ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 230 องค์กรลึกลับที่ดำมืด

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 230 องค์กรลึกลับที่ดำมืด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 230

องค์กรลึกลับที่ดำมืด

โม่หลิวเฟิงค่อยๆช้าลงเล็กน้อยแล้วจึงพูดออกมา “ไม่เป็นไร!” เพียงแต่มองเข้าไปในตาของมู่หรงเสวี่ย ก็ต้องคิดเพิ่มขึ้นไปอีก

คุณปู่โม่เองก็ลุกขึ้นเช่นกัน พร้อมก้มหัวลงและไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

มีเพียงโม่อ้ายลี่ที่วิ่งไปหาพี่ใหญ่ด้วยสีหน้าไร้เดียงสาและชกไปที่แผลของโม่หลิวเฟิง “พี่ใหญ่ เล่นอะไรเนี่ย?! ทำซะเหมือนเชียวนะ”

โม่หลิวเฟิงร้องออกมาทันที “ตัวแสบ! จะฆ่าพี่หรือไง?”

โม่อ้ายลี่อยากที่จะชกไปอีกรอบแต่ถูกมู่หรงเสวี่ยห้ามไว้ก่อน “อย่านะอ้ายลี่ พี่ชายเธอบาดเจ็บอยู่ เป็นความผิดฉันเอง ฉันหนักมือไปหน่อย…” มู่หรงเสวี่ยพูดด้วยความรู้สึกผิด ดูเหมือนว่าพลังแค่ 20% ก็ยังมากเกินไปอยู่ดี

โม่หลิวเฟิงโบกมือแล้วลุกขึ้นมายืนตัวตรง “มู่หรงเสวี่ยฉันไม่เป็นไร!” เขาลูบไปที่ผมของมู่หรงเสวี่ยเพื่อปลอบใจเธอ

“จริงเหรอคะ?” มู่หรงเสวี่ยมองไปที่โม่หลิวเฟิงอย่างกังวล

“ไม่เป็นไรจริงๆ เข้าไปคุยข้างในกันเถอะ” โม่หลิวเฟิงพูดอย่างเคร่งขรึม

ในตอนนี้คุณปู่โม่เองก็เดินเข้ามาด้วยและพูดกับคนทั้งสามที่ยืนอยู่ว่า “เข้าไปที่ห้องทำงานปู่เถอะ ปู่มีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย!”

“อ้ายลี่ หลานไม่ต้องเข้ามาหรอกนะ รอข้างนอกก่อน” เมื่อเดินมาถึงห้องทำงาน คุณปู่โม่ก็หันมาพูดกับโม่อ้ายลี่

“ปัง!”

โม่อ้ายลี่มองประตูที่ปิดลงเบื้องหน้าเธอ นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย?! เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองถูกปิดประตูใส่หน้า

หลังจากที่ยืนจ้องอยู่นานแล้วเธอก็เดินกระทืบเท้ากลับไปที่ห้องนั่งเล่น แต่หลังจากที่เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เธอก็รู้สึกไม่พอใจจึงหันหลังวิ่งกลับไปและเตะเข้าที่ประตูเสียงดัง

“ปัง!” เสียงดังจนทำให้คนทั้งสามที่อยู่ในห้องต่างก็ต้องสะดุ้งไปพร้อมๆกัน

คุณปู่โม่นั่ลงที่หัวโต๊ะและพูดกับมู่หรงเสวี่ย “หนูมู่หรง นั่งลงก่อนสิ…”

มู่หรงเสวี่ยนั่งลงที่โซฟาอย่างสุภาพ เธอรู้ว่าตัวเองเปิดเผยเรื่องฝีมือออกไปแล้วก็คงจะทำให้คนอื่นเกิดความสงสัยได้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่เธอยังไม่รู้คือคุณปู่โม่ไม่ได้สงสัยเรื่องนี้

หลังจากที่เงียบกันไปนาน คุณปู่โม่ก็ถามออกมา “หนู มู่หรง หนูรู้จักคนแก่พวกนั้นด้วยงั้นเหรอ?”

มู่หรงเสวี่ยตะลึงและไม่คิดว่าคำถามของคุณปู่โม่ที่ถามออกมาจะไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องฝีมือการต่อสู้ของเธอเลย “คนแก่พวกไหนเหรอ?” เธอถามอย่างสงสัย

“หนูไม่ได้เรียนมาจากพวกเขางั้นเหรอ?! ไม่มีเหตุผลเลยเพราะมีแต่พวกเขาเท่านั้นที่รู้วิชาอย่างที่หนูเพิ่งทำเมื่อกี้…” คุณปู่โม่ยิ่งสับสนมากขึ้นไปอีก

“เสี่ยวเสวี่ย เธอกังวลเรื่องอะไรหรือว่าทางสำนักห้ามไม่ให้เธอพูดถึงเรื่องนี้หรือเปล่า?” โม่หลิวเฟิงเองก็ถามเช่นกัน

เป็นเรื่องยากที่จะได้เจอคนพวกนั้นที่นี่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าทางสำนักจะขอให้ปิดเป็นความลับ

“เดี๋ยวนะคะคุณปู่โม่ นี่กำลังพูดถึงใครกันเหรอ?! หนูไม่เข้าใจเรื่องนี้จริงๆ…” มู่หรงเสวี่ยขัดข้อสงสัยของคนทั้งสองและถามออกมา

คุณปู่โม่และโม่หลิวเฟิงมองหน้ากันและกันเพราะท่าทางของมู่หรงเสวี่ยดูไม่เหมือนกำลังเสแสร้งเลย แต่เหมือนกับว่าเธอไม่รู้จริงๆว่าคนพวกนั้นคือใคร

“แล้วหนูไปเรียนพลังพวกนี้มาจากเหรอ?” คุณปู่โม่ถาม

“พลังเหรอคะ?! หนูไม่มีพลังอะไร…” มู่หรงเสวี่ยตอบกลับ เธอฝึกวิถีแห่งความจริงตามผนังถ้ำที่เธอเห็น ซึ่งแตกต่างจากการมีพลังอย่างมากเลย

คุณปู่โม่จ้องมาที่เธอทันที “หนูมีฝ่ามือลมและปล่อยพลังลมได้จากระยะไกล แบบนี้จะไม่เรียกว่าพลังได้งั้นเหรอ?”

มู่หรงเสวี่ยรู้สึกเขินจนต้องลูบไปที่แขนซึ่งดูไม่เกินจริงเท่าไรเลย เธอไม่ได้มีฝ่ามือลมอะไร คืออันที่จริงเธอก็แค่โบกมือนิดหน่อย

“หนูกำลังฝึกค่ะ ไม่ได้มีพลังอะไร?! และก็ไม่มีใครสอนหนูด้วย หนูแค่ฝึกด้วยตัวเอง ยังมีอีกหลายเรื่องที่หนูไม่เข้าใจ…” มู่หรงเสวี่ยอธิบาย

“นี่มันเทคนิคการฝึกอะไรกันเนี่ย?” คุณปู่โม่นวดขมับที่รู้สึกปวดขึ้นมา

“ช่วงนี้มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นมากมายและไม่รู้ด้วยว่ามันมาจากไหน ทั้งพวกองค์กรก่อการร้าย มันแปลกมากที่อีกฝ่ายต่างจากเราๆมาก บางคนถึงขนาดพ่นไฟได้ด้วย…”

“ถึงแม้เรื่องพวกนี้จะถูกทางการปราบปรามไว้ได้ แต่ก็ยังหาทางออกไม่เจอเลย เรื่องพวกนี้ถูกรายงานไปที่ดราก้อน พาวิลเลี่ยนแล้ว ถึงแม้จะมีการควบคุมอยู่บ้างแต่พื้นที่การเกิดเรื่องก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆแล้วก็ยังมีพวกปัญหาเล็กๆอีก…” โม่หลิวเฟิงเองก็พูดเช่นกัน

ครั้งแรกที่เขาสู้กับคนพวกนั้น เขาเกือบที่จะต้องตาย เขาเกือบที่จะเอาชีวิตไม่รอดกลับมา

“งั้นเสี่ยวเสวี่ย ถ้าเธอรู้เรื่องอะไรก็บอกเราได้ นี่ก็เพื่อความปลอดภัยของคนทั้งประเทศด้วยเหมือนกัน!” พูดพร้อมขยิบตาไปด้วย

พวกเขาไม่เชื่อเรื่องที่เธอพูดงั้นเหรอ?! เธอเรียนด้วยตัวเองจริงๆนะ

มู่หรงเสวี่ยพูดอย่างจนปัญญา “คุณปู่โม่ พี่โม่ บางทีทุกคนอาจจะไม่เชื่อนะคะแต่หนูเรียนเองจริงๆ…”

เมื่อพวกเขาได้ยินดังนี้ พวกเขาก็เบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ ไม่สงสัยเลยว่าพวกเขายังไม่เชื่อเรื่องนี้อยู่ ใครกันที่จะเรียนเรื่องพวกนี้ได้โดยไม่มีใครสอน

“แต่มีบางคนบอกหนูว่าเดือนหน้าเขาจะพาหนูไปพบคนที่นิกายนะคะ…” มู่หรงเสวี่ยพูดต่อ

“จริงเหรอ มันเป็นนิกายอะไรงั้นเหรอ?” คุณปู่โม่ยังถามต่อ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าท่านตื่นเต้นมากแค่ไหน ในช่วงเวลาที่ผ่านมาท่านกังวลเรื่องนี้มากจนผมขาวไปหมดแล้ว จู่ๆก็มีพลังที่ไม่อาจต้านทานได้ปรากฏขึ้นซึ่งเป็นภัยอันยิ่งใหญ่ต่อประเทศ

“ไม่ใช่ว่าหนูไม่อยากบอกนะคะ แต่ว่าหนูไม่รู้แล้วบางทีหนูก็อาจจะเข้าไปไม่ได้ด้วย เพราะเขาบอกว่านิกายนี้ค่อนข้างที่จะเข้มงวด…” มู่หรงเสวี่ยพูดอย่างขอโทษ

“ว่าแต่ คุณปู่โม่คะ คุณปู่หมายถึงอะไรที่บอกว่าช่วงนี้เกิดเรื่องแปลกๆมากมาย?”

นี่เป็นครั้งแรกที่ประเทศต้องเผชิญหน้ากับแรงที่ไม่อาจต้านทานได้ แน่นอนว่ามันเป็นข้อยกเว้นของดราก้อนพาวิลเลี่ยนซึ่งตั้งอยู่บนผลประโยชน์ในการพัฒนาของคนทั้งโลก อย่างไรก็ตามองค์กรลับ ซึ่งเร็วๆนี้มีท่าทีที่ผยองขึ้นมาก “ช่วงนี้มีคนหายตัวไปตลอดแล้วก็จะกลับมาโดยกลายเป็นพวกปีศาจที่เป็นครึ่งคนครึ่งผี…”

“มีหน้าเป็นสีเทาดำหรือเปล่าคะ?” มู่หรงเสวี่ยถาม

“หนูรู้ได้ยังไง?” คุณปู่โม่ถามอย่างแปลกใจ พวกเขาเก็บเรื่องนี้มานานและไม่น่าที่จะมีใครรู้เรื่องนี้ “และไม่เพียงเท่านี้นะแต่ยังมีบางคนที่มือถูกเปลี่ยนไปเป็นกรงเล็บเหยี่ยวอีกด้วยและเท้าของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นกีบ…รูปร่างมันน่ากลัวและน่าเกลียดอย่างมากเลย มีเพียงหน้าเท่านั้นที่ยังคงเป็นของเจ้าของ แต่ส่วนที่เหลือของร่างกายก็จะถูกทำการทดลองที่เลวร้ายมาก และเมื่อถูกปล่อยตัวออกมา พวกเขาก็จะสูญเสียสติไปอย่างสิ้นเชิงเลย…”

