ยอดหญิงสกุลเสิ่น 189-2 ละครน้ำเน่าฉากใหญ่

Now you are reading ยอดหญิงสกุลเสิ่น Chapter 189-2 ละครน้ำเน่าฉากใหญ่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ข่าวนายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหวคว้าชัยกลับมายังคงเป็นสาวใช้แรงงานผู้นั้นข้างกายเสิ่นหย่าที่ได้ยินโดยบังเอิญ ส่วนเหตุผลที่เสิ่นหย่าตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากบ้านฝั่งตน ก็เป็นเพราะเหอหลินหลินลูกสาวของนาง

 

 

พอเถียนอี๋เหนียงเข้าจวนมาก็ได้รับความโปรดปราน มารดาแซ่เหอถูกคนหลอก นางไม่ใช่บุตรสาวตระกูลดีเด่นอะไรเลย แต่กลับเป็นม้าซูบผอม[1]ที่ถูกคนตั้งใจบ่มเพาะ แค่คิดก็รู้อุบายของนางแล้ว

 

 

เหอจังหมิงได้นางมาก็ทะนุถนอมนางราวกับของล้ำค่า วันทั้งวันไม่ห่างเรือนนาง

 

 

เถียนอี๋เหนียงเป็นคนมีวาสนา ด้วยความที่เป็นม้าซูบผอม ส่วนใหญ่มักจะถูกใช้ยาทำลายความสามารถในการคลอดบุตร แต่นางกลับไม่โดน หนึ่งคือนางเฉลียวฉลาด ทุกครั้งที่ใช้ยานางก็เชื่อฟังมากเป็นพิเศษ เมื่อคนส่งยาไปแล้วนางก็คายทิ้งทันที สองคือช่วงเวลาที่นางใช้ยายังสั้นก็ถูกเลือกออกมาแล้วส่งเข้าไปที่เรือนหลังของเหอจังหมิงแล้ว

 

 

ได้รับความโปรดปรานจากเหอจังหมิงนางก็หาหมอมาช่วยบำรุงร่างกาย หลายเดือนต่อมาก็ตั้งครรภ์ อีกทั้งยังได้ลูกชายตั้งแต่ครั้งแรก มารดาแซ่เหอกับเหอจังหมิงก็ดีใจ โดยเฉพาะเหอจังหมิง แววตาที่มองลูกชายในผ้าอ้อมต่างก็อ่อนโยนหยาดเยิ้ม ดูท่าแล้วทายาทจะเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งกับบุรุษ

 

 

จะว่าไปแล้วเถียนอี๋เหนียงคลอดบุตรชายคนโตออกมาก็เล็กกว่าบุตรสาวคนโตของเสิ่นหย่าเพียงแค่หนึ่งขวบกว่า แต่การปฏิบัติต่อคนทั้งสองในจวนกลับต่างกันราวฟ้ากับเหว บุตรชายคนโตเหอเทียนเฉิงเป็นคุณชายที่กินดีอยู่ดี ส่วนบุตรสาวคนโตเหอหลินหลินกลับเป็นผักกาดขาวต้นเล็กที่ไม่ได้รับความสนใจ

 

 

ชั่วพริบตา เหอหลินหลินก็อายุสิบสามปีแล้ว เหอเทียนเฉิงก็อายุสิบสองปีแล้ว ถูกเหอจังหมิงคอยชี้แนะข้างกาย ส่วนจิตใจของเถียนอี๋เหนียงก็ใหญ่ยิ่งขึ้น นางคิดว่าเทียบกับเสิ่นซื่อที่รูปร่างซูบผอมผู้นั้นในเรือนหลังนางเองก็ไม่ได้ด้อยอะไร นางคิดจะเป็นเรือนหลัง เช่นนี้ลูกชายของนางจึงจะมีอนาคตที่ดีได้

 

 

นางเป่าหูง่ายดายอย่างยิ่ง เพียงแค่ลูกชายโตแล้ว ฉลาดและยอดเยี่ยมเหมือนกับนายท่าน เพื่ออนาคตที่ดียิ่งกว่านี้ ใช่ควรจะไหว้วานอาจารย์ชื่อดังมาให้ลูกหรือไม่ ฟังว่าคนผู้นั้นมีเส้นสาย นายท่านก็ไปสานสัมพันธ์เสียหน่อย อ้อจริงสิ เดือนก่อนคนผู้นั้นที่ว่าเพิ่งจะเสียภรรยา คุณหนูใหญ่ของพวกเราก็อายุสิบสามแล้ว ใกล้ถึงวันออกเรือนแล้ว หากคุณหนูใหญ่สามารถแต่งเข้าไปได้…

 

 

เถียนอี๋เหนียงวาดภาพฝันอันสวยงาม เหอจังหมิงฟังแล้วคาดไม่ถึงว่าพยักหน้าคิดว่ามีเหตุผล ไม่ได้คิดว่าคนที่ว่าซึ่งเสียภรรยาผู้นั้นจะมีอายุมากกว่าเขา คิดเพียงแค่ว่า หากเป็นพ่อตาของคนผู้นั้นที่ว่าได้ ไม่เพียงแต่จะวางอนาคตของเฉิงเอ๋อร์ได้ ตำแหน่งขุนนางของตนก็อาจจะเลื่อนขั้นได้อีกเช่นกัน

 

 

สำหรับลูกสาวคนโต อย่างไรเสียก็ไม่ได้มีความผูกพันมากนัก สละก็สละเถอะ! เลี้ยงนางจนโตป่านนี้ อย่างน้อยก็ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง

 

 

เมื่อเสิ่นหย่าได้ยินแผนการของสามีก็ร้อนใจทันที ชั่วชีวิตนี้ของนางมีเพียงลูกสาวคนนี้คนเดียว ทะนุถนอมราวกับแก้วตาดวงใจ จะทนเห็นลูกสาวถูกสามีผลักเข้ากองไฟได้อย่างไร

 

 

นางร่ำร้องขอ แต่น่าเสียดายที่เหอจังหมิงใจแข็งราวกับหิน เถียนอี๋เหนียงข้างๆ ก็ยังกล่าวอย่างเสแสร้ง “ท่านพี่ นี่เป็นเรื่องดี คุณหนูใหญ่ของพวกเราแต่งเข้าไปก็จะเป็นฮูหยินขั้นสี่ สุขสมจะตายไป น้องชายนางเองก็จะได้จดจำบุญคุณของนาง”

 

 

เมื่อเปรียบเทียบเช่นนี้ เหอจังหมิงก็รู้สึกว่าความรู้ของเถียนอี๋เหนียงสูงกว่าเสิ่นซื่อมาก เป็นถึงบุตรสาวจวนโหว เหอะ แม้แต่อี๋เหนียงยังเทียบไม่ได้

 

 

เหอจังหมิงสะบัดแขนเสื้อเดินออกไป มุมปากเถียนอี๋เหนียงก็ยกเล็กน้อยตามหลัง ในดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม นางคิดมาดีแล้ว ส่งเหอหลินหลินออกไปแลกอนาคตลูกชายของนาง หลังจากนั้นค่อยบีบบังคับให้เสิ่นซื่อตายช้าๆ จากนั้นค่อยโน้มน้าวนายท่านให้เลื่อนขั้นนางเป็นภรรยาเอก หลังจากนั้นนางก็จะเป็น

 

 

เหอฮูหยินอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

 

 

เสิ่นหย่ากอดลูกสาวร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด แต่เหอหลินหลินกลับไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว แววตากลับเต็มไปด้วยความเคียดแค้น กล่าวกับนาง ‘ข้ายอมตายยังดีเสียกว่า’ นี่ทำให้เสิ่นหย่าหวาดกลัวแล้ว น้ำตาไหลออกมามากกว่าเดิม ร้องกล่าว ‘ลูกข้า จะให้แม่ขาดใจตายหรือไร’

 

 

