ยอดหญิงสกุลเสิ่น 282-1 บังคับสละบัลลังก์

Now you are reading ยอดหญิงสกุลเสิ่น Chapter 282-1 บังคับสละบัลลังก์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

ฮ่องเต้ยงเซวียนหัวเราะ “เสนาบดีฉินถามข้าว่านี่เป็นใคร เจ้ารู้อยู่แก่ใจมิใช่หรือ เขาคือบุตรของข้า น่าเสียดายถูกตระกูลฉินเจ้าลักออกไป นี่ก็คือความไม่ภักดีของเจ้า”

 

 

เสนาบดีฉินสีหน้าไม่เปลี่ยนเลยสักนิด “หากอยากเพิ่มโทษย่อมหาข้ออ้างได้เสมอ ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นคุณชายท่านนี้หน้าไม่คุ้นอย่างยิ่ง นี่เป็นองค์ชายของพระสนมท่านใด”

 

 

“เสนาบดีฉินช่างแกล้งโง่ได้ดีจริงๆ! ท่านไม่เข้าใจเช่นนั้นข้าก็จะอธิบายให้ท่านฟังเอง” สวีโย่วชายตามองเสนาบดีฉิน “คนผู้นี้ชื่อผิงอัน ข้าพบเขาอยู่ในหมู่บ้านบนภูเขาในเขตชานเมืองทางตะวันออกของเมือง อ้อ ข้างกายเขามีบ่าวเฒ่าชื่อลุงชางคนหนึ่ง ยังมี พ่อบ้านคนหนึ่งในจวนเสนาบดีชื่อฉินชวนทุกสองเดือนจะขึ้นเขาส่งเสบียงครั้งหนึ่ง ที่บังเอิญยิ่งกว่าคือวันเกิดของเขาเป็นวันเดียวกับองค์ชายรอง พระสนมซู่เฟย ท่านว่าเรื่องนี้บังเอิญหรือไม่ ท่านดูหน้าเขาแล้วคุ้นหน้ามากใช่หรือไม่”

 

 

ตั้งแต่เด็กหนุ่มคนนี้เข้ามาตาฉินซู่เฟยก็จับจ้องอยู่บนตัวเขา ไม่ พูดให้ถูกต้องคือจับจ้องอยู่บนไฝแดงขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองที่ติ่งหูของเขา มือของนางสั่นแผ่วเบา กรอบตาเอ่อเต็มไปด้วยน้ำตา ไม่ต้องให้ผิงจวิ้นอ๋องพูด นางก็รู้ว่านี่ถึงเป็นบุตรบังเกิดเกล้าของนาง เด็กหนุ่มเยาว์วัยที่กระสับกระส่าย หน้าตาเหมือนฝ่าบาททั้งยังเหมือนนางเป็นบุตรบังเกิดเกล้าของนางแน่แท้!

 

 

ตอนนั้นยามที่คลอดนางเหนื่อยจนหมดแรง ระหว่างที่สะลึมสะลือเหมือนได้ยินหญิงชราข้างๆ พูดขึ้นประโยคหนึ่งว่า ‘องค์ชายน้อยมีไฝแดงที่ติ่งหู นี่เป็นวาสนาอันใหญ่หลวงเชียวเจ้าค่ะ”

 

 

ทว่าเมื่อยามที่นางตื่นขึ้นมาอีกครั้งกลับไม่เห็นไฝแดงอะไรที่ติ่งหูของบุตรชาย ยามที่นางถาม หญิงชราบอกว่านางหูฝาดไป นางไม่เคยพูดถึงไฝแดงอะไรเลย สาวใช้ก็บอกว่าไม่เห็นไฝแดงอะไร นางจึงนึกว่าตนฟังผิด ไม่คิดว่าไม่ใช่นางฟังผิด หากแต่หญิงชราปิดบังนางไว้

 

 

หญิงชราที่ออกเรือนไปจวนอ๋องพร้อมนางผู้นั้น นางจำได้ว่าผ่านไปไม่นานนางก็เป็นโรคร้ายจากไปแล้ว ยามนั้นนางยังเสียใจยกใหญ่ ไม่คิดว่านี่เป็นเพียงแผนชั่วแผนหนึ่งเท่านั้น แผนชั่วอันใหญ่หลวง

 

 

“เสด็จแม่!” องค์ชายรองเห็นสีหน้าของซู่เฟยแล้วลนลานขึ้นมาทันที ในใจกระวนกระวายขึ้นมา ดูเหมือนบางสิ่งบางอย่างกำลังจะจากเขาไป

 

 

ฉินซู่เฟยเบือนหน้ามองไปที่องค์ชายรองที่หน้าตาน้อยใจแล้วสีหน้าซับซ้อนเหลือเกิน หากคนผู้นั้นเป็นบุตรบังเกิดเกล้าของนาง เช่นนั้นเด็กที่นางทั้งรักทั้งปกป้องเลี้ยงมากับมือคนนี้เป็นใครเล่า นางอดเบือนสายตาไปหาเสนาบดีฉินไม่ได้ว่า “ท่านพ่อ ท่านบอกข้าหน่อย นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ เขาเป็นใคร เป็นใคร” สองประโยคสุดท้ายนางแทบจะตะคอกออกมา

 

 

“องค์ชายรองย่อมเป็นบุตรของพระสนมอยู่แล้ว พระสนมอย่าเชื่อคำพูดเพ้อเจ้อของคนถ่อยเชียว นี่เป็นเพียงอุบายของผิงจวิ้นอ๋องเท่านั้น พระสนมอย่าหลงกลเด็ดขาด” เสนาบดีฉินกล่าว

 

 

ฉินซู่เฟยมองบิดาของนางอย่างไม่อยากเชื่อ ยามใดแล้วยังหลอกนางอยู่อีก ทันใดนั้นนางล้มลงบนพื้น ถามไม่หยุดว่า “เพราะเหตุใด เพราะเหตุใด” เพราะเหตุใดถึงต้องเปลี่ยนบุตรชายของนางไปด้วย เพราะเหตุใดต้องทำกับนางเช่นนี้ เพราะเหตุใด เพราะเหตุใด

 

 

“เสนาบดีฉินต่างหากที่พูดเพ้อเจ้อกระมัง องค์ชายรองเป็นบุตรฮ่องเต้จริงหรือ เขาน่าจะเป็นบุตรบังเกิดเกล้าของเสนาบดีฉินถึงจะถูกกระมัง! เป็นบุตรที่หญิงนามว่าหงเพียนคนนั้นคลอดให้ท่านกระมัง” เสียงของสวีโย่วดังขึ้นมาอีก หลายวันมานี้เขาไม่ได้อยู่เฉยๆ ตรวจสอบบรรพบุรุษแปดชั่วโคตรของเสนาบดีฉินจนแทบทะลุปรุโปร่ง

 

 

“ท่านพ่อ เหราะเหตุใด” ฉินซู่เฟยท่าทางเหมือนถูกกระทบกระเทือนอย่างหนัก หญิงที่ชื่อหงเพียนคนนี้นางก็จำได้ ยามนั้นนางยังไม่ออกเรือน หงเพียนมาพึ่งพาญาติห่างๆ ที่จวน นิสัยอ่อนโยนมาก ไม่ว่าคุยกับใครล้วนอ่อนโยน นางจำได้ว่านางอยู่ในจวนเพียงไม่กี่เดือนก็ไปแล้ว บอกว่าออกเรือนไป ต่อมานางก็เข้าจวนฉินอ๋องไม่ได้พบหงเพียนอีก ไม่คิดว่านางจะคลอดบุตรชายให้บิดา ยิ่งกว่านั้นเด็กคนนี้ยังถูกเปลี่ยนมาอยู่ข้างกายตน ดังนั้นบุตรชายที่นางกอบไว้ในมือเป็นเพียงน้องชายของนาง! นี่จะให้นางรับความสั่นสะเทือนเช่นนี้ได้อย่างไร!

 

 

ฉินซู่เฟยแทบจะคลุ้มคลั่งอยู่แล้ว นางร่ำไห้ ร่ำไห้ เอาแต่ถามว่า “เพราะเหตุใด เหราะเหตุใด” น่าเสียดายไม่มีคนตอบนาง

 

 

องค์ชายรองก็ท่าทางเหมือนถูกโจมตีอย่างหนักเช่นกัน “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ นี่ไม่ใช่ความจริง กระหม่อมจะไม่ใช่บุตรชายของท่านได้อย่างไรกัน นี่ไม่ใช่ความจริงแน่นอน” เขาคือองค์ชายรอง คือองค์ชายรองแห่งราชวงศ์ต้ายง คือองค์ชายรองผู้สูงส่งทรงเกียรติ เขาจะเป็นบุตรชายของขุนนางได้อย่างไรกัน โดยเฉพาะคนคนนั้นยังเป็นท่านตาของเขา! นี่ต้องผิดพลาดแน่ๆ

 

 

เสียดายฮ่องเต้ยงเซวียนและฉินซู่เฟยต่างไม่มองเขาสักปราด พวกขุนนางคณะเสนาบดีก็ตกใจกับบทละครที่พลิกผันนี้จนงง สวรรค์! ไม่คิดว่าองค์ชายรองจะไม่ใช่บุตรฮ่องเต้ ไม่คิดว่าจะเป็นบุตรชายของเสนาบดีฉิน! นี่ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่

 

 

เสนาบดีฉินยังคงไม่ขยับดุจขุนเขา เสียงนิ่งและทุ้มเป็นพิเศษว่า “ฝ่าบาท นี่เป็นการใส่ร้ายป้ายสีล้วนๆ เพื่อฆ่ากระหม่อมแล้วไม่คิดว่าท่านจะไม่ยอมรับแม้แต่บุตรชายบังเกิดเกล้า องค์ชายรองเป็นผู้บริสุทธิ์ กระหม่อมทำให้เขาต้องเดือดร้อนแล้ว! ฝ่าบาทท่านว่าองค์ชายรองเป็นบุตรชายของกระหม่อม หลักฐานล่ะ พยานล่ะ กระหม่อมไม่ยอมรับพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

“ท่านอยากได้หลักฐาน เช่นนั้นข้าก็คือหลักฐานตัวเป็นๆ!” เสียงกังวานเสียงหนึ่งดังขึ้นจากหน้าประตูตำหนัก

 

 

ทุกคนมองไป ก็เห็นจยาฮุ่ยจวิ้นจู่เข็นผู้เฒ่าเสื้อผ้ามอมแมมท่านหนึ่งเข้ามาในตำหนัก ผู้เฒ่าคนนั้นใบหน้าเฒ่าชรา มีเพียงดวงตาคู่หนึ่งสว่างจนน่าตกใจ ยามนี้กำลังจ้องเสนาบดีฉินอย่างชิงชัง

 

 

“กระหม่อม อ๋องเคียงบ่าเฉิงอี้ถวายบังคมฝ่าบาท” ผู้เฒ่านั่งอยู่บนเก้าอี้มังกรถวายบังคมฮ่องเต้ยงเซวียน

 

 

ฮ่องเต้ยงเซวียนแม้รู้สึกประหลาดใจ บนใบหน้ากลับไม่กระโตกกระตาก “เสด็จอาไม่ต้องมากพิธี”

 

 

คนอื่นกลับไม่ได้รับการปลูกฝังด้านศีลธรรมจรรยาดีเช่นฮ่องเต้ยงเซวียน ราวกับเห็นผีก็ไม่ปาน “อะไรนะ ท่านคืออ๋องเคียงบ่า” อ๋องเคียงบ่าเฉิงอี้ที่ทะเลาะจนร้าวฉานกับฮ่องเต้องค์ก่อนแล้วพาทหารจากไปเมื่อยี่สิบปีก่อน เป็นไปได้อย่างไร ก้าวเข้าไปพิจารณาอย่างละเอียด ถูกต้อง นี่คืออ๋องเคียงบ่าที่ขึ้นชื่อว่ารูปงามสง่าท่านนั้นนั้น ทว่าใครจะคิดว่าตาเฒ่ามอมแมมตรงหน้าคนนี้จะเกี่ยวข้องกับอ๋องเคียงบ่าที่เกรียงไกรหล่อเหลาเมื่อก่อนเล่า

 

 

“ถูกต้อง ข้าเอง” เฉิงอี้สายตาเย็นเยียบ “ฝ่าบาท ท่านรู้ว่าหลายปีมานี้กระหม่อมอยู่ที่ไหนหรือไม่ กระหม่อมไม่ได้ออกจากเมืองหลวงเลย สิบกว่าปีนี้กระหม่อมถูกจองจำอยู่ในห้องลับจวนเสนาบดีฉินมาตลอด เดิมกระหม่อมและฉินเฮ่อคนนั้นเป็นสหายสนิทกัน จึงไม่ได้คิดระแวงพวกเขาเลย ทว่าฉินเฮ่อและฉินชังคนถ่อยชั่วช้าคู่นี้ ไม่คิดว่าจะวางยาพิษในสุราของกระหม่อม ฆ่าองครักษ์ของกระหม่อม แย่งตราประทับของกระหม่อม แล้วจองจำกระหม่อมไว้” เฉิงอี้เบิกดวงตาที่โกรธเกรี้ยว แทบอยากจะฉีกทึ้งฉินชังที่ทำให้เขาได้รับความทรมานและอัปยศอย่างที่สุดคนนี้

 

 

“เสด็จอาพูดจริงหรือไม่” สายตาของฮ่องเต้ยวเซวียนขึงขังขึ้นมา หากคำพูดของอ๋องเคียงบ่าเป็นความจริง เช่นนั้นเรื่องทุกอย่างก็มีคำอธิบายแล้ว เสิ่นผิงยวนถูกโจมตีระหว่างทางกลับเมืองหลวง ทหารที่ซุ่มอยู่ที่หลังเขาวัดเจียหลาน แล้วยังผู้ลี้ภัยบุกเข้าเมืองหลวงอีก เรื่องพวกนี้น่าจะเป็นฝีมือของฉินชังทั้งหมด

 

 

“จริงแท้แน่นอน” เฉิงอี้กล่าวอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

 

 

เสิ่นเวยก็พยักหน้าว่า “ฝ่าบาท จยาฮุ่ยช่วยอ๋องเคียงบ่าออกมาจากห้องลับในห้องหนังสือจวนเสนาบดีเพคะ” เพื่อช่วยอ๋องเคียงบ่าออกมา ทหารลับ ทหารเงา กองทหารเด็ก อีกทั้งนักฆ่าของกลุ่มมือสังหารเคลื่อนพลจนหมด นางยังเชิญตระกูลอันที่เชี่ยวชาญค่ายกลไปด้วยจึงหาคนเจอ

 

 

“ฝ่าบาท ห้องลับค่ายกลของจวนเสนาบดีใหญ่น้อยมีทั้งหมดเจ็ดห้อง ในจวนเสนาบดีนอกจากบ่าวไพร่และองครักษ์ พวกนายท่านล้วนหายไปหมดแล้ว อ้อจริงสิ ใต้จวนเสนาบดียังมีทางลับเส้นหนึ่ง คนในครอบครัวของจวนเสนาบดีคาดว่าคงหนีไปตามเส้นทางลับนี้ ได้ส่งคนไล่ตามไปแล้วเพคะ” เสิ่นเวยรายงานสถานการณ์ต่อฮ่องเต้ยงเซวียน

 

 

ตั้งแต่เสิ่นเวยเข้ามา สายตาของเสนาบดีฉินก็จ้องอยู่บนตัวนาง ส่วนอ๋องเคียงบ่าเขากลับไม่ได้มองสักปราด ทหารแก่กล้าหนึ่งแสนคนนั้นอยู่ในมือเขาแล้ว อ๋องเคียงบ่าไม่มีค่าแล้ว เขาจะเป็นจะตาย หรือว่าถูกเปิดโปง ล้วนไม่สำคัญแล้ว

 

 

ส่วนจยาฮุ่ยจวิ้นจู่คนนี้ทำลายเรื่องของเขาบ่อยครั้ง โดยเฉพาะนางไม่เพียงแต่ช่วยเฉิงอี้ออกมา ในเวลาอันสั้นเช่นนี้ มิหนำซ้ำยังคลำห้องลับทางลับของจวนเสนาบดีจนชัดเจน จะไม่ให้เขายำเกรงและเคียดแค้นได้อย่างไร

 

 

“จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ฝีมือดี ข้าเพียงแต่แค้นที่ครั้งนั้นไม่ได้เอาชีวิตเจ้า” เสนาบดีฉินกล่าวอย่างน่าขนลุก

 

 

เสิ่นเวยคิ้วกระตุก นึกถึงการลอบฆ่าที่เรือนตากอากาศในครั้งนั้นขึ้นมาทันที “ที่แท้คือท่าน!” ไม่ใช่นางไม่เคยสงสัยเสนาบดีฉินมาก่อน กลับคิดว่านางเพียงแค่หารือกับเขาเกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานเท่านั้น เสนาบดีผู้ยิ่งใหญ่ของราชสำนักคงไม่ถือสาเด็กสาวอย่างนาง ไม่คิดว่าเสนาบดีฉินช่างเป็นคนอำมหิตที่แม้แต่เรื่องเล็กน้อยก็ต้องแก้แค้น เพียงล่วงเกินเขาเล็กน้อยครั้งหนึ่ง เขาก็สามารถลงทุนใหญ่โตถึงเพียงนี้เพื่อเอาชีวิตนาง

 

 

“ในเมื่อเป็นเจ้า เช่นนั้นวันนี้เราก็คิดบัญชีพร้อมกันเถอะ” เสิ่นเวยก็ยิ้มเยาะอย่างน่าขนลุกตอบเขา นางยังไม่เคยเสียเปรียบรุนแรงปานนั้นมาก่อน วันนี้หากไม่เอาคืน เช่นนั้นนางก็ไม่ใช่เสิ่นเวยแล้ว

 

 

ฮ่องเต้ยงเซวียนมองเสนาบดีฉินอย่างเย็นชา “ฉินชัง เจ้าคิดไม่ซื่อ สลับสายเลือดเชื้อพระวงศ์ โทษสมควรตาย ทหาร จับฉินชังไว้”

 

 

องครักษ์สี่คนบุกเข้าท้องพระโรง กลับไม่ได้จับเสนาบดีฉินตามที่ฮ่องเต้ยงเซวียนหวัง หากแต่ยืนอยู่ข้างเสนาบดีฉิน คอยปกป้อง “ท่านเสนาบดี ข้างนอกจัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ”

 

 

ฮ่องเต้ยงเซวียนสีหน้าเปลี่ยนทันที “ฉินชังเจ้า! ไม่คิดว่ารองผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ของข้าจะเป็นคนของเจ้า” ยามนี้เขายังมีอะไรไม่เข้าใจอีก ไยบิดาของสวีเวยถึงหกล้มขาหักได้บังเอิญปานนั้น ที่แท้ก็เพื่อกันเขาออกไปหรือนี่!

 

 

เสนาบดีฉินยิ้มช้าๆ สีหน้าได้ใจว่า “เรื่องที่ฝ่าบาทคิดไม่ถึงมีตั้งมากมาย ทหารแก่กล้าหนึ่งแสนของกระหม่อมบัดนี้เข้าเมืองแล้วกระมัง เห็นแก่ที่เราเป็นกษัตริย์ขุนนางมาหลายสิบปี ฝ่าบาทอย่างไรท่านก็ร่างราชโองการเถอะ ขอเพียงท่านเขียนราชโองการสละบัลลังก์ กระหม่อมก็จะไม่ทำให้ท่านลำบากใจ”

 

 

ฮ่องเต้ยงเซวียนกลับเผยสีหน้าเย้ยหยัน “เกรงว่ายามที่เจ้าได้ราชโองการสละบัลลังก์ก็คือเวลาสิ้นชีพของข้ากระมัง! ฉินชัง ต่อให้ข้าตายก็ไม่มีทางให้โจรกบฏเช่นเจ้าได้สมใจ”

 

 

พวกใต้เท้าชราก็เข้ามาขวางไว้หน้าฮ่องเต้ยงเซวียนตามๆ กัน ด่าด้วยความโกรธว่า “ฉิงชางเจ้าโจรกบฏยังไม่รีบยอมให้จับแต่โดยดี!”

 

 

เสนาบดีฉินเลิกคิ้วว่า “พวกใต้เท้าเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทให้เขียนราชโองการดีกว่า ข้ารับรอง รอองค์ชายรองขึ้นครองราชย์ จะไม่ลืมลาภยศสรรเสริญของพวกท่าน”

 

 

“เจ้า เจ้าโจรกบฏ ใครๆ ก็ฆ่าได้ เจ้าไม่มีค่าควรแก่การให้ข้าเป็นพวกหรอก” ใต้เท้าหลี่ที่เที่ยงธรรมที่สุดในคณะเสนาบดีด่ากราด

 

 

“ในเมื่อพวกเจ้าไม่รู้​กาลเทศะ เช่นนั้นก็อย่าหาว่าเข้าไม่ให้โอกาสพวกเจ้าแล้วกัน” เสนาบดีฉินพูดพลางตบมือสามที “เข้ามาให้หมดเถอะ”

 

 

ทหารรักษาพระองค์ถืออาวุธทีมหนึ่งฮือกันเข้ามาจากด้านนอก ดาบและกระบี่ที่เป็นประกายชี้ไปที่ฮ่องเต้ยงเซวียนและคนอื่นๆ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด