ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 137 ฮวงฟูอี้มีบางอย่างผิดปกติ

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 137 ฮวงฟูอี้มีบางอย่างผิดปกติ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 137
ฮวงฟูอี้มีบางอย่างผิดปกติ

ฮวงฟูอี้เขี่ยโจ๊กในถ้วยไปมา ไม่ห่างไปมาก เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของพี่สาวดังมาจากห้องนั่งเล่น เขามองเห็นรอยยิ้มอันสดใสของเธอได้

ในตอนกลางคืนก็เหมือนปกติที่ฮวงฟูอี้จะเดินไปที่ห้องของพี่สาว เขากอดมู่หรงเสวี่ยไว้แน่น “เสี่ยวอี้ เป็นอะไรเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถามเสียงต่ำ ปกติแล้วฮวงฟูอี้จะชอบตัวติดอยู่กับเธอแต่เขาก็ไม่เคยกอดเธอเหมือนที่ทำวันนี้เลย ตอนแรกมู่หรงเสวี่ยก็รู้สึกอึดอัดอยู่นิดหน่อยแต่คำพูดและท่าทางของเขาก็ยังดูเป็นเด็ก เธอจึงบอกกับตัวเองว่าอีกฝ่ายก็แค่เด็กน้อย อย่าไปคิดมาก

“พี่สาวชอบคนพวกนั้นมากเลยเหรอฮะ?” น้ำเสียงซึมๆของฮวงฟูอี้ดังขึ้นมาจากหลังหูเธอ
ลมหายใจที่แห้งและร้อนทำให้มู่หรงเสวี่ยเองหน้าแดงอย่างไม่ยาก เมื่อคิดถึงเพื่อนทั้งห้าคนของเธอวันนี้ มู่หรงเสวี่ยหัวเราะออกมาและพูดว่า “ใช่ ฉันชอบพวกเขามากเลย พวกเขาทุกคนเป็นเพื่อนของพี่สาวนะ…”

มือของฮวงฟูอี้แน่นขึ้นและกอดมู่หรงเสวี่ยให้ชิดกับแขนเขาขึ้นไปอีก ด้วยแรงที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยทำให้ร่างกายของพวกเขาแทบจะแนบกันและกัน “พี่สาวชอบพวกเขามากกว่าผมหรือเปล่า…ในอนาคต…”

มู่หรงเสวี่ยตกใจและในที่สุดก็เข้าใจว่าทำไมวันนี้ฮวงฟูอี้ถึงทำตัวแปลกๆ เป็นเพราะเขาถูกทอดทิ้งตอนที่ยังเด็กหรือเปล่า?! ถึงแม้มันจะเป็นเพียงการคาดเดาของเธอเท่านั้น แต่ท่าทางของฮวงฟูอี้ก็ทำให้เธอยิ่งคิดมากขึ้นไปอีก เขามักจะกังวลเสมอว่าเธอจะทอดทิ้งเขาหรือว่ากังวลเรื่องพี่สาวที่แท้จริงของเขา เพราะเห็นได้ชัดว่าเขามองเธอเป็นพี่สาวของเขาเองแต่เธอก็ไม่ได้รังเกียจอะไร เธอเองก็มองเขาเป็นน้องชายของเธอเองด้วยเหมือนกัน

“เสี่ยวอี้ อย่าคิดแบบนี้ นายแตกต่างจากพวกเขา พวกเขาเป็นเพื่อนและนายเป็นน้องชาย นายจะไปเปรียบเทียบกับพวกเขาไม่ได้ เข้าใจไหม? ในใจของพี่สาวนายจะเป็นน้องชายที่ไม่มีใครมาแทนที่ได้เสมอ…” มู่หรงเสวี่ยหันกลับไปแตะที่หัวเขาเพื่อปลอบใจ

พี่สาวบอกว่าไม่มีใครมาแทนเขาได้ เขามีความสุขมากที่ในที่สุดหัวใจเขาก็คลายความกังวลไปได้มากแล้ว

กลางดึกคืนนั้น มู่หรงเสวี่ยรู้สึกว่าเหมือนจะมีอะไรมารบกวนการนอนของเธอและแม้แต่ที่ปากก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาทิ่มๆ เธอลืมตาขึ้นรางๆและเห็นว่าใบหน้าที่หล่อเหลาของฮวงฟูอี้ขยายใหญ่อยู่ตรงหน้าเธอ เขากำลังจะทำอะไร?

มู่หรงเสวี่ยตกใจและเริ่มที่จะขัดขืน เธอพูดออกไปว่า “เสี่ยวอี้ นายจะทำอะไร?! ปล่อยพี่สาวนะ…”

สายตาของฮวงฟูอี้ดูสับสนและรีบพูดออกมาเสียงสูง “พี่สาว ผมเสียใจจริงๆ…” เขารู้สึกไม่สบายจนอยากที่จะสัมผัสเธอและร่างกายของเขาก็เริ่มที่จะแผดเผา เขารู้สึกเจ็บปวด เขาไม่รู้ว่าจะทำยังไง

“นายปล่อยพี่สาวก่อน…” มู่หรงเสวี่ยผลักเขาออกอย่างแรง

ฮวงฟูอี้ตกลงไปที่ข้างๆเตียง หอบหายใจ สีหน้าเขาบิดเบี้ยวไปหมดและร่างกายก็สั่นเล็กน้อย “พี่สาว ผมไม่สบายหรือเปล่า?! ผมรู้สึกแย่มากเลย…”

มู่หรงเสวี่ยตกใจและไม่สนใจเรื่องที่เขาเพิ่งทำเมื่อกี้เลย ท่าทางของฮวงฟูอี้ดูเหมือนจะไม่สบายมากจริงๆ เธอจับชีพจรเขาและรู้สึกว่ามันเต้นเร็วกว่าเดิมมากแต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติที่ร่างกายเขาเลย ชีพจรเต้นแรงและเข็งแรงดี เธอขมวดคิ้วและถามออกไปว่า “เสี่ยวอี้ นายเป็นอะไรเหรอ? ไหนบอกพี่สาวสิ…”

ฮวงฟูอี้จับมือพี่สาวและให้ลูบไปยังจุดที่รู้สึกไม่สบายตรงหวางขา “พี่สาว ฉันเจ็บ ผมจะต้องตาย…”

มือที่ร้อนผ่าวทำให้มู่หรงถึงกับกระโดด หน้าของเขาเองก็แดงด้วยเหมือนกัน เขา…ใช่แน่ๆ

“พี่สาว…” ท่าทางเกินจริงของมู่หรงเสวี่ยเองก็ทำให้ฮวงฟูอี้กลัวด้วยเช่นกัน เธอมองเขาผิดไป เธอคิดว่าเขาเป็นแค่เด็กห้าขวบเลยไม่ได้ระวังตัวอะไรมาก อันที่จริงถึงแม้เขาจะยังมีดวงตาใสซื่อของเด็กห้าขวบแต่ร่างกายเขาไม่ใช่ ร่างกายเขาโตเต็มวัยแล้ว ไม่แปลกใจที่เขาจะมีปฏิกิริยาเพราะนอนกอดเธอทุกวัน เพียงแต่ว่าเธอจะทำยังไงดีเมื่อเธอรู้สึกอายแบบนี้…

“พี่สาว ผมกำลังจะตายใช่ไหม…” ฮวงฟูอี้พูดอย่างเศร้าๆ จ้องมองไปที่พี่สาวที่เดินห่างจากเขาไปไม่กี่ก้าวด้วยสายตาอาลัยอาวอน

แล้วมู่หรงเสวี่ยก็ได้สติและพูดออกมา “อย่า…อย่าพูดไร้สาระ นายยังแข็งแรงดี นายไม่มีอะไรผิดปกติ…”

ดวงตาของฮวงฟูอี้เริ่มจะเปียก “แต่ผมเสียใจ…พี่สาว ผมเสียใจ…”

เจ็บอะไรกันเล่า?! เธอจะทำยังไงดี?! ให้เขาอาบน้ำเย็นดีไหม?! แต่การอาบน้ำเย็นก็เป็นอันตรายกับร่างกายเขาเหมือนกันและที่ร่างกายเขาก็ยังมีแผลอยู่ด้วย ถึงแม้เธอจะคิดอยู่นานแต่ก็ยังไม่ได้คำตอบ เวลาผ่านไปนานเธอจึงพูดออกมา “ไม่…ไม่มีอะไร…นี่เป็นอาการปกติของร่างกาย…ใช่ ใช่แล้ว เดี๋ยวมันก็จะดีขึ้น…”

“จริงเหรอฮะ?”
“จริงสิ พี่สาวเคยหลอกนายเมื่อไหร่ล่ะ เสี่ยวอี้ตั้งแต่นี้ไปนายอยากจะนอนอย่างสบายไหม?”

มู่หรงเสวี่ยคิดว่าจะสอนฮวงฟูอี้อย่างดี ตอนนี้เขายังไม่รู้เรื่องอะไรแต่ถ้าเขายังนอนกับเธอต่อไป เขาก็จะยังมีอาการน่าอายแบบนี้อยู่

ดวงตาของฮวงฟูอี้แดงระเรื่อขึ้นทันที เขาลุกขึ้นและพุ่งเข้าหาพี่สาว “พี่สาว ผมป่วยหรือเปล่า? พี่สาวเกลียดผม…ผมไม่อยากที่จะนอนแยกกับพี่สาว…พี่สาวอย่าไล่ผมไปเลยนะ…”

มู่หรงเสวี่ยรู้สึกปวดหัว จะจัดการกับสถานการณ์นี้ยังไงดีนะ? ถ้าฮวงฟูอี้เป็นเด็กห้าขวบจริงๆ มันก็คงจัดการได้ไม่ยาก ฮวงฟูอี้จับมือเธออย่างสั่นๆ เธอจะแนะนำเขายังไงดี? มู่หรงเสวี่ยทำได้เพียงตบลงที่ไหล่ของเขาแล้วพูดให้มั่นใจว่า “พี่สาวไม่ทิ้งนายไปไหนหรอก…นี่ก็ดึกมากแล้ว นอนก่อนเถอะ แต่พี่สาวขอว่านายห้ามกอดพี่สาวนะ”

ฮวงฟูอี้เงยหน้าและถาม “ทำไมฮะ…”
มู่หรงเสวี่ยทำสีหน้าจริงจังแล้วพูดออกมา “เพราะเสี่ยวอี้เป็นผู้ชาย ผู้ชายไม่นอนกอดพี่สาวกันรู้ไหม?”

“โอ้ งั้น…” แต่เขาชอบที่จะกอดพี่สาวแต่พี่สาวบอกว่าเขาเป็นผู้ชาย และเขาไม่อยากที่จะทำให้เธอต้องผิดหวัง

มู่หรงเสวี่ยค่อยๆดึงมือออกแล้วเดินไปหยิบผ้าห่มอีกผืน “เรามีผ้าห่มคนละผืนนะจะได้ไม่หนาว อย่ามัวยืนอยู่เลยมานอนเถอะ” มันน่าจะไม่เป็นไรก็แยกผ้าห่มกันแล้วนิ แต่เธอต้องเพิ่มน้ำแห่งจิตวิญญาณให้เขาดื่มเพิ่มอีก แล้วเธอก็ต้องฝังเข็มให้เขาเร็วที่สุดเพื่อที่เขาจะได้ฟื้นความทรงจำ ตอนนี้ลิ่มเลือดในหัวเขาค่อยๆสลายไปแล้วและอีกไม่นานเขาน่าจะหายได้

ฮวงฟูอี้ไม่รู้ว่าจะคืนนี้จะนอนกับพี่สาวยังไงและก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงนอนกอดพี่สาวไม่ได้ด้วย
เขารู้สึกเศร้านิดหน่อยแต่ก็ไม่อยากทำให้พี่สาวผิดหวัง ดังนั้นเมื่อพี่สาวบอกว่าไม่ให้กอด เขาก็เลยไม่ขยับจริงๆและทำได้แต่เพียงมอง

คืนนี้มันยากหน่อยที่จะหลับเพราะจากอุบัติเหตุเล็กน้อยเรื่องนั้น เช้าวันต่อมามู่หรงเสวี่ยลุกขึ้นแต่เช้ามาทำอาหารเช้า แล้วจึงไปปลุกเพื่อนๆแต่ละคนมากินอาหารเช้า

หลังจากอาหารเช้า มู่หรงเสวี่ยก็สังเกตท่าทางของ ฮวงฟูอี้เป็นพิเศษ หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าเขาไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เธอก็โล่งอก หลังจากที่บอกให้เขาอยู่บ้านแล้ว มู่หรงเสวี่ยก็ไปมหาลัยกับเพื่อนๆทั้งห้า

ทั้งหกเดินไปด้วยกันไม่ต้องพูดเลยว่าดึงดูดสายตาได้มากแค่ไหน โดยเฉพาะมู่หรงเสวี่ยที่เป็นดาวเด่นของวันนี้ ตอนนี้แม้แต่แก๊งทั้งห้าเองก็ยังทำให้คนอื่นต้องกังวลได้แล้ว ไม่สิ ต้องพูดว่าเป็นแก๊งทั้งหกมากกว่า

“ฉันไม่ชินกับการเป็นจุดสนใจขนาดนี้เลย…” พี่สองขยับแว่นอย่างช่วยไม่ได้และมองไปรอบๆกลุ่มนักศึกษา
มู่หรงเสวี่ยยิ้มและเหล่ตาไปมอง “เดี๋ยวก็ค่อยๆชินไปเองแหละ ตอนแรกๆฉันก็ไม่ชินเท่าไรแต่พอวันหนึ่งก็จะชินไปเอง…” เธอไม่ได้ขอโทษ เพื่อนแท้ไม่จำเป็นต้องขอโทษกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้

“น้องหกทำไมฉันคิดว่าเธอกำลังดูพอใจล่ะ?” พี่สามหรี่ตามอง

มู่หรงเสี่ยวรีบตอบออกมา “เฮ้ เธอก็เห็นนิ เธอน่าจะรู้ว่ามันยากขนาดไหนสำหรับฉันที่จะมีชีวิตธรรมดาๆใช่ไหมล่ะ?! เป็นเพื่อนกันก็ควรจะลงเรือลำเดียวกันสิ…”

“ฉันสงสัยเรื่องที่ทำไมอยู่ดีๆเธอถึงได้กลายมาเป็นลูกศิษย์ของศาสตราจารย์ไป๋จริงๆเลย ได้ยินมาว่าเขามีนิสัยแปลกๆแล้วก็เป็นพวกชอบวิจารณ์นิ มีหลายคนเข้าไปเสนอตัวแต่ก็ถูก ปฎิเสธกลับมากันหมด…”

มู่หรงเสวี่ยหยักไหล่ “โอ้ ทำไมนะเหรอ?! ฉันเองก็สงสัยเหมือนกัน…” พูดตามตรง ศาสตราจารย์ไป๋ก็ไม่เคยบอกเธอว่าทำไมเขาถึงรับเธอเป็นศิษย์ แถมอยู่ดีๆก็ยังประกาศให้ทั้งมหาลัยรู้แบบไม่มีเหตุผลอีกด้วย ในตอนนั้นเธอเองก็ตกใจเหมือนกัน อย่างไรก็ตามเธอเดาว่ามันน่าจะเกี่ยวกับคุณปู่โม่ซึ่งเป็นคนที่แนะนำเธอเอง

“ถ้าเธอไม่รู้แล้วใครจะรู้อีกล่ะ?” ทั้งสี่มองมาที่เธอเป็นตาเดียว

“ผู้ชายคนนั้นที่กำลังเดินเข้ามา เขามาหาเธอใช่ไหม?” พี่ใหญ่สังเกตเห็นเด็กหนุ่มที่กำลังเดินตรงมาที่พวกเขา

มู่หรงเสวี่ยเงยหน้าขึ้นและเห็นว่าเป็นหลิวฮัวลี่ เขาพูดพร้อมรอยยิ้ม “รุ่นน้อง บังเอิญจังเลยนะ!”

หลิวฮัวลี่มองเพื่อนๆที่อยู่รอบๆตัวเธอและพูดพร้อมรอยยิ้ม “เสี่ยวเสวี่ย ช่วงนี้เธอดูไม่ค่อยว่างเลยนะแล้วฉันก็หาตัวเธอไม่ค่อยเจอเลย…” อันที่จริงไม่ใช่ว่าเขาหาเธอไม่เจอหรอก แต่รอบตัวเธอมักจะมีเพื่อนๆอยู่ด้วยจนเขาไม่มีโอกาสที่จะเข้ามาคุยกับเธอเลย แต่ว่าวันนี้ไม่ว่าจะมีใครอยู่รอบตัวเธอ เขาก็จะเข้ามาทักทาย
มู่หรงเสวี่ยวถามออกมาหลังจากนั้น “ฉันไม่ได้ยุ่งเลย มีเรื่องอะไรเหรอ? ว่าไง? ว่าแต่ฉันลืมแนะนำไปเลย นี่คือหลิวฮัวลี่ ประธานของมหาลัยเรา ส่วนทั้งห้าคนนี้เป็นเพื่อนฉันเอง ชื่อ พี่ใหญ่, พี่สอง, พี่สาม, พี่สี่และก็พี่ห้า…” ทำไมมู่หรงเสวี่ยถึงรู้สึกว่าการแนะนำครั้งนี้มันดูแปลกๆนะ

หลิวฮัวลี่พูดพร้อมรอยยิ้ม “ยินดีที่ได้รู้จักนะ ฉันขอโทษที่เข้ามารบกวน เสี่ยวเสวี่ยฉันอยากจะชวนให้เธอเข้ามาอยู่ในสหภาพนักศึกษาด้วยกัน เธอพอจะมีเวลาบ้างใหม่?” เขาพูดออกไปเลย ในความคิดของเขามู่หรงเสวี่ยมีคุณสมบัติและความสามารถที่ดีมากพอจะเข้าร่วมในสหภาพนักศึกษาได้เลย สมาชิกทุกคนของมหาวิทยาลัยการแพทย์มีสิทธิ์ซึ่งจะได้รับการ์ดคุ้มครองด้วย

“สหภาพนักศึกษางั้นเหรอ?” พูดตามตรง เธอไม่อยากที่จะเข้าไปในสหภาพนักศึกษาเลย พูดได้ว่าเธอไม่เคยเข้าร่วมชมรมหรือองค์กรอะไรของโรงเรียนมาก่อนเลย

“ใช่ เธอสนใจไหมล่ะ? ในอีกสองวัน บุคลากรที่ได้รับการคัดเลือกของสหภาพนักศึกษาจะได้รับการประเมิน ฉันหวังว่าเธอจะเข้าร่วมด้วยได้…” สมาชิกนักเรียนทุกคนจะถูกเลือกอย่างเข้มงวด ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้ามาในสหภาพนักศึกษาได้ กล่าวได้ว่าสหภาพนักศึกษาแสดงถึงภาพลักษณ์ของวิทยาลัย

มู่หรงเสวี่ยเงียบไปสักพัก เธอไม่มีเวลามากขนาดนั้นแต่เธอก็ยังอยากที่จะลองอะไรใหม่ๆที่เธอไม่เคยได้ลองในชีวิตที่แล้ว “โอเค งั้นฉันจะไปแล้วกันนะ…”

หลิวฮัวลี่เผยรอยยิ้ม “งั้นฉันจะใส่ชื่อเธอลงไปนะ แล้วก็อย่าลืมมาด้วยล่ะ งั้นฉันไม่กวนแล้วล่ะ ไปก่อนนะ” หลังจากนั้นเขาก็โบกมือแล้วเดินจากไป ตอนนี้หลักๆคือการเข้ามาบอกเรื่องนี้กับเสี่ยวเสวี่ย อันที่จริงเขายังอยากที่จะคุยกับเธออีกแต่ดันมีเพื่อนของเธออยู่ด้วยจึงรู้สึกไม่ค่อยสะดวกเท่าไรเลยขอตัวออกมาก่อนดีกว่า

“น้องหก เอาจริงเหรอ? เธอจะลงคัดเลือกเข้าสหภาพนักศึกษาด้วยจริงเหรอ?” พี่สี่ถึงกับพูดไม่ออก

มู่หรงเสวี่ยหัวเราะ “มีอะไรเหรอ?! เธออยากจะมากับฉันด้วยไหมล่ะ?”
พี่สามและพี่สี่ทำหน้ารังเกียจขึ้นมาทันทีพร้อมพูดออกมาว่า “อย่ามาบอกให้ฉันไปยุ่งกับเรื่องปัญหาน่าปวดหัวอะไรพวกนั้นเลยนะ…”

มู่หรงเสวี่ยถอนหลายใจ “พอไม่มีเธอมันก็เหงาอยู่หน่อยๆนะ…”

“งั้นฉันไปด้วยเอง ฮ่าฮ่า…” พี่สองพูดออกมาแบบติดตลก
“ช่างเป็นเพื่อนที่น่ารักจริงๆ” มู่หรงเสวี่ยถอนหายใจ

“…”
ช่างเป็นชีวิตในมหาลัยที่สุขสงบจนทำให้มู่หรงเสวี่ยผ่อนคลายไปได้มาก ชื่อของชางกวนโม่ดูเหมือนจะค่อยๆเลือนรางไปจากเธอ แต่บางครั้งความคิดก็เตลิดไปถึงเขาบ้างจนทำให้หัวใจเธอต้องเจ็บปวด

ไป๋เสวี่ยหลี่โมโหอย่างมาก สายตาของพี่โม่ที่มองเธอช่วงนี้ เขาอยากแต่ละลากเธอไปที่โรงพยาบาล เธอพยายามอย่างที่สุดเพื่อที่จะห้ามเขา เธอแตะไปที่หน้าท้องแบนราบที่ไม่มีอะไรอยู่ในนั้น เรื่องท้องเป็นเพียงคำโกหกของเธอเอง เป็นคำโกหกที่เธอสร้างขึ้นมาเพื่อที่จะรั้งเขาไว้ ถ้าพี่โม่รู้เรื่องนี้เข้าเธอเดาได้เลยว่าชีวิตของเธอต้องไม่ดีแน่ๆ

เดิมทีเธออยากที่จะโกหกเพื่อแยกคนทั้งสองเพื่อที่เธอจะได้อยู่กับพี่โม่ แล้วหาโอกาสครั้งใหม่เพื่อที่จะทำให้ท้อง แต่ใครจะไปรู้ว่าพี่โม่ไม่ยอมแตะต้องตัวเธอเลย แม้แต่จะจับมือเหมือนแต่ก่อนตอนนี้เขาก็ยังไม่ยอมเลยด้วยซ้ำ

แล้วนี่เธอจะทำยังไงดีล่ะ?! ตอนแรกเธออยากที่จะสร้างเรื่องอุบัติเหตุให้แท้ง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าตราบใดที่เธอไม่มีเด็กแล้ว พี่โม่ก็จะรีบไปพาตัวมู่หรงเสวี่ยกลับมาทันทีเลย แล้วเธอจะยอมให้เรื่องมันเป็นแบบนั้นได้ยังไงล่ะ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 137 ฮวงฟูอี้มีบางอย่างผิดปกติ

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 137 ฮวงฟูอี้มีบางอย่างผิดปกติ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 137
ฮวงฟูอี้มีบางอย่างผิดปกติ

ฮวงฟูอี้เขี่ยโจ๊กในถ้วยไปมา ไม่ห่างไปมาก เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของพี่สาวดังมาจากห้องนั่งเล่น เขามองเห็นรอยยิ้มอันสดใสของเธอได้

ในตอนกลางคืนก็เหมือนปกติที่ฮวงฟูอี้จะเดินไปที่ห้องของพี่สาว เขากอดมู่หรงเสวี่ยไว้แน่น “เสี่ยวอี้ เป็นอะไรเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถามเสียงต่ำ ปกติแล้วฮวงฟูอี้จะชอบตัวติดอยู่กับเธอแต่เขาก็ไม่เคยกอดเธอเหมือนที่ทำวันนี้เลย ตอนแรกมู่หรงเสวี่ยก็รู้สึกอึดอัดอยู่นิดหน่อยแต่คำพูดและท่าทางของเขาก็ยังดูเป็นเด็ก เธอจึงบอกกับตัวเองว่าอีกฝ่ายก็แค่เด็กน้อย อย่าไปคิดมาก

“พี่สาวชอบคนพวกนั้นมากเลยเหรอฮะ?” น้ำเสียงซึมๆของฮวงฟูอี้ดังขึ้นมาจากหลังหูเธอ
ลมหายใจที่แห้งและร้อนทำให้มู่หรงเสวี่ยเองหน้าแดงอย่างไม่ยาก เมื่อคิดถึงเพื่อนทั้งห้าคนของเธอวันนี้ มู่หรงเสวี่ยหัวเราะออกมาและพูดว่า “ใช่ ฉันชอบพวกเขามากเลย พวกเขาทุกคนเป็นเพื่อนของพี่สาวนะ…”

มือของฮวงฟูอี้แน่นขึ้นและกอดมู่หรงเสวี่ยให้ชิดกับแขนเขาขึ้นไปอีก ด้วยแรงที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยทำให้ร่างกายของพวกเขาแทบจะแนบกันและกัน “พี่สาวชอบพวกเขามากกว่าผมหรือเปล่า…ในอนาคต…”

มู่หรงเสวี่ยตกใจและในที่สุดก็เข้าใจว่าทำไมวันนี้ฮวงฟูอี้ถึงทำตัวแปลกๆ เป็นเพราะเขาถูกทอดทิ้งตอนที่ยังเด็กหรือเปล่า?! ถึงแม้มันจะเป็นเพียงการคาดเดาของเธอเท่านั้น แต่ท่าทางของฮวงฟูอี้ก็ทำให้เธอยิ่งคิดมากขึ้นไปอีก เขามักจะกังวลเสมอว่าเธอจะทอดทิ้งเขาหรือว่ากังวลเรื่องพี่สาวที่แท้จริงของเขา เพราะเห็นได้ชัดว่าเขามองเธอเป็นพี่สาวของเขาเองแต่เธอก็ไม่ได้รังเกียจอะไร เธอเองก็มองเขาเป็นน้องชายของเธอเองด้วยเหมือนกัน

“เสี่ยวอี้ อย่าคิดแบบนี้ นายแตกต่างจากพวกเขา พวกเขาเป็นเพื่อนและนายเป็นน้องชาย นายจะไปเปรียบเทียบกับพวกเขาไม่ได้ เข้าใจไหม? ในใจของพี่สาวนายจะเป็นน้องชายที่ไม่มีใครมาแทนที่ได้เสมอ…” มู่หรงเสวี่ยหันกลับไปแตะที่หัวเขาเพื่อปลอบใจ

พี่สาวบอกว่าไม่มีใครมาแทนเขาได้ เขามีความสุขมากที่ในที่สุดหัวใจเขาก็คลายความกังวลไปได้มากแล้ว

กลางดึกคืนนั้น มู่หรงเสวี่ยรู้สึกว่าเหมือนจะมีอะไรมารบกวนการนอนของเธอและแม้แต่ที่ปากก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาทิ่มๆ เธอลืมตาขึ้นรางๆและเห็นว่าใบหน้าที่หล่อเหลาของฮวงฟูอี้ขยายใหญ่อยู่ตรงหน้าเธอ เขากำลังจะทำอะไร?

มู่หรงเสวี่ยตกใจและเริ่มที่จะขัดขืน เธอพูดออกไปว่า “เสี่ยวอี้ นายจะทำอะไร?! ปล่อยพี่สาวนะ…”

สายตาของฮวงฟูอี้ดูสับสนและรีบพูดออกมาเสียงสูง “พี่สาว ผมเสียใจจริงๆ…” เขารู้สึกไม่สบายจนอยากที่จะสัมผัสเธอและร่างกายของเขาก็เริ่มที่จะแผดเผา เขารู้สึกเจ็บปวด เขาไม่รู้ว่าจะทำยังไง

“นายปล่อยพี่สาวก่อน…” มู่หรงเสวี่ยผลักเขาออกอย่างแรง

ฮวงฟูอี้ตกลงไปที่ข้างๆเตียง หอบหายใจ สีหน้าเขาบิดเบี้ยวไปหมดและร่างกายก็สั่นเล็กน้อย “พี่สาว ผมไม่สบายหรือเปล่า?! ผมรู้สึกแย่มากเลย…”

มู่หรงเสวี่ยตกใจและไม่สนใจเรื่องที่เขาเพิ่งทำเมื่อกี้เลย ท่าทางของฮวงฟูอี้ดูเหมือนจะไม่สบายมากจริงๆ เธอจับชีพจรเขาและรู้สึกว่ามันเต้นเร็วกว่าเดิมมากแต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติที่ร่างกายเขาเลย ชีพจรเต้นแรงและเข็งแรงดี เธอขมวดคิ้วและถามออกไปว่า “เสี่ยวอี้ นายเป็นอะไรเหรอ? ไหนบอกพี่สาวสิ…”

ฮวงฟูอี้จับมือพี่สาวและให้ลูบไปยังจุดที่รู้สึกไม่สบายตรงหวางขา “พี่สาว ฉันเจ็บ ผมจะต้องตาย…”

มือที่ร้อนผ่าวทำให้มู่หรงถึงกับกระโดด หน้าของเขาเองก็แดงด้วยเหมือนกัน เขา…ใช่แน่ๆ

“พี่สาว…” ท่าทางเกินจริงของมู่หรงเสวี่ยเองก็ทำให้ฮวงฟูอี้กลัวด้วยเช่นกัน เธอมองเขาผิดไป เธอคิดว่าเขาเป็นแค่เด็กห้าขวบเลยไม่ได้ระวังตัวอะไรมาก อันที่จริงถึงแม้เขาจะยังมีดวงตาใสซื่อของเด็กห้าขวบแต่ร่างกายเขาไม่ใช่ ร่างกายเขาโตเต็มวัยแล้ว ไม่แปลกใจที่เขาจะมีปฏิกิริยาเพราะนอนกอดเธอทุกวัน เพียงแต่ว่าเธอจะทำยังไงดีเมื่อเธอรู้สึกอายแบบนี้…

“พี่สาว ผมกำลังจะตายใช่ไหม…” ฮวงฟูอี้พูดอย่างเศร้าๆ จ้องมองไปที่พี่สาวที่เดินห่างจากเขาไปไม่กี่ก้าวด้วยสายตาอาลัยอาวอน

แล้วมู่หรงเสวี่ยก็ได้สติและพูดออกมา “อย่า…อย่าพูดไร้สาระ นายยังแข็งแรงดี นายไม่มีอะไรผิดปกติ…”

ดวงตาของฮวงฟูอี้เริ่มจะเปียก “แต่ผมเสียใจ…พี่สาว ผมเสียใจ…”

เจ็บอะไรกันเล่า?! เธอจะทำยังไงดี?! ให้เขาอาบน้ำเย็นดีไหม?! แต่การอาบน้ำเย็นก็เป็นอันตรายกับร่างกายเขาเหมือนกันและที่ร่างกายเขาก็ยังมีแผลอยู่ด้วย ถึงแม้เธอจะคิดอยู่นานแต่ก็ยังไม่ได้คำตอบ เวลาผ่านไปนานเธอจึงพูดออกมา “ไม่…ไม่มีอะไร…นี่เป็นอาการปกติของร่างกาย…ใช่ ใช่แล้ว เดี๋ยวมันก็จะดีขึ้น…”

“จริงเหรอฮะ?”
“จริงสิ พี่สาวเคยหลอกนายเมื่อไหร่ล่ะ เสี่ยวอี้ตั้งแต่นี้ไปนายอยากจะนอนอย่างสบายไหม?”

มู่หรงเสวี่ยคิดว่าจะสอนฮวงฟูอี้อย่างดี ตอนนี้เขายังไม่รู้เรื่องอะไรแต่ถ้าเขายังนอนกับเธอต่อไป เขาก็จะยังมีอาการน่าอายแบบนี้อยู่

ดวงตาของฮวงฟูอี้แดงระเรื่อขึ้นทันที เขาลุกขึ้นและพุ่งเข้าหาพี่สาว “พี่สาว ผมป่วยหรือเปล่า? พี่สาวเกลียดผม…ผมไม่อยากที่จะนอนแยกกับพี่สาว…พี่สาวอย่าไล่ผมไปเลยนะ…”

มู่หรงเสวี่ยรู้สึกปวดหัว จะจัดการกับสถานการณ์นี้ยังไงดีนะ? ถ้าฮวงฟูอี้เป็นเด็กห้าขวบจริงๆ มันก็คงจัดการได้ไม่ยาก ฮวงฟูอี้จับมือเธออย่างสั่นๆ เธอจะแนะนำเขายังไงดี? มู่หรงเสวี่ยทำได้เพียงตบลงที่ไหล่ของเขาแล้วพูดให้มั่นใจว่า “พี่สาวไม่ทิ้งนายไปไหนหรอก…นี่ก็ดึกมากแล้ว นอนก่อนเถอะ แต่พี่สาวขอว่านายห้ามกอดพี่สาวนะ”

ฮวงฟูอี้เงยหน้าและถาม “ทำไมฮะ…”
มู่หรงเสวี่ยทำสีหน้าจริงจังแล้วพูดออกมา “เพราะเสี่ยวอี้เป็นผู้ชาย ผู้ชายไม่นอนกอดพี่สาวกันรู้ไหม?”

“โอ้ งั้น…” แต่เขาชอบที่จะกอดพี่สาวแต่พี่สาวบอกว่าเขาเป็นผู้ชาย และเขาไม่อยากที่จะทำให้เธอต้องผิดหวัง

มู่หรงเสวี่ยค่อยๆดึงมือออกแล้วเดินไปหยิบผ้าห่มอีกผืน “เรามีผ้าห่มคนละผืนนะจะได้ไม่หนาว อย่ามัวยืนอยู่เลยมานอนเถอะ” มันน่าจะไม่เป็นไรก็แยกผ้าห่มกันแล้วนิ แต่เธอต้องเพิ่มน้ำแห่งจิตวิญญาณให้เขาดื่มเพิ่มอีก แล้วเธอก็ต้องฝังเข็มให้เขาเร็วที่สุดเพื่อที่เขาจะได้ฟื้นความทรงจำ ตอนนี้ลิ่มเลือดในหัวเขาค่อยๆสลายไปแล้วและอีกไม่นานเขาน่าจะหายได้

ฮวงฟูอี้ไม่รู้ว่าจะคืนนี้จะนอนกับพี่สาวยังไงและก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงนอนกอดพี่สาวไม่ได้ด้วย
เขารู้สึกเศร้านิดหน่อยแต่ก็ไม่อยากทำให้พี่สาวผิดหวัง ดังนั้นเมื่อพี่สาวบอกว่าไม่ให้กอด เขาก็เลยไม่ขยับจริงๆและทำได้แต่เพียงมอง

คืนนี้มันยากหน่อยที่จะหลับเพราะจากอุบัติเหตุเล็กน้อยเรื่องนั้น เช้าวันต่อมามู่หรงเสวี่ยลุกขึ้นแต่เช้ามาทำอาหารเช้า แล้วจึงไปปลุกเพื่อนๆแต่ละคนมากินอาหารเช้า

หลังจากอาหารเช้า มู่หรงเสวี่ยก็สังเกตท่าทางของ ฮวงฟูอี้เป็นพิเศษ หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าเขาไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เธอก็โล่งอก หลังจากที่บอกให้เขาอยู่บ้านแล้ว มู่หรงเสวี่ยก็ไปมหาลัยกับเพื่อนๆทั้งห้า

ทั้งหกเดินไปด้วยกันไม่ต้องพูดเลยว่าดึงดูดสายตาได้มากแค่ไหน โดยเฉพาะมู่หรงเสวี่ยที่เป็นดาวเด่นของวันนี้ ตอนนี้แม้แต่แก๊งทั้งห้าเองก็ยังทำให้คนอื่นต้องกังวลได้แล้ว ไม่สิ ต้องพูดว่าเป็นแก๊งทั้งหกมากกว่า

“ฉันไม่ชินกับการเป็นจุดสนใจขนาดนี้เลย…” พี่สองขยับแว่นอย่างช่วยไม่ได้และมองไปรอบๆกลุ่มนักศึกษา
มู่หรงเสวี่ยยิ้มและเหล่ตาไปมอง “เดี๋ยวก็ค่อยๆชินไปเองแหละ ตอนแรกๆฉันก็ไม่ชินเท่าไรแต่พอวันหนึ่งก็จะชินไปเอง…” เธอไม่ได้ขอโทษ เพื่อนแท้ไม่จำเป็นต้องขอโทษกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้

“น้องหกทำไมฉันคิดว่าเธอกำลังดูพอใจล่ะ?” พี่สามหรี่ตามอง

มู่หรงเสี่ยวรีบตอบออกมา “เฮ้ เธอก็เห็นนิ เธอน่าจะรู้ว่ามันยากขนาดไหนสำหรับฉันที่จะมีชีวิตธรรมดาๆใช่ไหมล่ะ?! เป็นเพื่อนกันก็ควรจะลงเรือลำเดียวกันสิ…”

“ฉันสงสัยเรื่องที่ทำไมอยู่ดีๆเธอถึงได้กลายมาเป็นลูกศิษย์ของศาสตราจารย์ไป๋จริงๆเลย ได้ยินมาว่าเขามีนิสัยแปลกๆแล้วก็เป็นพวกชอบวิจารณ์นิ มีหลายคนเข้าไปเสนอตัวแต่ก็ถูก ปฎิเสธกลับมากันหมด…”

มู่หรงเสวี่ยหยักไหล่ “โอ้ ทำไมนะเหรอ?! ฉันเองก็สงสัยเหมือนกัน…” พูดตามตรง ศาสตราจารย์ไป๋ก็ไม่เคยบอกเธอว่าทำไมเขาถึงรับเธอเป็นศิษย์ แถมอยู่ดีๆก็ยังประกาศให้ทั้งมหาลัยรู้แบบไม่มีเหตุผลอีกด้วย ในตอนนั้นเธอเองก็ตกใจเหมือนกัน อย่างไรก็ตามเธอเดาว่ามันน่าจะเกี่ยวกับคุณปู่โม่ซึ่งเป็นคนที่แนะนำเธอเอง

“ถ้าเธอไม่รู้แล้วใครจะรู้อีกล่ะ?” ทั้งสี่มองมาที่เธอเป็นตาเดียว

“ผู้ชายคนนั้นที่กำลังเดินเข้ามา เขามาหาเธอใช่ไหม?” พี่ใหญ่สังเกตเห็นเด็กหนุ่มที่กำลังเดินตรงมาที่พวกเขา

มู่หรงเสวี่ยเงยหน้าขึ้นและเห็นว่าเป็นหลิวฮัวลี่ เขาพูดพร้อมรอยยิ้ม “รุ่นน้อง บังเอิญจังเลยนะ!”

หลิวฮัวลี่มองเพื่อนๆที่อยู่รอบๆตัวเธอและพูดพร้อมรอยยิ้ม “เสี่ยวเสวี่ย ช่วงนี้เธอดูไม่ค่อยว่างเลยนะแล้วฉันก็หาตัวเธอไม่ค่อยเจอเลย…” อันที่จริงไม่ใช่ว่าเขาหาเธอไม่เจอหรอก แต่รอบตัวเธอมักจะมีเพื่อนๆอยู่ด้วยจนเขาไม่มีโอกาสที่จะเข้ามาคุยกับเธอเลย แต่ว่าวันนี้ไม่ว่าจะมีใครอยู่รอบตัวเธอ เขาก็จะเข้ามาทักทาย
มู่หรงเสวี่ยวถามออกมาหลังจากนั้น “ฉันไม่ได้ยุ่งเลย มีเรื่องอะไรเหรอ? ว่าไง? ว่าแต่ฉันลืมแนะนำไปเลย นี่คือหลิวฮัวลี่ ประธานของมหาลัยเรา ส่วนทั้งห้าคนนี้เป็นเพื่อนฉันเอง ชื่อ พี่ใหญ่, พี่สอง, พี่สาม, พี่สี่และก็พี่ห้า…” ทำไมมู่หรงเสวี่ยถึงรู้สึกว่าการแนะนำครั้งนี้มันดูแปลกๆนะ

หลิวฮัวลี่พูดพร้อมรอยยิ้ม “ยินดีที่ได้รู้จักนะ ฉันขอโทษที่เข้ามารบกวน เสี่ยวเสวี่ยฉันอยากจะชวนให้เธอเข้ามาอยู่ในสหภาพนักศึกษาด้วยกัน เธอพอจะมีเวลาบ้างใหม่?” เขาพูดออกไปเลย ในความคิดของเขามู่หรงเสวี่ยมีคุณสมบัติและความสามารถที่ดีมากพอจะเข้าร่วมในสหภาพนักศึกษาได้เลย สมาชิกทุกคนของมหาวิทยาลัยการแพทย์มีสิทธิ์ซึ่งจะได้รับการ์ดคุ้มครองด้วย

“สหภาพนักศึกษางั้นเหรอ?” พูดตามตรง เธอไม่อยากที่จะเข้าไปในสหภาพนักศึกษาเลย พูดได้ว่าเธอไม่เคยเข้าร่วมชมรมหรือองค์กรอะไรของโรงเรียนมาก่อนเลย

“ใช่ เธอสนใจไหมล่ะ? ในอีกสองวัน บุคลากรที่ได้รับการคัดเลือกของสหภาพนักศึกษาจะได้รับการประเมิน ฉันหวังว่าเธอจะเข้าร่วมด้วยได้…” สมาชิกนักเรียนทุกคนจะถูกเลือกอย่างเข้มงวด ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้ามาในสหภาพนักศึกษาได้ กล่าวได้ว่าสหภาพนักศึกษาแสดงถึงภาพลักษณ์ของวิทยาลัย

มู่หรงเสวี่ยเงียบไปสักพัก เธอไม่มีเวลามากขนาดนั้นแต่เธอก็ยังอยากที่จะลองอะไรใหม่ๆที่เธอไม่เคยได้ลองในชีวิตที่แล้ว “โอเค งั้นฉันจะไปแล้วกันนะ…”

หลิวฮัวลี่เผยรอยยิ้ม “งั้นฉันจะใส่ชื่อเธอลงไปนะ แล้วก็อย่าลืมมาด้วยล่ะ งั้นฉันไม่กวนแล้วล่ะ ไปก่อนนะ” หลังจากนั้นเขาก็โบกมือแล้วเดินจากไป ตอนนี้หลักๆคือการเข้ามาบอกเรื่องนี้กับเสี่ยวเสวี่ย อันที่จริงเขายังอยากที่จะคุยกับเธออีกแต่ดันมีเพื่อนของเธออยู่ด้วยจึงรู้สึกไม่ค่อยสะดวกเท่าไรเลยขอตัวออกมาก่อนดีกว่า

“น้องหก เอาจริงเหรอ? เธอจะลงคัดเลือกเข้าสหภาพนักศึกษาด้วยจริงเหรอ?” พี่สี่ถึงกับพูดไม่ออก

มู่หรงเสวี่ยหัวเราะ “มีอะไรเหรอ?! เธออยากจะมากับฉันด้วยไหมล่ะ?”
พี่สามและพี่สี่ทำหน้ารังเกียจขึ้นมาทันทีพร้อมพูดออกมาว่า “อย่ามาบอกให้ฉันไปยุ่งกับเรื่องปัญหาน่าปวดหัวอะไรพวกนั้นเลยนะ…”

มู่หรงเสวี่ยถอนหลายใจ “พอไม่มีเธอมันก็เหงาอยู่หน่อยๆนะ…”

“งั้นฉันไปด้วยเอง ฮ่าฮ่า…” พี่สองพูดออกมาแบบติดตลก
“ช่างเป็นเพื่อนที่น่ารักจริงๆ” มู่หรงเสวี่ยถอนหายใจ

“…”
ช่างเป็นชีวิตในมหาลัยที่สุขสงบจนทำให้มู่หรงเสวี่ยผ่อนคลายไปได้มาก ชื่อของชางกวนโม่ดูเหมือนจะค่อยๆเลือนรางไปจากเธอ แต่บางครั้งความคิดก็เตลิดไปถึงเขาบ้างจนทำให้หัวใจเธอต้องเจ็บปวด

ไป๋เสวี่ยหลี่โมโหอย่างมาก สายตาของพี่โม่ที่มองเธอช่วงนี้ เขาอยากแต่ละลากเธอไปที่โรงพยาบาล เธอพยายามอย่างที่สุดเพื่อที่จะห้ามเขา เธอแตะไปที่หน้าท้องแบนราบที่ไม่มีอะไรอยู่ในนั้น เรื่องท้องเป็นเพียงคำโกหกของเธอเอง เป็นคำโกหกที่เธอสร้างขึ้นมาเพื่อที่จะรั้งเขาไว้ ถ้าพี่โม่รู้เรื่องนี้เข้าเธอเดาได้เลยว่าชีวิตของเธอต้องไม่ดีแน่ๆ

เดิมทีเธออยากที่จะโกหกเพื่อแยกคนทั้งสองเพื่อที่เธอจะได้อยู่กับพี่โม่ แล้วหาโอกาสครั้งใหม่เพื่อที่จะทำให้ท้อง แต่ใครจะไปรู้ว่าพี่โม่ไม่ยอมแตะต้องตัวเธอเลย แม้แต่จะจับมือเหมือนแต่ก่อนตอนนี้เขาก็ยังไม่ยอมเลยด้วยซ้ำ

แล้วนี่เธอจะทำยังไงดีล่ะ?! ตอนแรกเธออยากที่จะสร้างเรื่องอุบัติเหตุให้แท้ง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าตราบใดที่เธอไม่มีเด็กแล้ว พี่โม่ก็จะรีบไปพาตัวมู่หรงเสวี่ยกลับมาทันทีเลย แล้วเธอจะยอมให้เรื่องมันเป็นแบบนั้นได้ยังไงล่ะ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+