ได้นะเจ้าคะ! อย่างไรก็ยังมีโอกาสได้พบเจอกันเจ้าค่ะ!”

                นางหวงที่อยู่ข้างนอกเกี้ยวถูกรบกวนจากเสียงดนตรีและเสียงของผู้คนที่มาอวยพรอยู่สองข้างทาง จึงได้ยินไม่ชัดเจน นางเพียงแต่คอยเตือน คอยปลอบอยู่ตลอดทาง เคราะห์ดีที่แม้ว่าเว่ยฉางอิ๋งจะตัดใจไม่ได้ แต่ภายในใจก็เข้าใจดีกว่า แม้ท่านย่าและมารดาจะร้องไห้ยามมาส่งตน แต่หากนางต้องการจะอยู่ต่อไปจริงๆ เกรงว่าพวกนางก็คงจักกระโดดโหยงด้วยความร้อนใจ… และบอกว่าอย่างไรเสียเด็กสาวก็ต้องแต่งงาน

                เมื่อเห็นว่านางสงบลงแล้ว ทั้งฉินเกอและเยี่ยนเกอจึงได้พากันแอบโล่งใจ แล้วส่งกระจกพกบานเล็กๆ ให้แก่นาง เพื่อให้นางก้มลงดู และสามารถตรวจสอบดูภายใต้ผ้าคลุมหน้าได้ว่ามีที่ใดเช็ดต้องซับอีกหรือไม่

                เว่ยฉางอิ่งก้มหน้าลงมามอง หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดสีต่างๆ บนใบหน้าที่จัดจ้านเกิดไปออกเสีย แล้วถอนหายใจยาวๆ พลางส่งผ้าเช็ดหน้าและกระจกคืนให้สาวใช้ แล้วพิงลงไปบนหมอนอิงในเกี้ยว จากนั้นจึงหลับตาพักผ่อนเอาแรงไปเสียเลย

                เป็นเช่นนี้ไปจนถึงยามลงจากเกี้ยวฟ้าก็มืดแล้ว เว่ยฉางอิ๋งถูกประคองลงจากเกี้ยวโดยมีพวกสาวใช้ถือพัดล้อมรอบตัวบังสายตาของนางเอาไว้ และพาเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง … ห้องนี้ดูไปแล้วกลับคุ้นตานัก เว่ยฉางอิ๋งถามว่า “นี่มิใช่ศาลาที่ใช้เป็นที่ส่งอำลาหรอกรึ?”

                ฉินเกอกล่าวว่า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ บ้านเราส่งช่างมาสร้างเอาไว้ล่วงหน้าเจ้าค่ะ ภายในก็ประดับตกแต่งด้วยของที่มาจากคลังในจวนเราด้วยเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่จะพักอยู่ที่นี่คืนนี้ เพราะอย่างไรเสียวันนี้ก็เพิ่งจะออกมาตอนใกล้พลบค่ำแล้ว จึงสามารถเดินมาถึงศาลาสิบลี้แห่งนี้เท่านั้นเจ้าค่ะ”

                “ช่วยข้าเอาเครื่องเคราบนหัวนี้ออกเสียก่อน” เว่ยฉางอิ๋งถามนางหวงที่อยู่ข้างๆ ว่า “ท่านอา ดีชั่วอย่างไรต้องเดินทางอีกหลายวัน แต่งกายเช่นนี้จะทำให้ยิ่งรู้สึกเหนื่อย หากตลอดทางสวมเพียงเสื้อผ้าธรรมดา เมื่อถึงเมืองหลวงแล้วจึงค่อยเปลี่ยนได้หรือไม่?”

                นางหวงเอ่ยอย่างลำบากใจว่า “นี่…ไม่ใคร่ถูกต้องตามประเพณีนะเจ้าค่ะ!”

