ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 215 การประชุมทั่วไปกับผู้ถือหุ้นงั้นเหรอ?

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 215 การประชุมทั่วไปกับผู้ถือหุ้นงั้นเหรอ? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 215 การประชุมทั่วไปกับผู้ถือหุ้นงั้นเหรอ?

ที่ห้องประชุมที่ชั้นบนของบริษัทมู่หรงกรุ๊ป

“คุณหนูครับ ผู้ถือหุ้นทุกคนมาพร้อมแล้วครับ…” หลินหงเก็บความสงสัยไว้และพูดออกมาอย่างสุภาพ เมื่อกี้ตอนที่เขาไปที่ห้องประชุมเพื่อที่จะเตรียมความพร้อม เขาก็ต้องตกใจที่ได้เห็นผู้ถือหุ้นที่มากันอย่างพร้อมเพรียง

“เข้าใจแล้ว…” มู่หรงเสวี่ยพูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา

หลินหงยังคงยืนอยู่ที่เดิมอีกสักพักแต่เมื่อไม่เห็นมู่หรงเสวี่ยมีทีท่าอะไรเลย เขานิ่งอยู่สักพักและอดไม่ได้ที่จะพูดเตือนขึ้นมาอีกครั้ง “คุณหนูครับ นี่เก้าโมงแล้วนะครับ!”

มู่หรงเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยสายตาเย็นชาและพูดออกมาว่า “ฉันรู้แล้ว ปล่อยให้พวกเขารอไป!” หลังจากนั้นเธอก็หันกลับไปจัดการกองเอกสารต่อ

หลินหงตะลึง ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจว่าคุณหนูพยายามที่จะแกล้งอีกฝ่าย เขาจึงโค้งตัวด้วยความเคารพและเดินออกจากห้องไป เขาเชื่อว่าคุณหนูคงจะมีเหตุผลที่ทำแบบนี้

หลงอี้และคนอื่นๆต่างก็เฝ้าอยู่ที่ออฟฟิศ คนที่ยิงคุณมู่หรงถูกพบตัวแล้ว แน่นอนว่าเป็นองค์กรนักฆ่า หลงอี้ใช้อำนาจของแหล่งข่าวที่ทรงอำนาจของดราก้อนพาวิลเลี่ยนอย่างไรก็ตามพวกองค์กรที่รับภารกิจของมู่หรงเสวี่ยต่างก็เป็นศัตรูของดราก้อนพาวิลเลี่ยนเพียงชั่วข้ามคืนมู่หรงเสวี่ยก็กลายเป็นเป้าสำคัญที่องค์กรนักฆ่านานาชาติต่างก็หมายหัว

หลงอี้ไม่ได้บอกคุณมู่หรงและดราก้อนมาสเตอร์เกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาไม่รู้ว่าทำไม ตั้งแต่วินาทีที่เขาปิดบัง เขาก็รู้สึกได้เลยว่าชีวิตตัวเองจะไม่ยืนยาว

จนกระทั่งชั่วโมงต่อมามู่หรงเสวี่ยก็มองไปที่นาฬิกาและคิดว่าคงถึงเวลาแล้ว เธอหยิบเอกสารและเดินตรงไปที่ห้องประชุม

หลงอี้และสมาชิกของทีมดราก้อนพาวิลเลี่ยนรวมทั้งหมดก็ 7 คนต่างก็เดินตามมู่หรงเสวี่ยไปข้างหลังด้วย
ก่อนที่จะเข้าไปในห้องประชุม เธอก็ได้ยินเสียงที่ดังออกมาจากข้างใน ส่วนใหญ่พวกเขาจะก่นด่าอื่นๆ

มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้ว สีหน้าเย็นชา เปิดประตูและเดินเข้าไป เมื่อเหล่าผู้ถือหุ้นในห้องประชุมเห็นว่ามีคนเดินเข้ามา พวกเขาต่างก็หันมองไปทางประตู เพียงไม่กี่วินาทีต่อมาทุกคนในห้องประชุมก็เริ่มที่จะหันกลับมาจับกลุ่มพูดคุยกันโดยไม่สนใจมู่หรงเสวี่ยเลย ถ้าไม่สนใจใบหน้าที่เขียวช้ำของเหล่าผู้ถือหุ้นก็จะมองเห็นสีหน้าที่ยโสของพวกเขาได้แต่ในตอนนี้พวกเขาต่างก็กำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน

หลงอี้ตบไปที่กำแพงและหัวเราะเสียงดังออกมา เสียงหัวเราะของเขาค่อนข้างที่จะรุนแรงอย่างมาก สีหน้าของเหล่าผู้ถือหุ้นที่เดิมทีก็หน้าเขียวช้ำอยู่แล้วก็กลายเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาอีก แม้แต่มู่หรงเสวี่ยเองก็หันไปที่มองที่หลงอี้ที่น่าปวดหัวพร้อมด้วยสีหน้างี่เง่า

จู่ๆบรรยากาศก็กลายเป็นเงียบอย่างประหลาด มีเพียงเสียงหัวเราะของหลงอี้เท่านั้นที่โพร่งเข้ามาในห้องประชุม

จนกระทั่งหลายนาทีต่อมากว่าที่หลงอี้จะหยุดเสียงหัวเราะที่น่าเกลียดนี้

“หัวเราะเสร็จหรือยัง?” มู่หรงเสวี่ยถามอย่างดูถูก

“ฮ่า…หัวเราะ…หัวเราะเสร็จแล้วครับ…” หลงอี้เช็ดน้ำตาที่ซึมออกมาเพราะเสียงหัวเราะ สมาชิกคนอื่นๆของดราก้อนพาวิลเลี่ยนที่ตามมาข้างหลังและมุมปากของพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเล็กน้อย ตั้งแต่ที่พวกเขาได้อยู่กับผู้บังคับบัญชาในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ พวกเขาก็เปลี่ยนมุมมองของผู้บังคับบัญชาไปอย่างสิ้นเชิง

มู่หรงเสวี่ยไอออกมาเบาๆและเดินตรงเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ของประธานกรรมการ

“บริษัทนี้ไม่ใช่สถานที่สำหรับเด็กสาวแบบเธอ…”

“มู่หรงเฟิงฮัวอยู่ที่ไหน? บอกให้เขาออกมา…”

“เป็นเด็กก็ควรที่จะกลับไปกินนมนอนสิ…”

“…”
แล้วการโต้เถียงก็เริ่มขึ้น ผู้หญิงที่นั่งอยู่ทางซ้ายและทางขวาไม่สุภาพเลยสักนิด มู่หรงเสวี่ยนั่งอย่างเย็นชาและไม่อ้าปากพูดอะไร

เหล่าผู้ถือหุ้นเห็นมู่หรงไม่ตอบโต้จึงพูดอย่างยโสมากขึ้นไปอีก…พวกเขาต่างก็พูดกันมากขึ้นจนอยากที่จะไล่มู่หรงเสวี่ยให้ออกไป

หลงอี้เกือบที่อยากจะชักปืนออกมา คนแก่พวกนี้กล้าที่จะพูดจายโสมากขนาดนี้

อันที่จริงเหล่าผู้ถือหุ้นต่างก็ยังรู้สึกกังวลเล็กน้อยอยู่แต่เมื่อพวกเขาเห็นมู่หรงเสวี่ยที่อายุเพียง 16 เธอยังเด็กอยู่เลย แล้วคนแบบนี้จะมาข่มขู่อะไรพวกเขาได้ล่ะ? เมื่อคืนใครเป็นคนให้คำแนะนำเธองั้นเหรอ? อีกอย่างพวกเขาคุยกันมานานแต่อีกฝ่ายกลับไม่มีท่าทีโกรธอะไรเลย

จนกระทั่งครึ่งชั่วโมงต่อมา เหล่าผู้ถือหุ้นก็เริ่มที่จะบ่นว่าหิวน้ำ พวกเขาจึงหันมามองที่มู่หรงเสวี่ยที่เป็นหัวหน้าของบริษัทและนั่งจิบชาอย่างผ่อนคลาย หลังจากที่เห็นพวกเขาหยุดพูด เธอก็พูดออกมาเสียงเบา “หยุดทำไมล่ะ คุยกันต่อสิ…”

ชายอ้วนที่อายุประมาณ 50 ลุกขึ้นทันที “นี่แม่หนู เข้ามาทำอะไรในห้องประชุม เราไม่มีเวลามาเล่นกับหนูหรอกนะ แม่หนูไปเล่นที่อื่นเถอะนะ!!!! ถ้ามู่หรงเฟิงฮัวไม่มีความสามารถที่จะบริหารบริษัทนี้ ฉันก็ไม่รังเกียจที่จะทำแทนเขาหรอกนะ!”

“ในเมื่อท่านประธานไม่อยากที่จะดูแลบริษัท งั้นเราก็ควรที่จะโหวตเลือกประธานคนใหม่…”

“เรื่องธุรกิจในบริษัทไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอ เธอเป็นแค่เด็ก เชิญกลับไปในที่ที่จากมาเลยนะ…”
“…”

คนที่เหลือต่างก็พูดสะท้อนด้วย สายตาแวบประกายความโลภ มู่หรงเสวี่ยทิ้งกองเอกสารลงบนโต๊ะทันทีเสียงดัง “ปัง” เหล่าคนที่กำลังคุยกันอยู่ก็กลับมาเงียบอีกครั้ง อย่างไรก็ตามไม่ใช่เพราะความกลัวที่มีต่อมู่หรงเสวี่ยแต่เป็นเพราะเสียงที่อยู่ดีๆก็ดังขึ้นมา พวกเขาต่างก็ตกใจและจู่ๆก็หยุด

“ตั้งแต่วันนี้ไป มู่หรงกรุ๊ปจะถูกฉัน มู่หรงเสวี่ยเข้ามาดูแล วันนี้ที่ฉันเชิญพวกคุณมากก็เพื่อแจ้งเท่านั้น…”

“มีเหตุผลอะไรล่ะ!”

“นี่ล้อเล่นหรือไง? ใครกันที่จะยอมยกบริษัทที่ใหญ่ขนาดนี้ให้เด็กสาวดูแลกัน? ถ้าบริษัทเสียหายใครจะเป็นคนรับผิดชอบความเสียหายให้พวกเรา…”

“เด็กสาวที่ยังเรียนไม่จบแล้วยังกล้าที่จะมาบริหารบริษัทอีกเหรอเนี่ย?! อย่าฝันไปเลย เราไม่เห็นด้วย ถึงแม้เธอจะเป็นลูกสาวคนเดียวของมู่หรงเฟิงฮัวแต่เธอก็ยังไม่มีคุณสมบัติ…”

“ใช่แล้ว เราควรที่จะนัดประชุมกันใหม่และเลือกคนที่เหมาะสมเข้ามาเป็นประธานคนใหม่…”

“…”

ชายแก่อีกคนเริ่มพูดเรื่องใหม่ขึ้นมาอีก มู่หรงเฟิงฮัวหายตัวไปนานแล้ว สุดท้ายด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้ที่มู่หรงเฟิงฮัวหายตัวไปจริงๆ ในตอนนี้คงจะเป็นเรื่องโง่มากถ้าไม่เข้ามาบริหารมู่หรงกรุ๊ป เมื่อหลายวันก่อนพวกเขาเริ่มที่จะเถียงกันเองแล้วและผู้ถือหุ้นแต่ละกันก็ไม่ต่างกันมาก พวกเขาต่างก็อยากที่จะเข้ามาแทนที่ แต่หุ้นที่ใหญ่ที่สุดก็ยังอยู่ในมือของมู่หรงเฟิงฮัวแต่มันก็ไม่สำคัญหรอก เมื่อพวกเขาขึ้นมาอยู่ในระดับสูง พวกเขาก็จะค่อยๆเข้ามาครอบครองทุกอย่างอย่างช้าๆ

ผู้ถือหุ้นแทบจะทุกคนต่างก็คิดแบบนี้ แต่ไม่คิดเลยว่าเด็กสาวคนนี้จะโผล่มา เดิมทีพวกเขาก็ไม่ได้สนใจแต่พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าเด็กสาวคนนี้ไม่กลัวอะไรเลย มีบางคนส่งนักฆ่าไปเพื่อที่จะจัดการเรื่องนี้อย่างถาวร ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้รับแจ้งเรื่องการประชุมเมื่อวานจึงไม่มีใครมาเลย

แต่เมื่อวานตอนเย็นทุกคนต่างก็ถูกโจมตีและถึงขนาดบอกให้พวกเขามาประชุมในวันนี้ด้วย

ด้วยความรู้สึกอยากที่จะเข้าใจสถานการณ์และอยากที่จะเห็นว่าใครกันแน่ที่กล้าโจมตีพวกเขา พวกเขาไม่ได้สนใจหลงอี้และคนอื่นๆที่อยู่เบื้องหลังมู่หรงเสวี่ยไปนานแล้ว พวกเขาคิดว่ามู่หรงเสวี่ยขี้อายและอยากที่จะได้เงิน

“เลือกใหม่งั้นเหรอ?! อย่าฝันไปหน่อยเลย จะไม่มีใครเข้ามาดูแลมู่หรงกรุ๊ปจนกว่าพ่อฉันจะกลับมา ไม่งั้นฉันก็ไม่รังเกียจที่จะให้พวกคุณได้ลิ้มรสชาติแบบเมื่อคืนอีกครั้ง เพียงแค่ครั้งหน้าจะไม่ใช่อะไรเบาๆแค่หน้าเขียวช้ำแน่ๆ…”

“กลายเป็นว่าเธอเองสินะที่เมื่อคืนทำเรื่องที่ผิดกฎหมาย ฉันคิดว่าเธอไม่ควรที่จะอยู่ที่นี่แต่ไปอยู่ในคุกเพื่อที่จะได้เรียนรู้อะไรดีๆบ้างนะ…” เมื่อพวกเขานึกถึงเรื่องที่พวกเขาต้องเจอเมื่อคืน พวกเขาต่างก็รู้สึกโกรธขึ้นมาอย่างมาก พวกเขาทำได้เพียงเก็บกดความรู้สึกล้มเหลวไว้ในใจ และพูดออกมาว่า “ฉันคิดว่าตอนอายุเท่านี้มู่หรงเฟิงฮัวไม่ได้โหดร้ายขนาดนี้หรอกนะเพื่อที่จะได้บริหารบริษัทดีๆ ฉันคิดว่ามู่หรงเฟิงฮัวเป็นไอ้โง่เรื่องการเลี้ยงลูกสาว…”

“อาทิตย์นี้มาประชุมเลือกประธานคนใหมากันเถอะ…” พวกเขาไม่สนใจมู่หรงเสวี่ย

มู่หรงเสวี่ยแสยะยิ้ม แล้วมองไปที่หลินหงที่กำลังยืนอยู่ข้างๆ หลินหงพยักหน้าและแจกเอกสารที่ถูกจัดอย่างดีไว้บนโต๊ะให้ผู้ถือหุ้นแต่ละคน

“พวกคุณน่าจะอ่านข้อมูลในมือกันก่อนนะ ถ้าพวกคุณไม่มีปัญหากับการที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกไป งั้นเราค่อยมาคุยเรื่องการเลือกประธานใหม่กัน…อีกอย่างถ้าฉันถือหุ้นของบริษัทนี้ 60% งั้นพวกคุณก็ไม่มีสิทธิที่จะจัดการประชุมผู้ถือหุ้น เท่าที่ฉันรู้นะ คนที่จะจัดการประชุมผู้ถือหุ้นได้ต้องเป็นคนที่ถือหุ้นมากกว่าผุ้ถือหุ้นทั้งหมดเท่านั้น”

หลังจากที่เงียบไป มู่หรงเสวี่ยก็พูดต่อ “ถ้าฉันรู้ว่าพวกคุณมีการเคลื่อนไหวอะไรแม้เพียงนิดเดียว ก็อย่ามาหาว่าฉันหยาบคายก็แล้วกัน ยังไงซะปากฉันก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไรด้วย บางทีความลับก็พวกคุณคนใดคนหนึ่งอาจจะถูกเปิดเผยออกไปและดึงดูโความสนใจของพวกสื่อ เดาว่าพวกคุณหลายคนก็คงไม่ค่อยโอเคเท่าไร ว่าไหมคะ?!!”

เหล่าผู้ถือหุ้นยังคงมีท่าทางยโสในขณะที่เปิดเอกสารที่อยู่ตรงหน้า เมื่อพวกเขาเห็นหน้าแรก ดวงตาของพวกเขาก็ต้องเบิกกว้างและสีหน้าก็เต็มไปด้วยอาการไม่อยากจะเชื่อ

ทุกคนต่างก็เป็นนักธุรกิจที่มีประสบการณ์ เรื่องสกปรกแบบนี้พวกเขาต่างก็คิดว่าตัวเองปกปิดไว้อย่างดีแล้ว แต่ตอนนี้เมื่อพวกเขาเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า พวกเขาจะไม่รู้สึกกลัวได้ยังไง? ชั่วขณะหนึ่งก็ไม่มีใครกล้าที่จะพูดอะไรอีก

ไม่มีใครกล้าที่จะลบล้างคำพูดของมู่หรงเสวี่ย ยังไงซะพวกเขาก็ตกอยู่ในกำมือของเด็กสาวอายุ 16 พวกเขาต่างก็คิดว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงลูกแมวที่ไร้พิษภัยแต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกลายเป็นเสือที่พร้อมจะฆ่าคนได้โดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา

มู่หรงเสวี่ยมองสีหน้าที่ซีดเผือดของทุกคนอย่างพอใจ ตราบใดที่เธอยังอยู่ที่นี่ จะไม่มีใครพรากสิ่งที่เป็นของพ่อแม่เธอไปได้ เธอจะปกป้องไว้จนกว่าจะถึงวันที่พวกท่านกลับมา

“ถ้าไม่มีอะไรคัดค้านแล้ว งั้นก็จบการประชุม ในอนาคตก็ไม่มีเรื่องอะไรที่ทุกคนจะต้องเป็นห่วงเกี่ยวกับเรื่องของบริษัท ที่บริษัทมีพนักงานเพียงพอแล้วและไม่จำเป็นที่จะต้องหาคนอื่นมาเพิ่มอีก ถ้าฟังไม่ชัดหรือไม่เข้าใจอะไร ฉันก็ไม่รังเกียจที่จะส่งคนไปคุยกับพวกคุณถึงหน้าประตูบ้าน…” สายตาของมู่หรงเสวี่ยแวบประกายดุดัน และพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหยิ่งยโส

เห็นได้ชัดว่าคนแก่เหล่านี้เพียงแค่เก็บกดคำพูดเอาไว้และพูดออกมาด้วยคำดีๆ อีกฝ่ายคิดว่าพวกเขากำลังถูกรังแก ตรงกันข้ามในตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการแก้ปัญหาเรื่องความรุนแรง

มู่หรงเสวี่ยเองก็ขี้เกียจที่จะเห็นหน้าคนแก่ที่น่าหดหู่พวกนี้อีก เธอค่อยๆลุกขึ้นและพูดออกมา “เลิกได้!” แล้วเธอก็เดินออกไป ในตอนนี้ไม่มีใครกล้าที่จะมองมู่หรงเสวี่ยเป็นเด็กสาวอีกแล้ว พูดได้เลยว่าเด็กสาวคนนี้โหดเหี้ยมมากกว่าพ่อของเธอซะอีกและอย่างน้อยก็ยังไว้หน้าพวกเขา

ก่อนที่จะเดินออกไป หลงอี้และคนอื่นๆก็เปิดอาวุธที่เหน็บอยู่ที่เสื้อผ้าของพวกเขาให้เหล่าผู้ถือหุ้นได้เห็น อีกครั้งที่สีหน้าของเหล่าผู้ถือหุ้นเปลี่ยนเป็นซีดเผือดและถึงขนาดที่พวกเขาบางคนอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น

แม้แต่หลินหงก็รู้สึกชื่นชมมากกว่าตอนแรกอีก เขาเดินตามมู่หรงเสวี่ยไปเงียบๆและซ้อนทับร่างของมู่หรงเสวี่ยกับท่านประธานเป็นครั้งแรก ท่านประธานสั่งสอนลูกสาวมาได้อย่างดีมากจริงๆ แต่ก่อนเขาเคยได้ยินท่านประธานพูดชมเธอหลายครั้งแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นความยอดเยี่ยมของคุณหนูใหญ่จริงๆ

มู่หรงเสวี่ยกลับไปที่ห้องประธาน เธอไม่คิดว่าพวกผู้ถือหุ้นจะเป็นปัญหาอะไร สิ่งที่รบกวนจิตใจเธอมากที่สุดคือปัญหาเรื่องคน เมื่อวานเธอถามเรื่องสถานการณ์ที่บริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปและพบว่าบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปเองก็กำลังขาดคนอย่างมากและไม่สามารถที่จะโอนคนมาให้เธอได้

แผนที่จะล้อมเมืองเข้ามาจากชานเมืองเป็นแผนที่ใหญ่มาก ก็เป็นเรื่องปกติที่คนจะไม่พอ นอกจากนี้เธอก็ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากแผนนี้และก็การเพิ่งเงินทุน แค่นี้เธอก็รู้สึกผิดมากพอแล้ว

ตอนนี้สิ่งที่เธอกังวลมากที่สุดคือเรื่องของพ่อแม่ เธอจะต้องหาวิธีที่จะข้ามห้วงเวลาและมิติลับไปให้ได้อย่างเร็วที่สุด ในมิติลับจะต้องมีวิธีสิ บางทีเธออาจจะมองข้ามไป มู่หรงเสวี่ยนวดขมับที่กำลังปวดแล้วมองไปที่หลินหงที่เดินตามเธอมาและพูดออกมา “มีใครในบริษัทที่เราพอจะเชื่อใจได้บ้างไหม? ช่วยเล่าให้ฉันฟังที!”

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 215 การประชุมทั่วไปกับผู้ถือหุ้นงั้นเหรอ?

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 215 การประชุมทั่วไปกับผู้ถือหุ้นงั้นเหรอ? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 215 การประชุมทั่วไปกับผู้ถือหุ้นงั้นเหรอ?

ที่ห้องประชุมที่ชั้นบนของบริษัทมู่หรงกรุ๊ป

“คุณหนูครับ ผู้ถือหุ้นทุกคนมาพร้อมแล้วครับ…” หลินหงเก็บความสงสัยไว้และพูดออกมาอย่างสุภาพ เมื่อกี้ตอนที่เขาไปที่ห้องประชุมเพื่อที่จะเตรียมความพร้อม เขาก็ต้องตกใจที่ได้เห็นผู้ถือหุ้นที่มากันอย่างพร้อมเพรียง

“เข้าใจแล้ว…” มู่หรงเสวี่ยพูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา

หลินหงยังคงยืนอยู่ที่เดิมอีกสักพักแต่เมื่อไม่เห็นมู่หรงเสวี่ยมีทีท่าอะไรเลย เขานิ่งอยู่สักพักและอดไม่ได้ที่จะพูดเตือนขึ้นมาอีกครั้ง “คุณหนูครับ นี่เก้าโมงแล้วนะครับ!”

มู่หรงเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยสายตาเย็นชาและพูดออกมาว่า “ฉันรู้แล้ว ปล่อยให้พวกเขารอไป!” หลังจากนั้นเธอก็หันกลับไปจัดการกองเอกสารต่อ

หลินหงตะลึง ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจว่าคุณหนูพยายามที่จะแกล้งอีกฝ่าย เขาจึงโค้งตัวด้วยความเคารพและเดินออกจากห้องไป เขาเชื่อว่าคุณหนูคงจะมีเหตุผลที่ทำแบบนี้

หลงอี้และคนอื่นๆต่างก็เฝ้าอยู่ที่ออฟฟิศ คนที่ยิงคุณมู่หรงถูกพบตัวแล้ว แน่นอนว่าเป็นองค์กรนักฆ่า หลงอี้ใช้อำนาจของแหล่งข่าวที่ทรงอำนาจของดราก้อนพาวิลเลี่ยนอย่างไรก็ตามพวกองค์กรที่รับภารกิจของมู่หรงเสวี่ยต่างก็เป็นศัตรูของดราก้อนพาวิลเลี่ยนเพียงชั่วข้ามคืนมู่หรงเสวี่ยก็กลายเป็นเป้าสำคัญที่องค์กรนักฆ่านานาชาติต่างก็หมายหัว

หลงอี้ไม่ได้บอกคุณมู่หรงและดราก้อนมาสเตอร์เกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาไม่รู้ว่าทำไม ตั้งแต่วินาทีที่เขาปิดบัง เขาก็รู้สึกได้เลยว่าชีวิตตัวเองจะไม่ยืนยาว

จนกระทั่งชั่วโมงต่อมามู่หรงเสวี่ยก็มองไปที่นาฬิกาและคิดว่าคงถึงเวลาแล้ว เธอหยิบเอกสารและเดินตรงไปที่ห้องประชุม

หลงอี้และสมาชิกของทีมดราก้อนพาวิลเลี่ยนรวมทั้งหมดก็ 7 คนต่างก็เดินตามมู่หรงเสวี่ยไปข้างหลังด้วย
ก่อนที่จะเข้าไปในห้องประชุม เธอก็ได้ยินเสียงที่ดังออกมาจากข้างใน ส่วนใหญ่พวกเขาจะก่นด่าอื่นๆ

มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้ว สีหน้าเย็นชา เปิดประตูและเดินเข้าไป เมื่อเหล่าผู้ถือหุ้นในห้องประชุมเห็นว่ามีคนเดินเข้ามา พวกเขาต่างก็หันมองไปทางประตู เพียงไม่กี่วินาทีต่อมาทุกคนในห้องประชุมก็เริ่มที่จะหันกลับมาจับกลุ่มพูดคุยกันโดยไม่สนใจมู่หรงเสวี่ยเลย ถ้าไม่สนใจใบหน้าที่เขียวช้ำของเหล่าผู้ถือหุ้นก็จะมองเห็นสีหน้าที่ยโสของพวกเขาได้แต่ในตอนนี้พวกเขาต่างก็กำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน

หลงอี้ตบไปที่กำแพงและหัวเราะเสียงดังออกมา เสียงหัวเราะของเขาค่อนข้างที่จะรุนแรงอย่างมาก สีหน้าของเหล่าผู้ถือหุ้นที่เดิมทีก็หน้าเขียวช้ำอยู่แล้วก็กลายเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาอีก แม้แต่มู่หรงเสวี่ยเองก็หันไปที่มองที่หลงอี้ที่น่าปวดหัวพร้อมด้วยสีหน้างี่เง่า

จู่ๆบรรยากาศก็กลายเป็นเงียบอย่างประหลาด มีเพียงเสียงหัวเราะของหลงอี้เท่านั้นที่โพร่งเข้ามาในห้องประชุม

จนกระทั่งหลายนาทีต่อมากว่าที่หลงอี้จะหยุดเสียงหัวเราะที่น่าเกลียดนี้

“หัวเราะเสร็จหรือยัง?” มู่หรงเสวี่ยถามอย่างดูถูก

“ฮ่า…หัวเราะ…หัวเราะเสร็จแล้วครับ…” หลงอี้เช็ดน้ำตาที่ซึมออกมาเพราะเสียงหัวเราะ สมาชิกคนอื่นๆของดราก้อนพาวิลเลี่ยนที่ตามมาข้างหลังและมุมปากของพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเล็กน้อย ตั้งแต่ที่พวกเขาได้อยู่กับผู้บังคับบัญชาในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ พวกเขาก็เปลี่ยนมุมมองของผู้บังคับบัญชาไปอย่างสิ้นเชิง

มู่หรงเสวี่ยไอออกมาเบาๆและเดินตรงเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ของประธานกรรมการ

“บริษัทนี้ไม่ใช่สถานที่สำหรับเด็กสาวแบบเธอ…”

“มู่หรงเฟิงฮัวอยู่ที่ไหน? บอกให้เขาออกมา…”

“เป็นเด็กก็ควรที่จะกลับไปกินนมนอนสิ…”

“…”
แล้วการโต้เถียงก็เริ่มขึ้น ผู้หญิงที่นั่งอยู่ทางซ้ายและทางขวาไม่สุภาพเลยสักนิด มู่หรงเสวี่ยนั่งอย่างเย็นชาและไม่อ้าปากพูดอะไร

เหล่าผู้ถือหุ้นเห็นมู่หรงไม่ตอบโต้จึงพูดอย่างยโสมากขึ้นไปอีก…พวกเขาต่างก็พูดกันมากขึ้นจนอยากที่จะไล่มู่หรงเสวี่ยให้ออกไป

หลงอี้เกือบที่อยากจะชักปืนออกมา คนแก่พวกนี้กล้าที่จะพูดจายโสมากขนาดนี้

อันที่จริงเหล่าผู้ถือหุ้นต่างก็ยังรู้สึกกังวลเล็กน้อยอยู่แต่เมื่อพวกเขาเห็นมู่หรงเสวี่ยที่อายุเพียง 16 เธอยังเด็กอยู่เลย แล้วคนแบบนี้จะมาข่มขู่อะไรพวกเขาได้ล่ะ? เมื่อคืนใครเป็นคนให้คำแนะนำเธองั้นเหรอ? อีกอย่างพวกเขาคุยกันมานานแต่อีกฝ่ายกลับไม่มีท่าทีโกรธอะไรเลย

จนกระทั่งครึ่งชั่วโมงต่อมา เหล่าผู้ถือหุ้นก็เริ่มที่จะบ่นว่าหิวน้ำ พวกเขาจึงหันมามองที่มู่หรงเสวี่ยที่เป็นหัวหน้าของบริษัทและนั่งจิบชาอย่างผ่อนคลาย หลังจากที่เห็นพวกเขาหยุดพูด เธอก็พูดออกมาเสียงเบา “หยุดทำไมล่ะ คุยกันต่อสิ…”

ชายอ้วนที่อายุประมาณ 50 ลุกขึ้นทันที “นี่แม่หนู เข้ามาทำอะไรในห้องประชุม เราไม่มีเวลามาเล่นกับหนูหรอกนะ แม่หนูไปเล่นที่อื่นเถอะนะ!!!! ถ้ามู่หรงเฟิงฮัวไม่มีความสามารถที่จะบริหารบริษัทนี้ ฉันก็ไม่รังเกียจที่จะทำแทนเขาหรอกนะ!”

“ในเมื่อท่านประธานไม่อยากที่จะดูแลบริษัท งั้นเราก็ควรที่จะโหวตเลือกประธานคนใหม่…”

“เรื่องธุรกิจในบริษัทไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอ เธอเป็นแค่เด็ก เชิญกลับไปในที่ที่จากมาเลยนะ…”
“…”

คนที่เหลือต่างก็พูดสะท้อนด้วย สายตาแวบประกายความโลภ มู่หรงเสวี่ยทิ้งกองเอกสารลงบนโต๊ะทันทีเสียงดัง “ปัง” เหล่าคนที่กำลังคุยกันอยู่ก็กลับมาเงียบอีกครั้ง อย่างไรก็ตามไม่ใช่เพราะความกลัวที่มีต่อมู่หรงเสวี่ยแต่เป็นเพราะเสียงที่อยู่ดีๆก็ดังขึ้นมา พวกเขาต่างก็ตกใจและจู่ๆก็หยุด

“ตั้งแต่วันนี้ไป มู่หรงกรุ๊ปจะถูกฉัน มู่หรงเสวี่ยเข้ามาดูแล วันนี้ที่ฉันเชิญพวกคุณมากก็เพื่อแจ้งเท่านั้น…”

“มีเหตุผลอะไรล่ะ!”

“นี่ล้อเล่นหรือไง? ใครกันที่จะยอมยกบริษัทที่ใหญ่ขนาดนี้ให้เด็กสาวดูแลกัน? ถ้าบริษัทเสียหายใครจะเป็นคนรับผิดชอบความเสียหายให้พวกเรา…”

“เด็กสาวที่ยังเรียนไม่จบแล้วยังกล้าที่จะมาบริหารบริษัทอีกเหรอเนี่ย?! อย่าฝันไปเลย เราไม่เห็นด้วย ถึงแม้เธอจะเป็นลูกสาวคนเดียวของมู่หรงเฟิงฮัวแต่เธอก็ยังไม่มีคุณสมบัติ…”

“ใช่แล้ว เราควรที่จะนัดประชุมกันใหม่และเลือกคนที่เหมาะสมเข้ามาเป็นประธานคนใหม่…”

“…”

ชายแก่อีกคนเริ่มพูดเรื่องใหม่ขึ้นมาอีก มู่หรงเฟิงฮัวหายตัวไปนานแล้ว สุดท้ายด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้ที่มู่หรงเฟิงฮัวหายตัวไปจริงๆ ในตอนนี้คงจะเป็นเรื่องโง่มากถ้าไม่เข้ามาบริหารมู่หรงกรุ๊ป เมื่อหลายวันก่อนพวกเขาเริ่มที่จะเถียงกันเองแล้วและผู้ถือหุ้นแต่ละกันก็ไม่ต่างกันมาก พวกเขาต่างก็อยากที่จะเข้ามาแทนที่ แต่หุ้นที่ใหญ่ที่สุดก็ยังอยู่ในมือของมู่หรงเฟิงฮัวแต่มันก็ไม่สำคัญหรอก เมื่อพวกเขาขึ้นมาอยู่ในระดับสูง พวกเขาก็จะค่อยๆเข้ามาครอบครองทุกอย่างอย่างช้าๆ

ผู้ถือหุ้นแทบจะทุกคนต่างก็คิดแบบนี้ แต่ไม่คิดเลยว่าเด็กสาวคนนี้จะโผล่มา เดิมทีพวกเขาก็ไม่ได้สนใจแต่พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าเด็กสาวคนนี้ไม่กลัวอะไรเลย มีบางคนส่งนักฆ่าไปเพื่อที่จะจัดการเรื่องนี้อย่างถาวร ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้รับแจ้งเรื่องการประชุมเมื่อวานจึงไม่มีใครมาเลย

แต่เมื่อวานตอนเย็นทุกคนต่างก็ถูกโจมตีและถึงขนาดบอกให้พวกเขามาประชุมในวันนี้ด้วย

ด้วยความรู้สึกอยากที่จะเข้าใจสถานการณ์และอยากที่จะเห็นว่าใครกันแน่ที่กล้าโจมตีพวกเขา พวกเขาไม่ได้สนใจหลงอี้และคนอื่นๆที่อยู่เบื้องหลังมู่หรงเสวี่ยไปนานแล้ว พวกเขาคิดว่ามู่หรงเสวี่ยขี้อายและอยากที่จะได้เงิน

“เลือกใหม่งั้นเหรอ?! อย่าฝันไปหน่อยเลย จะไม่มีใครเข้ามาดูแลมู่หรงกรุ๊ปจนกว่าพ่อฉันจะกลับมา ไม่งั้นฉันก็ไม่รังเกียจที่จะให้พวกคุณได้ลิ้มรสชาติแบบเมื่อคืนอีกครั้ง เพียงแค่ครั้งหน้าจะไม่ใช่อะไรเบาๆแค่หน้าเขียวช้ำแน่ๆ…”

“กลายเป็นว่าเธอเองสินะที่เมื่อคืนทำเรื่องที่ผิดกฎหมาย ฉันคิดว่าเธอไม่ควรที่จะอยู่ที่นี่แต่ไปอยู่ในคุกเพื่อที่จะได้เรียนรู้อะไรดีๆบ้างนะ…” เมื่อพวกเขานึกถึงเรื่องที่พวกเขาต้องเจอเมื่อคืน พวกเขาต่างก็รู้สึกโกรธขึ้นมาอย่างมาก พวกเขาทำได้เพียงเก็บกดความรู้สึกล้มเหลวไว้ในใจ และพูดออกมาว่า “ฉันคิดว่าตอนอายุเท่านี้มู่หรงเฟิงฮัวไม่ได้โหดร้ายขนาดนี้หรอกนะเพื่อที่จะได้บริหารบริษัทดีๆ ฉันคิดว่ามู่หรงเฟิงฮัวเป็นไอ้โง่เรื่องการเลี้ยงลูกสาว…”

“อาทิตย์นี้มาประชุมเลือกประธานคนใหมากันเถอะ…” พวกเขาไม่สนใจมู่หรงเสวี่ย

มู่หรงเสวี่ยแสยะยิ้ม แล้วมองไปที่หลินหงที่กำลังยืนอยู่ข้างๆ หลินหงพยักหน้าและแจกเอกสารที่ถูกจัดอย่างดีไว้บนโต๊ะให้ผู้ถือหุ้นแต่ละคน

“พวกคุณน่าจะอ่านข้อมูลในมือกันก่อนนะ ถ้าพวกคุณไม่มีปัญหากับการที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกไป งั้นเราค่อยมาคุยเรื่องการเลือกประธานใหม่กัน…อีกอย่างถ้าฉันถือหุ้นของบริษัทนี้ 60% งั้นพวกคุณก็ไม่มีสิทธิที่จะจัดการประชุมผู้ถือหุ้น เท่าที่ฉันรู้นะ คนที่จะจัดการประชุมผู้ถือหุ้นได้ต้องเป็นคนที่ถือหุ้นมากกว่าผุ้ถือหุ้นทั้งหมดเท่านั้น”

หลังจากที่เงียบไป มู่หรงเสวี่ยก็พูดต่อ “ถ้าฉันรู้ว่าพวกคุณมีการเคลื่อนไหวอะไรแม้เพียงนิดเดียว ก็อย่ามาหาว่าฉันหยาบคายก็แล้วกัน ยังไงซะปากฉันก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไรด้วย บางทีความลับก็พวกคุณคนใดคนหนึ่งอาจจะถูกเปิดเผยออกไปและดึงดูโความสนใจของพวกสื่อ เดาว่าพวกคุณหลายคนก็คงไม่ค่อยโอเคเท่าไร ว่าไหมคะ?!!”

เหล่าผู้ถือหุ้นยังคงมีท่าทางยโสในขณะที่เปิดเอกสารที่อยู่ตรงหน้า เมื่อพวกเขาเห็นหน้าแรก ดวงตาของพวกเขาก็ต้องเบิกกว้างและสีหน้าก็เต็มไปด้วยอาการไม่อยากจะเชื่อ

ทุกคนต่างก็เป็นนักธุรกิจที่มีประสบการณ์ เรื่องสกปรกแบบนี้พวกเขาต่างก็คิดว่าตัวเองปกปิดไว้อย่างดีแล้ว แต่ตอนนี้เมื่อพวกเขาเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า พวกเขาจะไม่รู้สึกกลัวได้ยังไง? ชั่วขณะหนึ่งก็ไม่มีใครกล้าที่จะพูดอะไรอีก

ไม่มีใครกล้าที่จะลบล้างคำพูดของมู่หรงเสวี่ย ยังไงซะพวกเขาก็ตกอยู่ในกำมือของเด็กสาวอายุ 16 พวกเขาต่างก็คิดว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงลูกแมวที่ไร้พิษภัยแต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกลายเป็นเสือที่พร้อมจะฆ่าคนได้โดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา

มู่หรงเสวี่ยมองสีหน้าที่ซีดเผือดของทุกคนอย่างพอใจ ตราบใดที่เธอยังอยู่ที่นี่ จะไม่มีใครพรากสิ่งที่เป็นของพ่อแม่เธอไปได้ เธอจะปกป้องไว้จนกว่าจะถึงวันที่พวกท่านกลับมา

“ถ้าไม่มีอะไรคัดค้านแล้ว งั้นก็จบการประชุม ในอนาคตก็ไม่มีเรื่องอะไรที่ทุกคนจะต้องเป็นห่วงเกี่ยวกับเรื่องของบริษัท ที่บริษัทมีพนักงานเพียงพอแล้วและไม่จำเป็นที่จะต้องหาคนอื่นมาเพิ่มอีก ถ้าฟังไม่ชัดหรือไม่เข้าใจอะไร ฉันก็ไม่รังเกียจที่จะส่งคนไปคุยกับพวกคุณถึงหน้าประตูบ้าน…” สายตาของมู่หรงเสวี่ยแวบประกายดุดัน และพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหยิ่งยโส

เห็นได้ชัดว่าคนแก่เหล่านี้เพียงแค่เก็บกดคำพูดเอาไว้และพูดออกมาด้วยคำดีๆ อีกฝ่ายคิดว่าพวกเขากำลังถูกรังแก ตรงกันข้ามในตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการแก้ปัญหาเรื่องความรุนแรง

มู่หรงเสวี่ยเองก็ขี้เกียจที่จะเห็นหน้าคนแก่ที่น่าหดหู่พวกนี้อีก เธอค่อยๆลุกขึ้นและพูดออกมา “เลิกได้!” แล้วเธอก็เดินออกไป ในตอนนี้ไม่มีใครกล้าที่จะมองมู่หรงเสวี่ยเป็นเด็กสาวอีกแล้ว พูดได้เลยว่าเด็กสาวคนนี้โหดเหี้ยมมากกว่าพ่อของเธอซะอีกและอย่างน้อยก็ยังไว้หน้าพวกเขา

ก่อนที่จะเดินออกไป หลงอี้และคนอื่นๆก็เปิดอาวุธที่เหน็บอยู่ที่เสื้อผ้าของพวกเขาให้เหล่าผู้ถือหุ้นได้เห็น อีกครั้งที่สีหน้าของเหล่าผู้ถือหุ้นเปลี่ยนเป็นซีดเผือดและถึงขนาดที่พวกเขาบางคนอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น

แม้แต่หลินหงก็รู้สึกชื่นชมมากกว่าตอนแรกอีก เขาเดินตามมู่หรงเสวี่ยไปเงียบๆและซ้อนทับร่างของมู่หรงเสวี่ยกับท่านประธานเป็นครั้งแรก ท่านประธานสั่งสอนลูกสาวมาได้อย่างดีมากจริงๆ แต่ก่อนเขาเคยได้ยินท่านประธานพูดชมเธอหลายครั้งแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นความยอดเยี่ยมของคุณหนูใหญ่จริงๆ

มู่หรงเสวี่ยกลับไปที่ห้องประธาน เธอไม่คิดว่าพวกผู้ถือหุ้นจะเป็นปัญหาอะไร สิ่งที่รบกวนจิตใจเธอมากที่สุดคือปัญหาเรื่องคน เมื่อวานเธอถามเรื่องสถานการณ์ที่บริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปและพบว่าบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปเองก็กำลังขาดคนอย่างมากและไม่สามารถที่จะโอนคนมาให้เธอได้

แผนที่จะล้อมเมืองเข้ามาจากชานเมืองเป็นแผนที่ใหญ่มาก ก็เป็นเรื่องปกติที่คนจะไม่พอ นอกจากนี้เธอก็ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากแผนนี้และก็การเพิ่งเงินทุน แค่นี้เธอก็รู้สึกผิดมากพอแล้ว

ตอนนี้สิ่งที่เธอกังวลมากที่สุดคือเรื่องของพ่อแม่ เธอจะต้องหาวิธีที่จะข้ามห้วงเวลาและมิติลับไปให้ได้อย่างเร็วที่สุด ในมิติลับจะต้องมีวิธีสิ บางทีเธออาจจะมองข้ามไป มู่หรงเสวี่ยนวดขมับที่กำลังปวดแล้วมองไปที่หลินหงที่เดินตามเธอมาและพูดออกมา “มีใครในบริษัทที่เราพอจะเชื่อใจได้บ้างไหม? ช่วยเล่าให้ฉันฟังที!”

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+