ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ 239

Now you are reading ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ Chapter 239 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
โบราณสถานวัดดอกบัว

จิวโมไป๋โบกมือเกิดเป็นประกายแสงสีม่วงอาบกำแพงตรงหน้า ข่ายอาคมที่เขาซ่อนประตูลับเอาไว้ก็สลายหายไป เขากวาดตาตรวจสอบ ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ ไม่มีคนเข้าไป จากนั้นเขาก็กดกลไลเปิดประตูลับและเข้าไปด้านในพร้อมกับสัตว์ทั้งสี่ตัว

ประตูกลปิดลงทันทีที่เดินเข้าไป

จิวโมไป๋มองไปที่จิตรกรรมฝาพนังสองข้างทาง ก่อนหน้าเขาไล่ล่าผีน้ำหญิงและรีบออกไปไม่มีเวลาได้ตรวจสอบ

ปกติแล้วภาพจิตรกรรมฝาพนัง จะบอกเล่าถึงประวัติเรื่องราวของโบราณสถาน ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จก็ได้ ไม่อาจเชื่อได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็ทำให้รู้เกี่ยวกับโบราณสถานแห่งนี้ไม่มากก็น้อย

จิวโมไป๋เดินดูภาพจิตรกรรมฝาพนังตั้งแต่ทางเข้าไปจนสุดทาง

เสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมยเกาะบนไหล่ซ้ายขวาของจิวโมไป๋ พวกมันมองไปยังจิตรกรรมฝาพนังด้วยความสนใจ

เสี่ยวหวงเดินตามหลังไม่ห่าง มันไม่สนใจจิตรกรรมฝาพนังเลย

เสี่ยวจินเกาะบนหัวเสี่ยวหวงมองไปรอบๆ

เดินมาจนถึงทางออก จิวโมไป๋ก็ได้รู้ว่าโบราณสถานใต้ทะเลสาบดอกบัว อดีตเคยเป็นวัดที่มีชื่อเสียงรุ่งเรืองอย่างมากในยุคสมัยหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ต้องถึงคราวอ่อนแอทรุดโทรมและปิดลงตามกาลเวลา

วัดแห่งนี้ไม่ได้ถูกทำลายจากสิ่งภายนอก ที่วัดต้องปิดลง เป็นเพราะกฎข้อบังคับที่เข้มงวด ทำให้คนที่ออกบวชไม่นานก็ต้องลาสิกขา คนที่ยอมบวชเข้าวัดจริงๆก็มีน้อย ในยุคสมัยที่รุ่งเรืองที่สุดก็มีคนที่ออกบวชไม่เคยมากกว่า 500 คน

แม้ว่าพระประจำวัดจะมีจำนวนน้อย ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรวัดแห่งนี้ เพราะมีผู้นับถือวัดแห่งนี้จำนวนมาก พวกเขาเคยได้รับความช่วยเหลือจากเหล่าพระที่ออกไปปฏิบัติธรรมช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากทั่วโลก

จำนวนผู้ที่เคยได้รับการช่วยเหลือมีมากมายมหาศาล ในบรรดาคนที่ได้รับการช่วยเหลือ มีผู้บ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่งจำนวนไม่น้อย พวกเขาตอบแทนด้วยการช่วยคุ้มครองวัดจากอันตราย ถ้าไม่ด้วยตัวเอง ก็มีการส่งคนไปเฝ้าดูแลอยู่ห่างๆ ทำให้วัดแห่งนี้กลายเป็นวัดที่คนที่คิดร้ายไม่อยากเข้าไปยุ่ง

วัดแห่งนี้คงอยู่มาหลายพันหลายหมื่นปี แม้จะไม่มีใครทำอะไร แต่จำนวนคนออกบวชก็น้อยลงไปเรื่อยๆ จนสุดท้าย มีเจ้าอาวาสเพียง 1 คนต่อรุ่น ประคับประคองจนผ่านไปอีกเกือบร้อยรุ่น จนถึงเจ้าอาวาสคนสุดท้ายก็ไม่มีผู้สืบทอดคนต่อไป

เมื่อไม่มีผู้สืบทอด เจ้าอาวาสคนสุดท้ายก็ตัดสินใจปิดผนึกและฝั่งวัดลงใต้ดิน กลายเป็นโบราณสถาน

จิวโมไป๋นิ่งคิดเล็กน้อย จากที่ดูจิตรกรรมฝาผนัง ดูเหมือนว่าวัดแห่งนี้จะไม่ได้เป็นโบราณสถานอันตราย วัดแห่งนี้เป็นวัดที่มีหลักธรรมคำสอนให้ทำความดี ส่งเสริมคุณธรรม

ไม่น่าจะมีกับดักหรืออะไรน่ากลัว

ระดับความอันตรายของโบราณสถาน ไม่ได้บ่งบอกถึงสิ่งของล้ำค่าภายใน มีหลายครั้งที่โบราณสถานที่ไม่มีอันตรายเลย แต่มีของล้ำค่าหายาก กลับกันบ้างครั้งโบราณสถานระดับสูง ไม่มีของล้ำค่าอยู่เลยก็มี

เห็นประตูวัดที่ตั้งอยู่บันไดขั้นที่ 108 เขาก็หวังว่าภายในจะมีของดีๆเหลืออยู่บ้าง

ไม่รอช้าจิวโมไป๋เดินตรงมาถึงหน้าบันได เสี่ยวหวงที่เดินตามมองไปรอบๆด้วยความสนใจ จนเห็นหญ้าที่ขึ้นอยู่เชิงเขา ดวงตาลูกพีชของมันก็เปล่งประกายวิ่งตรงไปอย่างรวดเร็ว

จิวโมไป๋เห็นก็ใช้มือตะปบหลังของเสี่ยวหวงไว้ได้ทัน

เสี่ยวหวงขยับร่างไปต่อไม่ได้ มันหันมาร้องมอยาวๆ สายตาส่อฉายแววตัดพ้อ

“ตามหลังฉันมา อย่าดื้อออกนอกเส้นทาง มันอันตราย”จิวโมไป๋กล่าวจบก็ลูบหัวเสี่ยวหวงเบาๆ

เสี่ยวหวงทิ้งตัวลงพื้นด้วยความน้อยใจ เสียวจินกระพือปีกตบเบาๆไปที่หลังเสี่ยวหวงเบาๆเป็นการปลอบใจ

ในระหว่างที่อยู่เกาะโดดเดียว เสี่ยวจินมักจะไปเล่นกับเสี่ยวหวงในเวลาที่มันฝึกเสร็จ ทำให้ทั้งสองสนิทกันและมักจะอยู่ด้วยกันตลอด

จิวโมไป๋เดินมาหยุดหน้าบันไดขั้นที่ 1 เขามองขึ้นไป เขาไม่รู้สึกถึงพลังอะไรเลย มีแต่บรรยากาศสงบร่มรื่น ทำให้ผู้คนผ่อนคล้าย

“พวกแกลงไปก่อน ฉันจะตรวจสอบอะไรบางอย่างก่อน”จิวโมไป๋บอกกับเสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมยที่อยู่บนไหล่

ทั้งสองเกาะแน่น แสดงออกชัดเจนว่าไม่ยอมปล่อย

จิวโมไป๋ได้แต่ยิ้มอ่อน ยอมให้ทั้งสองเกาะต่อไป และเขาก็ก้าวเดินขึ้นไป

ทันทีที่เท้าเหยียบลงไปที่ขันบันได พลังกดดันอันหนักอึ้งก็กดทับลงมาทันที พร้อมกับคลื่นความร้อนที่เผาไหม้

ใบหน้าของจิวโมไป๋ยังคงนิ่งสงบไม่ตกใจอะไร

เสี่ยวไป๋เหยียดตัวขึ้น ขนสีขาวเงินพองขึ้น แววตาของมันกลับกลายเป็นแววตาของพยัคฆ์ร้าย แต่ไม่นานก็สงบลง

เสี่ยวเหมยเกาะไหล่จิวโมไป๋แน่น เผ่าพันธิ์จิ้งจอกเป็นครึ่งวิญญาณ ภายในโบราณสถานที่พลังวิญญาณถูกระงับ เผ่าจิ้งจอกจะอ่อนแอลง ทำให้เผ่าพันธิ์จิ้งจอกจะไม่ค่อยอยากเข้าไปในโบราณสถานเท่าไหร่นัก

เสี่ยวเหมยมีสายเลือดเผ่าพันธิ์จิ้งจอกเหนือกว่าเผ่าพันธิ์จิ้งจอกทั่วไป ทำให้ร่างกายของมันแข็งแกร่ง แม้พลังวิญญาณจะถูกปิดกัน แต่ก็ไม่ทำให้มันอ่อนแอมากนัก แค่มันไม่สามารถใช้วิชาที่เกี่ยวกับพลังวิญญาณเท่านั้น

จิวโมไป๋เห็นว่าไม่เป็นอะไร ก็โบกมือให้เสี่ยวหวงและเสี่ยวจินขึ้นมา

เสี่ยวหวงเดินขึ้นมาเหมือนไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย

เสี่ยวจินสัมผัสได้ถึงน้ำหนักที่กดทับและคลื่นความร้อน มันกางปีกกระพือเบาๆพร้อมจะบินออกไปทุกเมื่อ

“ระหว่างเดินขึ้นไป ห้ามต่อสู้กันอย่างเด็ดขาด”จิวโมไป๋กล่าวขึ้นเตือน

สัตว์ทั้งสี่พยักหน้า

จิวโมไป๋เดินขึ้นไปทีละขั้น พลังกดดันและคลื่นความร้อนเพิ่มขึ้นทุกขั้นที่เดินขึ้นไป นอกจากเสี่ยวเหมยที่ต้องปรับตัวกับคลื่นความร้อนที่เพิ่มขึ้น ทั้งหมดเดินขึ้นบันไดอย่างไม่ยากเย็น

โดยเฉพาะเสี่ยวหวงที่เหมือนไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย

จนไปถึงขั้นที่ 50 เกือบครึ่งทาง พลังกดดันและคลื่นความร้อนที่ได้รับในการเดินแต่ละขั้น ก็เพิ่มขึ้นมากกว่า 50 ขั้นก่อนหน้า เกือบ 2 เท่า แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้อยู่ดี

จิวโมไป๋มองไปยังประตูวัดที่ปิดสนิท เขาก็เดินขึ้นไปต่อ จนถึงขึ้นที่ 100 และก้าวไปที่ขั้นที่ 101 แต่ในตอนนั้นเองพลังกดดันและคลื่นความร้อนที่ได้รับก็เพิ่มขึ้นอีกเป็น 2 เท่าตัว

ใบหน้าของจิวโมไป๋เปลี่ยนไปเล็กน้อย พลังระดับนี้ มันเกินขอบเขตผู้บ่มเพาะพลังมากไป

แต่พวกเขาก็ไปต่อ

เสี่ยวจินที่อ่อนแอที่สุดดูเหน็ดเหนื่อย เพราะระดับการบ่มและอายุที่น้อยอ่อนประสบการณ์ แต่มันก็เกาะหัวเสี่ยวหวงแน่น ไม่ยอมปล่อย

น่าแปลกที่สบายที่สุดเป็นเสี่ยวหวง ที่ดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย

อีก 7 ขั้นสุดท้าย จิวโมไป๋และสัตว์ทั้งสี่ ก็ผ่านไปได้ ทันทีที่เท้าเหยียบขั้นที่ 108 พลังกดดันและคลื่นความร้อนก็หายไปทันที

เสี่ยวจินกางปีกนอนบนหลังของเสี่ยวหวงอย่างหมกสภาพ

จิวโมไป๋หยิบโอสถฟื้นฟูพลังให้กับทุกตัว และเขาก็เงยหน้าไปมองด้านบนประตู เขาก็พบชื่อวัดแห่งนี้ ที่แกะสลักบนแผ่นไม้สีเหลืองน้ำตาล อย่างเรียบง่าย แต่พลังที่แผ่ออกมาทำให้รู้สึกสงบปล่อยว่างอย่างแปลกประหลาด

วัดดอกบัว!

ในเวลาเดียวกันประตูวัดก็เปิดออกอย่างช้าๆ จิวโมไป๋ถอยหลังออกมาเล็กน้อย เขามองผ่านช่องว่างเข้าไปด้วยความสงสัย เขาไม่รู้สึกถึงอันตรายจากด้านในเลย

และเขาก็พบรูปปั้นแกะสลักเทพเจ้าถือหอกสูง 4 เมตร ยืนอยู่สองข้างประตูด้านใน

ในเวลานี้รูปปั้นทั้งสองเหมือนเป็นแค่รูปปั้นธรรมดา ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานจากมันได้เลย ราวกับเป็นเทพพิทักษ์ มันไม่มีสัญญาณของพลังอะไรจากรูปปั้นเลย

ถ้าเขาไม่เคยเห็นมันขยับมาก่อน เขาอาจคิดว่าเป็นรูปปั้นประดับวัติธรรมดา

มันไม่น่าแปลก เพราะเขาคิดมาก่อนแล้วว่ามันเป็นงานฝีมือของ ปรมาจารย์แกะสลัก

ที่มอบพลังงานให้กับมัน มันจะทำหน้าที่ตามที่สลักเอาไว้ได้

ปรมาจารย์แกะสลักมีจำนวนน้อยมาก เมื่อเทียบกับปรมาจารย์ เพราะพวกเขาจะต้องใช้เวลาในการแกะสลักอย่างมหาศาล งานยอดเยี่ยมอาจใช้่เวลา เป็นเดือน หรือปี เพื่อให้ได้ผลงานที่ยอดเยี่ยมหนึ่งชิ้น

และวัตถุดิบในการแกะสลักก็ต้องเป็นวัคถุดิบความทนทานสูง ไม่แตกหักง่าย เพราะอย่างนั้น การแกะสลักจึงเต็มไปด้วยความยากลำบาก

จึงมีคนไม่มากที่จะเลือกเส้นทางปารมาจารย์การแกะสลักอย่างเต็มตัว

จิวโมไป๋สูดลมหายใจ เดินเข้าไปในวัดดอกบัว เขาก็รู้สึกถึงพลังธรรมชาติหนาแน่นกว่าบนเกาะโดดเดียวช่วงก่อนวางข่ายอาคมห้าธาตุส่งเสริม เกือบ 3 เท่า!

สายตาของจิวโมไป๋สังเกตเห็น หอสูง 7 ชั้นที่สร้างจากไม้สีดำ แววตาของเขาเป็นประกาย

หอทดสอบ!”

จิวโมไป๋สูดลมหายใจไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะพบหอทดสอบ

มิติที่สูงขึ้น ทุกสำนักระดับสูงจะมีหอทดสอบ เพื่อการทดสอบศิษย์ความแข็งแกร่งและขัดเกาวิชาต่อสู้ ประโยชน์ของหอทดสอบมีมากกว่านั้น แต่ที่ไม่ดีคือค่าใช้จ่ายในการสร้างมีราคาแพงมหาศาล

จิวโมไป๋ยังไม่เดินเข้าไป เขากวาดตามองรอบๆ ฝั่งตรงข้ามห่างออกไปไกลมีกำแพงแบ่งพื้นที่ของวัด ประตูไม้ปิดสนิดขวางกันไม่ให้ผ่านเข้าไป

จิวโมไป๋ทดสอบกระโดดก็ไม่สามารถทำได้ พลังกดดันอันรุนแรงผลักเขากลับไม่ให้เข้ามา

ข่ายอาคมที่วางเอาไว้กำหนดกฎข้อห้ามเอาไว้ ต้องทำตามเท่านั้น ถ้าไม่รักษากฎอาจเกิดอันตรายได้

จิวโมไป๋เดินไปยังหอคอยทดสอบ เขาก็สังเกตเห็นว่าด้านข้างของหอทดสอบมี อาคารสูง 4 ชั้นตั้งอยู่ มันเป็นศาลาคัมภีร์ ดวงตาของจิวโมไป๋ยิ่งเป็นประกาย เขาเปลี่ยนการเดินไปที่ศาลาคัมภีร์ ประตูของศาลาคัมภีร์เปิดกว้้าง จิวโมไป๋เดินไปถึงทางเข้า เขาก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาหยุดเท้าลงและเอื่อมมือไปข้างหน้า แต่ก็ถูกพลังบางอย่างกันเอาไว้ไม่สามารถเข้าไปได้

จิวโมไป๋เลิกคิ้วประหลาดใจ เขาทดสอบหลายวิธีก็ไม่สามารถเข้าไปได้ เขาก็เลือบมองไปที่หอทดสอบ 7 ชั้น

อาจมีวิธีเข้าไป

จิวโมไป๋เดินไปที่หอทดสอบ ประตูทางเข้าหอทดสอบค่อยๆเปิดเหมือนเชิญชวนให้เข้าไป จิวโมไป๋หยุดเท้าลงไม่เดินต่อ เขาเปลี่ยนใจไปตรวจสอบโดบรอบวัดก่อน นอกจาก หอทดสอบแล้วและศาลาคัมภีร์ ยังมีอาคารที่พักน่าจะเคยเป็นที่พักของพระที่บวช

อาคารที่ยังมีสภาพดีสามารถใช้ได้ มีอยู่สิบกว่าหลัง

เขาปีนขึ้นไปบนบ้านที่สูงที่สุด และมองเข้าไปหลังกำแพง เขาเห็นอาคารมากมาย และก็พบว่ามีกำแพงอีกชั้นด้านใน เขาคาดเดาว่าวัดดอกบัวแบ่งชั้นกำแพง 3 ชั้น แยกเขตชัดเจน

จิวโมไป๋ปีนลงจากหลังคา และหยิบอุปกรณ์ทำอาหารออกมาจากแหวนมิติเก็บของ และลงมือทำอาหารให้สัตว์ทั้ง 4 ได้ทาน

“พวกแกอยู่ที่นี่ ฉันจะไปตรวจสอบอะไรบางอย่าง”พูดจบเขาก็ไปที่หอทดสอบ ประตูเปิดออกอย่างช้าๆ ครั้งนี้เขาเดินเข้าไปเอง

ทันทีที่เท้าเยียบไปที่ด้านในหอทดสอบ พื้นที่โดยรอบก็เปลี่ยนไป กลายเป็นห้องโถง ขนาด 100 ตร.ม พนังทุกด้านถูกแกะสลักเป็นภาพจิตรกรรมนูนต่ำเกี่ยวกับผู้คนมากมาย

จิวโมไป๋มองไปรอบๆด้วยความประหลาดใจ

พื้นที่มิติ!

ดูเหมือนว่าวัดแห่งนี้จะไม่ธรรมดาอย่างที่เขาคิดเอาไว้

ในตอนนั้นเอง พนังด้านหนึ่งก็เปล่งแสงสว่างบนรูปแกะสลักเป็นรูปร่างคน ก่อนที่ตรงกลางห้องจะมีรูปปั้นหินแข็งแกร่งปรากฏขึ้น รูปลักษณ์เป็นชายอายุ 35 ปี ในมือถือกระบี่ทำจากเหล็ก พลังกดดันอันแหลมคมแผ่กระจายออกจนเกิดการสั่นไหวเบาๆ

ประติมากรรมจำแลง!

จิวโมไป๋ยิ่งประหลาดใจมากกว่าเดิม สายตาเหลือบมองไปยังรูปแกะสลักทั้งหมดในห้องโถงอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะหยิบกระบี่เลือนเร้นออกมาจากแหวนมิติเก็บของทันที

ก่อนจะมีเสียงบางอย่างดังขึ้นในหัว มันไม่ได้เป็นภาษาของโลก แต่เขาสามารถเข้าใจความหมายของมันได้ทันที

‘หอทดสอบชั้นที่ 1 เอาชนะฝ่ายตรงข้ามภายในเวลา 10 นาที’

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด