ย้อนชีวิตพิชิตเซียน 60 : จิตใจหวั่นไหว

Now you are reading ย้อนชีวิตพิชิตเซียน Chapter 60 : จิตใจหวั่นไหว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ย้อนชีวิตพิชิตเซียน ย้อนชีวิตพิชิตเซียน – บทที่ 60 : จิตใจหวั่นไหว

บทที่ 60 : จิตใจหวั่นไหว

หลังจากที่กินบะหมี่กึ่งสําเร็จรูปจนอิ่มแล้ว ซูอานกับตาหวงก็เข้าไปในเต็นท์เพื่อนนอนพักผ่อน..

เพื่อลดปริมาณน้ําหนักของสัมภาระที่จะต้องแบกขึ้นเขา ตาหวงจึงนําเต็นท์ติดตัวมาเพียงแค่หลังเดียว ดังนั้นทั้งคู่จึงต้องนอนด้วยกัน

ซูอานเอนกายนอนลงภายในเต็นท์ แต่เขากลับไม่รู้สึกง่วงนอนเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังไม่ต้องการฝึกฝนวิชาอีกด้วย เพราะเวลานี้ภายในจิตใจของเขานั้นล้วนมีเพียงภาพของหญิงสาวที่งดงามเกินพรรณนานั่นเอง

 

“ช่างคล้ายคลึงยิ่งนัก! ใช่เจ้าหรือไม่จื้อเจียว?”

ซูอานเหม่อมองออกไปนอกเต็นท์ ม่านน้ําตาบางๆปรากฏขึ้นในดวงตาทั้งสองข้างของเขา เพราะนั่นคือความรักครั้งที่เขาไม่อาจที่จะลืมเลือนได้

การถือกําเนิดในภพที่สองนั้น เขาไม่ต่างจากขยะไร้ค่าชิ้นหนึ่งของครอบครัว ถูกเหยียบย่ําอย่างน่าอดสู ถูกเข้าใจผิด และในที่สุดก็เกือบตาย แต่เป็นจื้อเจียวที่ช่วยชีวิตของเขาไว้

จื้อเจียวเป็นบุตรสาวของตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่ง นอกจากความงดงามอย่างมากแล้ว นางยังเป็นหญิงสาวที่เฉลียวฉลาดอย่างหาได้ยากยิ่ง ท่ามกลางความขัดแย้งภายในตระกูล นางก็ยังสามารถเอาตัวรอดได้ แต่ในที่สุดนางก็ต้องแต่งงานไปกับจักรพรรดิเฉินเจิงด้วยเหตุผลทางการเมือง

 

จักรพรรดิเฉินเจิงผู้นี้มีฉายาว่าเป็นเทพแห่งสงครามที่เก่งกาจ เพียงหอกเดียวของเขาที่พุ่งออกไปนั้น ก็สามารถเรียกเสียงร้องโหยหวนได้ไกลนับหมื่นลี้

ในภพนั้น ตัวเขามีนามว่าเหวินเตา ด้วยความหลงใหลในตัวจื้อเจียว เขาเฝ้าฝึกฝนบ่มเพาะพลังอย่างหนักเพื่อให้ตนเองแข็งแกร่ง จนกระทั่งในที่สุดก็มาถึงวันที่เขารอคอย ซึ่งก็คือคืนวันแต่งงานจักรพรรดิเฉินเจิงกับจื้อเจียว..

 

ในคืนนั้น เหวินเตาบุกเข้าวังเพียงลําพังด้วยความตื่นเต้นดีใจ และไม่รู้สึกหวาดกลัวจักรพรรดิเฉินเจิงหรือผู้ใดในวังเลยแม้แต่น้อย แล้วเขาก็ได้เอาชนะจักรพรรดิเฉินเจิงผู้ยิ่งใหญ่ได้ และชิงตัวจื้อเจียวกลับไปได้สําเร็จ

ความจริงแล้ว หลังจากนั้นทั้งคู่ควรจะต้องได้ครองคู่กันอย่างสมหวัง แต่ช่างโชคร้ายที่เส้นทางสู่ความเป็นเซียนของเขานั้นเต็มไปด้วยขวากหนามและความยากลําบาก ทําให้เขาต้องสูญเสียนางไป

 

ซูอานปล่อยให้น้ําตาหลั่งไหลออกมา และบอกกับตนเองว่า “ไม่สิ! ไม่ว่านางจะเป็นใคร ข้าควรจะต้องไปถามไถให้รู้เรื่อง…”

ซูอานกําหมัดแน่น แล้วตัดสินใจลุกขึ้นเดินออกจากเต็นท์ และเวลานี้แสงจันทร์ก็ได้ถูกก้อนเมฆหนาทึบบดบังอยู่ ภายในลานแห่งนี้จึงค่อนข้างมืดมิด

 

ห่างจากเต็นท์ของซูอานไปไม่ไกลนัก ชายสองคนซึ่งก็คือ คนขับรถและชายร่างอ้วน กําลังนั่งสูบุหรีพ่นควันโขมงอยู่บนก้อนหินใหญ่

“อาเปียว อาเหยา เจ้านายสั่งให้ออกไปลาดตระเวนรอบๆ!”

ชายสูงอายุในกลุ่มอีกคนเดินตรงเข้าไปหาอาเกี่ยวกับอาเหยาที่กําลังนั่งสูบบุหรี่ พร้อมกับตะโกนบอก และชายผู้นี้ทุกคนในกลุ่มก็เรียกเขาว่าอากู..

 

อาเปียวหันไปยิ้มให้อากูทันที พร้อมกับตอบไปว่า “งั้นก็รีบไปสิจะรออะไรอีกล่ะ!”

อาเบี่ยวกับอาเหยาต่างก็พากันเดินหนีออกไปที่อื่นทันที โดยมีอากูเดินตามออกมาห่างๆ เป็นที่รู้กันว่าชายชราผมเกรียนต้องการที่จะมีอะไรกับหญิงสาวที่งดงามผู้นั้น 

ซูอานได้ยินเช่นนั้นจึงได้แต่รู้สึกผิดหวังและเสียใจ เขาได้แต่คิดว่าหญิงสาวงดงามผู้นั้นอาจจะเป็นภรรยาของชายชราก็เป็นได้ เขาไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว และปล่อยให้เรื่องนี้เป็นดั่งควันไฟที่ค่อยๆจาง หายไปจะดีกว่า

ซูอานสะบัดศรีษะไปมา พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นบุหรี่ซอง หนึ่งที่ยังไม่ได้สูบ เขาจึงรีบหยิบเก็บเข้าไปไว้ในกระเป๋าของตนเอง ตอนนี้เขาอยากจะไปหาสถานที่เงียบสงบสูบบุหรี่มากกว่า

 

อาเปียวโน้มตัวเข้าไปใกล้คนขับรถพร้อมกับกระซิบยิ้มๆ “ผู้หญิงของเจ้านายนี่สวยชะมัดเลย..”

 

“ใช่! ผู้หญิงคนนี้สวยจนหาที่ติไม่ได้เลย”

“เฮ้อ.. ฉันทนไม่ไหวแล้ว!” อาเบียวพูดจบก็วิ่งตรงเข้าไปในป่าทันที

 

“เฮ้อ.. เป็นเจ้านายนี่ดีจริงๆ! นอกจากจะมีอํานาจและมีเงินแล้ว แม้แต่ผู้หญิงยังสวยยิ่งกว่านางฟ้าซะอีก!” อาเหยาคนขับรถพึมพําพร้อมกับส่ายหน้าไปมา แล้วสูบบุหรี่ต่อ

 

มีเพียงอากูเท่านั้นที่ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น เขาไม่อยากจะพูดเรื่องนี้นัก แต่อดที่จะพูดออกมาไม่ได้จริงๆ

 

“เด็กสาวคนนั้นเป็นคนดี เขาไม่น่าทํากับเธอแบบนั้นเลยจริงๆ!”

 

คนขับรถได้แต่หัวเราะออกมา จากนั้นจึงยกมือขึ้นตบบ่าอากูเบาๆพร้อมกับพูดขึ้นว่า “อย่าพูดอะไรตลกไปหน่อยเลย พวกเราเป็นใคร จะไปยุ่งเรื่องของเจ้านายทําไมกัน?”

อากูได้แต่ส่ายหน้าไปมา แล้วจึงหยุดพูดเรื่องนี้ ในเมื่อพวกเขาไม่สามารถทําอะไรได้ ก็คงต้องทําเป็นบิดหูปิดตาไม่รับรู้เสียบ้าง..

 

แต่ซูอานเวลานี้กลับขมวดคิ้วแน่นพร้อมกับคิดในใจว่า หากเด็กสาวผู้นี้ไม่ใช่หญิงอย่างว่า หรือพวกเขาคือคนรักกันงั้นรึ?

 

ซูอานไม่อาจทนนิ่งเฉยได้อีกต่อไป เขาเดินตรงไปข้างหน้าพร้อมกับจ้องหน้าอากู และเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ําเสียงเย็นชากว่าปกติ

 

“เมื่อครู่เจ้าว่าหญิงสาวผู้นั้นเป็นผู้หญิงดีงั้นรึ?”

แต่ก่อนที่อากูจะทันได้พูดอะไร อาเชี่ยวที่เดินกลับมาพอดีก็ร้องตะโกนดุเสียงดัง “นี่ไอ้หนู แกอยากตายนักหรือไงถึงได้กล้ายุ่งเรื่องของพวกเรา!”

ซูอานไม่ได้โมโห กลับทําสีหน้าประหลาดใจในขณะที่ถามชายร่างอ้วนออกไปว่า “เหตุใดเจ้าจึงเสร็จเร็วเช่นนี้?”

 

อาเหยาคนขับรถหันไปถามอาเปียวด้วยความแปลกใจเช่นกัน “นั่นสิพี่เบียว!”

“เฮ้อ.. นับว่าอ่อนหัดมาก!” อากูหันไปมองหน้าอาเปียวพร้อมกับพูดเย้ยหยัน

 

อาเปียวโดนล้อเลียนเช่นนี้ก็นึกโมโห และรีบร้องตะโกนออกไป ว่า “ฉัน ฉันไปเยี่ยวต่างหากล่ะ!”

 

“ว่าแต่พวกแกมาสนใจเรื่องของฉันทําไมกัน? สนใจเด็กนั่นไม่ดีกว่าเหรอ มันท้าทายพวกเราไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว!”

จากนั้นทั้งคนขับรถและอากูต่างก็เดินตรงเข้าไปหาซูอานด้วยสายตาเอาเรื่อง หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปคงต้องขนหัวลุกชันไปแล้ว แต่ไม่ใช่ซูอาน.

 

“พ่อหนุ่ม รีบหนีไปจะดีกว่า อย่างน้อยชีวิตของเธอก็สําคัญกว่าสิ่งใด!” อากูร้องบอกซูอาน

“อากู ไปเสียเวลาพล่ามไร้สาระกับมันทําไมกัน รีบจับตัวมันไว้ เร็วเข้า!”

อาเบียวร้องตะโกนบอกพร้อมกับวิ่งตรงเข้าไปหาซูอาน และชกกําปั้นเข้าไปที่ตําแหน่งหัวใจของเขาทันที

 

ซูอันยืนยิ้มเย้ยหยัน พร้อมกับเสื้อมือขึ้นตบเข้าที่ใบหน้าซ้ายขวาของอาเปียวอย่างแรง จนเขาถึงกับเซถลาล้มไปกองกับพื้น จากนั้น แก้มทั้งสองข้างของเขาก็บวมเปล่งราวกับซาลาเปา ฟันร่วงออกมาสองสามซี่ ในขณะที่เลือดสีแดงก็ไหลกลบปาก

ทั้งอาเหยากับอากูถึงกับตกใจและตกตะลึง เพราะคิดไม่ถึงว่าซูอานจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ อากูจ้องหน้าซูอานพร้อมกับถามขึ้นว่า

“พ่อหนุ่มนี่เธอก็เป็นผู้ฝึกยุทธเหมือนกันเหรอ?”

“ข้าว่าเจ้าอย่ารู้จะดีกว่า เดี๋ยวเจ้าจะหวาดกลัวเสียเปล่า…” ซูอานตอบเสียงนิ่งเรียบ

อากูไม่รอช้า มือทั้งสองข้างของเขาอุ้มลงคล้ายกรงเล็บเหยี่ยว แล้วกรงเล็บเหยี่ยวทั้งสองข้างของอากูก็พุ่งเข้าใส่ร่างของซูอานอย่างรวดเร็ว จนเขารับรู้ได้ถึงอันตรายอย่างยิ่งยวด นั่นเพราะวรยุทธของอากูนั้นแตกต่างจากวรยุทธของคนอื่นๆที่เขาเคยพบเจอมา

“นี่เจ้าฝึกพลังมารงั้นรึ?”

 

ซูอานอุทานออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เมื่อพบว่ากรงเล็บของอากูนั้นมีไอดําพวยพุ่งออกมา..

 

“แต่ช่างเถิด! จะพลังมารหรือว่าอะไรก็ตาม ไม่อย่างไรคืนนี้เจ้าก็ต้องจบชีวิต!”

 

ตาหวงได้ยินเสียงคนต่อสู้กันดังอยู่ข้างนอกนานแล้ว แต่ด้วยความหวาดกลัว เขาจึงเอาแต่นั่งตัวสั่นเทาอยู่ในเต็นท์ไม่กล้าออกไป

ทั้งอาเขียวและอากูต่างก็จ้องมองซูอานด้วยความขบขัน เพราะมั่นใจว่าด้วยวรยุทธของอากู ย่อมสามารถจัดการกับเด็กหนุ่มนี้ได้อย่างแน่นอน!

 

สีหน้าเย็นชาของซูอานเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม ขณะที่พุ่งหมัดตรงจู่โจมเข้าใส่ร่างของอากูอย่างรวดเร็ว จนร่างของอากูถึงกับเซถอยหลัง แต่ซูอานกลับยืนนิ่งไม่พุ่งตามไป

 

ทั้งอาเบียวและอาเหยาต่างก็ยืนมองด้วยความตกตะลึง เขาคิดไม่ถึงว่าซูอานจะแข็งแกร่งเพียงนี้ และเริ่มตระหนกตกใจขึ้นมาเล็กน้อย..

“ยังเด็กยังเล็กแต่กลับมีกําลังภายในแข็งแกร่งขนาดนี้ ทําให้คนแก่อย่างฉันอดที่จะอับอายไม่ได้”

อากูได้แต่บ่นพึมพําออกมา และรู้สึกหงุดหงิดที่ตนเองถูกเด็กเมื่อวานซืนทําร้ายได้เช่นนี้

“เจ้ากล้าเรียกตัวเองว่าคนแก่ต่อหน้าข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าอายุเท่าไหร่กัน?”

“เธอก็น่าจะเพิ่งสิบเจ็ดหรือสิบแปดเองไม่ใช่รึ?”

“เฮ้อ.. ภายนอกข้าอาจจะดูเหมือนเด็กอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี แต่ความจริงแล้ว.. ช่างเถิด! ต่อให้ข้าบอกเจ้า เจ้าก็ไม่มีทางเชื่อข้า

อยู่ดี!”

 

“อย่ายุ่งกับข้า แล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า!”

 

“ไอ้หนู แกพูดเพ้อเจ้ออะไร? ฉันจะส่งแกขึ้นสวรรค์เอง” อากูถอดเสื้อออกพร้อมกับร้องตะโกนบอกซูอาน

ในสายตาของอากูนั้น ซูอานนับเป็นผู้เยี่ยมยุทธมากผู้หนึ่ง เขาฝึกฝนมานานนับสิบๆปี กว่าจะมาถึงระดับนี้ได้ แต่เด็กหนุ่มคนนี้ยังอายุน้อย แต่กลับก้าวหน้ามาถึงได้ในระดับนี้ หากถูกฆ่าตายก็นับว่าน่าเสียดายไม่น้อย

 

เขาเคยฆ่าผู้คนมามากมายแล้ว หากฆ่าซูอานอีกสักคนจะเป็นไรไป แม้จะนึกเสียดาย แต่ก็นับว่าเป็นเรคคอร์ดที่ดีที่สุดเท่าที่เขาฆ่าคนตายมา..

 

รูปร่างของอากูนั้นคล้ายๆกับรูปร่างของซูอาน แต่เมื่อเขาถอดเสื้อออก กลับพบเห็นกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งทั่วทั้งร่าง กล้ามเนื้อของอากูนั้นแตกต่างจากกล้ามเนื้อของนักกล้ามทั่วไป ภายในกล้ามเนื้อแต่ละมัดนั้นมีพลังอัดแน่นอยู่เต็มไปหมด และพร้อมที่จะระเบิดออกมาได้ตลอดเวลา..

 

ซูอานยังคงยืนสงบนิ่ง เขาสังเกตเห็นว่า ระดับวรยุทธและกําลังภายในของอากูนั้น น่าจะเทียบเท่ากับขั้นรากฐานลมปราณระดับกลาง..

 

เมื่อเห็นซูอานยังคงยืนสีหน้านิ่งเรียบไม่มีท่าทีหวาดกลัวแม้แต่น้อย อากูก็ยิ่งโมโหมากกว่าเดิม กรงเล็บเหยี่ยวทั้งสองข้างจึงพุ่งตะปบเข้าใส่ร่างของซูอานอีกครั้ง ทันทีที่กรงเล็บทั้งสองตวัดออกไป แสงสีขาวเป็นเส้นก็พุ่งออกมาดูราวกับใบมีดที่แหลมคมก็ไม่ปาน

 

ใบหน้าตื่นตระหนกของอาเบี่ยวกับอาเหยาเมื่อครู่ เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มขึ้นมาแทน พร้อมกับซุบซิบกันว่า

“อากูโมโหมากแล้ว เจ้าเด็กนั่นคงตายแน่ๆ!”

“นั่นสิ! เจ้าเด็กนั่นดันไปท้าทายอากูเอง…”

 

ทางด้านตาหวงที่หลบซ่อนอยู่ในเต็นท์ ก็ได้แอบดูการต่อสู้ด้านนอกผ่านช่องระบายอากาศด้วยความตื่นเต้น

ทันทีที่กรงเล็บของอากูพุ่งตรงเข้าใส่คอหอยของซูอานนั้น เท้าที่ว่องไวราวเท้าปีศาจของเขาก็ก้าวถอยหลบกรงเล็บที่พุ่งเข้ามาได้อย่างรวดเร็ว

ไม่เพียงเท่านั้น ซูอานยังกระโดดข้ามศรีษะของอากูไป พร้อมกับหันกลับมาซัดฝ่ามือเข้าใส่แผ่นหลังของอากูหนึ่งฝ่ามือ พลังปราณที่ซูอานซัดออกจากฝ่ามือของตนนั้นมากถึงเจ็ดสิบส่วนเลยทีเดียว ทําให้ร่างของอากูถึงกับกระเด็นลอยออกไปหลายเมตร และกระอักเลือดออกมาทันที สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นตระหนกตกใจยิ่งกว่าเดิม พร้อมกับร้องอุทานออกมา

“เธอเป็นผู้ฝึกยุทธจริงๆด้วย!”

เพียงเท่านั้นอากูก็รู้แล้วว่า กําลังภายในของตนนั้นอยู่คนละระดับกับเด็กหนุ่มผู้นี้ จึงได้แต่พูดขึ้นด้วยความรู้สึกอับอาย

 

“ครั้งนี้ข้ายอมรับความพ่ายแพ้…”

 

แววตาของอากูเวลานี้หม่นหมองลงในทันที!

 

อาเบียวและอาเหยาทั้งตกตะลึงและตกใจ เมื่อพบว่าอากูไม่สามารถเอาชนะเด็กหนุ่มคนนี้ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อสําหรับพวกเขาสองคนมาก

“เจ้ายอมรับตอนนี้ก็สายไปแล้ว เพราะข้าจะเอาชีวิตเจ้า!”

 

แต่ระหว่างนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา

 

“ใครกันบังอาจพูดว่าจะเอาชีวิตคนของฉัน?”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนชีวิตพิชิตเซียน 60 : จิตใจหวั่นไหว

Now you are reading ย้อนชีวิตพิชิตเซียน Chapter 60 : จิตใจหวั่นไหว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ย้อนชีวิตพิชิตเซียน ย้อนชีวิตพิชิตเซียน – บทที่ 60 : จิตใจหวั่นไหว

บทที่ 60 : จิตใจหวั่นไหว

หลังจากที่กินบะหมี่กึ่งสําเร็จรูปจนอิ่มแล้ว ซูอานกับตาหวงก็เข้าไปในเต็นท์เพื่อนนอนพักผ่อน..

เพื่อลดปริมาณน้ําหนักของสัมภาระที่จะต้องแบกขึ้นเขา ตาหวงจึงนําเต็นท์ติดตัวมาเพียงแค่หลังเดียว ดังนั้นทั้งคู่จึงต้องนอนด้วยกัน

ซูอานเอนกายนอนลงภายในเต็นท์ แต่เขากลับไม่รู้สึกง่วงนอนเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังไม่ต้องการฝึกฝนวิชาอีกด้วย เพราะเวลานี้ภายในจิตใจของเขานั้นล้วนมีเพียงภาพของหญิงสาวที่งดงามเกินพรรณนานั่นเอง

 

“ช่างคล้ายคลึงยิ่งนัก! ใช่เจ้าหรือไม่จื้อเจียว?”

ซูอานเหม่อมองออกไปนอกเต็นท์ ม่านน้ําตาบางๆปรากฏขึ้นในดวงตาทั้งสองข้างของเขา เพราะนั่นคือความรักครั้งที่เขาไม่อาจที่จะลืมเลือนได้

การถือกําเนิดในภพที่สองนั้น เขาไม่ต่างจากขยะไร้ค่าชิ้นหนึ่งของครอบครัว ถูกเหยียบย่ําอย่างน่าอดสู ถูกเข้าใจผิด และในที่สุดก็เกือบตาย แต่เป็นจื้อเจียวที่ช่วยชีวิตของเขาไว้

จื้อเจียวเป็นบุตรสาวของตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่ง นอกจากความงดงามอย่างมากแล้ว นางยังเป็นหญิงสาวที่เฉลียวฉลาดอย่างหาได้ยากยิ่ง ท่ามกลางความขัดแย้งภายในตระกูล นางก็ยังสามารถเอาตัวรอดได้ แต่ในที่สุดนางก็ต้องแต่งงานไปกับจักรพรรดิเฉินเจิงด้วยเหตุผลทางการเมือง

 

จักรพรรดิเฉินเจิงผู้นี้มีฉายาว่าเป็นเทพแห่งสงครามที่เก่งกาจ เพียงหอกเดียวของเขาที่พุ่งออกไปนั้น ก็สามารถเรียกเสียงร้องโหยหวนได้ไกลนับหมื่นลี้

ในภพนั้น ตัวเขามีนามว่าเหวินเตา ด้วยความหลงใหลในตัวจื้อเจียว เขาเฝ้าฝึกฝนบ่มเพาะพลังอย่างหนักเพื่อให้ตนเองแข็งแกร่ง จนกระทั่งในที่สุดก็มาถึงวันที่เขารอคอย ซึ่งก็คือคืนวันแต่งงานจักรพรรดิเฉินเจิงกับจื้อเจียว..

 

ในคืนนั้น เหวินเตาบุกเข้าวังเพียงลําพังด้วยความตื่นเต้นดีใจ และไม่รู้สึกหวาดกลัวจักรพรรดิเฉินเจิงหรือผู้ใดในวังเลยแม้แต่น้อย แล้วเขาก็ได้เอาชนะจักรพรรดิเฉินเจิงผู้ยิ่งใหญ่ได้ และชิงตัวจื้อเจียวกลับไปได้สําเร็จ

ความจริงแล้ว หลังจากนั้นทั้งคู่ควรจะต้องได้ครองคู่กันอย่างสมหวัง แต่ช่างโชคร้ายที่เส้นทางสู่ความเป็นเซียนของเขานั้นเต็มไปด้วยขวากหนามและความยากลําบาก ทําให้เขาต้องสูญเสียนางไป

 

ซูอานปล่อยให้น้ําตาหลั่งไหลออกมา และบอกกับตนเองว่า “ไม่สิ! ไม่ว่านางจะเป็นใคร ข้าควรจะต้องไปถามไถให้รู้เรื่อง…”

ซูอานกําหมัดแน่น แล้วตัดสินใจลุกขึ้นเดินออกจากเต็นท์ และเวลานี้แสงจันทร์ก็ได้ถูกก้อนเมฆหนาทึบบดบังอยู่ ภายในลานแห่งนี้จึงค่อนข้างมืดมิด

 

ห่างจากเต็นท์ของซูอานไปไม่ไกลนัก ชายสองคนซึ่งก็คือ คนขับรถและชายร่างอ้วน กําลังนั่งสูบุหรีพ่นควันโขมงอยู่บนก้อนหินใหญ่

“อาเปียว อาเหยา เจ้านายสั่งให้ออกไปลาดตระเวนรอบๆ!”

ชายสูงอายุในกลุ่มอีกคนเดินตรงเข้าไปหาอาเกี่ยวกับอาเหยาที่กําลังนั่งสูบบุหรี่ พร้อมกับตะโกนบอก และชายผู้นี้ทุกคนในกลุ่มก็เรียกเขาว่าอากู..

 

อาเปียวหันไปยิ้มให้อากูทันที พร้อมกับตอบไปว่า “งั้นก็รีบไปสิจะรออะไรอีกล่ะ!”

อาเบี่ยวกับอาเหยาต่างก็พากันเดินหนีออกไปที่อื่นทันที โดยมีอากูเดินตามออกมาห่างๆ เป็นที่รู้กันว่าชายชราผมเกรียนต้องการที่จะมีอะไรกับหญิงสาวที่งดงามผู้นั้น 

ซูอานได้ยินเช่นนั้นจึงได้แต่รู้สึกผิดหวังและเสียใจ เขาได้แต่คิดว่าหญิงสาวงดงามผู้นั้นอาจจะเป็นภรรยาของชายชราก็เป็นได้ เขาไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว และปล่อยให้เรื่องนี้เป็นดั่งควันไฟที่ค่อยๆจาง หายไปจะดีกว่า

ซูอานสะบัดศรีษะไปมา พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นบุหรี่ซอง หนึ่งที่ยังไม่ได้สูบ เขาจึงรีบหยิบเก็บเข้าไปไว้ในกระเป๋าของตนเอง ตอนนี้เขาอยากจะไปหาสถานที่เงียบสงบสูบบุหรี่มากกว่า

 

อาเปียวโน้มตัวเข้าไปใกล้คนขับรถพร้อมกับกระซิบยิ้มๆ “ผู้หญิงของเจ้านายนี่สวยชะมัดเลย..”

 

“ใช่! ผู้หญิงคนนี้สวยจนหาที่ติไม่ได้เลย”

“เฮ้อ.. ฉันทนไม่ไหวแล้ว!” อาเบียวพูดจบก็วิ่งตรงเข้าไปในป่าทันที

 

“เฮ้อ.. เป็นเจ้านายนี่ดีจริงๆ! นอกจากจะมีอํานาจและมีเงินแล้ว แม้แต่ผู้หญิงยังสวยยิ่งกว่านางฟ้าซะอีก!” อาเหยาคนขับรถพึมพําพร้อมกับส่ายหน้าไปมา แล้วสูบบุหรี่ต่อ

 

มีเพียงอากูเท่านั้นที่ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น เขาไม่อยากจะพูดเรื่องนี้นัก แต่อดที่จะพูดออกมาไม่ได้จริงๆ

 

“เด็กสาวคนนั้นเป็นคนดี เขาไม่น่าทํากับเธอแบบนั้นเลยจริงๆ!”

 

คนขับรถได้แต่หัวเราะออกมา จากนั้นจึงยกมือขึ้นตบบ่าอากูเบาๆพร้อมกับพูดขึ้นว่า “อย่าพูดอะไรตลกไปหน่อยเลย พวกเราเป็นใคร จะไปยุ่งเรื่องของเจ้านายทําไมกัน?”

อากูได้แต่ส่ายหน้าไปมา แล้วจึงหยุดพูดเรื่องนี้ ในเมื่อพวกเขาไม่สามารถทําอะไรได้ ก็คงต้องทําเป็นบิดหูปิดตาไม่รับรู้เสียบ้าง..

 

แต่ซูอานเวลานี้กลับขมวดคิ้วแน่นพร้อมกับคิดในใจว่า หากเด็กสาวผู้นี้ไม่ใช่หญิงอย่างว่า หรือพวกเขาคือคนรักกันงั้นรึ?

 

ซูอานไม่อาจทนนิ่งเฉยได้อีกต่อไป เขาเดินตรงไปข้างหน้าพร้อมกับจ้องหน้าอากู และเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ําเสียงเย็นชากว่าปกติ

 

“เมื่อครู่เจ้าว่าหญิงสาวผู้นั้นเป็นผู้หญิงดีงั้นรึ?”

แต่ก่อนที่อากูจะทันได้พูดอะไร อาเชี่ยวที่เดินกลับมาพอดีก็ร้องตะโกนดุเสียงดัง “นี่ไอ้หนู แกอยากตายนักหรือไงถึงได้กล้ายุ่งเรื่องของพวกเรา!”

ซูอานไม่ได้โมโห กลับทําสีหน้าประหลาดใจในขณะที่ถามชายร่างอ้วนออกไปว่า “เหตุใดเจ้าจึงเสร็จเร็วเช่นนี้?”

 

อาเหยาคนขับรถหันไปถามอาเปียวด้วยความแปลกใจเช่นกัน “นั่นสิพี่เบียว!”

“เฮ้อ.. นับว่าอ่อนหัดมาก!” อากูหันไปมองหน้าอาเปียวพร้อมกับพูดเย้ยหยัน

 

อาเปียวโดนล้อเลียนเช่นนี้ก็นึกโมโห และรีบร้องตะโกนออกไป ว่า “ฉัน ฉันไปเยี่ยวต่างหากล่ะ!”

 

“ว่าแต่พวกแกมาสนใจเรื่องของฉันทําไมกัน? สนใจเด็กนั่นไม่ดีกว่าเหรอ มันท้าทายพวกเราไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว!”

จากนั้นทั้งคนขับรถและอากูต่างก็เดินตรงเข้าไปหาซูอานด้วยสายตาเอาเรื่อง หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปคงต้องขนหัวลุกชันไปแล้ว แต่ไม่ใช่ซูอาน.

 

“พ่อหนุ่ม รีบหนีไปจะดีกว่า อย่างน้อยชีวิตของเธอก็สําคัญกว่าสิ่งใด!” อากูร้องบอกซูอาน

“อากู ไปเสียเวลาพล่ามไร้สาระกับมันทําไมกัน รีบจับตัวมันไว้ เร็วเข้า!”

อาเบียวร้องตะโกนบอกพร้อมกับวิ่งตรงเข้าไปหาซูอาน และชกกําปั้นเข้าไปที่ตําแหน่งหัวใจของเขาทันที

 

ซูอันยืนยิ้มเย้ยหยัน พร้อมกับเสื้อมือขึ้นตบเข้าที่ใบหน้าซ้ายขวาของอาเปียวอย่างแรง จนเขาถึงกับเซถลาล้มไปกองกับพื้น จากนั้น แก้มทั้งสองข้างของเขาก็บวมเปล่งราวกับซาลาเปา ฟันร่วงออกมาสองสามซี่ ในขณะที่เลือดสีแดงก็ไหลกลบปาก

ทั้งอาเหยากับอากูถึงกับตกใจและตกตะลึง เพราะคิดไม่ถึงว่าซูอานจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ อากูจ้องหน้าซูอานพร้อมกับถามขึ้นว่า

“พ่อหนุ่มนี่เธอก็เป็นผู้ฝึกยุทธเหมือนกันเหรอ?”

“ข้าว่าเจ้าอย่ารู้จะดีกว่า เดี๋ยวเจ้าจะหวาดกลัวเสียเปล่า…” ซูอานตอบเสียงนิ่งเรียบ

อากูไม่รอช้า มือทั้งสองข้างของเขาอุ้มลงคล้ายกรงเล็บเหยี่ยว แล้วกรงเล็บเหยี่ยวทั้งสองข้างของอากูก็พุ่งเข้าใส่ร่างของซูอานอย่างรวดเร็ว จนเขารับรู้ได้ถึงอันตรายอย่างยิ่งยวด นั่นเพราะวรยุทธของอากูนั้นแตกต่างจากวรยุทธของคนอื่นๆที่เขาเคยพบเจอมา

“นี่เจ้าฝึกพลังมารงั้นรึ?”

 

ซูอานอุทานออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เมื่อพบว่ากรงเล็บของอากูนั้นมีไอดําพวยพุ่งออกมา..

 

“แต่ช่างเถิด! จะพลังมารหรือว่าอะไรก็ตาม ไม่อย่างไรคืนนี้เจ้าก็ต้องจบชีวิต!”

 

ตาหวงได้ยินเสียงคนต่อสู้กันดังอยู่ข้างนอกนานแล้ว แต่ด้วยความหวาดกลัว เขาจึงเอาแต่นั่งตัวสั่นเทาอยู่ในเต็นท์ไม่กล้าออกไป

ทั้งอาเขียวและอากูต่างก็จ้องมองซูอานด้วยความขบขัน เพราะมั่นใจว่าด้วยวรยุทธของอากู ย่อมสามารถจัดการกับเด็กหนุ่มนี้ได้อย่างแน่นอน!

 

สีหน้าเย็นชาของซูอานเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม ขณะที่พุ่งหมัดตรงจู่โจมเข้าใส่ร่างของอากูอย่างรวดเร็ว จนร่างของอากูถึงกับเซถอยหลัง แต่ซูอานกลับยืนนิ่งไม่พุ่งตามไป

 

ทั้งอาเบียวและอาเหยาต่างก็ยืนมองด้วยความตกตะลึง เขาคิดไม่ถึงว่าซูอานจะแข็งแกร่งเพียงนี้ และเริ่มตระหนกตกใจขึ้นมาเล็กน้อย..

“ยังเด็กยังเล็กแต่กลับมีกําลังภายในแข็งแกร่งขนาดนี้ ทําให้คนแก่อย่างฉันอดที่จะอับอายไม่ได้”

อากูได้แต่บ่นพึมพําออกมา และรู้สึกหงุดหงิดที่ตนเองถูกเด็กเมื่อวานซืนทําร้ายได้เช่นนี้

“เจ้ากล้าเรียกตัวเองว่าคนแก่ต่อหน้าข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าอายุเท่าไหร่กัน?”

“เธอก็น่าจะเพิ่งสิบเจ็ดหรือสิบแปดเองไม่ใช่รึ?”

“เฮ้อ.. ภายนอกข้าอาจจะดูเหมือนเด็กอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี แต่ความจริงแล้ว.. ช่างเถิด! ต่อให้ข้าบอกเจ้า เจ้าก็ไม่มีทางเชื่อข้า

อยู่ดี!”

 

“อย่ายุ่งกับข้า แล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า!”

 

“ไอ้หนู แกพูดเพ้อเจ้ออะไร? ฉันจะส่งแกขึ้นสวรรค์เอง” อากูถอดเสื้อออกพร้อมกับร้องตะโกนบอกซูอาน

ในสายตาของอากูนั้น ซูอานนับเป็นผู้เยี่ยมยุทธมากผู้หนึ่ง เขาฝึกฝนมานานนับสิบๆปี กว่าจะมาถึงระดับนี้ได้ แต่เด็กหนุ่มคนนี้ยังอายุน้อย แต่กลับก้าวหน้ามาถึงได้ในระดับนี้ หากถูกฆ่าตายก็นับว่าน่าเสียดายไม่น้อย

 

เขาเคยฆ่าผู้คนมามากมายแล้ว หากฆ่าซูอานอีกสักคนจะเป็นไรไป แม้จะนึกเสียดาย แต่ก็นับว่าเป็นเรคคอร์ดที่ดีที่สุดเท่าที่เขาฆ่าคนตายมา..

 

รูปร่างของอากูนั้นคล้ายๆกับรูปร่างของซูอาน แต่เมื่อเขาถอดเสื้อออก กลับพบเห็นกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งทั่วทั้งร่าง กล้ามเนื้อของอากูนั้นแตกต่างจากกล้ามเนื้อของนักกล้ามทั่วไป ภายในกล้ามเนื้อแต่ละมัดนั้นมีพลังอัดแน่นอยู่เต็มไปหมด และพร้อมที่จะระเบิดออกมาได้ตลอดเวลา..

 

ซูอานยังคงยืนสงบนิ่ง เขาสังเกตเห็นว่า ระดับวรยุทธและกําลังภายในของอากูนั้น น่าจะเทียบเท่ากับขั้นรากฐานลมปราณระดับกลาง..

 

เมื่อเห็นซูอานยังคงยืนสีหน้านิ่งเรียบไม่มีท่าทีหวาดกลัวแม้แต่น้อย อากูก็ยิ่งโมโหมากกว่าเดิม กรงเล็บเหยี่ยวทั้งสองข้างจึงพุ่งตะปบเข้าใส่ร่างของซูอานอีกครั้ง ทันทีที่กรงเล็บทั้งสองตวัดออกไป แสงสีขาวเป็นเส้นก็พุ่งออกมาดูราวกับใบมีดที่แหลมคมก็ไม่ปาน

 

ใบหน้าตื่นตระหนกของอาเบี่ยวกับอาเหยาเมื่อครู่ เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มขึ้นมาแทน พร้อมกับซุบซิบกันว่า

“อากูโมโหมากแล้ว เจ้าเด็กนั่นคงตายแน่ๆ!”

“นั่นสิ! เจ้าเด็กนั่นดันไปท้าทายอากูเอง…”

 

ทางด้านตาหวงที่หลบซ่อนอยู่ในเต็นท์ ก็ได้แอบดูการต่อสู้ด้านนอกผ่านช่องระบายอากาศด้วยความตื่นเต้น

ทันทีที่กรงเล็บของอากูพุ่งตรงเข้าใส่คอหอยของซูอานนั้น เท้าที่ว่องไวราวเท้าปีศาจของเขาก็ก้าวถอยหลบกรงเล็บที่พุ่งเข้ามาได้อย่างรวดเร็ว

ไม่เพียงเท่านั้น ซูอานยังกระโดดข้ามศรีษะของอากูไป พร้อมกับหันกลับมาซัดฝ่ามือเข้าใส่แผ่นหลังของอากูหนึ่งฝ่ามือ พลังปราณที่ซูอานซัดออกจากฝ่ามือของตนนั้นมากถึงเจ็ดสิบส่วนเลยทีเดียว ทําให้ร่างของอากูถึงกับกระเด็นลอยออกไปหลายเมตร และกระอักเลือดออกมาทันที สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นตระหนกตกใจยิ่งกว่าเดิม พร้อมกับร้องอุทานออกมา

“เธอเป็นผู้ฝึกยุทธจริงๆด้วย!”

เพียงเท่านั้นอากูก็รู้แล้วว่า กําลังภายในของตนนั้นอยู่คนละระดับกับเด็กหนุ่มผู้นี้ จึงได้แต่พูดขึ้นด้วยความรู้สึกอับอาย

 

“ครั้งนี้ข้ายอมรับความพ่ายแพ้…”

 

แววตาของอากูเวลานี้หม่นหมองลงในทันที!

 

อาเบียวและอาเหยาทั้งตกตะลึงและตกใจ เมื่อพบว่าอากูไม่สามารถเอาชนะเด็กหนุ่มคนนี้ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อสําหรับพวกเขาสองคนมาก

“เจ้ายอมรับตอนนี้ก็สายไปแล้ว เพราะข้าจะเอาชีวิตเจ้า!”

 

แต่ระหว่างนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา

 

“ใครกันบังอาจพูดว่าจะเอาชีวิตคนของฉัน?”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+