                “ยามข้าเข้าออกก็ล้วนมีผู้คนห้อมล้อมซ้ายขวา คนภายนอกก็ไม่มีผู้ใดมองเห็นข้านี่ ท่านอาบอกให้พวกนางอย่าพูดออกไป ก็มิสิ้นเรื่องแล้วหรือ?” เว่ยฉางอิ๋งทำปากจู๋ แล้วกล่าวอย่างน้อยใจว่า “วันนี้เข้าเหนื่อยเหลือเกินแล้ว… ยามออกมาวันนี้ก็ยังต้องนั่งเกี้ยวอีก! นับแต่วันพรุ่งก็ต้องนั่งรถม้า ยังต้องเหนื่อยอีกมาก หากแต่งกายเช่นนี้ทั้งตัว ข้าจะนอนก็ยังนอนไม่หลับเลย!”

                ด้วยแท้จริงแล้วนางหวงก็รักใคร่นาง ยิ่งไปกว่านั้นการไปเมืองหลวงหนนี้อย่างน้อยก็จักต้องใช้เวลาสิบกว่าหรือยี่สิบกว่าวัน หากทุกวันต้องเสียเวลาแต่งตัวหลายชั่วยามเพื่อจะมาขึ้นรถ แล้วลงจากรถก็ยังต้องเสียเวลาถอดออกอีกครึ่งชั่วยาม และที่สำคัญที่สุดก็คือ…นอกจากคนที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายแล้ว ก็เป็นจริงว่าจักไม่มีผู้ใดเห็นเว่ยฉางอิ๋ง นับว่าลำบากมากจริงๆ ทั้งยังมิใช่เป็นการลำบากเว่ยฉางอิ๋งแต่ผู้เดียวด้วย เมื่อคิดดูแล้ว นางหวงจึงได้รับปาก และสั่งให้ฉินเกอและเยี่ยนเกอคอยดูแลเว่ยฉางอิ๋ง ส่วนตนเองก็ออกไปสั่งความแก่ผู้อื่น

                สาวใช้สองนางคอยช่วยเว่ยฉางอิ๋งถอดชุดและเปลี่ยนเสื้อ เมื่อเสร็จแล้วก็ยังเห็นว่าแม้เว่ยฉางอิ๋งจะสบายตัวขึ้นมากแต่สีหน้าก็ยังคงไม่เป็นสุข เพื่อทำให้นางอารมณ์ดีจึงผลักหน้าต่างให้เปิดออก พลางยิ้มแล้วว่า “คุณหนูใหญ่โปรดดูนี่เจ้าค่ะ!”

                ข้างใต้หน้าต่างนั้นมีอ่างใบใหญ่อ่างหนึ่ง ภายในมีใบบัวสายลอยอยู่ ฤดูกาลนี้ยังไม่มีดอกบัวสาย ทว่าตรงกลางใบบัวสายกลับมีดอกบัวผลึกแก้วอยู่ดอกหนึ่ง ตรงใจกลางดอกบัวมีแสงสีฟ้าจุดสว่างอยู่ สุกไสว งดงามจับตา แสงนั้นลอดผ่านดอกบัวผลึกแก้วออกมา ทำให้เกิดเป็นลำแสงหลากสี วิววับไปหมด บนดอกบัวผลึกแก้วนั้นมีควันบางพวยพุ่งออกมาปกคลุมจนทั่ว แสงที่ลอดผ่านออกมาดังลำแสงดวงอาทิตย์ที่ลอดผ่านมวลเมฆ เมื่อสูดดมเข้าไปพลันทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันใด

                เว่ยฉางอิ๋งยังไม่รู้เรื่องที่ตระกูลเว่ยใช้ธูปเฉินกวงส่องสว่างให้นางตลอดทาง เมื่อเห็นภาพนี้แล้วจึงกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “ธูปเฉินกวง?”

                “นี่เป็นคุณชายห้าสั่งให้วางเอาไว้ที่นี่อ่างหนึ่ง เพื่อให้คุณหนูใหญ่ได้ดูเล่นเจ้าค่ะ” ฉินเกอปิดปากหัวเราะ “อ่างน้ำเช่นนี้ จัดวางเอาไว้มาตั้งแต่หน้าประตูรุ่ยอวี่ถังจนถึงศาลายาวแห่งนี้เชียวนะเจ้าคะ! นี่เพราะเป็นบ้านของตระกูลเช่นพวกเรา มิใช่ว่าทุกๆ บ้านจะสามารถทำเช่นนี้ได้ยามออกเรือนนะเจ้าคะ”

                “ฉางเฟิงมีน้ำใจจริงๆ” เมื่อได้ยินว่าน้องชายเป็นผู้วางแผนจัดการให้นาง เว่ยฉางอิ๋งก็แย้มยิ้มออกมาน้อยๆ และรู้สึกผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก เดิมทีเว่ยฉางเฟิงอยากจะมาส่งพี่สาวจนถึงเมืองหลวงด้วยตัวเองเป็นอย่างมาก แต่ในเวลาเช่นนี้มีกฎว่า มาส่งเจ้าสาวต้องให้ท่านอาและท่านลุงมาส่งก่อน ลำดับต่อมาจึงเลือกลูกผู้พี่และลูกผู้น้องที่เป็นชาย ยิ่งไปกว่านั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่วางใจให้เว่ยฉางเฟิงไปเมืองหลวงในยามนี้… ดังนั้นจึงเลือกเว่ยฉางซุ่ยเป็นคนไปส่งก่อน รอจนใกล้ถึงเขตเมืองหลวง เว่ยเซิ่งหย่าจึงค่อยตามขบวนมา สองพ่อลูกจึงมาพร้อมกันครบจำนวนผู้มาส่งเจ้าสาวพอดี … และนี่ก็ถือเป็นการตอบแทนบ้านสองของฮูหยินผู้เฒ่า ด้วยครานั้นหลังจากชื่อเสียงของเว่ยฉางอิ๋งถูกทำลาย บ้านสองก็มีน้ำใจช่วยเหลืออย่างเต็มที่

                ความทรงจำเกี่ยวกับท่านปู่ ท่านย่า บิดา มารดา น้องชาย..วนเวียนไปมา ยิ่งทำให้ความรู้สึกในอกเอ่อล้นขึ้นมา

                นางหวงคอยกำชับกำชาว่าตลอดทางห้ามหันหลังกับมา ทว่ายามนี้ก็ได้มาค้างแรมที่ศาลายาวแล้ว… เว่ยฉางอิ๋งหันหน้ากลับไป ทอดสายตาผ่านกำแพงเตี้ยๆ นอกศาลาไปทางเฟิ่งโจว คงเพราะมีแสงสว่างไสวของโคมดอกไม้หลากสีจากในเมืองคอยส่องสว่างให้ค่ำคืนอันยาวนานในตัวเมือง แม้จะห่างออกไปถึงสิบลี้ ท้องฟ้ายามราตรีทางทิศใต้ก็ยังคงมีแสงสว่างเรืองรอง… นางสามารถจินตนาการได้ว่าตัวเมืองในเวลานี้จะครึกครื้นกันถึงเพียงใด  กระทั่งสามารถได้ยินเสียงครื้นเครงเอะอะบนโต๊ะอาหารที่ดังมาจากในเมือง

                แต่นางกลับมิได้อยู่ภายในเมืองแล้ว

                เสียงดังแสนครื้นเครงภายในเมืองและความสงบเงียบที่นอกเมือง ถึงแม้เสียงเอะอะนี้จะเกิดขึ้นเพื่อฉลองให้กับนาง แต่นางกลับต้องอำลาจากสิ่งนี้ไปทีละก้าว ทีละก้าวแล้ว

                กลิ่นหอมอ่อนๆ ของธูปเฉินกวงไม่อาจบิดกั้น…กลิ่นไอใสสะอาดสดชื่นของต้นไม้ใบหญ้าที่นับวันจะเขียวชอุ่มขึ้นในยามปลายฤดูใบไม้ร่วงที่เสียงน้ำไหลจ๊อกๆ จากหลังห้องนำพามาได้ เวลาแห่งฤดูใบไม้ผลิของนี้ปีกำลังดำเนินมาถึงช่วงปลายฤดู และชีวิตของนางในเฟิ่งโจวก็สิ้นสุดลงแล้ว… เว่ยฉางอิ๋งอดจะพึมพำเสียงเบาๆ ไม่ได้ว่า “ใบไม้เขียวหนา บุปผาแดงโรย ยามออกจากเมืองเฟิ่ง หอสูง ณ ปลายเมฆ สะท้อนอารมณ์แต่เก่าก่อนจนยามนี้ ผู้จากไกลหาได้ฟังเสียงธารหน้าวัง ว่าช่วงชีวิตแสนงามไหลไปสิ้น นั่นคือเสียงนี้… บทกวีโบราณบทนี้ ประหนึ่งเขียนมาให้ข้าในยามนี้เช่นนั้น”

                ฉินเกอ และเยี่ยนเกอกำลังจะเอ่ยคำ แต่นางหวงกลับเข้ามาพอดี นางอมยิ้มแล้วว่า “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ ถึงเวลาทานอาหารแล้วเจ้าค่ะ รับประทานอาหารแล้ว ก็รีบพักผ่อนเสีย… วันพรุ่งยังต้องตื่นแต่เช้าเพื่อเร่งเดินทางนะเจ้าคะ!”

                ทุกคนจึงพากันกุลีกุจอขึ้นมา

ในกลิ่นหอมหวนของธูปเฉินกวง กลิ่นอายสดชื่นของต้นไม้ใบหนาและกลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำที่ไหลรินยังคงคอยรบกวนจิตใจอยู่เนิ่นนาน ไม่ว่าจักงดงามละลานตาเพียงใด ที่สุดแล้วงานมหกรรมในฤดูใบไม้ผลิครานี้ก็ไม่อาจไม่เลิกราไปได้ และความรู้สึกต่างๆ ในใจก็ยากจะเก็บกักเอาไว้ได้เช่นกัน ในขณะที่กำลังรอเข้าพิธี หลังจากเพลงส่งตัวเจ้าสาวในฤดูร้อนอันแสนอบอ้าวสิ้นสุดลง ไม่ว่าในใจจักคาดเดาไปต่างๆ นานา หรือใจเต้นไม่เป็นส่ำปานใด แต่เมื่อร่างกายห่อหุ้มด้วยชุดฉวินจวีตัวยาวอยู่ ก็ไม่อาจมีสิ่งใดมาขัดขวางได้….

เมืองเฟิ่งอยู่ ณ เบื้องหลังไปเสียแล้ว ทั้งผู้คนและเรื่องราวที่บันทึกทุกสิ่งในวัยสาวแล้ว นางก็ล้วนเอ่ยคำอำลาไปแล้ว

นับแต่นี้ไป เมืองหลวงที่ทั้งห่างไกลและไม่คุ้นเคย ตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียงซึ่งเป็นที่ที่เสิ่นจั้งเฟิงอยู่ จึงจะคือที่พำนักที่ถูกต้องเหมาะสมของเว่ยฉางอิ๋ง

นับแต่นี้ไป หนทางยาวไกลหมื่นลำน้ำพันภูเขา พันภูเขาหมื่นลำน้ำ ในยามที่ไร้ญาติมิตรคอยปกป้องอยู่ข้างๆ ไม่ได้ยินเสียงบิดามารดาร้องเรียกหา นางกำลังจะกลายเป็นฮูหยินของเสิ่นจั้งเฟิง สะใภ้บ้านใหญ่ของตระกูลเสิ่น

นับแต่นี้ไป นางถูกกำหนดว่าต้องคอยประคับประคองซึ่งกัน เคียงบ่าเคียงไหล่ต้านลมต้นฝน อยู่ร่วมกันไปจนชั่วชีวิตกับชายผู้นี้

…ร่วมกันก่อร่างสร้างบ้านที่เป็นของพวกเขาเอง

(จบภาค)

____________________________

[1] ทุกวันคืนอย่าขืนขัด เป็นคำสอนยามบุตรสาวแต่งงานว่า อย่าได้ขัดขืนยามเข้าห้องหอ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด