ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 138 การวางแผนเส้นทางการพัฒนา

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 138 การวางแผนเส้นทางการพัฒนา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 138
การวางแผนเส้นทางการพัฒนา

หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปในพริบตา วันนี้เป็นวันสุดสัปดาห์ มู่หรงเสวี่ยและพี่กู่มีนัดกัน เดิมทีเธออยากที่จะกลับไปที่จังหวัดเองเลยแต่เพราะปัญหาเรื่องฮวงฟูอี้ เธอจึงต้องบอกให้พี่กู่มาที่เมืองหลวง

“เสี่ยวอี้ วันนี้พี่สาวจะมีเพื่อนแวะมาหานะ” มู่หรงเสวี่ยบอกฮวงฟูอี้ที่เดินตามเธอมา

ฮวงฟูอี้ตกใจและพูดด้วยเสียงบูดบึ้ง “ใช่พวกที่มาครั้งที่แล้วหรือเปล่าฮะ?”

“ไม่ใช่ นี่เป็นหุ้นส่วนทำงานของพี่สาวเอง วันนี้พี่สาวยุ่งมากนะงั้นพี่สาวอาจจะไม่มีเวลามาอยู่กับนายนะ…” มู่หรงเสวี่ยพูดอย่างขอโทษ
ไม่ใช่กลุ่มที่แล้วงั้นเหรอ?! ช่วงนี้มีคนเข้ามาหาพี่สาวเขามากขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่ชอบเลย…แต่เขาก็ยังเชื่อฟังเธอ “เข้าใจแล้วครับ…”

กู่หมิง, ลั่วเฉิงเฟยและโม่จื่อเหวินมาถึงช่วงเที่ยงพอดี หลังจากกินอาหารกลางวันกันเสร็จ พวกเขาก็พร้อมที่จะคุยกันถึงเรื่องปัญหาการพัฒนา

สายตาของโม่จื่อเหวินจ้องไปที่ฮวงฟูอี้ด้วยความเย็นชาตั้งแต่เขาเดินเข้ามา เขาไม่รู้ว่าคนท่าทางแบบนี้มาอยู่ข้างเสี่ยวเสวี่ยตั้งแต่เมื่อไร แถมยังอยู่ด้วยกันโดยไม่สนใจเรื่องความปลอดภัยอีกต่างหาก โม่จื่อเหวินมองไปที่มู่หรงเสวี่ยด้วยสายตาไม่เห็นด้วยเท่าไร

ตอนนี้มู่หรงเสวี่ยแนะนำตัวแต่ละคนอย่างง่ายๆแต่ ฮวงฟูอี้ไม่สนใจใครเลยนอกจากมู่หรงเสวี่ย มู่หรงเสวี่ยอธิบายได้เพียงสั้นๆเท่านั้น เธอรู้ดีว่าพวกเขาต่างก็เป็นห่วงเรื่องเธอแต่เธอเชื่อว่าฮวงฟูอี้ไม่ทำร้ายเธอแน่ๆ นี่ไม่ต้องพูดถึงสติปัญญาแค่ 5 ขวบของเขาเองเลย
“งั้นตอนนี้มาคุยกันเรื่องไอเดียกันเถอะ ฉันคิดว่าประเด็นของลั่วเฉิงเฟยก็มีเหตุผลมากเลยนะ พื้นฐานของเรายังไม่ค่อยมั่นคงเท่าไร ตอนนี้มันยังไม่ค่อยเหมาะที่จะมาตั้งรกรากในเมืองหลวง ก่อนหน้านี้ฉันเอาแต่ใจไปหน่อยก็เลยคิดอะไรง่ายๆ พวกคุณช่วยคิดถึงแผนที่เป็นไปได้ทีได้ไหม?”

ทั้งสามรับหนังสือแผ่นการที่มู่หรงเสวี่ยเพิ่งปริ๊นมาก่อนหน้านี้และเปิดอ่านอย่างละเอียด

มู่หรงเสวี่ยอธิบายอยู่ข้างๆ “ในเมื่อเมืองหลวงทรงอำนาจเกินไป งั้นเราอาจจะเข้ามาจากฝั่งตรงข้าม ใช้เส้นทางล้อมเมืองจากชนบท ค่อยๆขยับเข้าสู่เมืองหลวงในระดับแรกแล้วค่อยขยับสู่สากล ถ้าเราจับเมืองหลักๆได้แล้วค่อยเข้ามาที่เมืองหลวง ฉันเชื่อว่าเมื่อถึงตอนนั้นเราคงมีความแข็งแกร่งที่จะสู้ได้แล้ว พวกคุณลองดูก่อนแล้วกัน ถ้ามีปัญหาอะไรเราจะมาคุยเรื่องนี้กัน…”

ลั่วเฉิงเฟยปิดเอกสารและมองมู่หรงเสวี่ยด้วยความชื่นชม ในความคิดของเขา ความสามารถทางธุรกิจของมู่หรงเสวี่ยไม่ด้อยไปกว่าเขาเลย เขาดีใจมากที่ตัวเองได้เข้ามาอยู่ในทีมเดียวกับเธอด้วย แถมมู่หรงเสวี่ยก็ไม่เคยสงสัยในการตัดสินใจของเขาเลยและยังมอบความเชื่อใจให้เขาอย่างที่สุดด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเธอไม่เคยมองว่าพวกเขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาแต่มองพวกเขาเป็นเหมือนเพื่อน แล้วเจ้านายที่ดีแบบนี้เขาจะไม่จงรักภักดีด้วยได้ยังไงกัน

“เสี่ยวเสวี่ย ฉันคิดว่าแผนนี้ยอดเยี่ยมไปเลย ฉันไม่มีข้อโต้แย้งเลย ปัญญาตอนนี้คือถ้าเราอยากที่จะกระจายไปเมืองหลักๆ เราก็ต้องใช้กำลังคนและเงินจำนวนมากเลยนะ เท่าที่ฉันรู้รายได้ของเรายังไม่พอที่จะเอามาลงทุนในโครงการใหญ่ขนาดนี้…” ลั่วเฉิงเฟยเอ่ยปากถามออกมา

หลังจากที่เงียบไปสักพัก โม่จื่อเหวินก็พูดออกมา “ผมอยากที่จะรวมกลุ่มโม่เข้ากับการพัฒนาด้วย”

เสี่ยวเสวี่ยไม่ได้รีบปฏิเสธ เธอคิดเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน “การพัฒนาของกลุ่มโม่ต้องใช้เงินจำนวนมาก ถึงแม้ฝ่ายรักษาความปลอดภัยของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปจะไม่ใช่พวกทหารผ่านศึก แต่จำนวนคนมีจำกัด ซึ่งไม่สามารถตอบสนองการพัฒนาของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปได้ นี่ยังไม่พูดถึงการขยายฝ่ายรักษาความปลอดภัยของการพัฒนานี้เพื่อที่จะให้ตอบสนองกับงานรักษาความปลอดภัยของธุรกิจที่มากมายของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ป เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของทั้ง บริษัท จะต้องถูกนำไปใช้งานด้วย ดังนั้นผมจึงต้องรวมกลุ่มโม่เข้ากับบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปเพื่อที่จะได้ทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้มันจะดีกว่าที่จะรวมสองฝ่ายเข้าด้วยกันเพื่อที่ผมจะได้ไม่ต้องปวดหัวด้วย…”

มู่หรงเสวี่ยไม่ได้ปฏิเสธในทันที เธอเข้าใจว่าเรื่องที่พี่ จื่อเหวินพูดมันถูกต้อง อย่างไรก็ตามเธอก็ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ นี่เป็นเรื่องใหญ่ เธอทำสัญญาเพื่อให้จื่อเหวินได้รับเงินปันผลส่วนใหญ่จากแผนกรักษาความปลอดภัย

“แล้วพี่กู่ล่ะคะ? มีคำถามอะไรหรือเปล่า?” มู่หรงเสวี่ยถามกู่หมิงที่ไม่ได้พูดอะไรเลย ท่ามกลางพวกเขาพี่กู่เป็นคนที่สงบนิ่งที่สุด เขาเป็นคนที่คิดอย่างครอบคลุมมากที่สุด

“พวกเขาทั้งคู่พูดถึงปัญหาพื้นฐาน นอกจากนี้ผมอยากที่จะพูดเกี่ยวกับปัญหาของเป่าหยูพาวิลเลี่ยน เพราะวิสัยทัศน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเสี่ยวเสวี่ย ทำให้พื้นฐานแล้วเราได้กำไรจากเป่าหยูพาวิลเลี่ยนมากที่สุด แล้วก็ยังมีพวกหยกที่ได้มาจากงานการประชุมหินการพนันนานาชาติครั้งที่แล้วอีกที่ยังเหลืออยู่ในโกดัง งั้นผมคิดว่าเราน่าจะเปิดประมูลได้ซึ่งจะไม่เพียงช่วยให้เราได้สร้างชื่อเสียงให้เป่าหยูพาวิลเลี่ยนแล้วแต่ยังได้เพิ่มมูลค่าสินค้าอีกด้วย แต่ก็ยังมีปัญหาด้วยเหมือนกัน นั่นคือการประมูลของเราต้องทำอย่างลับๆ…”

มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้วแล้วจึงพูดออกมา “ฉันรู้เรื่องปัญหาทั้งหมดที่พวกคุณพูดมา ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินทุนนะ ฉันยังมีเงินอีกหลายพันล้านอยู่กับตัว ถ้ามีเรื่องฉุกเฉินฉันก็ยังมีหยกเกรดเยี่ยมอยู่อีกสองชิ้นด้วย ฉันมีแผนที่จะเปิดประมูลชิ้นหนึ่งและกองทุนพื้นฐานก็เหมือนกัน ส่วนปัญหาเรื่องกำลังคนก็ให้ถ่ายโอนพนักงานที่มีความโดดเด่นในสายงานของตัวเองจากสำนักงานใหญ่ให้มาเป็นผู้จัดการสาขาท้องถิ่นแล้วส่วนพนักงานที่เหลือก็รับสมัครจากในท้องถิ่นเอง ฉันยอมรับข้อเสนอเรื่องการควบรวมของพี่จื่อเหวินแต่ฉันจะต้องร่างสัญญาขึ้นมาใหม่อีกฉบับและแผนกรักษาความปลอดภัยจะให้เงินปันผล 60% กับพี่จื่อเหวิน มีใครมีข้อเสนออะไรไหมคะ?” มู่หรงเสวี่ยมองไปที่กู่หมิงและ ลั่วเฉิงเฟย

พวกเขาทั้งคู่ส่ายหน้าและพูดออกมาว่าไม่มีปัญหาอะไร เนื่องจากแผนกรักษาความปลอดภัยแตกต่างจากแผนกอื่น ๆ ของบริษัท ฝ่ายรักษาความปลอดภัยจำเป็นต้องเข้าหาพวกแก๊งต่างๆในท้องถิ่น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่ามีภัยคุกคามต่อชีวิตและความปลอดภัยได้ตลอดเวลา และถึงแม้มู่หรงเสวี่ยจะบอกว่าให้มอบทั้งหมดให้โม่จื่อเหวิน พวกเขาก็ไม่มีความคิดเห็นใดๆ ยังไงซะแผนกรักษาความปลอดภัยก็มีโม่จื่อเหวินทำงานอยู่เพียงคนเดียว ไม่เหมือนกับแผนกอื่นๆซึ่งโดยพื้นฐานแล้วจะเป็นการมีส่วนร่วมของมู่หรงเสวี่ยซะส่วนใหญ่ และทุกคนก็ร่วมมือกัน ความหมายจึงแตกต่างกันสิ้นเชิง มันเป็นการเผชิญหน้ากันจริงๆ เรื่องนี้จึงเหมาะสมแล้ว

โม่จื่อเหวินเองอยากที่จะปฏิเสธ เขาจะได้รับส่วนแบ่งมากขนาดนั้นได้ยังไง?! อย่างไรก็ตามมู่หรงเสวี่ยเห็นท่าทางของเขาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วจึงพูดออกไปตรงๆ “พี่จื่อเหวิน พี่ไม่ต้องปฏิเสธเลยนะคะ เดิมทีฉันอยากที่จะยกแผนกรักษาความปลอดภัยทั้งหมดให้พี่อยู่แล้วแต่เราทำงานกันเป็นกลุ่ม งั้นหลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วฉันจึงตัดสินใจแบบนี้ งั้นนี่ถือเป็นข้อสรุปแล้ว”

“ว่าแต่เสี่ยวเสวี่ย หยกชั้นเลิศอะไรเหรอที่คุณพูดถึง? จะเอามาเป็นกองทุนได้หรือเปล่า?” กู่หมิงถาม
“เป็นหยกฮก ลก ซิ่วและพรห้าสี นอกจากนี้ยังมีทรัพย์สินเดิมของฉันอีกกว่าพันล้าน นี่น่าจะพอแล้วรายได้ปัจจุบันของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปเองก็ดีด้วย เมื่อคำนวณดูแล้วก็น่าจะพอ ถ้าหลังจากที่คำนวณแล้วเงินทุนยังไม่พอ มันก็น่าจะดีที่จะเลือกบริษัทประมูลที่ดีกว่าเพื่อมาทำการประมูล ถ้ามีที่ไหนยกเลิก ผลจะได้ไม่ร้ายแรงมาก”

“งั้นกลับไปให้แผนกการเงินทำสถิติแล้วเราค่อยมาบอกคุณว่าต้องทำยังไงต่อ นี่เป็นการตัดสินใจเบื้องต้น” พี่กู่พูด

“พวกคุณควรจะได้รู้ด้วยว่าฉันอยากที่จะขยายธุรกิจผักและผลไม้ด้วย ฉันเชื่อว่าพวกคุณได้กินอาหารเมื่อกลางวันแล้ว ฉันบอกได้เลยว่ามันไม่ใช่เพราะฝีมือการทำอาหารชั้นเลิศของฉันแต่เป็นเพราะวัตถุดิบเองทั้งหมด เมื่อขยายธุรกิจนี้รวมกับอุตสาหกรรมยาของเรา อีกไม่นานเราจะต้องขึ้นไประดับโลกได้อย่างแน่นอน” มู่หรงเสวี่ยพูดอย่างมั่นใจ

พวกเขาต่างก็คิดมาตลอดว่าฝีมือการทำอาหารของ มู่หรงเสวี่ยนั้นยอดเยี่ยมมาก แต่ตอนนี้เธอกลับมาบอกว่าเป็นเพราะวัตถุดิบ งั้นคงพอจะนึกภาพออกว่าพวกเขาจะตกใจกันขนาดไหน แต่ก็นั่นแหละ พวกเขาต่างก็เต็มไปด้วยความหวัง มู่หรงเสวี่ยมักจะนำปาฏิหาริย์มาสู่พวกเขาเสมอ

มู่หรงเสวี่ยพูดต่อ “ลำบากหน่อยนะคะที่ต้องทำงานกับหัวหน้าแบบฉัน…” เดิมทีเพราะเธอยังเรียนอยู่ ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วแทบจะทุกอย่างในบริษัทจึงเป็นหน้าที่ของคนทั้งสามนี้ เธอเองก็รู้สึกผิดไม่มากก็น้อยและเธอพึ่งความทรงจำของชีวิตที่แล้วเพื่อที่จะได้กลายมาเป็นหุ้นส่วนกับพวกเขา

“เสี่ยวเสวี่ย พูดแบบนั้นได้ยังไงล่ะ?! ผมโชคดีมากนะที่ได้เจอคุณ ไม่งั้นตอนนี้ก็ไม่รู้เลยว่าตัวเองจะเป็นยังไงบ้าง” กู่หมิงพูด

“ผมจะไม่พูดอะไรมากนะ แต่ผมดีใจที่คุณเป็นเจ้านายผม…” ลั่วเฉิงเฟยพูดท่าทางจริงจัง

โม่จื่อเหวินไม่ได้อ้าปากพูดอะไรเพราะเขาเคยให้คำมั่นกับมู่หรงเสวี่ยไว้แล้วและเขารู้ดีว่าเธอคงจะเข้าใจ

มู่หรงเสวี่ยยิ้ม เดินตรงเข้าไปหาหุ้นส่วนทั้งสามคนด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณนะคะ การได้พบพวกคุณเป็นเกียรติของฉันมาก เพราะฉันรู้ว่าต่อให้ไม่มีฉัน พวกคุณก็จะส่องแสงอยู่ดี บางทีความสำเร็จของพวกคุณอาจจะดีกว่าที่ได้อยู่กับฉันซะอีก

เพราะคำพูดของมู่หรงเสวี่ย หัวใจของพวกเขาจึงรู้สึกอบอุ่น ทำให้ยิ่งรู้สึกว่ามันดีจริงๆที่ได้พบเธอ

ฮวงฟูอี้เริ่มเป็นกังวลมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อได้เห็นพี่สาวเข้ากันได้ดีกันคนอื่นๆ รอบๆตัวเธอมีคนมากมาย ดูเหมือนว่าทุกคนสำคัญกับเธออย่างมาก

พี่กู่และคนทั้งสามเดินมาที่ประตูและถามมู่หรงเสวี่ยอย่างตื่นเต้น “เสี่ยวเสวี่ย เราคุยเรื่องบริษัทกันแบบนี้ มันโอเคเหรอที่จะให้คนนอกมาได้ยินด้วย?” ยังไงซะมันก็เป็นความลับทางธุรกิจ

มู่หรงเสวี่ยหัวเราะ “ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ เขาก็คนกันเองและฉันก็มั่นใจค่ะ ถึงแม้คนอื่นจะรู้แต่มันก็ไม่กระทบอะไรกับเรามากหรอก เพราะฉันมีเทคโนโลยีขั้นสุดยอด จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่คนอื่นจะมาแย่งผลไม้ที่เป็นของเราไปได้…”
ในเมื่อเสี่ยวเสวี่ยพูดแบบนั้น งั้นมันก็ยากสำหรับพวกเขาที่จะพูดอะไรเพิ่มอีก เพราะพวกเขาวางแผนกันไว้หลายเรื่อง พวกเขาทั้งสามไม่ได้มีเจตนาที่จะอยู่เมืองหลวงนานและคิดว่าจะกลับจังหวัดในวันนี้เลยด้วย

เธอมาส่งพวกเขาที่หน้าประตูเท่านั้นและเดินกลับเข้าไปในวิลล่า

มู่หรงเสวี่ยมองฮวงฟูอี้ที่กำลังนั่งนิ่งเงียบอยู่ในห้องนั่งเล่นและเดินเข้าไปหาเขา “เสี่ยวอี้ ทีวีไม่มีอะไรสนุกเหรอ?”

ฮวงฟูอี้ส่ายหัวและพูดด้วยเสียงต่ำๆ “ผมไม่ชอบดูทีวี…”
มู่หรงเสวี่ยคิดอยู่สักพัก ไม่สงสัยเลยว่าเขาคงจะเบื่อที่ต้องอยู่ในบ้านทั้งวัน แต่เธอก็เป็นห่วงว่าถ้าเขาออกไปข้างนอกมันจะอันตราย โดยเฉพาะตอนที่เขายังไม่ฟื้นความทรงจำ แต่เมื่อเห็นท่าทางโดดเดี่ยวของเขา เธอก็รู้สึกหดหู่เล็กน้อย ราวกับว่าเป็นลูกน้อยของตัวเองก็ไม่ปาน เธอรู้สึกว่าควรจะหาของขวัญให้เขาหน่อยเพื่อสร้างรอยยิ้ม “”เสี่ยวอี้ ออกไปเที่ยวข้างนอกกันไหม?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 138 การวางแผนเส้นทางการพัฒนา

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 138 การวางแผนเส้นทางการพัฒนา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 138
การวางแผนเส้นทางการพัฒนา

หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปในพริบตา วันนี้เป็นวันสุดสัปดาห์ มู่หรงเสวี่ยและพี่กู่มีนัดกัน เดิมทีเธออยากที่จะกลับไปที่จังหวัดเองเลยแต่เพราะปัญหาเรื่องฮวงฟูอี้ เธอจึงต้องบอกให้พี่กู่มาที่เมืองหลวง

“เสี่ยวอี้ วันนี้พี่สาวจะมีเพื่อนแวะมาหานะ” มู่หรงเสวี่ยบอกฮวงฟูอี้ที่เดินตามเธอมา

ฮวงฟูอี้ตกใจและพูดด้วยเสียงบูดบึ้ง “ใช่พวกที่มาครั้งที่แล้วหรือเปล่าฮะ?”

“ไม่ใช่ นี่เป็นหุ้นส่วนทำงานของพี่สาวเอง วันนี้พี่สาวยุ่งมากนะงั้นพี่สาวอาจจะไม่มีเวลามาอยู่กับนายนะ…” มู่หรงเสวี่ยพูดอย่างขอโทษ
ไม่ใช่กลุ่มที่แล้วงั้นเหรอ?! ช่วงนี้มีคนเข้ามาหาพี่สาวเขามากขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่ชอบเลย…แต่เขาก็ยังเชื่อฟังเธอ “เข้าใจแล้วครับ…”

กู่หมิง, ลั่วเฉิงเฟยและโม่จื่อเหวินมาถึงช่วงเที่ยงพอดี หลังจากกินอาหารกลางวันกันเสร็จ พวกเขาก็พร้อมที่จะคุยกันถึงเรื่องปัญหาการพัฒนา

สายตาของโม่จื่อเหวินจ้องไปที่ฮวงฟูอี้ด้วยความเย็นชาตั้งแต่เขาเดินเข้ามา เขาไม่รู้ว่าคนท่าทางแบบนี้มาอยู่ข้างเสี่ยวเสวี่ยตั้งแต่เมื่อไร แถมยังอยู่ด้วยกันโดยไม่สนใจเรื่องความปลอดภัยอีกต่างหาก โม่จื่อเหวินมองไปที่มู่หรงเสวี่ยด้วยสายตาไม่เห็นด้วยเท่าไร

ตอนนี้มู่หรงเสวี่ยแนะนำตัวแต่ละคนอย่างง่ายๆแต่ ฮวงฟูอี้ไม่สนใจใครเลยนอกจากมู่หรงเสวี่ย มู่หรงเสวี่ยอธิบายได้เพียงสั้นๆเท่านั้น เธอรู้ดีว่าพวกเขาต่างก็เป็นห่วงเรื่องเธอแต่เธอเชื่อว่าฮวงฟูอี้ไม่ทำร้ายเธอแน่ๆ นี่ไม่ต้องพูดถึงสติปัญญาแค่ 5 ขวบของเขาเองเลย
“งั้นตอนนี้มาคุยกันเรื่องไอเดียกันเถอะ ฉันคิดว่าประเด็นของลั่วเฉิงเฟยก็มีเหตุผลมากเลยนะ พื้นฐานของเรายังไม่ค่อยมั่นคงเท่าไร ตอนนี้มันยังไม่ค่อยเหมาะที่จะมาตั้งรกรากในเมืองหลวง ก่อนหน้านี้ฉันเอาแต่ใจไปหน่อยก็เลยคิดอะไรง่ายๆ พวกคุณช่วยคิดถึงแผนที่เป็นไปได้ทีได้ไหม?”

ทั้งสามรับหนังสือแผ่นการที่มู่หรงเสวี่ยเพิ่งปริ๊นมาก่อนหน้านี้และเปิดอ่านอย่างละเอียด

มู่หรงเสวี่ยอธิบายอยู่ข้างๆ “ในเมื่อเมืองหลวงทรงอำนาจเกินไป งั้นเราอาจจะเข้ามาจากฝั่งตรงข้าม ใช้เส้นทางล้อมเมืองจากชนบท ค่อยๆขยับเข้าสู่เมืองหลวงในระดับแรกแล้วค่อยขยับสู่สากล ถ้าเราจับเมืองหลักๆได้แล้วค่อยเข้ามาที่เมืองหลวง ฉันเชื่อว่าเมื่อถึงตอนนั้นเราคงมีความแข็งแกร่งที่จะสู้ได้แล้ว พวกคุณลองดูก่อนแล้วกัน ถ้ามีปัญหาอะไรเราจะมาคุยเรื่องนี้กัน…”

ลั่วเฉิงเฟยปิดเอกสารและมองมู่หรงเสวี่ยด้วยความชื่นชม ในความคิดของเขา ความสามารถทางธุรกิจของมู่หรงเสวี่ยไม่ด้อยไปกว่าเขาเลย เขาดีใจมากที่ตัวเองได้เข้ามาอยู่ในทีมเดียวกับเธอด้วย แถมมู่หรงเสวี่ยก็ไม่เคยสงสัยในการตัดสินใจของเขาเลยและยังมอบความเชื่อใจให้เขาอย่างที่สุดด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเธอไม่เคยมองว่าพวกเขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาแต่มองพวกเขาเป็นเหมือนเพื่อน แล้วเจ้านายที่ดีแบบนี้เขาจะไม่จงรักภักดีด้วยได้ยังไงกัน

“เสี่ยวเสวี่ย ฉันคิดว่าแผนนี้ยอดเยี่ยมไปเลย ฉันไม่มีข้อโต้แย้งเลย ปัญญาตอนนี้คือถ้าเราอยากที่จะกระจายไปเมืองหลักๆ เราก็ต้องใช้กำลังคนและเงินจำนวนมากเลยนะ เท่าที่ฉันรู้รายได้ของเรายังไม่พอที่จะเอามาลงทุนในโครงการใหญ่ขนาดนี้…” ลั่วเฉิงเฟยเอ่ยปากถามออกมา

หลังจากที่เงียบไปสักพัก โม่จื่อเหวินก็พูดออกมา “ผมอยากที่จะรวมกลุ่มโม่เข้ากับการพัฒนาด้วย”

เสี่ยวเสวี่ยไม่ได้รีบปฏิเสธ เธอคิดเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน “การพัฒนาของกลุ่มโม่ต้องใช้เงินจำนวนมาก ถึงแม้ฝ่ายรักษาความปลอดภัยของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปจะไม่ใช่พวกทหารผ่านศึก แต่จำนวนคนมีจำกัด ซึ่งไม่สามารถตอบสนองการพัฒนาของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปได้ นี่ยังไม่พูดถึงการขยายฝ่ายรักษาความปลอดภัยของการพัฒนานี้เพื่อที่จะให้ตอบสนองกับงานรักษาความปลอดภัยของธุรกิจที่มากมายของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ป เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของทั้ง บริษัท จะต้องถูกนำไปใช้งานด้วย ดังนั้นผมจึงต้องรวมกลุ่มโม่เข้ากับบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปเพื่อที่จะได้ทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้มันจะดีกว่าที่จะรวมสองฝ่ายเข้าด้วยกันเพื่อที่ผมจะได้ไม่ต้องปวดหัวด้วย…”

มู่หรงเสวี่ยไม่ได้ปฏิเสธในทันที เธอเข้าใจว่าเรื่องที่พี่ จื่อเหวินพูดมันถูกต้อง อย่างไรก็ตามเธอก็ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ นี่เป็นเรื่องใหญ่ เธอทำสัญญาเพื่อให้จื่อเหวินได้รับเงินปันผลส่วนใหญ่จากแผนกรักษาความปลอดภัย

“แล้วพี่กู่ล่ะคะ? มีคำถามอะไรหรือเปล่า?” มู่หรงเสวี่ยถามกู่หมิงที่ไม่ได้พูดอะไรเลย ท่ามกลางพวกเขาพี่กู่เป็นคนที่สงบนิ่งที่สุด เขาเป็นคนที่คิดอย่างครอบคลุมมากที่สุด

“พวกเขาทั้งคู่พูดถึงปัญหาพื้นฐาน นอกจากนี้ผมอยากที่จะพูดเกี่ยวกับปัญหาของเป่าหยูพาวิลเลี่ยน เพราะวิสัยทัศน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเสี่ยวเสวี่ย ทำให้พื้นฐานแล้วเราได้กำไรจากเป่าหยูพาวิลเลี่ยนมากที่สุด แล้วก็ยังมีพวกหยกที่ได้มาจากงานการประชุมหินการพนันนานาชาติครั้งที่แล้วอีกที่ยังเหลืออยู่ในโกดัง งั้นผมคิดว่าเราน่าจะเปิดประมูลได้ซึ่งจะไม่เพียงช่วยให้เราได้สร้างชื่อเสียงให้เป่าหยูพาวิลเลี่ยนแล้วแต่ยังได้เพิ่มมูลค่าสินค้าอีกด้วย แต่ก็ยังมีปัญหาด้วยเหมือนกัน นั่นคือการประมูลของเราต้องทำอย่างลับๆ…”

มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้วแล้วจึงพูดออกมา “ฉันรู้เรื่องปัญหาทั้งหมดที่พวกคุณพูดมา ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินทุนนะ ฉันยังมีเงินอีกหลายพันล้านอยู่กับตัว ถ้ามีเรื่องฉุกเฉินฉันก็ยังมีหยกเกรดเยี่ยมอยู่อีกสองชิ้นด้วย ฉันมีแผนที่จะเปิดประมูลชิ้นหนึ่งและกองทุนพื้นฐานก็เหมือนกัน ส่วนปัญหาเรื่องกำลังคนก็ให้ถ่ายโอนพนักงานที่มีความโดดเด่นในสายงานของตัวเองจากสำนักงานใหญ่ให้มาเป็นผู้จัดการสาขาท้องถิ่นแล้วส่วนพนักงานที่เหลือก็รับสมัครจากในท้องถิ่นเอง ฉันยอมรับข้อเสนอเรื่องการควบรวมของพี่จื่อเหวินแต่ฉันจะต้องร่างสัญญาขึ้นมาใหม่อีกฉบับและแผนกรักษาความปลอดภัยจะให้เงินปันผล 60% กับพี่จื่อเหวิน มีใครมีข้อเสนออะไรไหมคะ?” มู่หรงเสวี่ยมองไปที่กู่หมิงและ ลั่วเฉิงเฟย

พวกเขาทั้งคู่ส่ายหน้าและพูดออกมาว่าไม่มีปัญหาอะไร เนื่องจากแผนกรักษาความปลอดภัยแตกต่างจากแผนกอื่น ๆ ของบริษัท ฝ่ายรักษาความปลอดภัยจำเป็นต้องเข้าหาพวกแก๊งต่างๆในท้องถิ่น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่ามีภัยคุกคามต่อชีวิตและความปลอดภัยได้ตลอดเวลา และถึงแม้มู่หรงเสวี่ยจะบอกว่าให้มอบทั้งหมดให้โม่จื่อเหวิน พวกเขาก็ไม่มีความคิดเห็นใดๆ ยังไงซะแผนกรักษาความปลอดภัยก็มีโม่จื่อเหวินทำงานอยู่เพียงคนเดียว ไม่เหมือนกับแผนกอื่นๆซึ่งโดยพื้นฐานแล้วจะเป็นการมีส่วนร่วมของมู่หรงเสวี่ยซะส่วนใหญ่ และทุกคนก็ร่วมมือกัน ความหมายจึงแตกต่างกันสิ้นเชิง มันเป็นการเผชิญหน้ากันจริงๆ เรื่องนี้จึงเหมาะสมแล้ว

โม่จื่อเหวินเองอยากที่จะปฏิเสธ เขาจะได้รับส่วนแบ่งมากขนาดนั้นได้ยังไง?! อย่างไรก็ตามมู่หรงเสวี่ยเห็นท่าทางของเขาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วจึงพูดออกไปตรงๆ “พี่จื่อเหวิน พี่ไม่ต้องปฏิเสธเลยนะคะ เดิมทีฉันอยากที่จะยกแผนกรักษาความปลอดภัยทั้งหมดให้พี่อยู่แล้วแต่เราทำงานกันเป็นกลุ่ม งั้นหลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วฉันจึงตัดสินใจแบบนี้ งั้นนี่ถือเป็นข้อสรุปแล้ว”

“ว่าแต่เสี่ยวเสวี่ย หยกชั้นเลิศอะไรเหรอที่คุณพูดถึง? จะเอามาเป็นกองทุนได้หรือเปล่า?” กู่หมิงถาม
“เป็นหยกฮก ลก ซิ่วและพรห้าสี นอกจากนี้ยังมีทรัพย์สินเดิมของฉันอีกกว่าพันล้าน นี่น่าจะพอแล้วรายได้ปัจจุบันของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปเองก็ดีด้วย เมื่อคำนวณดูแล้วก็น่าจะพอ ถ้าหลังจากที่คำนวณแล้วเงินทุนยังไม่พอ มันก็น่าจะดีที่จะเลือกบริษัทประมูลที่ดีกว่าเพื่อมาทำการประมูล ถ้ามีที่ไหนยกเลิก ผลจะได้ไม่ร้ายแรงมาก”

“งั้นกลับไปให้แผนกการเงินทำสถิติแล้วเราค่อยมาบอกคุณว่าต้องทำยังไงต่อ นี่เป็นการตัดสินใจเบื้องต้น” พี่กู่พูด

“พวกคุณควรจะได้รู้ด้วยว่าฉันอยากที่จะขยายธุรกิจผักและผลไม้ด้วย ฉันเชื่อว่าพวกคุณได้กินอาหารเมื่อกลางวันแล้ว ฉันบอกได้เลยว่ามันไม่ใช่เพราะฝีมือการทำอาหารชั้นเลิศของฉันแต่เป็นเพราะวัตถุดิบเองทั้งหมด เมื่อขยายธุรกิจนี้รวมกับอุตสาหกรรมยาของเรา อีกไม่นานเราจะต้องขึ้นไประดับโลกได้อย่างแน่นอน” มู่หรงเสวี่ยพูดอย่างมั่นใจ

พวกเขาต่างก็คิดมาตลอดว่าฝีมือการทำอาหารของ มู่หรงเสวี่ยนั้นยอดเยี่ยมมาก แต่ตอนนี้เธอกลับมาบอกว่าเป็นเพราะวัตถุดิบ งั้นคงพอจะนึกภาพออกว่าพวกเขาจะตกใจกันขนาดไหน แต่ก็นั่นแหละ พวกเขาต่างก็เต็มไปด้วยความหวัง มู่หรงเสวี่ยมักจะนำปาฏิหาริย์มาสู่พวกเขาเสมอ

มู่หรงเสวี่ยพูดต่อ “ลำบากหน่อยนะคะที่ต้องทำงานกับหัวหน้าแบบฉัน…” เดิมทีเพราะเธอยังเรียนอยู่ ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วแทบจะทุกอย่างในบริษัทจึงเป็นหน้าที่ของคนทั้งสามนี้ เธอเองก็รู้สึกผิดไม่มากก็น้อยและเธอพึ่งความทรงจำของชีวิตที่แล้วเพื่อที่จะได้กลายมาเป็นหุ้นส่วนกับพวกเขา

“เสี่ยวเสวี่ย พูดแบบนั้นได้ยังไงล่ะ?! ผมโชคดีมากนะที่ได้เจอคุณ ไม่งั้นตอนนี้ก็ไม่รู้เลยว่าตัวเองจะเป็นยังไงบ้าง” กู่หมิงพูด

“ผมจะไม่พูดอะไรมากนะ แต่ผมดีใจที่คุณเป็นเจ้านายผม…” ลั่วเฉิงเฟยพูดท่าทางจริงจัง

โม่จื่อเหวินไม่ได้อ้าปากพูดอะไรเพราะเขาเคยให้คำมั่นกับมู่หรงเสวี่ยไว้แล้วและเขารู้ดีว่าเธอคงจะเข้าใจ

มู่หรงเสวี่ยยิ้ม เดินตรงเข้าไปหาหุ้นส่วนทั้งสามคนด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณนะคะ การได้พบพวกคุณเป็นเกียรติของฉันมาก เพราะฉันรู้ว่าต่อให้ไม่มีฉัน พวกคุณก็จะส่องแสงอยู่ดี บางทีความสำเร็จของพวกคุณอาจจะดีกว่าที่ได้อยู่กับฉันซะอีก

เพราะคำพูดของมู่หรงเสวี่ย หัวใจของพวกเขาจึงรู้สึกอบอุ่น ทำให้ยิ่งรู้สึกว่ามันดีจริงๆที่ได้พบเธอ

ฮวงฟูอี้เริ่มเป็นกังวลมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อได้เห็นพี่สาวเข้ากันได้ดีกันคนอื่นๆ รอบๆตัวเธอมีคนมากมาย ดูเหมือนว่าทุกคนสำคัญกับเธออย่างมาก

พี่กู่และคนทั้งสามเดินมาที่ประตูและถามมู่หรงเสวี่ยอย่างตื่นเต้น “เสี่ยวเสวี่ย เราคุยเรื่องบริษัทกันแบบนี้ มันโอเคเหรอที่จะให้คนนอกมาได้ยินด้วย?” ยังไงซะมันก็เป็นความลับทางธุรกิจ

มู่หรงเสวี่ยหัวเราะ “ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ เขาก็คนกันเองและฉันก็มั่นใจค่ะ ถึงแม้คนอื่นจะรู้แต่มันก็ไม่กระทบอะไรกับเรามากหรอก เพราะฉันมีเทคโนโลยีขั้นสุดยอด จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่คนอื่นจะมาแย่งผลไม้ที่เป็นของเราไปได้…”
ในเมื่อเสี่ยวเสวี่ยพูดแบบนั้น งั้นมันก็ยากสำหรับพวกเขาที่จะพูดอะไรเพิ่มอีก เพราะพวกเขาวางแผนกันไว้หลายเรื่อง พวกเขาทั้งสามไม่ได้มีเจตนาที่จะอยู่เมืองหลวงนานและคิดว่าจะกลับจังหวัดในวันนี้เลยด้วย

เธอมาส่งพวกเขาที่หน้าประตูเท่านั้นและเดินกลับเข้าไปในวิลล่า

มู่หรงเสวี่ยมองฮวงฟูอี้ที่กำลังนั่งนิ่งเงียบอยู่ในห้องนั่งเล่นและเดินเข้าไปหาเขา “เสี่ยวอี้ ทีวีไม่มีอะไรสนุกเหรอ?”

ฮวงฟูอี้ส่ายหัวและพูดด้วยเสียงต่ำๆ “ผมไม่ชอบดูทีวี…”
มู่หรงเสวี่ยคิดอยู่สักพัก ไม่สงสัยเลยว่าเขาคงจะเบื่อที่ต้องอยู่ในบ้านทั้งวัน แต่เธอก็เป็นห่วงว่าถ้าเขาออกไปข้างนอกมันจะอันตราย โดยเฉพาะตอนที่เขายังไม่ฟื้นความทรงจำ แต่เมื่อเห็นท่าทางโดดเดี่ยวของเขา เธอก็รู้สึกหดหู่เล็กน้อย ราวกับว่าเป็นลูกน้อยของตัวเองก็ไม่ปาน เธอรู้สึกว่าควรจะหาของขวัญให้เขาหน่อยเพื่อสร้างรอยยิ้ม “”เสี่ยวอี้ ออกไปเที่ยวข้างนอกกันไหม?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+