หลังจากนั้นยังคงเป็นแม่นมชราผู้นั้นที่โน้มน้าวให้นางไปขอความช่วยเหลือจากบ้านฝั่งมารดา ‘ไม่ใช่ว่ากันว่าท่านโหวของพวกเราสู้รบชนะ จักรพรรดิพระราชทานตำแหน่งขุนนางชั้นสูงให้หรือ ฮูหยินท่านเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของท่านโหว ท่านโหวจะไม่ใยดีท่านได้อย่างไร’

 

 

เหอหลินหลินเพิ่งจะรู้ว่าท่านปู่ของนางเป็นถึงท่านโหว อีกทั้งยังเป็นท่านโหวที่มีอำนาจอย่างยิ่ง ตั้งแต่เล็กจนโตแม่นางไม่เคยเล่าเรื่องตระกูลฝั่งมารดาให้นางฟังเลย เพียงแค่ได้ยินบทสนทนาจากคนในจวนว่านางเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ตระกูลสูงในเมืองหลวง นางยังคิดว่าปู่นางตกต่ำไปนานแล้ว มิเช่นนั้นพวกนางแม่ลูกจะมีชีวิตที่น่าเวทนาเช่นนี้ได้อย่างไร

 

 

ตอนนี้เพิ่งจะรู้ว่าบ้านฝั่งมารดาของแม่นางรุ่งเรืองเช่นนี้ สายตาที่นางมองแม่นางเจ็บใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้ โมโหอกแทบจะระเบิดอยู่แล้ว ท่านมีที่พึ่งที่แข็งแกร่งเช่นนี้แต่กลับไม่พึ่ง สมองนิ่ม!

 

 

นางไม่สนความลังเลในแววตาของแม่นาง ตบโต๊ะตัดสินใจอย่างตรงไปตรงมา ไปขอความช่วยเหลือในเมืองหลวง จะต้องขอความช่วยเหลือให้ได้ นางไม่อยากถูกพ่อนางขาย

 

 

แต่จะขอความช่วยเหลืออย่างไรเล่า เขียนจดหมายหรือ หากตกอยู่ในมือท่านพ่อหรือเถียนอี๋เหนียงจะทำอย่างไร แอบส่งข่าว แต่ให้ใครส่งเล่า พวกนางอยู่ในเรือนหลัง ไม่รู้จักคนข้างนอกแม้แต่คนเดียว

 

 

ท้ายที่สุดก็ยังส่งคนกลับเมืองหลวง แต่จะส่งใครเล่า รวมๆ แล้วก็มีคนใช้อยู่สามคน แม่นมชราอายุมากแล้ว เดินทางไม่สะดวก สาวใช้แรงงานผู้นั้นก็อายุยังน้อย ทั้งยังไม่เคยออกจากเรือน ไม่หลงทางก็ดีเท่าไรแล้ว เมื่อคิดคำนวณดูแล้ว จึงมีเพียงสาวใช้ที่ออกเรือนพร้อมเสิ่นหย่าเท่านั้นที่จะไปได้

 

 

พูดว่าเป็นสาวใช้ แต่อันที่จริงนางก็อยู่ในวัยกลางคนแล้ว นางเป็นคนจงรักภักดี ชั่วชีวิตไม่แต่งงาน ดูแลเสิ่นหย่าสองแม่ลูก และเพราะว่ามีนางปกป้อง ชีวิตเสิ่นหย่าสองแม่ลูกจึงผ่านไปได้ดีเล็กน้อย

 

 

เลือกคนได้แล้ว เช่นนั้นต่อไปก็คือวิธีไปเมืองหลวง ออกจวนเหอกลับเป็นเรื่องง่าย สาวใช้ที่ชื่ออวิ๋นหรงผู้นี้จะออกจากประตูเล็กไปซื้อผ้าทุกๆ สิบวันถึงครึ่งเดือน หญิงชราเฝ้าประตูทราบดี นางจะออกไปกลับไม่ได้ทำให้เกิดข้อสงสัย ปกติเรือนพวกนางก็ไม่มีคนกลับมา ชั่วขณะกลับไม่อาจพบเห็นว่าอวิ๋น

 

 

หรงไม่อยู่

 

 

ออกจากจวนเหอเป็นเรื่องง่าย แต่จะไปเมืองหลวงอย่างไร การเดินทางครั้งนี้ด้วยการเดินเท้าของ

 

 

อวิ๋นหรงอย่างน้อยๆ ก็ต้องเดินยี่สิบวันขึ้นไป จะไม่กินไม่ดื่มไม่พักหรือไร แล้วเงินจะไปหามาจากไหน

 

 

ท้ายที่สุดเหอหลินหลินก็นำสร้อยเงินตอนเด็กของนางออกมา เสิ่นหย่าเองก็นำปิ่นทองหนึ่งอันที่เหลืออยู่ออกมาจากใต้เตียงเช่นกัน

 

 

เช่นนี้อวิ๋นหรงก็เดินทางได้แล้ว ตลอดทางนอนกลางดินกินกลางทราย กลับมาถึงเมืองหลวงด้วยความยากลำบาก ทั้งยังเสียเวลาไปขอความเห็นใจจากเหล่าไท่จวิน นางร้องไห้เล่าเรื่องราวทั้งหมด แต่เหล่าไท่จวินกลับทอดถอนใจหลายครา จากนั้นก็ไล่นางออกไป

 

 

อวิ๋นหรงเองก็ไม่แน่ใจเจตนาของเหล่าไท่จวิน สนใจหรือไม่สนใจกันแน่ แต่บ่าวเช่นนางก็ไม่กล้าถาม ทำได้เพียงไปรอที่เรือนคนใช้ หลายวันผ่านไปเหล่าไท่จวินก็ไม่มีเรียกนาง ในจวนเองก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ นางอยากไปหานายท่านรอง แต่ไปหลายรอบแล้วล้วนถูกห้ามไว้ข้างนอก

 

 

อวิ๋นหรงร้อนใจแล้ว คุณหนูกับคุณหนูน้อยยังรอนางส่งกำลังเสริมไปช่วยชีวิตอยู่ ไม่อยากล่าช้าต่อไปเช่นนี้ได้ ในขณะที่นางเตรียมจะถลันไปยังเรือนเหล่าไท่จวินอีกครั้ง นายท่านผู้เฒ่าโหวก็กลับเมืองหลวงพอดี นางคิดแล้วคิดอีก กัดฟันใช้เงินก้อนสุดท้ายติดสินบนหญิงชราผู้เฝ้าประตู ถลันตามทางเข้าไปถึงเรือนนอก

 

 

“นายท่านผู้เฒ่าโหว คนแซ่เหอผู้นั้นไม่ใช่คน คุณหนูกับคุณหนูน้อยใกล้จะถูกทรมานจนตายแล้ว ท่านได้โปรดช่วยพวกนางด้วยเถิด” อวิ๋นหรงโขกศีรษะอย่างแรง

 

 

“ที่เจ้าพูดเป็นเรื่องจริงหรือ” ในดวงตาที่หรี่ลงของนายท่านผู้เฒ่าโหวมีบางอย่างกะพริบผ่าน หลายปีมานี้เขาปกครองซีเจียงอยู่ แม้แต่ลูกหลานในจวนยังดูแลไม่ได้ ไหนเลยจะยังนึกถึงบุตรสาวที่แต่งงานออกไปไกลได้ เขายังคิดว่าบุตรสาวมีชีวิตที่ดีอยู่เลย

 

 

“จริงแท้แน่นอนเจ้าค่ะ หากบ่าวโกหกแม้แต่ประโยคเดียวขอให้ฟ้าผ่าตาย” อวิ๋นหรงชูนิ้วสาบาน

 

 

นายท่านผู้เฒ่าโหวพยักหน้า กล่าว “เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว เจ้าเป็นคนภักดี จวนโหวไม่อาจละเลยเจ้า เจ้าไปพักก่อนเถิด”

 

 

อวิ๋นหรงได้ยินนายท่านผู้เฒ่าโหวพูดเช่นนี้ จิตใจก็วางลง มีนายท่านผู้เฒ่าโหวยื่นมือเข้ามาช่วย คุณหนูกับคุณหนูน้อยจะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน

 

 

“ได้ยินกันหมดแล้วใช่หรือไม่ น้องสาวของพวกเจ้าใกล้จะถูกบ้านสามีทรมานจนตายแล้ว” นายท่านผู้เฒ่าโหวมองลูกชายและลูกสะใภ้ เสียงนิ่งเรียบไม่สั่นไหวแม้แต่นิดเดียว

 

 

เห็นแววตาที่รู้สึกผิดของลูกชายและแววตาที่คลุมเครือของลูกสะใภ้ นายท่านผู้เฒ่าโหวก็กระทืบม้านั่งจนเละเทะ แต่ก็ไม่มีทางสงบความโมโหในใจเขาได้เลย ตั้งแต่เล็กเขาเสิ่นผิงยวนก็ไม่เคยถูกทำให้อัดอั้นตันใจเช่นนี้มาก่อน แก่แล้วๆ บุตรสาวเพียงคนเดียวถูกชาวบ้านชนบทรังแก นี่จะทำให้เขาทนรับได้อย่างไร

 

 

ต่อให้บุตรสาวเขาจะมีนิสัยโอนอ่อน แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่พวกเจ้าจะกลั่นแกล้งทรมานนางได้ คิดว่าเขาตายไปแล้วหรือไร คิดว่าจวนจงอู่โหวหมดลมหายใจแล้วหรือไร

 

 

นอกจากความโกรธก็ยังมีความผิดหวัง ข้าเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายที่ซีเจียงก็เพื่อแย่งชิงอนาคตของลูกหลาน แต่คาดไม่ถึงว่าลูกทั้งหลายจะปกป้องไม่ได้แม้แต่น้องสาวเพียงคนเดียว สิบกว่าปีไม่คิดจะไปเยี่ยมไปถามไถ่ ยังมีภรรยาแก่ชราผู้นั้นของตน ไม่ว่าอย่างไรหย่าเอ๋อร์ก็เป็นเลือดเนื้อของเขา ซ้ำยังตะโกนเรียกเจ้าว่าแม่ นางถูกทรมานอยู่ที่บ้านสามีแต่เจ้ากลับยังเชิดหน้าชูตาอยู่อีก

 

 

“ท่านปู่ ในเมื่อตระกูลเหอให้เกียรติไม่รับเกียรติ เช่นนั้นพวกเราก็ไปพังบ้านพวกเขาก็ได้แล้ว ครอบครัวพวกเขาดูถูกท่านอา เช่นนั้นพวกเราก็ไปรับท่านอากับญาติผู้น้องมา สำหรับคนที่เหลือในตระกูลเหอ มาทางไหนย่อมต้องกลับไปทางนั้น!” เสิ่นเวยบิดผ้าเช็ดหน้าแล้วกล่าว

 

 

วันนี้นางได้เปิดหูเปิดตาแล้วจริงๆ เคยเห็นคนหน้าไม่อาย แต่ไม่เคยเห็นคนหน้าไม่อายทั้งยังสมองนิ่มเช่นนี้ ส่วนท่านอาเขยแซ่เหอที่ไม่เคยเห็นหน้าผู้นั้นนางสงสัยอย่างยิ่งจริงๆ สงสัยว่าสมองคนผู้นั้นเป็นอย่างไร ไม่เคยคิดถึงคำว่าแค้นนี้ต้องชำระบ้างหรือ คนเช่นนี้สามารถสอบข้าราชการเป็นขุนนางได้ด้วยหรือ เสิ่นเวยสงสัยอย่างยิ่งจริงๆ

 

 

 

 

 

 

[1] ม้าซูบผอม มาจากกิจการซื้อขายเด็กสาวในยุคโบราณ โดยที่คนขายจะซื้อเด็กผู้หญิงยาจกผอมแห้งประหนึ่งม้าที่ซูบผอมมาในราคาต่ำแล้วนำมาเลี้ยงดูบ่มเพาะจนเหมือนม้าที่อ้วนพี จากนั้นจึงนำไปขายในราคาที่สูงลิ่ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด