ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 227 ก้าวเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตน

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 227 ก้าวเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 227

ก้าวเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตน

มู่หรงเสวี่ยไม่ได้ตั้งใจรอความตาย ถึงแม้ความสามารถของเธอจะยังไม่พอแต่เธอก็ต้องสู้ด้วยความแข็งแกร่งทั้งหมดที่เธอมี

เธอกำลังที่จะเข้าไปในมิติลับเพื่อฝึกฝนตอนที่เธอได้รับสายที่ไม่คาดคิด เธอเกือบที่จะลืมคนคนนี้ไปแล้ว การติดต่อของเธอกับเขามีเพียงเรื่องทะเลดอกไม้ที่สวยงาม

มู่หรงเสวี่ยลังเลอยู่สักพักแล้วก็กดรับสาย

“จำฉันได้หรือเปล่า?” ที่ปลายสายมีเสียงที่ไพเราะดังขึ้นมา

“จำได้สิ ชางกวนหลินไง! มีอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่าคะ?” มู่หรงถามเสียงเบา การได้ยินเสียงเขาอีกครั้งทำให้เธอรู้สึกแปลกมากๆ

เดิมทีก็พูดได้ว่าทั้งสองเป็นเพื่อนกัน เพราะไม่มีเรื่องอะไรมาทำให้พวกเขากลายเป็นคนแปลกหน้ากัน

“ฉันคิดเรื่องนี้อยู่นานมาก เธอเองก็น่าที่จะสังเกตเห็นด้วยเหมือนกัน!” ที่ปลายสายของอีกฝ่ายมีเสียงหัวเราะออกมาด้วย

“เรื่องอะไรงั้นเหรอ?” มู่หรงถาม

ชางกวนหลินกำมือที่ถือโทรศัพท์อยู่สักพักแล้วถามออกมา “เธอไม่สังเกตเห็นความลับที่อยู่ในร่างกายของเธองั้นเหรอ?! เธอกับฉันน่าจะเป็นคนที่มาจากโลกเดียวกันและเราไม่ควรที่จะเสียเวลาอยู่ในเรื่องทางโลกแบบนี้…” คนอย่างพวกเขาควรดำเนินตามทางของพระเจ้าสูงสุด

“ความลับงั้นเหรอ?” ร่างกายของมู่หรงเสวี่ยนิ่งไปชั่วขณะและเธอก็รู้สึกตกใจอยู่เล็กน้อย ชางกวนหลินรู้เรื่องอะไรมาหรือเปล่า?! เขารู้ความลับอะไรอีกนอกจากเรื่องการมองเห็นของเธอ

แล้วเธอก็สงบใจและถามออกไป “ฉันไม่รู้ว่านายกำลังพูดเรื่องอะไร!”

“เธอเป็นร่างกายศักดิ์สิทธิ์ของสวรรค์ หากเธอไม่ก้าวเข้าสู่โลกแห่งการบ่มเพาะและเร่งความสำเร็จให้เร็วที่สุด หากผู้ฝึกตนคนอื่นรู้ เธอจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย…” ชางกวนหลินไม่ได้ข่มขู่เธอ ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องการมองเห็นของเขา เขาก็คงไม่รู้และแน่นอน เขาไม่ได้บอกคนอื่น

“กายของศักดิ์สิทธิ์คืออะไรเหรอ?” ช่วงนี้มีหลายเรื่องมากที่เธอไม่เข้าใจแต่เธอก็กลัวว่ากายศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์นี้จะไม่ใช่สิ่งที่ดี

เธอมีปัญหามากพอแล้ว

“กายศักดิ์สิทธิ์เป็นร่างกายที่ดีที่สุดในการฝึกฝน ซึ่งสามารถบรรลุผลสองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว แต่ก็เป็นเตาหลอมที่ดีที่สุดเช่นกัน โลกแห่งการฝึกฝนจึงไม่ได้สงบเท่าไร ถ้าเธอบอกให้คนอื่นรู้ เธอก็จะต้องถูกคุมขังตอนไหนก็ได้แล้วถูกทำให้เป็นเตาหลอม…” (*เตาหลอมคู่บำเพ็ญแบบดูดพลัง)

เดิมทีเขาไม่ได้อยากที่จะรบกวนเธอ เขาอยากให้เธอเป็นคนธรรมดาไปตลอดชีวิตของเธอ เพื่อที่เธอจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อย่างไรก็ตามเขาไม่รู้ว่าทำไม เมื่อเร็ว ๆ นี้ทั้งๆที่มีข้อบังคับในโลกผู้ฝึกตนที่ไม่สามารถแทรกแซงโลกทางโลกได้แต่กลับมีผู้เชี่ยวชาญจับคนที่มีร่างกายที่ดีและอาจมีร่างกายที่เป็นอมตะเพื่อมาทำการวิจัย

ยิ่งมู่หรงฟังมากขึ้นเท่าไรหัวใจของเธอก็สั่นมากขึ้นเท่านั้น “งั้นฉันจะอยากถือระเบิดแบบนั้นไว้ทำไมล่ะ?!!! ฉันไม่คิดว่าร่างกายตัวเองแตกต่างอะไร ฉันแค่จะบอกว่าฉันเป็นคนธรรมดา”

“เพราะดวงตาของฉันไม่เหมือนปกติ ฉันก็เลยมองเห็น…”

เธอจะไม่ยอมถูกเขาคุกคาม ที่เขาโทรมาอาจเป็นสาเหตุนี้?! สายตาของมู่หรงเย็นชา เขามีเจตนาอะไรถึงได้โทรมาหาเธอ? เป็นเพราะร่างกายศักดิ์สิทธิ์ของเธอหรือเปล่า?!!!

ตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอได้เจอชางกวนหลิน มู่หรงเสวี่ยก็รู้สึกแปลกๆแล้ว เขาดูเหมือนจะมองเห็นเธอทะลุปรุโปร่งอยู่ตลอด เขาชอบโผล่มาหาเธอโดยไม่ได้นัดก่อน เธอรู้สึกอึดอัดอยู่เงียบๆราวกับว่าตัวเองถูกขโมยความเป็นส่วนตัวไป

“นายต้องการอะไร?” มู่หรงเสวี่ยถามอย่างเย็นชา

จู่ๆชางกวนหลินก็หัวเราะออกมา เสียงหัวเราะดังชัดเจนราวกับว่ามู่หรงเสวี่ยเพิ่งจะพูดเรื่องตลกออกมา

“นายหัวเราะอะไร?”

“เพราะมันตลกไง เธอคิดว่าฉันจะทำอะไรกับเธองั้นเหรอ?! ถ้าฉันอยากที่จะทำอะไรเธอ งั้นฉันจะรอมาถึงตอนนี้ทำไม…”

ก็ดูเหมือนจะจริง “ขอบคุณนะที่บอกฉัน งั้นถ้าไม่มีอะไรฉันจะว่างแล้วนะ…” ไม่ว่าเขาจะตามหาอะไร เธอก็ไม่อยากที่จะติดต่อด้วยมาก นี่ยังไม่พูดถึงเรื่องที่เขายังเป็นน้องชายของ ชางกวนโม่อีกด้วย ถึงแม้ชางกวนโม่จะกลายเป็นเพียงความทรงจำแล้วแต่เธอก็ไม่อยากที่จะเข้าไปแตะความทรงจำนี้

บางทีเมื่อเธอแก่ตัวลง เธอก็อาจจะวางเรื่องทุกอย่างลงได้และเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูดได้อย่างสบายใจ

“เดี๋ยวก่อน เธอไม่อยากที่จะรู้ความจริงงั้นเหรอ?!!! นี่เธอไม่เข้าใจเรื่องที่ฉันพูดเลยงั้นเหรอ?” ชางกวนหลินไม่คิดว่า มู่หรงเสวี่ยจะมีท่าทางแบบนี้

“ฉันจะหาวิธีเอง!” มู่หรงเสวี่ยพูดเสียงเบา แน่นอนเธออยากที่จะแข็งแกร่งและดูเหมือนว่าเธอจะมีวิธีอีกมากมาย ถึงแม้เธอจะสับสน แต่เธอก็มั่นใจว่าภาพที่กำแพงหินคือวิธีของการฝึก

“หาเองงั้นเหรอ?! ไม่ว่าเธอจะตามหายังไง เธอก็หาไม่เจอหรอก เดี๋ยวนี้โลกของผู้ฝึกตนไม่ได้ทรงอำนาจเหมือนแต่ก่อน แต่ก็ยังมีโรงเรียนหลายแห่งที่สืบทอดต่อกันมา ทักษะการฝึกอยู่ในมือของนิกายเหล่านี้ ถ้าเธออยากที่จะฝึกเธอก็ต้องเข้าร่วมนิกาย…” ชางกวนหลินเริ่มที่จะพูดเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดในโลกผู้ฝึกตนโดยละเอียด

มู่หรงเสวี่ยฟังอย่างตั้งใจ เธอรู้ว่านี่เป็นโลกที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน “ขอบคุณที่บอกเรื่องนี้กับฉัน แต่นายตั้งใจที่จะให้ฉันเข้าร่วมกับนิกายงั้นเหรอ?! แต่นายเพิ่งบอกว่าร่างกายของฉันแตกต่างจากคนอื่นไม่ใช่เหรอ?! แบบนี้ ไม่ใช่ว่าฉันก็จะเข้าไปในปากเสือไม่ใช่เหรอ?”

“ไม่ต้องห่วง ในตอนนี้ฉันยังไม่เจอใครที่มีสายตาแบบนี้เลย นอกจากฉันแล้วก็มีเพียงเธอคนเดียวที่เหลืออยู่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องเข้มแข็ง ฉันสามารถช่วยแนะนำให้เธอได้ ส่วนเรื่องที่เธอจะเข้านิกายได้หรือเปล่านั้น มันก็ขึ้นอยู่กับศักยภาพของเธอเองทั้งหมด ตอนนี้มีทรัพยากรในการฝึกฝนอยู่น้อยลงเรื่อยๆ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะถูกคัดเลือก นอกจากเธอจะทำผลออกมาได้อย่างดี” ชางกวนหลินไม่รู้ว่าตัวเองอยากที่จะทำอะไร เขาเองก็ชอบมู่หรงเสวี่ยเหมือนกัน แต่เพียงแค่พยายามที่จะดึงเธอเข้ามาในโลกของเขา

มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้วและสงสัยในเรื่องจูงใจของ ชางกวนหลิน อย่างไรก็ตามจากคำพูดของเขาเธอก็ไม่ได้รู้สึกถึงเจตนาไม่ดีอะไร นอกจากนี้จากที่เขาพูด ถ้าเขาอยากที่จะทำร้ายเธอ เขาก็คงจะทำไปนานแล้ว ทำไมต้องรอมาถึงตอนนี้ล่ะ? อันที่จริงเธอก็ต้องการใครสักคนที่จะมาคอยแนะนำเธอจริงๆ ไม่งั้นเธอก็คงจะเปิดเผยตัวเองแน่ๆและเธอก็คงไม่รู้ว่าจะทำยังไง “งั้น ฉันต้องเตรียมอะไรบ้าง? ต้องมีอุปกรณ์หรืออะไรหรือเปล่า?” มู่หรงเสวี่ยถาม

“ไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์อะไร ของทางโลกไม่เหมาะกับผู้ที่ฝึกตัวยกเว้นผลไม้แห่งจิตวิญญาณและสมุนไพรคุณภาพสูง แต่เธอก็มีของพวกนั้นแล้ว เธอเองก็อันตรายมากเช่นกันและเธอจะต้องถูกจับตามอง! .” ชางกวนหลินพูด

มู่หรงเสวี่ยคงไม่โง่พอที่จะเอาของจากมิติลับออกมาแล้ว ชายอันตรายที่เธอเจอครั้งที่แล้วก็ทำให้เธอรู้สึกเสียใจมากพอแล้ว โชคดีที่ผักไม่ใช่ของที่พิเศษอะไรมาก มันก็มีแสงออร่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เธอไม่รู้ว่าชายคนนั้นใส่อะไรเข้าไปในร่างกายเธอซึ่งดูเหมือนจะเป็นพลังจิต เธอรู้สึกปวดหัวเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เพราะเธอไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้เลย เธอรู้สึกถึงอันตรายอยู่ตลอด ดังนั้นข้อเสนอของชางกวนหลินจึงฟังดูน่าตื่นเต้นอย่างมากจริงๆ

“งั้นจะไปเมื่อไร?” มู่หรงเสวี่ยถาม

ชางกวนหลินได้ยินคำตอบตกลงของมู่หรงเสวี่ย ก็เผยรอยยิ้มออกมา “เดือนหน้า ฉันต้องกลับไปที่นิกายแล้วรายงานเรื่องนี้กับท่านอาจารย์ก่อน!” เดิมทีเขาอยากที่จะให้ท่านอาจารย์รับมู่หรงเสวี่ยเป็นศิษย์ เพื่อที่พวกเขาจะได้เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน

แต่ท่านอาจารย์บอกว่าไม่ได้รับลูกศิษย์มาหลายปีแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะรับปากง่ายๆ ถึงแม้เขาจะรู้ว่ามู่หรงเสวี่ยฝีมือดีอย่างมากแต่เขาก็ไม่อยากที่จะบอกใคร รวมทั้งอาจารย์ของเขาด้วย ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อใจท่านอาจารย์แต่เขาอยากที่จะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ

หลังจากที่วางสายไป มู่หรงเสวี่ยก็หันหลังและโทรหาพี่จื่อเหวิน ขอให้เขาบอกแก๊งโม่ให้ตามหาแหล่งที่อยู่ของ เสี่ยวเข่อลี่ แต่เขายังไม่ต้องลงมือทำอะไรทั้งนั้นแค่มาแจ้งเธอว่าเธออยู่ที่ไหน มู่หรงเสวี่ยจะไม่เอาความปลอดภัยของแก๊งโม่เข้าไปล้อเล่น

เสี่ยวเข่อลี่, ฟางฉีหัว ในชีวิตนี้มาคอยดูกันว่าใครจะล้มก่อนกัน!!!

แล้วเธอก็ไปที่ตลาดดอกไม้และตลาดสัตว์เลี้ยงทันทีเพื่อที่จะซื้อนกและปลาสวยงามมาให้คุณปู่ แน่นอนว่าพวกมันถูกนำมาส่งถึงหน้าประตู เธอขนมาเองได้ไม่เยอะ

เมื่อของมาส่ง เธอบอกให้คนเอาขึ้นมาไว้ที่ห้องเธอโดยตรงและทำให้คนอื่นมองเธอราวกับเป็นคนบ้า คนปกติคงไม่เอาสัตว์พวกนี้เข้ามาไว้ในห้องนอนกันหรอก แต่ไม่ว่าคนอื่นจะมองยังไง มู่หรงเสวี่ยก็ยังยืนยันแต่ก็รู้สึกแปลกๆนิดหน่อย ไม่งั้นถ้าเธอเอาของพวกนี้เข้าไปในมิติลับเลย พวกการ์ดที่อยู่ข้างนอกก็คงจะเห็นได้อย่างง่ายดาย

หลังจากที่ทุกคนออกไปแล้ว มู่หรงเสวี่ยก็เอาทุกอย่างเข้าไปในมิติลับ เมื่อได้เห็นของมากมายแบบนี้ คุณปู่คุณย่าของเธอก็มีความสุขอย่างมากราวกับเป็นเด็กๆ มุ่หรงเสวี่ยรู้สึกมีความสุขแต่ก็รู้สึกปวดใจไปด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ พวกท่านก็คงจะได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระอยู่ข้างนอก ไม่ว่ามิติลับจะดีมากแค่ไหน แต่มันก็คงไม่ดีเท่ากับการมีเพื่อนๆหรอก

เธอต้องแข็งแกร่งให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะปกป้องคนที่สำคัญของครอบครัว เพื่อที่คนอื่นจะไม่เข้ามารังแกเธออีก เธอต้องทำให้ได้

โดยเฉพาะเรื่องที่ชางกวนหลินบอกวันนี้ยิ่งทำให้เธอรู้ตัวว่าตัวเองละเลยและอ่อนแอมากแค่ไหน

มู่หรงเสวี่ยกล่าวลาคุณปู่คุณย่าและเดินไปอีกฝั่งของน้ำตก สิ่งเดียวที่เธอรู้สึกว่าโชคดีมากคือเธอมีเวลามากกว่า คนอื่น ๆ นับไม่ถ้วน สิบปีเท่ากับหนึ่งวัน ถ้าการมีของล้ำค่าแบบนี้แล้วจะไม่ทำให้เธอทรงพลัง งั้นมันก็เป็นเรื่องตลกแล้ว

มู่หรงเสวี่ยเข้าไปในทางเดินของกำแพงหินและเริ่มฝึกจนลืมที่จะกินหรือนอนเลย เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า

เมื่อเธอหิว เธอก็จะเดินไปเด็ดผลไม้ที่ต้นมากิน หลังจากที่กินแล้วเธอก็จะฝึกต่อ เพราะผลไม้มีพลังของจิตวิญญาณอยู่ด้วย ซึ่งมันจะช่วยเพิ่มความเร็วในการฝึกขึ้นไปอีก

เพียงแค่เธอไม่ได้เลือกและกินผลไม้แห่งจิตวิญญาณที่ได้มาจากพื้นที่ดั้งเดิม เธอยังบอกคุณปู่คุณย่าไม่ให้เด็ดพวกมันมากินด้วย ให้กินได้แต่ผลไม้ที่เธอปลูกเท่านั้น ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากให้พวกท่านกินแต่ผลไม้พวกนั้นมีออร่าแข็งแกร่งเกินไป

ตอนที่เธอเข้ามาในมิติลับครั้งแรก เธอยังเลือกและกินผลไม้ไปหลายชนิด อย่างไรก็ตามเธอไม่รู้ว่าเป็นเพราะมู่หรงเสวี่ยเพิ่งจะเข้ามาในมิติลับหรือเหตุผลอื่น ๆ ในระยะสั้นผลไม้แห่งจิตวิญญาณของมิติลับมีไม่มากดังนั้นเธอจึงโอเค ตอนนี้ผลไม้แห่งวิญญาณทั้งหมดนี้มีพลังทางวิญญาณที่ทรงพลังและน่ากลัว หากเธอเผลอกินเข้าไป เธอก็จะตายได้อย่างง่ายดาย แม้แต่ มู่หรงเสวี่ยเองก็ยังไม่กล้าที่จะลองเลย

เพื่อทำความเข้าใจชนิดของผลไม้เธอจึงค้นหาหนังสือทั้งหมดในตู้หนังสือ ด้วยเหตุนี้เธอจึงพบคำตอบในหนังสือแดนทั้งหมดนี้เป็นผลไม้แห่งจิตวิญญาณ พวกมันเป็นผลไม้แห่งจิตวิญญาณที่บ้าคลั่งมากในโลกของบ่มเพาะถ้าพวกมันได้รับการพัฒนาการเพาะปลูก พวกมันก็จะดีขึ้นและอันตรายน้อยลงมาก หลังจากปรับแต่งและทำให้เป็นกลางด้วยสมุนไพรอื่น ๆผลไม้จะเป็นที่ยอมรับมากขึ้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะถูกแสงออร่าในผลไม้ดึงดูด ดังนั้นก่อนที่จะทำยา เธอจะไม่ลองกินผลไม้พวกนี้นอกจากจะจำเป็นจริงๆ

วันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ มู่หรงเสวี่ยไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว วันเวลาแห่งการฝึกฝนผ่านไปไวในพริบตา วันนี้ผิวที่ขาวผ่องของมู่หรงกลายเป็นใสดั่งคริสตัล เริ่มส่งแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมาอย่างอธิบายไม่ถูกซึ่งช่วยดึงดูดผู้คนให้อยากที่จะเข้ามาใกล้อย่างบอกไม่ถูก นี่คือข้อพิสูจน์ของการก้าวเข้าสู่การฝึกฝน คนทั่วไปจะรู้สึกดีได้ง่ายๆ เพราะร่างกายเป็นวิญญาณในการกำจัดสิ่งสกปรก สิ่งบริสุทธิ์ต่างๆ ทุกคนต่างก็ชอบความสงบ

นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมมู่หรงเสวี่ยถึงดูน่าดึงดูดตั้งแต่เธอได้เกิดใหม่เนื่องจากเธอได้รับผักและผลไม้ในมิติลับมาเป็นเวลานาน เธอจึงยังมีแสงออร่านิดหน่อยอยู่ในร่างกายแม้เธอยังไม่ได้เข้ามาฝึกก็ตาม

แน่นอนว่ามันแค่ทำให้คนดูดีขึ้นและคนอื่นก็อยากที่จะเข้าใกล้ แต่พวกคนที่เคยเกลียดเธอก็ยังคงเกลียดเธออยู่ดี แสงออร่าไม่ใช่ยาวิเศษ มันช่วยเปลี่ยนความรู้สึกของคนไม่ได้ แต่ใบหน้าที่เดิมทีก็สวยอยู่แล้ว ในตอนนี้ก็ยิ่งไร้ที่ติมากขึ้นไปอีก

จนกระทั่งมู่หรงเสวี่ยรู้สึกว่าเวลาผ่านไปนานมากแล้ว เธอจึงแวบกลับออกมายังโลกที่ห่างหายไปนาน

เธอมองไปที่ปฏิทินและเห็นว่านี่ผ่านมา 10 วันแล้ว งั้นในมิติลับก็จะผ่านไป 100 ปี การฝึกมันแย่มากจริงๆ เวลาผ่านไปไวราวกับกะพริบตา มู่หรงเสวี่ยคิดถึงคุณปู่คุณย่าในมิติลับและคิดถึงเรื่องความเป็นไปได้ที่จะให้พวกท่านมาฝึกด้วยกัน

เธออยากให้ครอบครัวของเธอมีอายุที่ยืนยาว

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 227 ก้าวเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตน

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 227 ก้าวเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 227

ก้าวเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตน

มู่หรงเสวี่ยไม่ได้ตั้งใจรอความตาย ถึงแม้ความสามารถของเธอจะยังไม่พอแต่เธอก็ต้องสู้ด้วยความแข็งแกร่งทั้งหมดที่เธอมี

เธอกำลังที่จะเข้าไปในมิติลับเพื่อฝึกฝนตอนที่เธอได้รับสายที่ไม่คาดคิด เธอเกือบที่จะลืมคนคนนี้ไปแล้ว การติดต่อของเธอกับเขามีเพียงเรื่องทะเลดอกไม้ที่สวยงาม

มู่หรงเสวี่ยลังเลอยู่สักพักแล้วก็กดรับสาย

“จำฉันได้หรือเปล่า?” ที่ปลายสายมีเสียงที่ไพเราะดังขึ้นมา

“จำได้สิ ชางกวนหลินไง! มีอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่าคะ?” มู่หรงถามเสียงเบา การได้ยินเสียงเขาอีกครั้งทำให้เธอรู้สึกแปลกมากๆ

เดิมทีก็พูดได้ว่าทั้งสองเป็นเพื่อนกัน เพราะไม่มีเรื่องอะไรมาทำให้พวกเขากลายเป็นคนแปลกหน้ากัน

“ฉันคิดเรื่องนี้อยู่นานมาก เธอเองก็น่าที่จะสังเกตเห็นด้วยเหมือนกัน!” ที่ปลายสายของอีกฝ่ายมีเสียงหัวเราะออกมาด้วย

“เรื่องอะไรงั้นเหรอ?” มู่หรงถาม

ชางกวนหลินกำมือที่ถือโทรศัพท์อยู่สักพักแล้วถามออกมา “เธอไม่สังเกตเห็นความลับที่อยู่ในร่างกายของเธองั้นเหรอ?! เธอกับฉันน่าจะเป็นคนที่มาจากโลกเดียวกันและเราไม่ควรที่จะเสียเวลาอยู่ในเรื่องทางโลกแบบนี้…” คนอย่างพวกเขาควรดำเนินตามทางของพระเจ้าสูงสุด

“ความลับงั้นเหรอ?” ร่างกายของมู่หรงเสวี่ยนิ่งไปชั่วขณะและเธอก็รู้สึกตกใจอยู่เล็กน้อย ชางกวนหลินรู้เรื่องอะไรมาหรือเปล่า?! เขารู้ความลับอะไรอีกนอกจากเรื่องการมองเห็นของเธอ

แล้วเธอก็สงบใจและถามออกไป “ฉันไม่รู้ว่านายกำลังพูดเรื่องอะไร!”

“เธอเป็นร่างกายศักดิ์สิทธิ์ของสวรรค์ หากเธอไม่ก้าวเข้าสู่โลกแห่งการบ่มเพาะและเร่งความสำเร็จให้เร็วที่สุด หากผู้ฝึกตนคนอื่นรู้ เธอจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย…” ชางกวนหลินไม่ได้ข่มขู่เธอ ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องการมองเห็นของเขา เขาก็คงไม่รู้และแน่นอน เขาไม่ได้บอกคนอื่น

“กายของศักดิ์สิทธิ์คืออะไรเหรอ?” ช่วงนี้มีหลายเรื่องมากที่เธอไม่เข้าใจแต่เธอก็กลัวว่ากายศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์นี้จะไม่ใช่สิ่งที่ดี

เธอมีปัญหามากพอแล้ว

“กายศักดิ์สิทธิ์เป็นร่างกายที่ดีที่สุดในการฝึกฝน ซึ่งสามารถบรรลุผลสองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว แต่ก็เป็นเตาหลอมที่ดีที่สุดเช่นกัน โลกแห่งการฝึกฝนจึงไม่ได้สงบเท่าไร ถ้าเธอบอกให้คนอื่นรู้ เธอก็จะต้องถูกคุมขังตอนไหนก็ได้แล้วถูกทำให้เป็นเตาหลอม…” (*เตาหลอมคู่บำเพ็ญแบบดูดพลัง)

เดิมทีเขาไม่ได้อยากที่จะรบกวนเธอ เขาอยากให้เธอเป็นคนธรรมดาไปตลอดชีวิตของเธอ เพื่อที่เธอจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อย่างไรก็ตามเขาไม่รู้ว่าทำไม เมื่อเร็ว ๆ นี้ทั้งๆที่มีข้อบังคับในโลกผู้ฝึกตนที่ไม่สามารถแทรกแซงโลกทางโลกได้แต่กลับมีผู้เชี่ยวชาญจับคนที่มีร่างกายที่ดีและอาจมีร่างกายที่เป็นอมตะเพื่อมาทำการวิจัย

ยิ่งมู่หรงฟังมากขึ้นเท่าไรหัวใจของเธอก็สั่นมากขึ้นเท่านั้น “งั้นฉันจะอยากถือระเบิดแบบนั้นไว้ทำไมล่ะ?!!! ฉันไม่คิดว่าร่างกายตัวเองแตกต่างอะไร ฉันแค่จะบอกว่าฉันเป็นคนธรรมดา”

“เพราะดวงตาของฉันไม่เหมือนปกติ ฉันก็เลยมองเห็น…”

เธอจะไม่ยอมถูกเขาคุกคาม ที่เขาโทรมาอาจเป็นสาเหตุนี้?! สายตาของมู่หรงเย็นชา เขามีเจตนาอะไรถึงได้โทรมาหาเธอ? เป็นเพราะร่างกายศักดิ์สิทธิ์ของเธอหรือเปล่า?!!!

ตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอได้เจอชางกวนหลิน มู่หรงเสวี่ยก็รู้สึกแปลกๆแล้ว เขาดูเหมือนจะมองเห็นเธอทะลุปรุโปร่งอยู่ตลอด เขาชอบโผล่มาหาเธอโดยไม่ได้นัดก่อน เธอรู้สึกอึดอัดอยู่เงียบๆราวกับว่าตัวเองถูกขโมยความเป็นส่วนตัวไป

“นายต้องการอะไร?” มู่หรงเสวี่ยถามอย่างเย็นชา

จู่ๆชางกวนหลินก็หัวเราะออกมา เสียงหัวเราะดังชัดเจนราวกับว่ามู่หรงเสวี่ยเพิ่งจะพูดเรื่องตลกออกมา

“นายหัวเราะอะไร?”

“เพราะมันตลกไง เธอคิดว่าฉันจะทำอะไรกับเธองั้นเหรอ?! ถ้าฉันอยากที่จะทำอะไรเธอ งั้นฉันจะรอมาถึงตอนนี้ทำไม…”

ก็ดูเหมือนจะจริง “ขอบคุณนะที่บอกฉัน งั้นถ้าไม่มีอะไรฉันจะว่างแล้วนะ…” ไม่ว่าเขาจะตามหาอะไร เธอก็ไม่อยากที่จะติดต่อด้วยมาก นี่ยังไม่พูดถึงเรื่องที่เขายังเป็นน้องชายของ ชางกวนโม่อีกด้วย ถึงแม้ชางกวนโม่จะกลายเป็นเพียงความทรงจำแล้วแต่เธอก็ไม่อยากที่จะเข้าไปแตะความทรงจำนี้

บางทีเมื่อเธอแก่ตัวลง เธอก็อาจจะวางเรื่องทุกอย่างลงได้และเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูดได้อย่างสบายใจ

“เดี๋ยวก่อน เธอไม่อยากที่จะรู้ความจริงงั้นเหรอ?!!! นี่เธอไม่เข้าใจเรื่องที่ฉันพูดเลยงั้นเหรอ?” ชางกวนหลินไม่คิดว่า มู่หรงเสวี่ยจะมีท่าทางแบบนี้

“ฉันจะหาวิธีเอง!” มู่หรงเสวี่ยพูดเสียงเบา แน่นอนเธออยากที่จะแข็งแกร่งและดูเหมือนว่าเธอจะมีวิธีอีกมากมาย ถึงแม้เธอจะสับสน แต่เธอก็มั่นใจว่าภาพที่กำแพงหินคือวิธีของการฝึก

“หาเองงั้นเหรอ?! ไม่ว่าเธอจะตามหายังไง เธอก็หาไม่เจอหรอก เดี๋ยวนี้โลกของผู้ฝึกตนไม่ได้ทรงอำนาจเหมือนแต่ก่อน แต่ก็ยังมีโรงเรียนหลายแห่งที่สืบทอดต่อกันมา ทักษะการฝึกอยู่ในมือของนิกายเหล่านี้ ถ้าเธออยากที่จะฝึกเธอก็ต้องเข้าร่วมนิกาย…” ชางกวนหลินเริ่มที่จะพูดเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดในโลกผู้ฝึกตนโดยละเอียด

มู่หรงเสวี่ยฟังอย่างตั้งใจ เธอรู้ว่านี่เป็นโลกที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน “ขอบคุณที่บอกเรื่องนี้กับฉัน แต่นายตั้งใจที่จะให้ฉันเข้าร่วมกับนิกายงั้นเหรอ?! แต่นายเพิ่งบอกว่าร่างกายของฉันแตกต่างจากคนอื่นไม่ใช่เหรอ?! แบบนี้ ไม่ใช่ว่าฉันก็จะเข้าไปในปากเสือไม่ใช่เหรอ?”

“ไม่ต้องห่วง ในตอนนี้ฉันยังไม่เจอใครที่มีสายตาแบบนี้เลย นอกจากฉันแล้วก็มีเพียงเธอคนเดียวที่เหลืออยู่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องเข้มแข็ง ฉันสามารถช่วยแนะนำให้เธอได้ ส่วนเรื่องที่เธอจะเข้านิกายได้หรือเปล่านั้น มันก็ขึ้นอยู่กับศักยภาพของเธอเองทั้งหมด ตอนนี้มีทรัพยากรในการฝึกฝนอยู่น้อยลงเรื่อยๆ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะถูกคัดเลือก นอกจากเธอจะทำผลออกมาได้อย่างดี” ชางกวนหลินไม่รู้ว่าตัวเองอยากที่จะทำอะไร เขาเองก็ชอบมู่หรงเสวี่ยเหมือนกัน แต่เพียงแค่พยายามที่จะดึงเธอเข้ามาในโลกของเขา

มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้วและสงสัยในเรื่องจูงใจของ ชางกวนหลิน อย่างไรก็ตามจากคำพูดของเขาเธอก็ไม่ได้รู้สึกถึงเจตนาไม่ดีอะไร นอกจากนี้จากที่เขาพูด ถ้าเขาอยากที่จะทำร้ายเธอ เขาก็คงจะทำไปนานแล้ว ทำไมต้องรอมาถึงตอนนี้ล่ะ? อันที่จริงเธอก็ต้องการใครสักคนที่จะมาคอยแนะนำเธอจริงๆ ไม่งั้นเธอก็คงจะเปิดเผยตัวเองแน่ๆและเธอก็คงไม่รู้ว่าจะทำยังไง “งั้น ฉันต้องเตรียมอะไรบ้าง? ต้องมีอุปกรณ์หรืออะไรหรือเปล่า?” มู่หรงเสวี่ยถาม

“ไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์อะไร ของทางโลกไม่เหมาะกับผู้ที่ฝึกตัวยกเว้นผลไม้แห่งจิตวิญญาณและสมุนไพรคุณภาพสูง แต่เธอก็มีของพวกนั้นแล้ว เธอเองก็อันตรายมากเช่นกันและเธอจะต้องถูกจับตามอง! .” ชางกวนหลินพูด

มู่หรงเสวี่ยคงไม่โง่พอที่จะเอาของจากมิติลับออกมาแล้ว ชายอันตรายที่เธอเจอครั้งที่แล้วก็ทำให้เธอรู้สึกเสียใจมากพอแล้ว โชคดีที่ผักไม่ใช่ของที่พิเศษอะไรมาก มันก็มีแสงออร่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เธอไม่รู้ว่าชายคนนั้นใส่อะไรเข้าไปในร่างกายเธอซึ่งดูเหมือนจะเป็นพลังจิต เธอรู้สึกปวดหัวเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เพราะเธอไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้เลย เธอรู้สึกถึงอันตรายอยู่ตลอด ดังนั้นข้อเสนอของชางกวนหลินจึงฟังดูน่าตื่นเต้นอย่างมากจริงๆ

“งั้นจะไปเมื่อไร?” มู่หรงเสวี่ยถาม

ชางกวนหลินได้ยินคำตอบตกลงของมู่หรงเสวี่ย ก็เผยรอยยิ้มออกมา “เดือนหน้า ฉันต้องกลับไปที่นิกายแล้วรายงานเรื่องนี้กับท่านอาจารย์ก่อน!” เดิมทีเขาอยากที่จะให้ท่านอาจารย์รับมู่หรงเสวี่ยเป็นศิษย์ เพื่อที่พวกเขาจะได้เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน

แต่ท่านอาจารย์บอกว่าไม่ได้รับลูกศิษย์มาหลายปีแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะรับปากง่ายๆ ถึงแม้เขาจะรู้ว่ามู่หรงเสวี่ยฝีมือดีอย่างมากแต่เขาก็ไม่อยากที่จะบอกใคร รวมทั้งอาจารย์ของเขาด้วย ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อใจท่านอาจารย์แต่เขาอยากที่จะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ

หลังจากที่วางสายไป มู่หรงเสวี่ยก็หันหลังและโทรหาพี่จื่อเหวิน ขอให้เขาบอกแก๊งโม่ให้ตามหาแหล่งที่อยู่ของ เสี่ยวเข่อลี่ แต่เขายังไม่ต้องลงมือทำอะไรทั้งนั้นแค่มาแจ้งเธอว่าเธออยู่ที่ไหน มู่หรงเสวี่ยจะไม่เอาความปลอดภัยของแก๊งโม่เข้าไปล้อเล่น

เสี่ยวเข่อลี่, ฟางฉีหัว ในชีวิตนี้มาคอยดูกันว่าใครจะล้มก่อนกัน!!!

แล้วเธอก็ไปที่ตลาดดอกไม้และตลาดสัตว์เลี้ยงทันทีเพื่อที่จะซื้อนกและปลาสวยงามมาให้คุณปู่ แน่นอนว่าพวกมันถูกนำมาส่งถึงหน้าประตู เธอขนมาเองได้ไม่เยอะ

เมื่อของมาส่ง เธอบอกให้คนเอาขึ้นมาไว้ที่ห้องเธอโดยตรงและทำให้คนอื่นมองเธอราวกับเป็นคนบ้า คนปกติคงไม่เอาสัตว์พวกนี้เข้ามาไว้ในห้องนอนกันหรอก แต่ไม่ว่าคนอื่นจะมองยังไง มู่หรงเสวี่ยก็ยังยืนยันแต่ก็รู้สึกแปลกๆนิดหน่อย ไม่งั้นถ้าเธอเอาของพวกนี้เข้าไปในมิติลับเลย พวกการ์ดที่อยู่ข้างนอกก็คงจะเห็นได้อย่างง่ายดาย

หลังจากที่ทุกคนออกไปแล้ว มู่หรงเสวี่ยก็เอาทุกอย่างเข้าไปในมิติลับ เมื่อได้เห็นของมากมายแบบนี้ คุณปู่คุณย่าของเธอก็มีความสุขอย่างมากราวกับเป็นเด็กๆ มุ่หรงเสวี่ยรู้สึกมีความสุขแต่ก็รู้สึกปวดใจไปด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ พวกท่านก็คงจะได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระอยู่ข้างนอก ไม่ว่ามิติลับจะดีมากแค่ไหน แต่มันก็คงไม่ดีเท่ากับการมีเพื่อนๆหรอก

เธอต้องแข็งแกร่งให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะปกป้องคนที่สำคัญของครอบครัว เพื่อที่คนอื่นจะไม่เข้ามารังแกเธออีก เธอต้องทำให้ได้

โดยเฉพาะเรื่องที่ชางกวนหลินบอกวันนี้ยิ่งทำให้เธอรู้ตัวว่าตัวเองละเลยและอ่อนแอมากแค่ไหน

มู่หรงเสวี่ยกล่าวลาคุณปู่คุณย่าและเดินไปอีกฝั่งของน้ำตก สิ่งเดียวที่เธอรู้สึกว่าโชคดีมากคือเธอมีเวลามากกว่า คนอื่น ๆ นับไม่ถ้วน สิบปีเท่ากับหนึ่งวัน ถ้าการมีของล้ำค่าแบบนี้แล้วจะไม่ทำให้เธอทรงพลัง งั้นมันก็เป็นเรื่องตลกแล้ว

มู่หรงเสวี่ยเข้าไปในทางเดินของกำแพงหินและเริ่มฝึกจนลืมที่จะกินหรือนอนเลย เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า

เมื่อเธอหิว เธอก็จะเดินไปเด็ดผลไม้ที่ต้นมากิน หลังจากที่กินแล้วเธอก็จะฝึกต่อ เพราะผลไม้มีพลังของจิตวิญญาณอยู่ด้วย ซึ่งมันจะช่วยเพิ่มความเร็วในการฝึกขึ้นไปอีก

เพียงแค่เธอไม่ได้เลือกและกินผลไม้แห่งจิตวิญญาณที่ได้มาจากพื้นที่ดั้งเดิม เธอยังบอกคุณปู่คุณย่าไม่ให้เด็ดพวกมันมากินด้วย ให้กินได้แต่ผลไม้ที่เธอปลูกเท่านั้น ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากให้พวกท่านกินแต่ผลไม้พวกนั้นมีออร่าแข็งแกร่งเกินไป

ตอนที่เธอเข้ามาในมิติลับครั้งแรก เธอยังเลือกและกินผลไม้ไปหลายชนิด อย่างไรก็ตามเธอไม่รู้ว่าเป็นเพราะมู่หรงเสวี่ยเพิ่งจะเข้ามาในมิติลับหรือเหตุผลอื่น ๆ ในระยะสั้นผลไม้แห่งจิตวิญญาณของมิติลับมีไม่มากดังนั้นเธอจึงโอเค ตอนนี้ผลไม้แห่งวิญญาณทั้งหมดนี้มีพลังทางวิญญาณที่ทรงพลังและน่ากลัว หากเธอเผลอกินเข้าไป เธอก็จะตายได้อย่างง่ายดาย แม้แต่ มู่หรงเสวี่ยเองก็ยังไม่กล้าที่จะลองเลย

เพื่อทำความเข้าใจชนิดของผลไม้เธอจึงค้นหาหนังสือทั้งหมดในตู้หนังสือ ด้วยเหตุนี้เธอจึงพบคำตอบในหนังสือแดนทั้งหมดนี้เป็นผลไม้แห่งจิตวิญญาณ พวกมันเป็นผลไม้แห่งจิตวิญญาณที่บ้าคลั่งมากในโลกของบ่มเพาะถ้าพวกมันได้รับการพัฒนาการเพาะปลูก พวกมันก็จะดีขึ้นและอันตรายน้อยลงมาก หลังจากปรับแต่งและทำให้เป็นกลางด้วยสมุนไพรอื่น ๆผลไม้จะเป็นที่ยอมรับมากขึ้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะถูกแสงออร่าในผลไม้ดึงดูด ดังนั้นก่อนที่จะทำยา เธอจะไม่ลองกินผลไม้พวกนี้นอกจากจะจำเป็นจริงๆ

วันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ มู่หรงเสวี่ยไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว วันเวลาแห่งการฝึกฝนผ่านไปไวในพริบตา วันนี้ผิวที่ขาวผ่องของมู่หรงกลายเป็นใสดั่งคริสตัล เริ่มส่งแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมาอย่างอธิบายไม่ถูกซึ่งช่วยดึงดูดผู้คนให้อยากที่จะเข้ามาใกล้อย่างบอกไม่ถูก นี่คือข้อพิสูจน์ของการก้าวเข้าสู่การฝึกฝน คนทั่วไปจะรู้สึกดีได้ง่ายๆ เพราะร่างกายเป็นวิญญาณในการกำจัดสิ่งสกปรก สิ่งบริสุทธิ์ต่างๆ ทุกคนต่างก็ชอบความสงบ

นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมมู่หรงเสวี่ยถึงดูน่าดึงดูดตั้งแต่เธอได้เกิดใหม่เนื่องจากเธอได้รับผักและผลไม้ในมิติลับมาเป็นเวลานาน เธอจึงยังมีแสงออร่านิดหน่อยอยู่ในร่างกายแม้เธอยังไม่ได้เข้ามาฝึกก็ตาม

แน่นอนว่ามันแค่ทำให้คนดูดีขึ้นและคนอื่นก็อยากที่จะเข้าใกล้ แต่พวกคนที่เคยเกลียดเธอก็ยังคงเกลียดเธออยู่ดี แสงออร่าไม่ใช่ยาวิเศษ มันช่วยเปลี่ยนความรู้สึกของคนไม่ได้ แต่ใบหน้าที่เดิมทีก็สวยอยู่แล้ว ในตอนนี้ก็ยิ่งไร้ที่ติมากขึ้นไปอีก

จนกระทั่งมู่หรงเสวี่ยรู้สึกว่าเวลาผ่านไปนานมากแล้ว เธอจึงแวบกลับออกมายังโลกที่ห่างหายไปนาน

เธอมองไปที่ปฏิทินและเห็นว่านี่ผ่านมา 10 วันแล้ว งั้นในมิติลับก็จะผ่านไป 100 ปี การฝึกมันแย่มากจริงๆ เวลาผ่านไปไวราวกับกะพริบตา มู่หรงเสวี่ยคิดถึงคุณปู่คุณย่าในมิติลับและคิดถึงเรื่องความเป็นไปได้ที่จะให้พวกท่านมาฝึกด้วยกัน

เธออยากให้ครอบครัวของเธอมีอายุที่ยืนยาว

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+