ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 179 ฉันกลับมาแล้ว

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 179 ฉันกลับมาแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 179
ฉันกลับมาแล้ว

“นี่ดูไม่เหมือนการลักพาตัวเลย ในบ้านไม่มีร่องรอยอะไรเลย เหมือนกับเดินออกไปเฉยๆ…” เขาดันแว่นขึ้นไปบนจมูกด้วยความเคยชิน

น้องสี่ขมวดคิ้วและพูดออกมาอย่างกังวล “น้องหกโอเคหรือเปล่า?! อยู่ๆดีเธอจะหายตัวไปได้ยังไง…ฉันไม่รู้เลยว่าตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้าง?”

คนที่เหลือเริ่มที่จะเงียบด้วยเหมือนกัน หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความเป็นห่วงที่ปกปิดไว้ไม่มิด

มู่หรงเสวี่ยที่กำลังมองทั้งหมดนี้จากในมิติลับจนอยากที่จะพุ่งออกมาเลย สุดท้ายเธอก็เปลี่ยนใจ ถึงแม้เธอจะบอกว่าเชื่อใจพวกเขาแต่เธอจะเปิดเผยเรื่องมิติลับไม่ได้ และเธอก็ไม่รู้ด้วยว่าแก๊งห้ามาอยู่ในอะพาร์ตเมนต์ของเธอได้ยังไงและมันดูเหมือนว่าพวกเขาเข้ามาที่นี่เป็นครั้งแรกด้วยเพราะหลังจากที่พวกเขาเข้ามา พวกเขาก็เอาแต่มองไปในห้อง มองรายละเอียดเล็กๆตามกำแพงแล้วก็ฟังจากสิ่งที่พวกเขาคุยกันด้วย ดูเหมือนว่าพวกเขามาที่นี่หลังจากที่ได้ยินเรื่องที่เธอหายตัวไป

แต่เธอเองก็ยังรู้สึกว่ามันแปลกๆ มันชัดเจนอยู่แล้วว่าเธออยู่ในอะพาร์ตเมนต์และเธอเพิ่งจะหายไปไม่ถึงวันด้วยซ้ำ แล้วข่าวเรื่องการหายตัวไปของเธอกระจายออกไปได้ยังไง? ดูเหมือนว่าจะมาจากคนที่เข้ามาที่นี่เป็นคนแรกแต่เธอก็ยังไม่รู้ว่าคนนั้นเป็นใคร

อย่างไรก็ตามไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร เธอก็ออกไปตอนนี้ไม่ได้ นอกจากพวกเขาทุกคนจะออกไปแล้ว เธอไม่อยากเปิดเผยเรื่องสถานที่แปลกๆของเธอ ไม่งั้นเธออาจจะถูกลากไปสถาบันวิจัยหรืออะไรพวกนั้น เธอไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น เธอไม่คิดว่าตัวเองจะสร้างปัญหามากขนาดนี้แค่เพราะเธอใจลอยไปหน่อยและตอนนี้เธอก็ไม่รู้ว่าจะจัดการกับพวกเขายังไงด้วย

การออกไปหาเบาะแสข้างนอกน่าจะดีกว่าการที่ต้องอยู่ที่นี่แล้วทำอะไรไม่ได้เลย
ฮวงฟูอี้จ้องไปที่คนพวกนั้นที่เพิ่งเดินออกมาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร หลงอี้เองก็เงียบเช่นกัน ไม่มีอะไรต้องคิด เขารู้ดีว่าพวกนั้นไม่เจอเบาะแสอะไรหรอก จะมีอะไรเล็ดลอดไปได้ยังไงในเมื่อดราก้อนมาสเตอร์เข้าไปดูมาแล้ว

พี่ใหญ่เดินนำคนทั้งสี่ไปที่ด้านหน้าและพูดออกไปว่าพวกเขาอยากที่จะออกไปหาเบาะแสข้างนอก ฮวงฟูอี้โบกมือให้พวกเขาไปได้ แล้วฮวงฟูอี้ก็หันมาพูดกับหลงอี้ด้วย “นายไปกับพวกเขาด้วย อย่าหยุดตามหาเสี่ยวเสวี่ย ถ้ามีเบาะแสอะไร ช่วยโทรหาฉันเป็นคนแรกไม่ว่าจะดึกแค่ไหนก็ตาม”

“ครับ ดราก้อนมาสเตอร์!” หลงอี้ทำความเคารพและล็อกประตูตอนที่เขาเดินออกไป

ทันทีที่หลงอี้เดินออกไป ฮวงฟูอี้ก็เดินไปที่ห้องของ มู่หรงเสวี่ย หัวใจที่อ่อนล้าของเขาไม่ยอมสงบลงเลยและความกลัวของเขาก็เหมือนผีนับร้อยตัวที่ร่องรอยไปทั่ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอกับความรู้สึกที่รุนแรงแบบนี้ เขารู้สึกสูญเสียอยู่เล็กน้อย แต่รู้สึกโกรธมากกว่าที่ตัวเองไม่แข็งแกร่งพอ

ฮวงฟูอี้เดินเข้าไปในห้องของมู่หรงเสวี่ยและทรุดลงไปที่เตียง เขามองไปที่เพดานสีขาวด้วยดวงตาที่เบิกกว้างและจ้องมองมันราวกับไร้วิญญาณ

เขาทำได้เพียงปลอบใจตัวเอง การไม่มีข่าวก็ถือเป็นข่าวดี
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ฮวงฟูอี้ที่อยู่ในห้องด้วยความแปลกใจ เธอไม่คิดว่ามันจะเป็นเขา เป็นเพราะเขามาดูเธอแล้วไม่เจอเธอหรือเปล่า ก็เลยคิดว่าเธอหายตัวไปแต่เขาเข้ามาได้ยังไง…เอไองั้นเหรอ! มู่หรงเสวี่ยไม่สามารถร้องเรียนอะไรเรื่องนี้ได้ มันเป็นไปได้เหรอที่จะเข้ามาในบ้านคนอื่นตามสบายแบบนี้เนี่ย? นี่เป็นการงัดเข้ามาในบ้านพักส่วนตัวใช่ไหม?! ใช่ไหม?! ใช่ไหม?!

ไม่ง่ายเลยที่สงบใจให้นิ่งเพราะการบุกรุกของฮวงฟูอี้ดูเหมือนจะแทรกลึกลงไปเปิดปากแผลที่อยู่ในใจ ต้องใช้เวลานานกว่าที่จะสงบใจได้ มู่หรงเสวี่ยกระทืบเท้าตัวเองอยู่ในมิติลับจนรู้สึกเวียนหัว ฮวงฟูอี้จะกลับไปได้ยังไงถ้าเธอไม่ออกไป เธอจะอยู่ในมิติลับไปตลอดเวลาไม่ได้ พ่อแม่เธอจะต้องเป็นห่วงเธอแน่ๆ พวกท่านจะต้องออกตามหาเธอไปทั่วโลก แล้วยังมีโม่อ้ายลี่, พี่ชูและคนอื่นๆอีก ในตอนนี้เธออธิบายอย่างชัดเจนไม่ได้จริงๆ เธอต้องหาโอกาสเพื่อที่จะออกไปให้เร็วที่สุด
“มู่หรง เธออยู่ที่ไหน? รีบออกมาซะที…” ฮวงฟูอี้ที่นอนอยู่บนเตียงพูดพึมพำออกมาเสียงเบา

มู่หรงเสวี่ยรู้สึกหงุดหงิดมากที่เธอไม่ได้โทรศัพท์เข้ามาในมิติลับด้วย คนพวกนี้คิดว่าเธอหายตัวไปเพราะเธอไม่ได้เอาโทรศัพท์ไปด้วย หนึ่งข้อเสียของมิติลับคือจะออกไปจากที่ที่เข้ามาได้เท่านั้น ในตอนนี้เธอทนมองหน้าฮวงฟูอี้ไม่ได้ เธอไม่คิดว่าเขาจะเป็นห่วงเธอมากขนาดนี้

เมื่อชูอี้เสิ่นกลับมาถึงเมืองหลวง เขาก็รีบโทรหา มู่หรงเสวี่ยทันที อย่างไรก็ตามไม่มีใครรับสาย เขาอดไม่ได้ที่จะคิดไปว่าเสี่ยวเสวี่ยไม่อยากที่จะรับสายเขาหรือเปล่า…แล้วเขาก็หยุดความคิดของตัวเองในตอนนี้ เดาว่าเขาคงไม่อยากที่จะฟังเสียงตัวเองมากเพื่อที่จะได้ไม่ต้องคิดมากและเปลี่ยนเป็นไปจัดการเรื่องงานแทน จนกระทั่งเย็นเขาก็ยังไม่ได้รับสายโทรกลับจาก มู่หรงเสวี่ย เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจจึงโทรกลับไปอีกครั้ง

โทรศัพท์ถูกกดรับสายและเขาก็รีบพูดออกไปด้วยเสียงสดใส “เสี่ยวเสวี่ยนอนหรือยัง?”
“นายเองเหรอ?! วันนี้นายได้เจอมู่หรงเสวี่ยบ้างหรือเปล่า?” ฮวงฟูอี้ถาม ถึงแม้ผู้ชายคนนี้จะน่ารำคาญแต่เขาก็จำได้ว่าเสี่ยวเสวี่ยมักจะอยู่กับเขา บางทีเขาอาจจะรู้ก็ได้ว่าเสี่ยวเสวี่ยอยู่ที่ไหน?!

ชูอี้เสิ่นกำโทรศัพท์แน่นและพูดออกไปด้วยเสียงต่ำ “ฮวงฟูอี้! ทำไมถึงเป็นนาย?! คืนโทรศัพท์ให้เสี่ยวเสวี่ย ให้เสี่ยวเสวี่ยมารับโทรศัพท์…” ทำไมเสี่ยวเสวี่ยถึงอยู่กับเขาอีกล่ะ? ฮวงฟูอี้ ผู้ชายที่เขายังเห็นไม่ชัดเจนจึงรู้สึกเสมอว่าเขาอันตรายกว่า ชางกวนโม่ซะอีกและมันจะอันตรายมากขึ้นไปอีกถ้าเขายังหาข้อมูลตัวตนของเขาไม่เจอ

ฮวงฟูอี้ขมวดคิ้ว “เสียมารยาท นายตอบฉันมาก่อนว่าวันนี้ได้เจอมู่หรงเสวี่ยบ้างหรือเปล่า?”

“นายสิที่เสียมารยาท! รับโทรศัพท์คนอื่นโดยไม่ได้ขออนุญาตมันเสียมารยาทมากกว่าอีก! คืนโทรศัพท์ให้เสี่ยวเสวี่ยซะ…” ชูอี้เสิ่นตอบโต้

“มู่หรงเสวี่ยไม่อยู่ที่นี่! ทีนี้นายบอกฉันได้หรือยังว่าวันนี้นายเจอมู่หรงเสวี่ยหรือเปล่า? ฮวงฟูอี้พยายามอดกลั้นอารมณ์และถามต่อ

ชูอี้เสิ่นนิ่งไป “เสี่ยวเสวี่ยเป็นอะไร?” หลังจากที่เขาฟื้นขึ้นมาวันนี้ เขาก็ตรงมาที่สนามบินเลย เขาไม่ได้เจอเสี่ยวเสวี่ยเลยตั้งแต่ที่ออกมาเมื่อคืน แต่ที่ฮวงฟูอี้ถามมันหมายความว่าไง?

ฮวงฟูอี้ไม่อยากที่จะฟังคำคำถามซ้ำไปซ้ำมา เขาหมดความอดทนแล้วจึงพูดออกไป “ตอบคำถามของฉันมาก่อน!”

“ไม่!” ดูเหมือนว่าจะได้ยินน้ำเสียงที่หมดความอดทนของฮวงฟูอี้ ชูอี้เสิ่นจึงตอบออกไป

“ปัง” ฮวงฟูอี้ปิดโทรศัพท์เสียงดัง นี่มันเสียเวลาจริงๆ จนถึงตอนนี้หลงอี้ก็ยังไม่กลับมารายงานอะไรเขาเลย พิสูจน์ว่ายังไม่มีข่าวอะไรของมู่หรงเสวี่ย เมื่อเช้าเสี่ยวเสวี่ยก็ดูแปลกๆ หรือว่าในตอนนั้นเธอจะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น?!! ไม่งั้นทำไมจู่ๆสีหน้าของเธอถึงได้เปลี่ยนไปและเธอก็อยากที่จะกลับบ้านโดยไม่รอกินอาหารเช้าก่อนด้วยซ้ำ เขาไม่น่าปล่อยให้เธอกลับมาคนเดียวเลย อย่างน้อยก็น่าจะเดินขึ้นมาส่งเธอ บ้าเอ๊ย!!

มู่หรงเสวี่ยอยากที่จะกระโดดออกไปในห้อง ถึงแม้เธอจะรู้ว่าตัวเองจะซ่อนไปตลอดชีวิตไม่ได้แต่เธอก็ไม่ได้คิดที่จะเปิดเผยเรื่องทั้งหมดในสถานการณ์แบบนี้ นอกจากนี้เธอก็บอกกับตัวเองว่าตอนนี้เธอยังเชื่อใจฮวงฟูอี้ไม่ได้ อีกอย่างเธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลยนอกจากที่เขาชื่อฮวงฟูอี้ ถึงแม้พวกเขาจะเข้ากันได้ดี แต่เธอก็ไม่สามารถที่จะบอกให้เขารู้ได้ว่าเธอพยายามอย่างที่สุดเพื่อปิดบังทุกอย่างไว้ แล้วถ้าเขาเป็นฟางฉีฮัวอีกคนล่ะ เธอก็อาจจะทนรับไม่ไหว เธอรู้สึกกลัวและขี้ขลาดขึ้นมาทันที

รออีกเดี๋ยว บางทีช่วงกลางดึกเขาอาจจะเผลอหลับไป เธอคิดถึงเรื่องที่ฮวงฟูอี้บอกว่าเขานอนไม่หลับถ้าไม่มีเธอ ถึงแม้มันจะฟังดูไร้สาระแต่ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงดูเหมือนว่าจะเชื่ออยู่นิดหน่อย ถึงอย่างงั้นเวลาในมิติลับก็เป็นเรื่องยากอยู่นิดหน่อย สิบปีจะเท่ากับหนึ่งวัน ตอนที่เขาหลับในตอนกลางคืน เธอก็จะใช้เวลาไปแล้วหลายวันจนนับไม่ถ้วน หลังจากที่คิดเรื่องนี้ เธอก็หยิบหนังสือทั่วไปออกมาอ่านในระหว่างที่นั่งรอ
จนกระทั่งกลางดึก ฮวงฟูอี้ก็ทนนอนนิ่งๆอยู่บนเตียงไม่ได้แล้ว เขาเดินกลับไปกลับมาอย่างเป็นกังวลอยู่ในห้อง เขาหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาดูบ้างเป็นครั้งคราว

หลงอี้ยังไม่โทรมาอีก หน้าจอดำมืดที่โทรศัพท์ยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก

มู่หรงเสวี่ยกัดริมฝีปาก เธออดไม่ได้ ตราบใดที่เธอปิดปากเงียบและไม่พูดอะไรเรื่องมิติลับ ก็คงไม่มีใครรู้ว่าเธอมีมิติลับ…และพวกเขาก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากเธอ ถ้าเป็นแบบนั้นภัยก็น่าจะเหลือน้อยมาก

เธอคิดแบบนั้นแล้วก็เดินออกมาจากมิติลับโดยตรงแล้วจึงพูดออกไปเสียงเบา “อี้…”

ดวงตาฮวงฟูอี้เบิกกว้างแล้วเขาก็ส่ายหัวและพูดกับตัวเอง “ฉันเห็นภาพหลอน นี่มันเป็นภาพลวงตา…” น้ำเสียงเยาะเย้ยตัวเองของเขาฟังดูหดหู่

มู่หรงเสวี่ยสั่นไปหมดแต่ก็แกล้งทำเป็นสงบนิ่งพร้อมรอยยิ้ม “อี้ นายมาอยู่ในห้องฉันได้ยังไง?”

มันช่วยไม่ได้ เธอเองก็อยากที่จะทำได้ดีกว่านี้แต่ก็ทำได้เพียงแกล้งไม่สนใจ

ตอนนี้ฮวงฟูอี้ตัวแข็งสนิท สีหน้าของเขาเห็นได้ชัดว่าตกใจมาก ดวงตาที่สวยงามของเขากะพริบถี่ๆ ภาพลวงตาที่อยู่ตรงหน้าเขายังคงไม่หายไปไหน รอยยิ้มของเธอชัดเจน น้ำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอดังก้องอยู่ในหูเขา ชุดของเธอยังเป็นชุดกระโปรงสีเขียวที่เขาให้เธอเมื่อเช้านี้ มันยังสวยและเปล่งประกายเหมือนเดิม

บางส่วนในตัวเขายังไม่อยากที่จะเชื่อและอีกส่วนก็ยื่นมือออกไปอย่างระวัง แตะไปที่หน้าเธออย่างอ่อนโยน แล้วเขาก็รีบดึงมือกลับมาราวกับถูกไฟช็อต เขากลัวว่าภาพลวงตาที่อยู่ตรงหน้าจะกลัวสัมผัสของเขาแล้วหายไป แต่สัมผัสที่ปลายนิ้วของเขาบอกได้อย่างชัดเจนว่าร่างที่อยู่ตรงหน้าเป็นของจริง

เขาเดินไปข้างหน้าสองก้าว แล้วอ้าแขนออกกอดเธอไว้ในอ้อมแขน “ใช่เธอจริงๆงั้นเหรอ? เสี่ยวเสวี่ย…” น้ำเสียงที่สั่นเทาพูดยืนยันออกไปอย่างระวัง ความอบอุ่นและร่างกายที่อ่อนนุ่มในอ้อมแขนเขายังมีกลิ่นที่เขาคุ้นเคย เสี่ยวเสวี่ยกลับมาแล้ว ขอบคุณพระเจ้า

มู่หรงเสวี่ยตัวแข็งทื่อ ร่างกายของเธอแข็งนิ่งและปล่อยให้เขากอดเธอ หัวใจของเธอเต้นรัวราวกับม้าที่กำลังวิ่งอย่างอิสระ ในตอนนี้มู่หรงเสวี่ยรู้แล้วว่าตัวเองจบสิ้นแล้ว เธอจะต้องตกลงไปในหุบเหวอีกครั้ง ไม่สามารถที่จะช่วยตัวเองได้

“ฉันกลับมาแล้ว…” มู่หรงเสวี่ยปล่อยวางความรู้สึกเห็นแก่ตัวของตัวเองและค่อยๆปลอบใจเขา อย่างน้อยตอนนี้เธอก็รับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงของเขา ถึงแม้เธอจะไม่อยากปล่อยให้หัวใจตัวเองล่องรอยไปอย่างอิสระ แต่เธอก็จะไม่เหยียบย่ำความเป็นห่วงของคนอื่น

ทั้งสองกอดกันเงียบๆอยู่นาน มู่หรงไม่ได้ขัดขืนหรือกอดตอบอะไร ในความคิดของตัวเอง เธอสูญเสียความสุขไปแล้วและขี้เกียจเกินกว่าจะไล่ตามความสุขของตัวเอง แล้วยังไม่กล้าที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วย ถึงขนาดรู้สึกอิจฉาแสงอาทิตย์ข้างนอกด้วยซ้ำ เธอไม่กล้าที่จะเอื้อมมือออกไปแตะแสงอาทิตย์เพราะกลัวว่าจะถูกความอบอุ่นของดวงอาทิตย์แผดเผา

ฮวงฟูอี้กลัวที่จะต้องปล่อยตัวของมุ่หรงเสวี่ย จนถึงตอนนี้เขาก็ยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่นิดหน่อย ถึงแม้เขาจะได้กอดเธอไว้ในอ้อมแขนแล้ว แต่ก็รู้สึกว่าเธออาจจะหายไปตอนไหนก็ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกจริงๆว่าถึงแม้จะเป็นดราก้อนมาสเตอร์แต่ก็มีสิ่งหรือคนที่เขาควบคุมไม่ได้และคนคนนั้นก้เป็นคนเดียวที่เขาแคร์อย่างมากด้วย

เขาไม่ได้ลืมภาพที่อยู่ดีๆเธอก็โผล่ออกมาตรงหน้าเขา เห็นได้ชัดว่าตรงหน้าเขาไม่มีอะไรอยู่เลย แม้แต่ประตูห้องก็ยังปิดอยู่ ดังนั้นในตอนแรกเขาจึงคิดว่าตัวเองสับสนและถึงขนาดคิดว่ามันเป็นภาพลวงตาที่เขาคิดถึงเธอมากเกินไป

อย่างไรก็ตาม สัมผัสที่ชัดเจนในอ้อมแขน พร้อมด้วยกลิ่นหอมที่คุ้นเคยก้บอกให้เขารุ้ว่านี่คือเสี่ยวเสวี่ยตัวจริง งั้นตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น?!! คนจะโผล่ออกมาจากอากาศได้ยังไง? มันเป็นไปได้ยังไง? เสี่ยวเสวี่ยไม่ใช่คนงั้นเหรอ…เขาต้องคิดแบบนี้…หัวใจของเขาตื่นตระหนกมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าเขากลัวว่าเสี่ยวเสวี่ยจะไม่ใช่คนแต่เพราะเขาห่วงว่าอยู่ดีๆเธอจะหายไปแบบเมื่อกี้อีก เขาแทบจะพลิกแผ่นดินแต่ก็ยังไม่เจอร่องรอยของเธอ…งั้นเขาจะทำยังไง

เวลาผ่านไปนาน นานจนร่างของมู่หรงเสวี่ยเริ่มที่จะรู้สึกชาขึ้นมานิดๆแล้วเพราะถูกกอดแน่นเกินไป เท้าก็เริ่มรู้สึกเจ็บ แม้แต่ด้านนอกผ้าม่านก็เริ่งส่องแสงประกายจางๆแล้ว ดวงอาทิตย์ค่อยๆสว่างขึ้นเรื่อยๆ เธอขยับมือแล้วก็รู้สึกเจ็บนิดหน่อย เธอปล่อยให้เขากอดเธอนานเกินไปแล้วจริงๆ นี่เพราะรักในความกังวลของเขาหรือเพราะเชื่อฟังเขากันแน่ เธอไม่อยากที่จะคิดเรื่องนี้

ดูเหมือนว่าท่าทางของมู่หรงเสวี่ยจะทำให้ฮวงฟูอี้ตกใจ เขาปล่อยมือแต่ก็ยังจับไหล่มู่หรงเสวี่ยไว้แน่นและสายตาเขาก็จ้องตรงมาที่ใบหน้าของมู่หรงเสวี่ย ตั้งแต่หน้าผาก เขาค่อยๆไล่ลงมาเรื่อยๆ ดวงตาทั้งสองข้าง, จมูกและปากทำให้เขารู้สึกได้ถึงทั้งความสวยและความน่ารัก เสี่ยวเสวี่ยเป็นเอลฟ์หรือเปล่าน่ะ? เขาเคยอ่านนิทานตอนที่ยังเด็กมากๆ ครั้งหนึ่งในนิทานเคยบอกว่าพวกเอลฟ์จะมีความงามมากที่สุดในโลก ในอดีตเขาเกลียดนิทานพวกนี้มากแต่ตอนนี้เขาเชื่อแล้ว

ในหัวของฮวงฟุอี้ไม่สามารถที่จะคิดเรื่องอะไรที่ธรรมดาได้เลย เขาลืมเรื่องที่ครั้งหนึ่งเคยบอกให้คนไปสืบข้อมูลทั้งหมดของเสี่ยวเสวี่ย ร่วมทั้งเรื่องดรรชนีต่างๆของร่างกายเธอด้วยและถึงขนาดกรุ๊ปเลือดก็ได้ผลออกมาชัดเจน ตอนนี้ลืมเรื่องพวกนั้นไปจนหมดเพราะภาพที่อยู่ดีๆมู่หรงเสวี่ยก็โผล่ออกมาจากอากาศ ภาพนี้ลบความคิดทั้งหมดในหัวเขาไปจนหมดและเขาคิดถึงเรื่องอื่นไม่ออกเลย…เสี่ยวเสวี่ยอาจจะหายตัวไปอีก เรื่องนี้ทำหัวใจเขารู้สึกราวกับตกฮวบลงมาจากท้องฟ้าเลย

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 179 ฉันกลับมาแล้ว

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 179 ฉันกลับมาแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 179
ฉันกลับมาแล้ว

“นี่ดูไม่เหมือนการลักพาตัวเลย ในบ้านไม่มีร่องรอยอะไรเลย เหมือนกับเดินออกไปเฉยๆ…” เขาดันแว่นขึ้นไปบนจมูกด้วยความเคยชิน

น้องสี่ขมวดคิ้วและพูดออกมาอย่างกังวล “น้องหกโอเคหรือเปล่า?! อยู่ๆดีเธอจะหายตัวไปได้ยังไง…ฉันไม่รู้เลยว่าตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้าง?”

คนที่เหลือเริ่มที่จะเงียบด้วยเหมือนกัน หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความเป็นห่วงที่ปกปิดไว้ไม่มิด

มู่หรงเสวี่ยที่กำลังมองทั้งหมดนี้จากในมิติลับจนอยากที่จะพุ่งออกมาเลย สุดท้ายเธอก็เปลี่ยนใจ ถึงแม้เธอจะบอกว่าเชื่อใจพวกเขาแต่เธอจะเปิดเผยเรื่องมิติลับไม่ได้ และเธอก็ไม่รู้ด้วยว่าแก๊งห้ามาอยู่ในอะพาร์ตเมนต์ของเธอได้ยังไงและมันดูเหมือนว่าพวกเขาเข้ามาที่นี่เป็นครั้งแรกด้วยเพราะหลังจากที่พวกเขาเข้ามา พวกเขาก็เอาแต่มองไปในห้อง มองรายละเอียดเล็กๆตามกำแพงแล้วก็ฟังจากสิ่งที่พวกเขาคุยกันด้วย ดูเหมือนว่าพวกเขามาที่นี่หลังจากที่ได้ยินเรื่องที่เธอหายตัวไป

แต่เธอเองก็ยังรู้สึกว่ามันแปลกๆ มันชัดเจนอยู่แล้วว่าเธออยู่ในอะพาร์ตเมนต์และเธอเพิ่งจะหายไปไม่ถึงวันด้วยซ้ำ แล้วข่าวเรื่องการหายตัวไปของเธอกระจายออกไปได้ยังไง? ดูเหมือนว่าจะมาจากคนที่เข้ามาที่นี่เป็นคนแรกแต่เธอก็ยังไม่รู้ว่าคนนั้นเป็นใคร

อย่างไรก็ตามไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร เธอก็ออกไปตอนนี้ไม่ได้ นอกจากพวกเขาทุกคนจะออกไปแล้ว เธอไม่อยากเปิดเผยเรื่องสถานที่แปลกๆของเธอ ไม่งั้นเธออาจจะถูกลากไปสถาบันวิจัยหรืออะไรพวกนั้น เธอไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น เธอไม่คิดว่าตัวเองจะสร้างปัญหามากขนาดนี้แค่เพราะเธอใจลอยไปหน่อยและตอนนี้เธอก็ไม่รู้ว่าจะจัดการกับพวกเขายังไงด้วย

การออกไปหาเบาะแสข้างนอกน่าจะดีกว่าการที่ต้องอยู่ที่นี่แล้วทำอะไรไม่ได้เลย
ฮวงฟูอี้จ้องไปที่คนพวกนั้นที่เพิ่งเดินออกมาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร หลงอี้เองก็เงียบเช่นกัน ไม่มีอะไรต้องคิด เขารู้ดีว่าพวกนั้นไม่เจอเบาะแสอะไรหรอก จะมีอะไรเล็ดลอดไปได้ยังไงในเมื่อดราก้อนมาสเตอร์เข้าไปดูมาแล้ว

พี่ใหญ่เดินนำคนทั้งสี่ไปที่ด้านหน้าและพูดออกไปว่าพวกเขาอยากที่จะออกไปหาเบาะแสข้างนอก ฮวงฟูอี้โบกมือให้พวกเขาไปได้ แล้วฮวงฟูอี้ก็หันมาพูดกับหลงอี้ด้วย “นายไปกับพวกเขาด้วย อย่าหยุดตามหาเสี่ยวเสวี่ย ถ้ามีเบาะแสอะไร ช่วยโทรหาฉันเป็นคนแรกไม่ว่าจะดึกแค่ไหนก็ตาม”

“ครับ ดราก้อนมาสเตอร์!” หลงอี้ทำความเคารพและล็อกประตูตอนที่เขาเดินออกไป

ทันทีที่หลงอี้เดินออกไป ฮวงฟูอี้ก็เดินไปที่ห้องของ มู่หรงเสวี่ย หัวใจที่อ่อนล้าของเขาไม่ยอมสงบลงเลยและความกลัวของเขาก็เหมือนผีนับร้อยตัวที่ร่องรอยไปทั่ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอกับความรู้สึกที่รุนแรงแบบนี้ เขารู้สึกสูญเสียอยู่เล็กน้อย แต่รู้สึกโกรธมากกว่าที่ตัวเองไม่แข็งแกร่งพอ

ฮวงฟูอี้เดินเข้าไปในห้องของมู่หรงเสวี่ยและทรุดลงไปที่เตียง เขามองไปที่เพดานสีขาวด้วยดวงตาที่เบิกกว้างและจ้องมองมันราวกับไร้วิญญาณ

เขาทำได้เพียงปลอบใจตัวเอง การไม่มีข่าวก็ถือเป็นข่าวดี
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ฮวงฟูอี้ที่อยู่ในห้องด้วยความแปลกใจ เธอไม่คิดว่ามันจะเป็นเขา เป็นเพราะเขามาดูเธอแล้วไม่เจอเธอหรือเปล่า ก็เลยคิดว่าเธอหายตัวไปแต่เขาเข้ามาได้ยังไง…เอไองั้นเหรอ! มู่หรงเสวี่ยไม่สามารถร้องเรียนอะไรเรื่องนี้ได้ มันเป็นไปได้เหรอที่จะเข้ามาในบ้านคนอื่นตามสบายแบบนี้เนี่ย? นี่เป็นการงัดเข้ามาในบ้านพักส่วนตัวใช่ไหม?! ใช่ไหม?! ใช่ไหม?!

ไม่ง่ายเลยที่สงบใจให้นิ่งเพราะการบุกรุกของฮวงฟูอี้ดูเหมือนจะแทรกลึกลงไปเปิดปากแผลที่อยู่ในใจ ต้องใช้เวลานานกว่าที่จะสงบใจได้ มู่หรงเสวี่ยกระทืบเท้าตัวเองอยู่ในมิติลับจนรู้สึกเวียนหัว ฮวงฟูอี้จะกลับไปได้ยังไงถ้าเธอไม่ออกไป เธอจะอยู่ในมิติลับไปตลอดเวลาไม่ได้ พ่อแม่เธอจะต้องเป็นห่วงเธอแน่ๆ พวกท่านจะต้องออกตามหาเธอไปทั่วโลก แล้วยังมีโม่อ้ายลี่, พี่ชูและคนอื่นๆอีก ในตอนนี้เธออธิบายอย่างชัดเจนไม่ได้จริงๆ เธอต้องหาโอกาสเพื่อที่จะออกไปให้เร็วที่สุด
“มู่หรง เธออยู่ที่ไหน? รีบออกมาซะที…” ฮวงฟูอี้ที่นอนอยู่บนเตียงพูดพึมพำออกมาเสียงเบา

มู่หรงเสวี่ยรู้สึกหงุดหงิดมากที่เธอไม่ได้โทรศัพท์เข้ามาในมิติลับด้วย คนพวกนี้คิดว่าเธอหายตัวไปเพราะเธอไม่ได้เอาโทรศัพท์ไปด้วย หนึ่งข้อเสียของมิติลับคือจะออกไปจากที่ที่เข้ามาได้เท่านั้น ในตอนนี้เธอทนมองหน้าฮวงฟูอี้ไม่ได้ เธอไม่คิดว่าเขาจะเป็นห่วงเธอมากขนาดนี้

เมื่อชูอี้เสิ่นกลับมาถึงเมืองหลวง เขาก็รีบโทรหา มู่หรงเสวี่ยทันที อย่างไรก็ตามไม่มีใครรับสาย เขาอดไม่ได้ที่จะคิดไปว่าเสี่ยวเสวี่ยไม่อยากที่จะรับสายเขาหรือเปล่า…แล้วเขาก็หยุดความคิดของตัวเองในตอนนี้ เดาว่าเขาคงไม่อยากที่จะฟังเสียงตัวเองมากเพื่อที่จะได้ไม่ต้องคิดมากและเปลี่ยนเป็นไปจัดการเรื่องงานแทน จนกระทั่งเย็นเขาก็ยังไม่ได้รับสายโทรกลับจาก มู่หรงเสวี่ย เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจจึงโทรกลับไปอีกครั้ง

โทรศัพท์ถูกกดรับสายและเขาก็รีบพูดออกไปด้วยเสียงสดใส “เสี่ยวเสวี่ยนอนหรือยัง?”
“นายเองเหรอ?! วันนี้นายได้เจอมู่หรงเสวี่ยบ้างหรือเปล่า?” ฮวงฟูอี้ถาม ถึงแม้ผู้ชายคนนี้จะน่ารำคาญแต่เขาก็จำได้ว่าเสี่ยวเสวี่ยมักจะอยู่กับเขา บางทีเขาอาจจะรู้ก็ได้ว่าเสี่ยวเสวี่ยอยู่ที่ไหน?!

ชูอี้เสิ่นกำโทรศัพท์แน่นและพูดออกไปด้วยเสียงต่ำ “ฮวงฟูอี้! ทำไมถึงเป็นนาย?! คืนโทรศัพท์ให้เสี่ยวเสวี่ย ให้เสี่ยวเสวี่ยมารับโทรศัพท์…” ทำไมเสี่ยวเสวี่ยถึงอยู่กับเขาอีกล่ะ? ฮวงฟูอี้ ผู้ชายที่เขายังเห็นไม่ชัดเจนจึงรู้สึกเสมอว่าเขาอันตรายกว่า ชางกวนโม่ซะอีกและมันจะอันตรายมากขึ้นไปอีกถ้าเขายังหาข้อมูลตัวตนของเขาไม่เจอ

ฮวงฟูอี้ขมวดคิ้ว “เสียมารยาท นายตอบฉันมาก่อนว่าวันนี้ได้เจอมู่หรงเสวี่ยบ้างหรือเปล่า?”

“นายสิที่เสียมารยาท! รับโทรศัพท์คนอื่นโดยไม่ได้ขออนุญาตมันเสียมารยาทมากกว่าอีก! คืนโทรศัพท์ให้เสี่ยวเสวี่ยซะ…” ชูอี้เสิ่นตอบโต้

“มู่หรงเสวี่ยไม่อยู่ที่นี่! ทีนี้นายบอกฉันได้หรือยังว่าวันนี้นายเจอมู่หรงเสวี่ยหรือเปล่า? ฮวงฟูอี้พยายามอดกลั้นอารมณ์และถามต่อ

ชูอี้เสิ่นนิ่งไป “เสี่ยวเสวี่ยเป็นอะไร?” หลังจากที่เขาฟื้นขึ้นมาวันนี้ เขาก็ตรงมาที่สนามบินเลย เขาไม่ได้เจอเสี่ยวเสวี่ยเลยตั้งแต่ที่ออกมาเมื่อคืน แต่ที่ฮวงฟูอี้ถามมันหมายความว่าไง?

ฮวงฟูอี้ไม่อยากที่จะฟังคำคำถามซ้ำไปซ้ำมา เขาหมดความอดทนแล้วจึงพูดออกไป “ตอบคำถามของฉันมาก่อน!”

“ไม่!” ดูเหมือนว่าจะได้ยินน้ำเสียงที่หมดความอดทนของฮวงฟูอี้ ชูอี้เสิ่นจึงตอบออกไป

“ปัง” ฮวงฟูอี้ปิดโทรศัพท์เสียงดัง นี่มันเสียเวลาจริงๆ จนถึงตอนนี้หลงอี้ก็ยังไม่กลับมารายงานอะไรเขาเลย พิสูจน์ว่ายังไม่มีข่าวอะไรของมู่หรงเสวี่ย เมื่อเช้าเสี่ยวเสวี่ยก็ดูแปลกๆ หรือว่าในตอนนั้นเธอจะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น?!! ไม่งั้นทำไมจู่ๆสีหน้าของเธอถึงได้เปลี่ยนไปและเธอก็อยากที่จะกลับบ้านโดยไม่รอกินอาหารเช้าก่อนด้วยซ้ำ เขาไม่น่าปล่อยให้เธอกลับมาคนเดียวเลย อย่างน้อยก็น่าจะเดินขึ้นมาส่งเธอ บ้าเอ๊ย!!

มู่หรงเสวี่ยอยากที่จะกระโดดออกไปในห้อง ถึงแม้เธอจะรู้ว่าตัวเองจะซ่อนไปตลอดชีวิตไม่ได้แต่เธอก็ไม่ได้คิดที่จะเปิดเผยเรื่องทั้งหมดในสถานการณ์แบบนี้ นอกจากนี้เธอก็บอกกับตัวเองว่าตอนนี้เธอยังเชื่อใจฮวงฟูอี้ไม่ได้ อีกอย่างเธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลยนอกจากที่เขาชื่อฮวงฟูอี้ ถึงแม้พวกเขาจะเข้ากันได้ดี แต่เธอก็ไม่สามารถที่จะบอกให้เขารู้ได้ว่าเธอพยายามอย่างที่สุดเพื่อปิดบังทุกอย่างไว้ แล้วถ้าเขาเป็นฟางฉีฮัวอีกคนล่ะ เธอก็อาจจะทนรับไม่ไหว เธอรู้สึกกลัวและขี้ขลาดขึ้นมาทันที

รออีกเดี๋ยว บางทีช่วงกลางดึกเขาอาจจะเผลอหลับไป เธอคิดถึงเรื่องที่ฮวงฟูอี้บอกว่าเขานอนไม่หลับถ้าไม่มีเธอ ถึงแม้มันจะฟังดูไร้สาระแต่ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงดูเหมือนว่าจะเชื่ออยู่นิดหน่อย ถึงอย่างงั้นเวลาในมิติลับก็เป็นเรื่องยากอยู่นิดหน่อย สิบปีจะเท่ากับหนึ่งวัน ตอนที่เขาหลับในตอนกลางคืน เธอก็จะใช้เวลาไปแล้วหลายวันจนนับไม่ถ้วน หลังจากที่คิดเรื่องนี้ เธอก็หยิบหนังสือทั่วไปออกมาอ่านในระหว่างที่นั่งรอ
จนกระทั่งกลางดึก ฮวงฟูอี้ก็ทนนอนนิ่งๆอยู่บนเตียงไม่ได้แล้ว เขาเดินกลับไปกลับมาอย่างเป็นกังวลอยู่ในห้อง เขาหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาดูบ้างเป็นครั้งคราว

หลงอี้ยังไม่โทรมาอีก หน้าจอดำมืดที่โทรศัพท์ยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก

มู่หรงเสวี่ยกัดริมฝีปาก เธออดไม่ได้ ตราบใดที่เธอปิดปากเงียบและไม่พูดอะไรเรื่องมิติลับ ก็คงไม่มีใครรู้ว่าเธอมีมิติลับ…และพวกเขาก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากเธอ ถ้าเป็นแบบนั้นภัยก็น่าจะเหลือน้อยมาก

เธอคิดแบบนั้นแล้วก็เดินออกมาจากมิติลับโดยตรงแล้วจึงพูดออกไปเสียงเบา “อี้…”

ดวงตาฮวงฟูอี้เบิกกว้างแล้วเขาก็ส่ายหัวและพูดกับตัวเอง “ฉันเห็นภาพหลอน นี่มันเป็นภาพลวงตา…” น้ำเสียงเยาะเย้ยตัวเองของเขาฟังดูหดหู่

มู่หรงเสวี่ยสั่นไปหมดแต่ก็แกล้งทำเป็นสงบนิ่งพร้อมรอยยิ้ม “อี้ นายมาอยู่ในห้องฉันได้ยังไง?”

มันช่วยไม่ได้ เธอเองก็อยากที่จะทำได้ดีกว่านี้แต่ก็ทำได้เพียงแกล้งไม่สนใจ

ตอนนี้ฮวงฟูอี้ตัวแข็งสนิท สีหน้าของเขาเห็นได้ชัดว่าตกใจมาก ดวงตาที่สวยงามของเขากะพริบถี่ๆ ภาพลวงตาที่อยู่ตรงหน้าเขายังคงไม่หายไปไหน รอยยิ้มของเธอชัดเจน น้ำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอดังก้องอยู่ในหูเขา ชุดของเธอยังเป็นชุดกระโปรงสีเขียวที่เขาให้เธอเมื่อเช้านี้ มันยังสวยและเปล่งประกายเหมือนเดิม

บางส่วนในตัวเขายังไม่อยากที่จะเชื่อและอีกส่วนก็ยื่นมือออกไปอย่างระวัง แตะไปที่หน้าเธออย่างอ่อนโยน แล้วเขาก็รีบดึงมือกลับมาราวกับถูกไฟช็อต เขากลัวว่าภาพลวงตาที่อยู่ตรงหน้าจะกลัวสัมผัสของเขาแล้วหายไป แต่สัมผัสที่ปลายนิ้วของเขาบอกได้อย่างชัดเจนว่าร่างที่อยู่ตรงหน้าเป็นของจริง

เขาเดินไปข้างหน้าสองก้าว แล้วอ้าแขนออกกอดเธอไว้ในอ้อมแขน “ใช่เธอจริงๆงั้นเหรอ? เสี่ยวเสวี่ย…” น้ำเสียงที่สั่นเทาพูดยืนยันออกไปอย่างระวัง ความอบอุ่นและร่างกายที่อ่อนนุ่มในอ้อมแขนเขายังมีกลิ่นที่เขาคุ้นเคย เสี่ยวเสวี่ยกลับมาแล้ว ขอบคุณพระเจ้า

มู่หรงเสวี่ยตัวแข็งทื่อ ร่างกายของเธอแข็งนิ่งและปล่อยให้เขากอดเธอ หัวใจของเธอเต้นรัวราวกับม้าที่กำลังวิ่งอย่างอิสระ ในตอนนี้มู่หรงเสวี่ยรู้แล้วว่าตัวเองจบสิ้นแล้ว เธอจะต้องตกลงไปในหุบเหวอีกครั้ง ไม่สามารถที่จะช่วยตัวเองได้

“ฉันกลับมาแล้ว…” มู่หรงเสวี่ยปล่อยวางความรู้สึกเห็นแก่ตัวของตัวเองและค่อยๆปลอบใจเขา อย่างน้อยตอนนี้เธอก็รับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงของเขา ถึงแม้เธอจะไม่อยากปล่อยให้หัวใจตัวเองล่องรอยไปอย่างอิสระ แต่เธอก็จะไม่เหยียบย่ำความเป็นห่วงของคนอื่น

ทั้งสองกอดกันเงียบๆอยู่นาน มู่หรงไม่ได้ขัดขืนหรือกอดตอบอะไร ในความคิดของตัวเอง เธอสูญเสียความสุขไปแล้วและขี้เกียจเกินกว่าจะไล่ตามความสุขของตัวเอง แล้วยังไม่กล้าที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วย ถึงขนาดรู้สึกอิจฉาแสงอาทิตย์ข้างนอกด้วยซ้ำ เธอไม่กล้าที่จะเอื้อมมือออกไปแตะแสงอาทิตย์เพราะกลัวว่าจะถูกความอบอุ่นของดวงอาทิตย์แผดเผา

ฮวงฟูอี้กลัวที่จะต้องปล่อยตัวของมุ่หรงเสวี่ย จนถึงตอนนี้เขาก็ยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่นิดหน่อย ถึงแม้เขาจะได้กอดเธอไว้ในอ้อมแขนแล้ว แต่ก็รู้สึกว่าเธออาจจะหายไปตอนไหนก็ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกจริงๆว่าถึงแม้จะเป็นดราก้อนมาสเตอร์แต่ก็มีสิ่งหรือคนที่เขาควบคุมไม่ได้และคนคนนั้นก้เป็นคนเดียวที่เขาแคร์อย่างมากด้วย

เขาไม่ได้ลืมภาพที่อยู่ดีๆเธอก็โผล่ออกมาตรงหน้าเขา เห็นได้ชัดว่าตรงหน้าเขาไม่มีอะไรอยู่เลย แม้แต่ประตูห้องก็ยังปิดอยู่ ดังนั้นในตอนแรกเขาจึงคิดว่าตัวเองสับสนและถึงขนาดคิดว่ามันเป็นภาพลวงตาที่เขาคิดถึงเธอมากเกินไป

อย่างไรก็ตาม สัมผัสที่ชัดเจนในอ้อมแขน พร้อมด้วยกลิ่นหอมที่คุ้นเคยก้บอกให้เขารุ้ว่านี่คือเสี่ยวเสวี่ยตัวจริง งั้นตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น?!! คนจะโผล่ออกมาจากอากาศได้ยังไง? มันเป็นไปได้ยังไง? เสี่ยวเสวี่ยไม่ใช่คนงั้นเหรอ…เขาต้องคิดแบบนี้…หัวใจของเขาตื่นตระหนกมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าเขากลัวว่าเสี่ยวเสวี่ยจะไม่ใช่คนแต่เพราะเขาห่วงว่าอยู่ดีๆเธอจะหายไปแบบเมื่อกี้อีก เขาแทบจะพลิกแผ่นดินแต่ก็ยังไม่เจอร่องรอยของเธอ…งั้นเขาจะทำยังไง

เวลาผ่านไปนาน นานจนร่างของมู่หรงเสวี่ยเริ่มที่จะรู้สึกชาขึ้นมานิดๆแล้วเพราะถูกกอดแน่นเกินไป เท้าก็เริ่มรู้สึกเจ็บ แม้แต่ด้านนอกผ้าม่านก็เริ่งส่องแสงประกายจางๆแล้ว ดวงอาทิตย์ค่อยๆสว่างขึ้นเรื่อยๆ เธอขยับมือแล้วก็รู้สึกเจ็บนิดหน่อย เธอปล่อยให้เขากอดเธอนานเกินไปแล้วจริงๆ นี่เพราะรักในความกังวลของเขาหรือเพราะเชื่อฟังเขากันแน่ เธอไม่อยากที่จะคิดเรื่องนี้

ดูเหมือนว่าท่าทางของมู่หรงเสวี่ยจะทำให้ฮวงฟูอี้ตกใจ เขาปล่อยมือแต่ก็ยังจับไหล่มู่หรงเสวี่ยไว้แน่นและสายตาเขาก็จ้องตรงมาที่ใบหน้าของมู่หรงเสวี่ย ตั้งแต่หน้าผาก เขาค่อยๆไล่ลงมาเรื่อยๆ ดวงตาทั้งสองข้าง, จมูกและปากทำให้เขารู้สึกได้ถึงทั้งความสวยและความน่ารัก เสี่ยวเสวี่ยเป็นเอลฟ์หรือเปล่าน่ะ? เขาเคยอ่านนิทานตอนที่ยังเด็กมากๆ ครั้งหนึ่งในนิทานเคยบอกว่าพวกเอลฟ์จะมีความงามมากที่สุดในโลก ในอดีตเขาเกลียดนิทานพวกนี้มากแต่ตอนนี้เขาเชื่อแล้ว

ในหัวของฮวงฟุอี้ไม่สามารถที่จะคิดเรื่องอะไรที่ธรรมดาได้เลย เขาลืมเรื่องที่ครั้งหนึ่งเคยบอกให้คนไปสืบข้อมูลทั้งหมดของเสี่ยวเสวี่ย ร่วมทั้งเรื่องดรรชนีต่างๆของร่างกายเธอด้วยและถึงขนาดกรุ๊ปเลือดก็ได้ผลออกมาชัดเจน ตอนนี้ลืมเรื่องพวกนั้นไปจนหมดเพราะภาพที่อยู่ดีๆมู่หรงเสวี่ยก็โผล่ออกมาจากอากาศ ภาพนี้ลบความคิดทั้งหมดในหัวเขาไปจนหมดและเขาคิดถึงเรื่องอื่นไม่ออกเลย…เสี่ยวเสวี่ยอาจจะหายตัวไปอีก เรื่องนี้ทำหัวใจเขารู้สึกราวกับตกฮวบลงมาจากท้องฟ้าเลย

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+