ย้อนชีวิตพิชิตเซียน 38 : ไปกองอยู่กับพื้น

Now you are reading ย้อนชีวิตพิชิตเซียน Chapter 38 : ไปกองอยู่กับพื้น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

**แก้ไข – ตอนที่ 34 และ 37 นะคะ ขออภัยด้วยนะคะผู้แปลไม่ได้อ่านถี่ถ้วนจึงแปลผิดไปดังนี้ : พ่อของเจียงเหวินเหวินคือเจียงเจิ้งไล๋ เป็นผู้จัดการและผู้ช่วยของประธานยู๋ไห่กรุ๊ป**

******

บทที่  38 : ไปกองอยู่กับพื้น

การที่ซูอานไม่ใส่ใจและไม่แยแสคนกลุ่มนี้นั้น เป็นเพราะว่าเขารู้สึกรังเกียจคนเช่นนี้มาก และสองเป็นเพราะอาการของฉีเสี่ยวจือยังคงแย่มาก การที่ซูอานไม่ใส่ใจจึงไม่ได้หมายความว่าเขาหวาดกลัวต่อกลุ่มคนเหล่านี้ แต่คนพวกนี้ก็ยังคงพูดจาสร้างความหงุดหงิดรำคาญใจให้กับเขาไม่หยุด

ในเมื่อคำเตือนของเขาไม่เป็นผลและไร้ประโยชน์ ก็คงจะเหลือวิธีสุดท้ายซึ่งก็คือการใช้กำลัง !

ซูอานยังคงกดจุดฉีชงของฉีเสี่ยวจือต่ออีกครู่หนึ่ง และเมื่อเห็นว่าฉีเสี่ยวจือมีอาการดีขึ้นมาก และเริ่มฟื้นคืนสติมาแล้วแม้จะยังมีสีหน้างุนงงสับสนอยู่บ้าง ซูอานจึงดึงมือของตนออกมา พร้อมกับหันไปสั่งเจียงเจิ้งไล๋กับเลขาสาวว่า

“พวกเจ้าทั้งสองคนกดจุดเช่นนั้นต่ออีกสักสามนาที !”

ทั้งเจียงเจิ้งไล๋และเลขาสาวได้แต่พยักหน้า และทำตามอย่างว่าง่าย

ฉีเสี่ยวจือลืมตาขึ้นมองซูอาน และบอกกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “อย่า .. ไม่ต้อง .. อย่าไปยุ่งกับคนพวกนั้น โทรแจ้งตำรวจดีกว่า ..”

ซูอานหันไปมองฉีเสี่ยวจือที่ยังคงอ่อนล้ามาก พร้อมตอบกลับไปว่า “ก็แค่สุนัขปากเปราะเห่าเท่านั้น เหตุใดต้องรบกวนเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยเล่า ?”

เมื่อได้ยินซูอานเปรียบเทียบพวกตนเป็นสุนัขปากเปราะ บรรดาผู้ถือหุ้นที่อยู่ในห้องต่างก็มีสีหน้าไม่พอใจอย่างมาก ทุกคนต่างก็หันไปมองเว่ยฉีหยวนที่หน้าเขียวคล้ำด้วยความโมโหสุดขีด !

“พวกแกจัดการทำให้มันพูดไม่ได้อีก !”

เว่ยฉีหยวนตะโกนสั่งลูกน้องด้วยความเดือดดาล เขาไม่เคยต้องโมโหมากเหมือนอย่างเช่นวันนี้มาก่อนเลย

เว่ยฉีหยวนคร้านที่จะพูดกับซูอานอีก เพราะเห็นว่าพูดไปก็คงไร้ประโยชน์ อีกอย่างเด็กนี่ยังกล้าขึ้นเสียงกับเขา ทำให้เขาไม่คิดที่จะคุยด้วยดีๆอีกแล้ว

เมื่อเว่ยฉีหยวนออกคำสั่ง ลูกน้องชายฉกรรจ์ของเขาทั้งหมด ก็ทำท่าจะตรงเข้าไปจัดการกับซูอานพร้อมกัน !

แต่ชายฉกรรจ์ในกลุ่มคนหนึ่งกลับพูดขึ้นเสียก่อนว่า “คุณชายเว่ยครับ แค่เด็กฟันไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนเดียว ปล่อยให้เป็นหน้าที่ผมจัดการก็ได้ครับ !”

เว่ยฉีหยวนพยักหน้า เพราะรู้ดีว่าชายที่มีแผลเป็นผู้นี้เป็นคนที่เก่งมากคนหนึ่ง และติดตามพ่อของเขามานานแล้วเช่นกัน !

“ได้ ! ไปจัดการให้มันคุกเข่าต่อหน้าฉัน !”

“ครับคุณชาย !”

ชายที่มีแผลเป็นเดินตรงเข้าไปหาซูอานพร้อมกับตะโกนสั่งด้วยน้ำเสียงดุดัน “ไอ้หนู .. อยู่ดีๆไม่ชอบ ในเมื่ออยากเจอของแข็ง ฉันก็จะจัดให้ !”

พูดจบชายคนนั้นก็หวดกระบองสั้นในมือเข้าใส่แขนของซูอานทันที !

สีหน้าของซูอานบ่งบอกถึงความรู้สึกเย้ยหยัน ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของความหวาดกลัวปรากฏออกมาให้เห็น ฝ่ามือของเขากำแน่นเตรียมพร้อมรับการจู่โจมอย่างเต็มที่ และทันทีที่กระบองสั้นพุ่งเข้าใส่ร่างของซูอาน เขาก็ชกหมัดเข้าใส่หน้าของชายผู้นั้นอย่างรวดเร็ว !

ชายผู้นั้นกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เขาทิ้งกระบองสั้นในมือลงกับพื้น พร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นกุมใบหน้าของตนเองไว้ แล้ววิ่งเซไปเซมาก่อนจะชนเข้ากับกำแพง และล้มลงกับพื้นด้วยความงุนงง

ซูอานโกรธมาก หมัดที่ชกเข้าใส่ใบหน้าของชายผู้นั้นจึงรุนแรงกว่าปกติเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นพลังหมัดของซูอานก็หนักหน่วงไม่น้อยกว่าสามร้อยกิโลกรัมเลยทีเดียว ซึ่งยากนักที่คนธรรมดาทั่วไปจะสามารถทานทนได้

ซูอานรู้ว่าหมัดของเขานั้นต้องทำให้กระดูกใบหน้าของชายผู้นี้แตกหักเป็นแน่ อย่างน้อยๆก็ต้องไปนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลสักระยะหนึ่ง และนี่คือบทลงโทษจากเขา !

กำปั้นของซูอานนั้นไม่เพียงรวดเร็ว แต่ยังมีพลังหนักหน่วงจนสามารถสะกดลูกน้องของเว่ยฉีหยวนไว้ได้

ชายผู้มีแผลเป็นนี้คือหัวหน้าของพวกเขา พวกเขาต่างก็รู้ดีว่าชายผู้นี้แข็งแกร่ง และเก่งกาจมากเพียงใด แต่ซูอานกลับสามารถสยบชายผู้นี้ได้เพียงแค่หมัดเดียว และเวลานี้เลือดสีแดงสดก็ไหลเต็มพื้น พวกเขาจึงรู้สึกหวาดกลัวมาก ..

เว่ยฉีหยวนหันไปมองลูกน้องคนอื่นๆที่เหลือด้วยสายตาเย็นชาและดุดัน จากนั้นจึงยกมือขึ้นชี้หน้าทุกคนพร้อมกับร้องตะโกนสั่งด้วยความโมโห

“พวกแกยังยืนงงอะไรอีก ? รีบไปจัดการกับมันเร็วเข้า !”

เมื่อได้ยินเสียงร้องตะโกนสั่งของเว่ยฉีเหยวน กลุ่มชายฉกรรจ์จึงได้สติ และความโกรธในตัวก็ถูกปลุกเร้าขึ้นอีกครั้ง

“พวกเราเข้าไปพร้อมกัน !”

หนึ่งในนั้นร้องตะโกนบอก และทุกคนต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย ..

ซูอานมีเพียงแค่คนเดียว มีหรือที่จะสามารถต้านทานพวกมันทั้งหมดพร้อมกันได้ นับเป็นความคิดที่เฉลียวฉลาดไม่น้อย ..

ชายฉกรรจ์ที่เหลือเจ็ดแปดคน ต่างก็พากันควงแท่งเหล็กในมือรุมฟาดเข้าใส่ซูอานอย่างดุเดือด

ความจริงแล้วชายฉกรรจ์กลุ่มนี้ล้วนแล้วแต่เฉลียวฉลาด ผ่านการมีเรื่องมามากมายหลายครั้ง จึงรู้ดีว่าเมื่อใดควรสู้ และเมื่อใดควรถอย แต่วันนี้พวกมันรู้ดีว่าพวกมันกลับต้องสู้ในเวลาที่ควรจะต้องถอย ..

เมื่อเห็นชายฉกรรจ์เจ็ดแปดคนพร้อมกระบองในมือพุ่งเข้ามาเช่นนี้ เจียงเจิ้งไล๋และคนอื่นๆที่อยู่ในห้องประชุมต่างก็พากันตกอกตกใจ และต้องการที่จะหลบออกจากห้องไป

ในขณะที่ฉีเสี่ยวจือนั้นจู่ๆ กลับรู้สึกเป็นห่วงคนสารเลวเว่ยฉีหยวนขึ้นมา เธอรู้สึกตกใจจนต้องสะบัดหน้าพร้อมกับคิดในใจว่า

‘ไม่หรอก ! ฉันไม่ได้เป็นห่วง แค่ไม่อยากเห็นคนถูกทำร้ายจนตายต่อหน้าเท่านั้น !’

เมื่อเห็นซูอานถูกชายฉกรรจ์รุมเข้าไปพร้อมกันถึงเจ็ดแปดคนเช่นนี้ เหล่าผู้ถือหุ้นที่อยู่ภายในห้องต่างก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจ และกำลังตั้งหน้าตั้งตารอคอยการแสดงอันแสนสนุกที่กำลังจะเกิดขึ้น ในขณะเดียวกันก็พากันวิพาษ์วิจารณ์

“เฮ้อ .. ไม่น่าเลยจริงๆ ! กล้ามีเรื่องกับคุณชายเว่ยแบบนี้ สงสัยคงจะเบื่อชีวิต !”

“นั่นสิ ! พ่อของเว่ยฉีหยวนเองก็เหมือนกัน หลายปีมานี้กำจัดศัตรูของตัวเองไปไม่รู้กี่รายต่อกี่รายแล้ว ส่วนคุณชายเว่ยดูโหดไม่น้อยไปกว่าพ่อของเขาเลย ..”

“หวังว่าคุณชายเว่ยจะไม่ฆ่าคนตายในบริษัทนะ ?” ใครบางคนถามขึ้นด้วยความกังวล

“ฆ่าแล้วยังไง ? ไม่เห็นเกี่ยวกับพวกเราสักหน่อย ! อย่ากังวลใจไปนักเลยน่า ..”

เมื่อเห็นชายฉกรรจ์เจ็ดแปดคนวิ่งตรงเข้ามาหาตน ซูอานไม่มีท่าทีหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย และไม่แม้แต่จะก้าวถอยหลังหนีด้วยความตกใจ แต่กลับปรากฏสีหน้าและแววตาเหยียดหยันขึ้นมาแทน ..

เมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันของซูอานเช่นนั้น เว่ยฉีหยวนก็ยิ่งเดือดดาลมากกว่าเดิม จึงรีบร้องตะโกนสั่งลูกน้องของตนเองทันที

“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ! ไม่ใช่แค่ทำให้มันคุกเข่า แต่พวกแกจัดการหักแขนหักขาของมันทิ้งซะ ! ดูสิว่ามันจะยังกล้าทำสีหน้าแบบนี้อีกมั๊ย ?”

ชายฉกรรจ์ทั้งหมดนี้อยู่ห่างจากซูอานไปราวสามเมตรได้ แต่ด้วยความรวดเร็วว่องไวของซูอาน เพียงแค่พริบตาเดียวเขาก็พุ่งเข้าไปใกล้ร่างของชายฉกรรจ์สองคน พร้อมกับกำหมัดชกเข้าที่หน้าอกของพวกมันอย่างแรง

หลังจากนั้นก็หันกลับไปชกเข้าใส่ชายฉกรรจ์อีกสองคนที่อยู่ด้านหลังของเขาทันที แล้วจึงกระโดดหมุนตัวยกขาทั้งสองข้างขึ้นเตะขากรรไกรของพวกมันซ้ำ จนพวกมันถึงกับหมุนกระเด็นออกไปสองตลบ ก่อนที่ศรีษะจะกระแทกเข้ากับโต๊ะภายในห้องประชุมเลือดไหลอาบหน้า

หลังจากที่จัดการกับชายฉกรรจ์ทั้งสี่คนไปแล้ว ซูอานก็ยังไม่หยุดอยู่เพียงเท่านั้น เขาพุ่งตรงเข้าไปหาชายฉกรรจ์ที่เหลืออีกสี่คน พร้อมกับยกขาทั้งสองข้างขึ้นถีบเข้าที่หน้าอกของชายคนหนึ่งที่อยู่ด้านหน้าทันที ร่างของมันลอยละลิ่วกระเด็นถอยหลังไปชนเข้าเพื่อนอีกสองคนด้านหลังอย่างแรง แล้วจึงกระเด็นเข้าชนกับฝาผนังพร้อมกันทั้งสามคน

ชายฉกรรจ์ที่เหลือคนสุดท้ายนั้น แม้จะยืนอยู่ข้างกายของซูอานในเวลานี้ แต่มันกลับไม่กล้าแม้แต่จะขยับเนื้อขยับตัว สีหน้าของมันบ่งบอกถึงความตกอกตกใจและหวาดกลัวอย่างมาก !

ซูอานคำรามอยู่ในลำคอ .. และเพียงแค่นั้นก็ทำให้ชายฉกรรจ์คนสุดท้ายถึงกับเป็นลมล้มพับลงทันที !

ในเวลาเพียงแค่สองนาทีเท่านั้น ซูอานก็สามารถจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย เขายิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ

เจียงเจิ้งไล๋จ้องมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก เขาทั้งประหลาดใจและตกใจในคราวเดียว และคิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มที่จู่ๆก็โผล่เข้ามาในห้องเช่นนี้ จะแข็งแกร่งและเก่งกาจถึงเพียงนี้ได้ !

“จอมยุทธ !”

เวลานี้ทั้งเลขาสาว และฉีเสี่ยวจือต่างก็อยู่ในอาการตกตะลึง พวกเธอทั้งสองแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เพราะเมื่อครู่นั้นซูอานดูราวกับจอมยุทธในละครที่พวกเธอเคยดูในทีวี !

ส่วนบรรดาผู้ถือหุ้นทั้งหมดที่อยู่ในห้องประชุมนั้น แต่ละคนต่างก็อ้าปากหวอราวกับอมไข่ไก่ไว้ทั้งใบ ทุกคนตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก แต่หากจะพูดให้ถูกก็คือ พวกเขาหวาดกลัวจนไม่กล้าพูดอะไรออกมาต่างหาก เพราะเกรงว่าหากพูดจาไม่เข้าหูซูอานเข้า พวกเขาอาจถูกอีกฝ่ายทำร้ายเอาได้

แต่คนที่ตกใจและประหลาดใจมากที่สุดก็คือเว่ยฉีหยวน วันนี้เขาพาชายฉกรรจ์ติดตามมาด้วยถึงเก้าคน ไม่เพียงเพื่อให้คนเหล่านี้คอยปกป้องคุ้มครองตนเอง แต่เพื่อต้องการสร้างความน่าเกรงขามหวาดกลัวให้กับผู้พบเห็นอีกด้วย

และในการประชุมครั้งนี้ หากมีผู้ใดไม่พอใจและไม่เห็นด้วยกับเขา เขาก็จะให้คนเหล่านี้จัดการแก้ปัญหา และนี่คือวิธีการที่พ่อของเขาสอนมา !

แต่ตอนนี้ .. ลูกน้องของเขาทั้งเก้าคนกลับลงไปนอนกองอยู่กับพื้น และกำลังร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด เวลานี้จึงเหลือเพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้น !

“แก .. แก .. แก ..”

เว่ยฉีหยวนยกมือขึ้นชี้หน้าซูอานพร้อมกับพูดติดอ่างอยู่อย่างนั้น เขาทั้งตกใจ อิจฉา แล้วก็หวาดกลัวจนพูดอะไรไม่ออก !

ซูอานก้าวเท้าเข้าไปหาเว่ยฉีเหยวนช้าๆ พร้อมกับจ้องหน้าเว่ยฉีหยวนด้วยสายตาเย็นชา ทำให้เว่ยฉีหยวนถึงกับตกใจอย่างมาก แต่ก็กัดฟันถามออกไปว่า

“แก .. แกจะทำอะไร ?”

“หึ ! แล้วเจ้าคิดว่าข้าต้องการทำสิ่งใดเล่า ?” ซูอานถามกลับด้วยสีหน้าและแววตารังเกียจ

“ฉัน .. ฉันขอบอกให้รู้ พ่อของฉันคือเว่ยพังเฉิง ! ถ้าแกกล้าแตะต้องฉันแม้แต่เส้นผมแล้วล่ะก็ พ่อของฉันจะไม่ปล่อยแกแน่ !”

“งั้นรึ ?”

“แต่ถ้าแกกลัว ก็เลิกยุ่งกับฉันซะ ! เลิกแล้วต่อกันแค่นี้ แล้วฉันจะคิดซะว่าไม่เคยมีเรื่องกับแก !”

แม้เว่ยฉีหยวนจะทำเป็นปากดี แต่เวลานี้หัวใจของเขาเต้นแรงจนแทบหล่นไปถึงตาตุ่มอยู่แล้ว !

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด