ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 183 ความยุ่งเหยิงของไป๋เสวี่ยหลี่

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 183 ความยุ่งเหยิงของไป๋เสวี่ยหลี่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 183
ความยุ่งเหยิงของไป๋เสวี่ยหลี่

เกือบจะครึ่งชั้นเรียนเต็มไปด้วยคน นอกจากนี้ยังมีนักเรียนกระจัดกระจายซึ่งโดยปกติจะเก็บตัวและเงียบมากกว่า เธอมองไปรอบๆและเห็นว่าแก๊งทั้งห้าไม่อยู่ที่นี่ เธอเดินเข้าไปที่กลุ่มแล้วถ้าเธอได้ยินไม่ผิด เสียงที่เพิ่งได้ยินเมื่อกี้น่าจะเป็นเสียงของฮวงเสี่ยวเฟ่ย

ทันทีที่ทุกคนเห็นมู่หรงเสวี่ย พวกเขาต่างก็แหวกทางออก คนบางคนก็มีออร่าที่อธิบายไม่ได้โดยธรรมชาติทำให้ผู้คนปฏิบัติด้วยดีเป็นพิเศษ มู่หรงเสวี่ยคือหนึ่งในคนพวกนั้น

“นั่นมู่หรงนิ!”
“มู่หรงสวยจริงๆเลยนะ!”
“ไร้สาระ พูดเรื่องอะไรกัน?! มู่หรงเป็นดอกไม้งามของมหาลัยเราเลยนะ”

“ช่วงนี้ดูเหมือนจะสวยขึ้นกว่าเดิมอีกนะ เธอไม่ได้แต่งหน้าด้วยนะ นี่เป็นความสวยแบบธรรมชาติเลย…”

“…”
เสียงกระซิบมากมายดังมาให้ได้ยินอย่างต่อเนื่อง ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่ารอยยิ้มของฮวงเสี่ยวเฟ่ยกระตุกไปนิดหน่อยและสีหน้าเธอก็ไม่ปกติ

ในที่สุดมู่หรงเสวี่ยก็เห็นฮวงเสี่ยวเฟ่ย ในตอนนี้เธอยังคงสวมชุดที่สุดหรูนั่นอยู่ แต่มันไม่ใช่ชุดที่เธอเพิ่งให้ไป ที่รอบคอและแขนของเธอมีเครื่องประดับโซ่สีแดงอยู่ด้วยและที่หน้าก็แต่งไว้อ่อนๆ ผมที่เป็นลอนของเธอก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าถูกตกแต่งมาอย่างดีและดูสวยมาก

“เสี่ยวเฟ่ย ไม่เจอกันนานเลยนะ เธอสวยขึ้นมากเลยนะ!” มู่หรงเสวี่ยเก็บความสงสัยไว้ในหัวใจ ปากเอ่ยชมออกไป ดูเหมือนว่าการที่เธอพาเธอไปที่ลี่ซซี พาวิลเลี่ยนจะเป็นเรื่องที่ถูกจริงๆ ตอนนี้ฮวงเสี่ยวเฟ่ยสวยและมั่นใจอย่างมาก

“ขอบคุณนะ ไม่ขนาดนั้นหรอก ว่าแต่เธอหายจากอาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้แล้วหรือยัง? ขอโทษนะที่พวกเราไม่ได้อยู่เฝ้า…” ฮวงเสี่ยวเฟ่ยพูดพร้อมรอยยิ้มขอโทษ

เรื่องนี้มู่หรงเสวี่ยได้ยินจากพี่ชูว่าเขาเป็นคนบอกให้พวกเขากลับไปเอง “ไม่เป็นไรหรอก มันก็แค่บาดเจ้บเล็กๆน้อยๆ…ว่าแต่เธอ…ช่างมันเธอ ไปเรียนกันก่อนดีกว่า!” เธออยากที่จะถามเสี่ยวเฟ่ยเกี่ยวกับสถานการณ์ช่วงนี้ แต่เมื่อเธอเห็นว่านักศึกษาที่อยู่รอบๆพวกเธอต่างก็มองจ้องมา โดยเฉพาะตอนที่เธอดูเหมือนจะรู้สึกว่าเสี่ยวเฟ่ยรู้สึกกังวลเล็กน้อย เธอจึงอ้าปากพูดออกไป ช่างมันเถอะเดี๋ยวมีเวลาค่อยถามใหม่ก็ได้

“ใช่ ชั้นเรียนจะเริ่มแล้ว กลับไปนั่งที่เรากันเถอะ” ฮวงเสี่ยวเฟ่ยถอนหายใจอย่างโล่งอกและพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มให้ทุกคน

ในตอนนี้กริ่งดังแล้ว มู่หรงเสวี่ยอยากที่นั่งข้าง ฮวงเสี่ยวเฟ่ยและถามเธอเพราะเธอจำได้ว่าฮวงเสี่ยวเฟ่ยบอกว่าครอบครัวเธอลำบากอย่างมากแต่เครื่องประดับที่เธอสวมอยู่มีค่าหลายล้านหยวนเลย อย่างไรก็ตามเธอรู้สึกมีความสุขที่ชีวิตของเธอดีขึ้นมาก น่าเสียดายที่ฮวงเสี่ยวเฟ่ยมักจะล้อมรอบไปด้วยคนอื่นๆ ในตอนนี้เธอกำลังพูดคุยและหัวเราะอยู่กับพวกนักศึกษาที่อยู่รอบๆตัวเธอ ดุเหมือนว่าเธอจะไม่สังเกตเห็นเธอเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นมู่หรงเสวี่ยจึงเดินไปหลังห้องและเลือกที่นั่งตามใจ

แต่ก่อนเธอมักจะอยู่กับพวกแก๊งทั้งห้าเสมอ ดังนั้นเธอจึงไม่เคยรู้สึกว่าที่นั่งรอบๆเธอว่างเปล่าเลย และตอนนี้ไม่มีใครนั่งใกล้ๆเธอเลยซึ่งทำให้เธอรู้สึกว่างเปล่าเป็นพิเศษ รอบๆ ฮวงเสี่ยวเฟ่ยกลับตรงกันข้ามเลย แถวนั้นมีคนนั่งกันอยู่เต็ม มู่หรงเสวี่ยยิ้ม ฮวงเสี่ยวเฟ่ยเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่แค่ไม่กี่ปีเอง ฮวงเสี่ยวเฟ่ยดูเหมือนจะกลายเป็นคนละคนไปแล้ว

เธอยังจำท่าทางขี้อายของฮวงเสี่ยวเฟ่ยก่อนหน้านี้ได้ซึ่งเห็นได้ชัดว่าตรงกันข้ามกับบุคลิกที่เป็นธรรมชาติและสดใสของเธอไปเลย อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องที่ดี มันเป็นเรื่องที่ต้องดีใจด้วย

เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน มู่หรงเสวี่ยเก็บหนังสือและเดินไปเรียกฮวงเสี่ยวเฟ่ย ฮวงเสี่ยวเฟ่ยหันกลับมาและบอกว่า “เสี่ยวเสวี่ย วันนี้ฉันนัดกับคนอื่นไว้แล้ว เดี๋ยวเราค่อยนัดกันใหม่วันอื่นนะ” เมื่อพูดจบเธอก็ไม่รอให้มู่หรงเสวี่ยตอบแต่รีบเดินยิ้มออกไปพร้อมเด็กสาวสองสามคนทันที

มู่หรงเสวี่ยนิ่งไปชั่วขณะ แล้วเธอก็หยิบหนังสือขึ้นมาและเดินออกไป ฮวงเสี่ยวเฟ่ยมีเพื่อนใหม่มากมาย เธอมีความสุขกับเธอด้วยจริงๆ เธอนึกถึงท่าทางของฮวงเสี่ยวเฟ่ยที่หัวเราะกับเด็กสาวพวกนั้น มันดีจริงๆ เหมือนเธอกับโม่อ้ายลี่เลย พวกเธอน่าจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน มู่หรงเสวี่ยคิดในระหว่างที่เดินไปด้วย

ก่อนที่เอจะเดินออกจากประตูมหาลัย มู่หรงเสวี่ยก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา เธอเปิดโทรศัพท์และเห็นชื่อที่หน้าจอ เป็นชื่อของไป๋เสวี่ยหลี่ที่หายไปนานมาก

หลังจากที่ดังอยู่นานแต่มู่หรงก็ยังกดรับ
“ฮัลโหลมู่หรง!” ที่ปลายสายดังขึ้นมาเป็นเสียงอ่อนโยนของไป๋เสวี่ยหลี่ แต่อารมณ์ของมู่หรงเสวี่ยไม่ค่อยที่จะดีเท่าไร “เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น ไม่จำเป็นต้องเรียกซะสนิทขนาดนั้นก็ได้! ถ้ามีอะไรจะพูดก็พูดมาเลย”

“มู่หรง เธอเกลียดฉันงั้นเหรอ?” เสียงของไป๋เสวี่ยหลี่ดังกลับมา

“ใช่! รังเกียจมาก!” มู่หรงพูดออกไปอย่างไม่ไว้หน้า เธอจะชอบผู้หญิงที่แย่งแฟนของเธอไปได้ยังไง นี่ยังไม่พูดถึงเรื่องที่เธอรู้อยู่แล้วว่าพวกเธอเป็นคู่รักกันอีก แต่ก็ยังเข้ามาแทรกระหว่างพวกเธออีก แม้ว่าเธอจะไม่มีคุณสมบัติที่จะไปวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของเธอแต่เธอก็ยังมีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าอยากจะทำอะไร

ที่ปลายสาว ไป๋เสวี่ยหลี่นิ่งอึ้งไป ปฏิกิริยาของมู่หรงเสวี่ยเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆ เธอคิดว่ามู่หรงเสวี่ยจะเป็นคนที่อ่อนโยน แล้วเธอก็คงจะตอบว่าไม่หรอกแต่จู่ๆเธอกลับตอบสนองอีกอย่าง

หลังจากที่เงียบไปสักพักมู่หรงเสวี่ยที่ไม่ได้ยินอีกฝ่ายพูดอะไร จึงพูดออกไปอีกครั้ง “ถ้าไม่มีอะไร งั้นฉันจะวางสายแล้วนะ!” ตอนแรกระหว่างพวกเธอไม่มีอะไรที่จะต้องคุยกัน เรื่องมันผ่านไปแล้วและมันก็จบไปแล้วไม่ว่าใครจะผิดหรือใครจะถูก เธอไม่อยากที่จะไปสืบหรือนึกถึงอีก เธอได้เจอหัวใจของตัวเองอีกครั้งแล้วและก็ตัดสินใจที่จะทำตามหัวใจ

“เดี๋ยว ฉันมีเรื่องที่จะพูดด้วย!” ไป่เสวี่ยหลี่รีบห้ามไม่ให้ มู่หรงเสวี่ยวางสาย

“พูดมา” มู่หรงพูดออกไปด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะดีเท่าไร
“เราคุยกันที่อื่นได้ไหม? ฉันคุยทางโทรศัพท์ได้ไม่มาก…” ไป๋เสวี่ยหลี่เก็บความโกรธไว้ในหัวใจและถามออกไปด้วยเสียงอ่อนโยน

มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้ว แล้วพูดออกไปอย่างประชดประชัน “ถ้าเธออยากที่จะกรีดข้อมือตัวเองเหมือนครั้งที่แล้ว ฉันก็คงไม่ไป…” ถึงแม้เรื่องมันจะผ่านไปแล้วแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะต้องลืม เธอเริ่มคิดขึ้นมาก่อนว่าไป่เสวี่ยหลี่อยากที่จะมาลูกไม้ไหนอีก

“มันเป็นเรื่องของตระกูลมู่หรง เธอไม่อยากที่จะฟังงั้นเหรอ?” ไป๋เสวี่ยหลี่ไม่อ่อนหวานอีกแล้วแต่พูดออกมาอย่างเย็นชา
สีหน้าของมู่หรงกลายเป็นเยือกเย็น ตระกูลมู่หรงคือจุดอ่อนของเธอ “เธออยากจะทำอะไร?”

“ถ้าเธออยากที่จะรู้งั้นก็ไปเจอกันที่ห้องที่ 23 ที่เจด การ์เด้นแล้วฉันจะรอเธออยู่ที่นั่น!” เมื่อพูดจบไป๋เสวี่ยหลี่ก็ปิดโทรศัพท์ลง เธอรู้ว่ามู่หรงเสวี่ยจะต้องแวะไปแน่ๆ เรื่องครอบครัวเป็นเรื่องที่เอามาขู่คนได้มากที่สุด

มู่หรงเสวี่ยมองอย่างโกรธเกรี้ยวไปที่โทรศัพท์ที่เพิ่งวางสายไป ยังไงซะเธอก็รู้สึกไม่สบายใจจนต้องโทรกลับไปที่บ้าน

“ฮัลโหลแม่ นี่เสี่ยวเสวี่ยนะคะ!”
แม่รู้อยู่แล้วว่าเป็นลูก ที่มหาลัยเรียบร้อยดีหรือเปล่า?” จางเข่อเหรินถาม

มู่หรงได้ยินน้ำเสียงที่เป็นปกติของแม่ หัวใจก็ค่อยๆโล่งอกมากขึ้น “เรียบร้อยดีค่ะ แค่คิดถึงแม่เฉยๆ! ว่าแต่ที่บ้านมีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?” ดูเหมือนเธอจะเผลอพูดออกไปอย่างไม่ตั้งใจเพราะในหัวใจก็ยังมีความกังวลอยู่เล็กๆ

“ลูกดูแลตัวเองเถอะ ที่บ้านไม่มีเรื่องอะไรจ๊ะ”
“แล้วที่บริษัทล่ะคะ? เรียบร้อยดีหรือเปล่า?” มู่หรงเสวี่ยยังคงถามต่อ

“ดูเหมือนลูกจะคิดว่าที่บ้านมีปัญหานะ ไม่ใช่ว่าลูกไปก่อปัญหาอะไรข้างนอกล่ะ แม่หวังว่าจะไม่ใช่นะ” จางเข่อเหรินถามอย่างสงสัย

“เปล่าค่ะ หนูไม่คุยด้วยแล้ว แม่ต้องดูแลสุขภาพด้วยนะคะ เดี๋ยววันหยุดหนูจะรีบกลับบ้านเป็นอย่างแรกเลยนะคะ ฮ่า!” หลังจากนั้นมู่หรงเสวี่ยก็แกล้งทำเป็นหัวเราะ แม่ของเธอนี่ความรู้สึกไวจริงๆ เรื่องเล็กน้อยก็สามารถจับเธอได้

อย่างไรก็ตามในเมื่อที่บ้านไม่มีอะไรเธอก็เบาใจลงได้หน่อยแต่เพื่อกันไว้ก่อน เธอก็ยังจะไปที่นั่นและเธอก็ไม่รู้ว่าเธอจะทำอะไรด้วย เมื่อเธอไปถึงก็จะรู้เอง แต่ถ้าเธอจะไปเธอก็ต้องระวังให้มากขึ้น

เจดการ์เด้นเป็นร้านอาหารชื่อดังของเมืองหลวง แต่ มู่หรงเสวี่ยชินกับอาหารในมิติลับดังนั้นเธอจึงแทบจะไม่เคยออกมากินในโรงแรมพวกนี้เลย

มู่หรงเสวี่ยสวมชุดเครื่องแบบนักศึกษาแพทย์ซึ่งดูไม่ค่อยเหมาะสมกับสถานที่เท่าไร พูดง่ายๆคือคนที่มากินอาหารในที่แบบนี้ก็มักจะสวมชุดราตรีกัน มู่หรงเสวี่ยที่รีบมาที่นี่จึงลืมเรื่องความเหมาะสมของชุดไปเลย ทันทีที่เธอคิดถึงเรื่องเปลี่ยนชุด พนักงานก็เดินเข้ามาและโค้งให้มู่หรงเสวี่ยอย่างสุภาพแล้วจึงพูดออกมาว่า “คุณคือคุณมู่หรงใช่ไหมครับ?”

“ใช่ค่ะ!” มู่หรงตอบไปเสียงเบา อันที่จริงในสถานที่แบบนี้ถ้าไม่ได้แต่งตัวให้เหมาะสมก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา

“เชิญตามผมมา คุณไป๋กำลังรอคุณอยู่…” พนักงานพูดอย่างสุภาพ

มู่หรงเดินตามไป ไป๋เสวี่ยหลี่คงจะใหญ่จริงๆ โรงแรมนี้เป็นของเธอหรือเปล่า?! ไม่แปลกที่มู่หรงเสวี่ยจะคิดแบบนั้น ถึงแม้เธอจะไม่เคยมากินที่นี่ แต่เธอก็พอที่จะรู้เรื่องกฎของ เจดการ์เด้น ถ้าเธอสวมชุดนักศึกษาเข้ามาได้ งั้นก็แปลว่าคนคนนั้นจะต้องมีอำนาจหรืออาจจะถือหุ้นของโรงแรมไว้แน่ๆ

ไม่รู้ว่าเธอคิดมากไปเองหรือเปล่า แต่เธอเหมือนจะเห็นว่าคนมากมายรอบๆต่างก็จ้องมาที่เธอและคนมากมายพวกนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ได้มาเพื่อกินข้าวด้วย ที่ตัวพวกเขามีกล้องมากมาย ดูแล้วเหมือนพวกนักข่าวมากกว่า

มู่หรงเดินตามพนักงานขึ้นไปเงียบๆแต่ในใจก็แอบคิดอยู่เงียบๆว่าไป๋เสวี่ยหลี่จะทำอะไร

เมื่อเดินมาถึงห้องที่ 23 พนักงานก็หยุดพร้อมโค้งเล็กน้อยและพูดออกมา “คุณไป๋อยู่ข้างใน เชิญคุณมู่หรงเข้าไปได้เลยครับ”

สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเย็นชาและเธอไม่ได้เดินเข้าไปทันที แต่กลับยืนที่ประตู ผลักเปิดประตูอย่างแรง หลังจากที่ประตูเปิดทุกอย่างข้างในก็เห็นได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามมันแตกต่างจากที่มู่หรงเสวี่ยคิดไว้ ข้างในมีเพียงไป๋เสวี่ยหลี่คนเดียว
“เป็นอะไรเหรอ? คิดว่าฉันจะทำอะไรที่นี่งั้นเหรอ?” ไป๋เสวี่ยหลี่พูดพร้อมรอยยิ้มประชดประชัน

มู่หรงเสวี่ยปฎิเสธไม่ได้ว่านั่นคือสิ่งที่เธอคิด เธอเดินเข้าไปและพูดออกมาว่า “ว่ามาเลย!”

ไม่ต้องห่วงนะ นั่งลงก่อนสิ!” ไป่เสวี่ยหลี่แตะไปที่เก้าอี้ข้างๆเธอ

ในตอนนี้ พนักงานปิดประตูให้พวกเธออย่างสุภาพ มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้วและเดินไปฝั่งตรงข้ามของไป๋เสวี่ยหลี่ เธอเลือกเก้าอี้และนั่งลง เธอไม่อยากที่จะอยู่ใกล้ในระยะหนึ่งเมตรกับไป๋เสวี่ยหลี่ “เธอต้องการอะไร?! ทำไมต้องพูดถึงตระกูล มู่หรง?”

“ถ้าฉันไม่พูดถึงตระกูลมู่หรง เธอจะมาที่นี่งั้นเหรอ?” ไป๋เสวี่ยหลี่พูด

มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ่ว “เธอหลอกฉันงั้นเหรอ?” เธอลุกขึ้นและอยากที่จะเดินออกไปทันที
ไป๋เสวี่ยหลี่ห้ามเธอไว้ “อย่าเพิ่งกลับ ยังไงซะเธอก็มาที่นี่แล้ว น่าจะฟังฉันก่อน…”

“อย่ามาจับมือฉัน ถ้าเธอมีอะไรจะพูด ก็เชิญพูดมาเลย!” มู่หรงสะบัดแขนและก้าวถอยหลังมาสองสามก้าว

แต่ไป๋เสวี่ยหลี่กลับหัวเราะออกมา “ฮ่าฮ่า! มู่หรงเสวี่ย นี่เธอกลัวฉันงั้นเหรอ?”

“…”
ความอดทนของมู่หรงเสวี่ยหมดลงแล้ว รอยยิ้มและสายตาของไป๋เสวี่ยหลี่เลวร้ายอย่างอธิบายไม่ถูก ทันทีที่เธอกำลังจะเดินไปที่ประตู สุดท้ายไป๋เสวี่ยหลี่ก็หยุดหัวเราะและพูดออกมาช้าๆ “เธอรู้หรือเปล่า? พี่โม่ไม่เคยมาหาฉันเลยสักครั้ง”

ร่างของมู่หรงหยุดนิ่ง “นั่นมันไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน! ฉันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอ”

“มันสำคัญด้วยเหรอ?! ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ พี่โม่จะทิ้งฉันไปได้ยังไง? พี่โม่เป็นของฉัน ทั้งหมดเป็นความผิดของเธอ ของเธอทั้งหมด!” เสียงของไป๋เสวี่ยหลี่เริ่มที่จะโหยหวนมากขึ้นเรื่อยๆและรีบพุ่งเข้ามาหาเธอด้วยท่าทางบ้าคลั่ง

เล็บคมๆสะบัดตรงมาที่หน้าของมู่หรงเสวี่ย พร้อมด้วยสายลมแรง มู่หรงเสวี่ยเอื้อมมือออกไปกันมือของไป๋เสวี่ยหลี่ไว้ อย่างไรก็ตามไป่เสวี่ยหลี่ก็ยังไม่หยุด แต่มืออีกข้างของเธอกลับตามมาอีก มู่หรงถอยห่างและหลบเล็กน้อย เธอโหดร้ายมากพอที่จะทำลายใบหน้าของเธอจริงๆ

มู่หรงจับไปที่มือทั้งสองข้างของไป๋เสวี่ยหลี่จะพูดออกไปว่า “ไป๋เสวี่ยหลี่ เธอบ้าไปแล้วหรือไง?”

“ฉันบ้า ฉันรักพี่โม่มาก ทำไมเธอต้องพรากเขาไปจากฉันด้วย?” ไป๋เสวี่ยหลี่ขัดขืนอย่างแรกและถึงขนาดให้เท้าด้วย

เมื่อคิดถึงเรื่องที่ไป๋เสวี่ยหลี่กำลังท้อง เธอก็ทนความเจ็บปวดของการถูกเตะที่เท้าและพูดออกไป “อย่าบ้า เราจบกันแล้ว!! ไม่ต้องห่วงนะ ต่อไปฉันคงไม่ไปตามชางกวนโม่อีกแล้วแน่!”
ไป๋เสวี่ยหลี่นิ่งและหยุดความวุ่นวายของมือและเท้า น้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ หลังจากที่หยุดสักพัก เธอก็เตะมู่หรงเสวี่ยอย่างแรง “ทำไมเธอไม่เลิกกับพี่โม่?”

ในความคิดของเธอ พี่โม่ดีที่สุดและไม่มีใครที่จะมาแทนที่เขาได้ อีกอย่างพี่โม่ยังรักมู่หรงเสวี่ยมาก นังผู้หญิงชั้นต่ำคนนี้สวยที่สุด เธอปล่อยไปไม่ได้ เธอจะไปมีความสุขอยู่คนเดียวหลังจากที่เข้ามาแทรกระหว่างเธอกับพี่โม่ได้ยังไง

“ถ้าเธอยังบ้าอยู่อีก ฉันจะไม่ใจดีแล้วนะ!” มู่หรงเสวี่ยดึงไป๋เสวี่ยหลี่และกดเธอไว้กับโซฟา “ฟังนะ อดีตมันจบไปแล้ว เธอกับชางกวนโม่จะเป็นยังไง? ฉันไม่อยากที่จะติดต่อกับพวกเธอคนไหนอีกแล้ว อย่าเอาเรื่องนี้มาพูดกับฉันอีก…”

วันนี้รอยแผลของชางกวนโม่ค่อยๆกลายเป็นแผลเป็น สักวันรอยแผลนี้จะหายไป ถึงแม้มันจะยังไม่ใช่ตอนนี้แต่ในอนาคตเธอจะสามารถที่จะเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ได้อย่างสงบ นี่ยังเป็นความเสียใจที่เธอยังไม่กล้าที่จะเผชิญหน้า แต่เธอจะกล้าหาญขึ้น
หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยพูดจบ เธอก็ปล่อยไป่เสวี่ยหลี่และเดินออกไป

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 183 ความยุ่งเหยิงของไป๋เสวี่ยหลี่

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 183 ความยุ่งเหยิงของไป๋เสวี่ยหลี่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 183
ความยุ่งเหยิงของไป๋เสวี่ยหลี่

เกือบจะครึ่งชั้นเรียนเต็มไปด้วยคน นอกจากนี้ยังมีนักเรียนกระจัดกระจายซึ่งโดยปกติจะเก็บตัวและเงียบมากกว่า เธอมองไปรอบๆและเห็นว่าแก๊งทั้งห้าไม่อยู่ที่นี่ เธอเดินเข้าไปที่กลุ่มแล้วถ้าเธอได้ยินไม่ผิด เสียงที่เพิ่งได้ยินเมื่อกี้น่าจะเป็นเสียงของฮวงเสี่ยวเฟ่ย

ทันทีที่ทุกคนเห็นมู่หรงเสวี่ย พวกเขาต่างก็แหวกทางออก คนบางคนก็มีออร่าที่อธิบายไม่ได้โดยธรรมชาติทำให้ผู้คนปฏิบัติด้วยดีเป็นพิเศษ มู่หรงเสวี่ยคือหนึ่งในคนพวกนั้น

“นั่นมู่หรงนิ!”
“มู่หรงสวยจริงๆเลยนะ!”
“ไร้สาระ พูดเรื่องอะไรกัน?! มู่หรงเป็นดอกไม้งามของมหาลัยเราเลยนะ”

“ช่วงนี้ดูเหมือนจะสวยขึ้นกว่าเดิมอีกนะ เธอไม่ได้แต่งหน้าด้วยนะ นี่เป็นความสวยแบบธรรมชาติเลย…”

“…”
เสียงกระซิบมากมายดังมาให้ได้ยินอย่างต่อเนื่อง ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่ารอยยิ้มของฮวงเสี่ยวเฟ่ยกระตุกไปนิดหน่อยและสีหน้าเธอก็ไม่ปกติ

ในที่สุดมู่หรงเสวี่ยก็เห็นฮวงเสี่ยวเฟ่ย ในตอนนี้เธอยังคงสวมชุดที่สุดหรูนั่นอยู่ แต่มันไม่ใช่ชุดที่เธอเพิ่งให้ไป ที่รอบคอและแขนของเธอมีเครื่องประดับโซ่สีแดงอยู่ด้วยและที่หน้าก็แต่งไว้อ่อนๆ ผมที่เป็นลอนของเธอก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าถูกตกแต่งมาอย่างดีและดูสวยมาก

“เสี่ยวเฟ่ย ไม่เจอกันนานเลยนะ เธอสวยขึ้นมากเลยนะ!” มู่หรงเสวี่ยเก็บความสงสัยไว้ในหัวใจ ปากเอ่ยชมออกไป ดูเหมือนว่าการที่เธอพาเธอไปที่ลี่ซซี พาวิลเลี่ยนจะเป็นเรื่องที่ถูกจริงๆ ตอนนี้ฮวงเสี่ยวเฟ่ยสวยและมั่นใจอย่างมาก

“ขอบคุณนะ ไม่ขนาดนั้นหรอก ว่าแต่เธอหายจากอาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้แล้วหรือยัง? ขอโทษนะที่พวกเราไม่ได้อยู่เฝ้า…” ฮวงเสี่ยวเฟ่ยพูดพร้อมรอยยิ้มขอโทษ

เรื่องนี้มู่หรงเสวี่ยได้ยินจากพี่ชูว่าเขาเป็นคนบอกให้พวกเขากลับไปเอง “ไม่เป็นไรหรอก มันก็แค่บาดเจ้บเล็กๆน้อยๆ…ว่าแต่เธอ…ช่างมันเธอ ไปเรียนกันก่อนดีกว่า!” เธออยากที่จะถามเสี่ยวเฟ่ยเกี่ยวกับสถานการณ์ช่วงนี้ แต่เมื่อเธอเห็นว่านักศึกษาที่อยู่รอบๆพวกเธอต่างก็มองจ้องมา โดยเฉพาะตอนที่เธอดูเหมือนจะรู้สึกว่าเสี่ยวเฟ่ยรู้สึกกังวลเล็กน้อย เธอจึงอ้าปากพูดออกไป ช่างมันเถอะเดี๋ยวมีเวลาค่อยถามใหม่ก็ได้

“ใช่ ชั้นเรียนจะเริ่มแล้ว กลับไปนั่งที่เรากันเถอะ” ฮวงเสี่ยวเฟ่ยถอนหายใจอย่างโล่งอกและพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มให้ทุกคน

ในตอนนี้กริ่งดังแล้ว มู่หรงเสวี่ยอยากที่นั่งข้าง ฮวงเสี่ยวเฟ่ยและถามเธอเพราะเธอจำได้ว่าฮวงเสี่ยวเฟ่ยบอกว่าครอบครัวเธอลำบากอย่างมากแต่เครื่องประดับที่เธอสวมอยู่มีค่าหลายล้านหยวนเลย อย่างไรก็ตามเธอรู้สึกมีความสุขที่ชีวิตของเธอดีขึ้นมาก น่าเสียดายที่ฮวงเสี่ยวเฟ่ยมักจะล้อมรอบไปด้วยคนอื่นๆ ในตอนนี้เธอกำลังพูดคุยและหัวเราะอยู่กับพวกนักศึกษาที่อยู่รอบๆตัวเธอ ดุเหมือนว่าเธอจะไม่สังเกตเห็นเธอเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นมู่หรงเสวี่ยจึงเดินไปหลังห้องและเลือกที่นั่งตามใจ

แต่ก่อนเธอมักจะอยู่กับพวกแก๊งทั้งห้าเสมอ ดังนั้นเธอจึงไม่เคยรู้สึกว่าที่นั่งรอบๆเธอว่างเปล่าเลย และตอนนี้ไม่มีใครนั่งใกล้ๆเธอเลยซึ่งทำให้เธอรู้สึกว่างเปล่าเป็นพิเศษ รอบๆ ฮวงเสี่ยวเฟ่ยกลับตรงกันข้ามเลย แถวนั้นมีคนนั่งกันอยู่เต็ม มู่หรงเสวี่ยยิ้ม ฮวงเสี่ยวเฟ่ยเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่แค่ไม่กี่ปีเอง ฮวงเสี่ยวเฟ่ยดูเหมือนจะกลายเป็นคนละคนไปแล้ว

เธอยังจำท่าทางขี้อายของฮวงเสี่ยวเฟ่ยก่อนหน้านี้ได้ซึ่งเห็นได้ชัดว่าตรงกันข้ามกับบุคลิกที่เป็นธรรมชาติและสดใสของเธอไปเลย อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องที่ดี มันเป็นเรื่องที่ต้องดีใจด้วย

เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน มู่หรงเสวี่ยเก็บหนังสือและเดินไปเรียกฮวงเสี่ยวเฟ่ย ฮวงเสี่ยวเฟ่ยหันกลับมาและบอกว่า “เสี่ยวเสวี่ย วันนี้ฉันนัดกับคนอื่นไว้แล้ว เดี๋ยวเราค่อยนัดกันใหม่วันอื่นนะ” เมื่อพูดจบเธอก็ไม่รอให้มู่หรงเสวี่ยตอบแต่รีบเดินยิ้มออกไปพร้อมเด็กสาวสองสามคนทันที

มู่หรงเสวี่ยนิ่งไปชั่วขณะ แล้วเธอก็หยิบหนังสือขึ้นมาและเดินออกไป ฮวงเสี่ยวเฟ่ยมีเพื่อนใหม่มากมาย เธอมีความสุขกับเธอด้วยจริงๆ เธอนึกถึงท่าทางของฮวงเสี่ยวเฟ่ยที่หัวเราะกับเด็กสาวพวกนั้น มันดีจริงๆ เหมือนเธอกับโม่อ้ายลี่เลย พวกเธอน่าจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน มู่หรงเสวี่ยคิดในระหว่างที่เดินไปด้วย

ก่อนที่เอจะเดินออกจากประตูมหาลัย มู่หรงเสวี่ยก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา เธอเปิดโทรศัพท์และเห็นชื่อที่หน้าจอ เป็นชื่อของไป๋เสวี่ยหลี่ที่หายไปนานมาก

หลังจากที่ดังอยู่นานแต่มู่หรงก็ยังกดรับ
“ฮัลโหลมู่หรง!” ที่ปลายสายดังขึ้นมาเป็นเสียงอ่อนโยนของไป๋เสวี่ยหลี่ แต่อารมณ์ของมู่หรงเสวี่ยไม่ค่อยที่จะดีเท่าไร “เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น ไม่จำเป็นต้องเรียกซะสนิทขนาดนั้นก็ได้! ถ้ามีอะไรจะพูดก็พูดมาเลย”

“มู่หรง เธอเกลียดฉันงั้นเหรอ?” เสียงของไป๋เสวี่ยหลี่ดังกลับมา

“ใช่! รังเกียจมาก!” มู่หรงพูดออกไปอย่างไม่ไว้หน้า เธอจะชอบผู้หญิงที่แย่งแฟนของเธอไปได้ยังไง นี่ยังไม่พูดถึงเรื่องที่เธอรู้อยู่แล้วว่าพวกเธอเป็นคู่รักกันอีก แต่ก็ยังเข้ามาแทรกระหว่างพวกเธออีก แม้ว่าเธอจะไม่มีคุณสมบัติที่จะไปวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของเธอแต่เธอก็ยังมีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าอยากจะทำอะไร

ที่ปลายสาว ไป๋เสวี่ยหลี่นิ่งอึ้งไป ปฏิกิริยาของมู่หรงเสวี่ยเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆ เธอคิดว่ามู่หรงเสวี่ยจะเป็นคนที่อ่อนโยน แล้วเธอก็คงจะตอบว่าไม่หรอกแต่จู่ๆเธอกลับตอบสนองอีกอย่าง

หลังจากที่เงียบไปสักพักมู่หรงเสวี่ยที่ไม่ได้ยินอีกฝ่ายพูดอะไร จึงพูดออกไปอีกครั้ง “ถ้าไม่มีอะไร งั้นฉันจะวางสายแล้วนะ!” ตอนแรกระหว่างพวกเธอไม่มีอะไรที่จะต้องคุยกัน เรื่องมันผ่านไปแล้วและมันก็จบไปแล้วไม่ว่าใครจะผิดหรือใครจะถูก เธอไม่อยากที่จะไปสืบหรือนึกถึงอีก เธอได้เจอหัวใจของตัวเองอีกครั้งแล้วและก็ตัดสินใจที่จะทำตามหัวใจ

“เดี๋ยว ฉันมีเรื่องที่จะพูดด้วย!” ไป่เสวี่ยหลี่รีบห้ามไม่ให้ มู่หรงเสวี่ยวางสาย

“พูดมา” มู่หรงพูดออกไปด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะดีเท่าไร
“เราคุยกันที่อื่นได้ไหม? ฉันคุยทางโทรศัพท์ได้ไม่มาก…” ไป๋เสวี่ยหลี่เก็บความโกรธไว้ในหัวใจและถามออกไปด้วยเสียงอ่อนโยน

มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้ว แล้วพูดออกไปอย่างประชดประชัน “ถ้าเธออยากที่จะกรีดข้อมือตัวเองเหมือนครั้งที่แล้ว ฉันก็คงไม่ไป…” ถึงแม้เรื่องมันจะผ่านไปแล้วแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะต้องลืม เธอเริ่มคิดขึ้นมาก่อนว่าไป่เสวี่ยหลี่อยากที่จะมาลูกไม้ไหนอีก

“มันเป็นเรื่องของตระกูลมู่หรง เธอไม่อยากที่จะฟังงั้นเหรอ?” ไป๋เสวี่ยหลี่ไม่อ่อนหวานอีกแล้วแต่พูดออกมาอย่างเย็นชา
สีหน้าของมู่หรงกลายเป็นเยือกเย็น ตระกูลมู่หรงคือจุดอ่อนของเธอ “เธออยากจะทำอะไร?”

“ถ้าเธออยากที่จะรู้งั้นก็ไปเจอกันที่ห้องที่ 23 ที่เจด การ์เด้นแล้วฉันจะรอเธออยู่ที่นั่น!” เมื่อพูดจบไป๋เสวี่ยหลี่ก็ปิดโทรศัพท์ลง เธอรู้ว่ามู่หรงเสวี่ยจะต้องแวะไปแน่ๆ เรื่องครอบครัวเป็นเรื่องที่เอามาขู่คนได้มากที่สุด

มู่หรงเสวี่ยมองอย่างโกรธเกรี้ยวไปที่โทรศัพท์ที่เพิ่งวางสายไป ยังไงซะเธอก็รู้สึกไม่สบายใจจนต้องโทรกลับไปที่บ้าน

“ฮัลโหลแม่ นี่เสี่ยวเสวี่ยนะคะ!”
แม่รู้อยู่แล้วว่าเป็นลูก ที่มหาลัยเรียบร้อยดีหรือเปล่า?” จางเข่อเหรินถาม

มู่หรงได้ยินน้ำเสียงที่เป็นปกติของแม่ หัวใจก็ค่อยๆโล่งอกมากขึ้น “เรียบร้อยดีค่ะ แค่คิดถึงแม่เฉยๆ! ว่าแต่ที่บ้านมีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?” ดูเหมือนเธอจะเผลอพูดออกไปอย่างไม่ตั้งใจเพราะในหัวใจก็ยังมีความกังวลอยู่เล็กๆ

“ลูกดูแลตัวเองเถอะ ที่บ้านไม่มีเรื่องอะไรจ๊ะ”
“แล้วที่บริษัทล่ะคะ? เรียบร้อยดีหรือเปล่า?” มู่หรงเสวี่ยยังคงถามต่อ

“ดูเหมือนลูกจะคิดว่าที่บ้านมีปัญหานะ ไม่ใช่ว่าลูกไปก่อปัญหาอะไรข้างนอกล่ะ แม่หวังว่าจะไม่ใช่นะ” จางเข่อเหรินถามอย่างสงสัย

“เปล่าค่ะ หนูไม่คุยด้วยแล้ว แม่ต้องดูแลสุขภาพด้วยนะคะ เดี๋ยววันหยุดหนูจะรีบกลับบ้านเป็นอย่างแรกเลยนะคะ ฮ่า!” หลังจากนั้นมู่หรงเสวี่ยก็แกล้งทำเป็นหัวเราะ แม่ของเธอนี่ความรู้สึกไวจริงๆ เรื่องเล็กน้อยก็สามารถจับเธอได้

อย่างไรก็ตามในเมื่อที่บ้านไม่มีอะไรเธอก็เบาใจลงได้หน่อยแต่เพื่อกันไว้ก่อน เธอก็ยังจะไปที่นั่นและเธอก็ไม่รู้ว่าเธอจะทำอะไรด้วย เมื่อเธอไปถึงก็จะรู้เอง แต่ถ้าเธอจะไปเธอก็ต้องระวังให้มากขึ้น

เจดการ์เด้นเป็นร้านอาหารชื่อดังของเมืองหลวง แต่ มู่หรงเสวี่ยชินกับอาหารในมิติลับดังนั้นเธอจึงแทบจะไม่เคยออกมากินในโรงแรมพวกนี้เลย

มู่หรงเสวี่ยสวมชุดเครื่องแบบนักศึกษาแพทย์ซึ่งดูไม่ค่อยเหมาะสมกับสถานที่เท่าไร พูดง่ายๆคือคนที่มากินอาหารในที่แบบนี้ก็มักจะสวมชุดราตรีกัน มู่หรงเสวี่ยที่รีบมาที่นี่จึงลืมเรื่องความเหมาะสมของชุดไปเลย ทันทีที่เธอคิดถึงเรื่องเปลี่ยนชุด พนักงานก็เดินเข้ามาและโค้งให้มู่หรงเสวี่ยอย่างสุภาพแล้วจึงพูดออกมาว่า “คุณคือคุณมู่หรงใช่ไหมครับ?”

“ใช่ค่ะ!” มู่หรงตอบไปเสียงเบา อันที่จริงในสถานที่แบบนี้ถ้าไม่ได้แต่งตัวให้เหมาะสมก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา

“เชิญตามผมมา คุณไป๋กำลังรอคุณอยู่…” พนักงานพูดอย่างสุภาพ

มู่หรงเดินตามไป ไป๋เสวี่ยหลี่คงจะใหญ่จริงๆ โรงแรมนี้เป็นของเธอหรือเปล่า?! ไม่แปลกที่มู่หรงเสวี่ยจะคิดแบบนั้น ถึงแม้เธอจะไม่เคยมากินที่นี่ แต่เธอก็พอที่จะรู้เรื่องกฎของ เจดการ์เด้น ถ้าเธอสวมชุดนักศึกษาเข้ามาได้ งั้นก็แปลว่าคนคนนั้นจะต้องมีอำนาจหรืออาจจะถือหุ้นของโรงแรมไว้แน่ๆ

ไม่รู้ว่าเธอคิดมากไปเองหรือเปล่า แต่เธอเหมือนจะเห็นว่าคนมากมายรอบๆต่างก็จ้องมาที่เธอและคนมากมายพวกนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ได้มาเพื่อกินข้าวด้วย ที่ตัวพวกเขามีกล้องมากมาย ดูแล้วเหมือนพวกนักข่าวมากกว่า

มู่หรงเดินตามพนักงานขึ้นไปเงียบๆแต่ในใจก็แอบคิดอยู่เงียบๆว่าไป๋เสวี่ยหลี่จะทำอะไร

เมื่อเดินมาถึงห้องที่ 23 พนักงานก็หยุดพร้อมโค้งเล็กน้อยและพูดออกมา “คุณไป๋อยู่ข้างใน เชิญคุณมู่หรงเข้าไปได้เลยครับ”

สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเย็นชาและเธอไม่ได้เดินเข้าไปทันที แต่กลับยืนที่ประตู ผลักเปิดประตูอย่างแรง หลังจากที่ประตูเปิดทุกอย่างข้างในก็เห็นได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามมันแตกต่างจากที่มู่หรงเสวี่ยคิดไว้ ข้างในมีเพียงไป๋เสวี่ยหลี่คนเดียว
“เป็นอะไรเหรอ? คิดว่าฉันจะทำอะไรที่นี่งั้นเหรอ?” ไป๋เสวี่ยหลี่พูดพร้อมรอยยิ้มประชดประชัน

มู่หรงเสวี่ยปฎิเสธไม่ได้ว่านั่นคือสิ่งที่เธอคิด เธอเดินเข้าไปและพูดออกมาว่า “ว่ามาเลย!”

ไม่ต้องห่วงนะ นั่งลงก่อนสิ!” ไป่เสวี่ยหลี่แตะไปที่เก้าอี้ข้างๆเธอ

ในตอนนี้ พนักงานปิดประตูให้พวกเธออย่างสุภาพ มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้วและเดินไปฝั่งตรงข้ามของไป๋เสวี่ยหลี่ เธอเลือกเก้าอี้และนั่งลง เธอไม่อยากที่จะอยู่ใกล้ในระยะหนึ่งเมตรกับไป๋เสวี่ยหลี่ “เธอต้องการอะไร?! ทำไมต้องพูดถึงตระกูล มู่หรง?”

“ถ้าฉันไม่พูดถึงตระกูลมู่หรง เธอจะมาที่นี่งั้นเหรอ?” ไป๋เสวี่ยหลี่พูด

มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ่ว “เธอหลอกฉันงั้นเหรอ?” เธอลุกขึ้นและอยากที่จะเดินออกไปทันที
ไป๋เสวี่ยหลี่ห้ามเธอไว้ “อย่าเพิ่งกลับ ยังไงซะเธอก็มาที่นี่แล้ว น่าจะฟังฉันก่อน…”

“อย่ามาจับมือฉัน ถ้าเธอมีอะไรจะพูด ก็เชิญพูดมาเลย!” มู่หรงสะบัดแขนและก้าวถอยหลังมาสองสามก้าว

แต่ไป๋เสวี่ยหลี่กลับหัวเราะออกมา “ฮ่าฮ่า! มู่หรงเสวี่ย นี่เธอกลัวฉันงั้นเหรอ?”

“…”
ความอดทนของมู่หรงเสวี่ยหมดลงแล้ว รอยยิ้มและสายตาของไป๋เสวี่ยหลี่เลวร้ายอย่างอธิบายไม่ถูก ทันทีที่เธอกำลังจะเดินไปที่ประตู สุดท้ายไป๋เสวี่ยหลี่ก็หยุดหัวเราะและพูดออกมาช้าๆ “เธอรู้หรือเปล่า? พี่โม่ไม่เคยมาหาฉันเลยสักครั้ง”

ร่างของมู่หรงหยุดนิ่ง “นั่นมันไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน! ฉันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอ”

“มันสำคัญด้วยเหรอ?! ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ พี่โม่จะทิ้งฉันไปได้ยังไง? พี่โม่เป็นของฉัน ทั้งหมดเป็นความผิดของเธอ ของเธอทั้งหมด!” เสียงของไป๋เสวี่ยหลี่เริ่มที่จะโหยหวนมากขึ้นเรื่อยๆและรีบพุ่งเข้ามาหาเธอด้วยท่าทางบ้าคลั่ง

เล็บคมๆสะบัดตรงมาที่หน้าของมู่หรงเสวี่ย พร้อมด้วยสายลมแรง มู่หรงเสวี่ยเอื้อมมือออกไปกันมือของไป๋เสวี่ยหลี่ไว้ อย่างไรก็ตามไป่เสวี่ยหลี่ก็ยังไม่หยุด แต่มืออีกข้างของเธอกลับตามมาอีก มู่หรงถอยห่างและหลบเล็กน้อย เธอโหดร้ายมากพอที่จะทำลายใบหน้าของเธอจริงๆ

มู่หรงจับไปที่มือทั้งสองข้างของไป๋เสวี่ยหลี่จะพูดออกไปว่า “ไป๋เสวี่ยหลี่ เธอบ้าไปแล้วหรือไง?”

“ฉันบ้า ฉันรักพี่โม่มาก ทำไมเธอต้องพรากเขาไปจากฉันด้วย?” ไป๋เสวี่ยหลี่ขัดขืนอย่างแรกและถึงขนาดให้เท้าด้วย

เมื่อคิดถึงเรื่องที่ไป๋เสวี่ยหลี่กำลังท้อง เธอก็ทนความเจ็บปวดของการถูกเตะที่เท้าและพูดออกไป “อย่าบ้า เราจบกันแล้ว!! ไม่ต้องห่วงนะ ต่อไปฉันคงไม่ไปตามชางกวนโม่อีกแล้วแน่!”
ไป๋เสวี่ยหลี่นิ่งและหยุดความวุ่นวายของมือและเท้า น้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ หลังจากที่หยุดสักพัก เธอก็เตะมู่หรงเสวี่ยอย่างแรง “ทำไมเธอไม่เลิกกับพี่โม่?”

ในความคิดของเธอ พี่โม่ดีที่สุดและไม่มีใครที่จะมาแทนที่เขาได้ อีกอย่างพี่โม่ยังรักมู่หรงเสวี่ยมาก นังผู้หญิงชั้นต่ำคนนี้สวยที่สุด เธอปล่อยไปไม่ได้ เธอจะไปมีความสุขอยู่คนเดียวหลังจากที่เข้ามาแทรกระหว่างเธอกับพี่โม่ได้ยังไง

“ถ้าเธอยังบ้าอยู่อีก ฉันจะไม่ใจดีแล้วนะ!” มู่หรงเสวี่ยดึงไป๋เสวี่ยหลี่และกดเธอไว้กับโซฟา “ฟังนะ อดีตมันจบไปแล้ว เธอกับชางกวนโม่จะเป็นยังไง? ฉันไม่อยากที่จะติดต่อกับพวกเธอคนไหนอีกแล้ว อย่าเอาเรื่องนี้มาพูดกับฉันอีก…”

วันนี้รอยแผลของชางกวนโม่ค่อยๆกลายเป็นแผลเป็น สักวันรอยแผลนี้จะหายไป ถึงแม้มันจะยังไม่ใช่ตอนนี้แต่ในอนาคตเธอจะสามารถที่จะเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ได้อย่างสงบ นี่ยังเป็นความเสียใจที่เธอยังไม่กล้าที่จะเผชิญหน้า แต่เธอจะกล้าหาญขึ้น
หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยพูดจบ เธอก็ปล่อยไป่เสวี่ยหลี่และเดินออกไป

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+