“คุณปู่โม่คะ ก่อนหน้านี้หนูเข้าร่วมกับทีมแพทย์ของดราก้อนพาวิลเลี่ยน หนูจึงได้รู้อะไรมาบ้าง…” สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยกลายเป็นเคร่งขรึม เธอต้องเข้าร่วมนิกายกับชางกวนหลินอย่างเร็วที่สุด บางทีจากเรื่องนี้เธออาจจะได้ข้อมูลอะไรมาเพิ่มบ้าง อย่างน้อยชายที่เธอเจอวันก่อนก็รู้วิธีที่จะถอนพิษ

“หนูเข้าดราก้อนพาวิลเลี่ยนได้งั้นเหรอ?” คุณปู่โม่ยิ่งตื่นเต้นขึ้นไปอีก แม้แต่ผู้นำของประเทศพวกนี้ก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในดราก้อนพาวิลเลี่ยนเลย

“ตอนนี้หนูออกมาแล้ว มีบางอย่างเกิดขึ้นแต่ไม่ต้องกังวลนะคะคุณปู่โม่ หนูจะไม่อยู่เฉยๆแน่…” มู่หรงเสวี่ยคิดอยู่สักพักแล้วจึงถามออกมา “คุณปู่โม่ คนที่ถูกปล่อยตัวมาก่อนหน้านี้ยังมีอยู่บ้างไหมคะ? มีใครที่มีหน้าเป็นสีเทาดำไหมคะ?”

“ยังมีอยู่นะ พวกเขาถูกขังอย่างลับๆไว้และมีการ์ดเฝ้าอยู่แน่นหนาเลย ตอนนี้ทีมแพทย์นานาชาติต่างก็กำลังหาวิธีรักษาพวกเขาอยู่…” แต่ก็ยังไม่คืบหน้าเท่าไรเลย

“คุณปู่โม่คะ ขอหนูลองรักษาชายที่มีหน้าสีเทาดำหน่อยได้ไหมคะ?” มู่หรงเสวี่ยถาม

คุณปู่โม่รู้ดีว่าทักษะทางการแพทย์ของมู่หรงเสวี่ยอยู่ในระดับสุดยอด จึงถามออกมาด้วยความตื่นเต้นทันที “หนูมีวิธีงั้นเหรอ?”

มู่หรงเสวี่ยส่ายหน้า

ความตื่นเต้นของคุณปู่โม่จางลง

โม่หลิวเฟิงนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง ไม่มีใครรู้ว่าองค์กรที่ดำมืดนั้นเลวร้ายมากแค่ไหน เขาถูกส่งตัวออกไปเพื่อเช็กฐานที่มั่น เขาบังเอิญได้เจอกับชายแปลกๆคนหนึ่งจึงตามไปพร้อมด้วยสหายหลายคนในทีมเดียวกัน นี่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขาและประเทศอย่างมาก

ในวันนั้นพวกเขาตามอีกฝ่ายเข้าไปในฐานลับ ฐานไม่ได้ใหญ่อะไรนักดูแล้วน่าจะเป็นเพียงแค่ห้องลับซึ่งน่าจะมีสาขาเล็กๆอีก

เมื่ออีกฝ่ายกดปุ่มเปิดประตู เขาก็อดไม่ได้ที่จะตามเข้าไป

“เข้ามาเลย! พวกมดตัวน้อย ฉันรู้ว่าพวกนายตามมาด้วย ฮ่าฮ่า” อีกฝ่ายหัวเราะพร้อมทั้งมองมาในทิศทางของพวกเขา

โม่หลิวเฟิงและคนอื่นๆต่างก็กลั้นหายใจ รู้ได้อย่างแน่นอนแล้วว่าอีกฝ่ายล่อพวกเขาเข้ามา แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะยิงลูกไฟขนาดใหญ่ออกมาจากมือและยิงตรงมาในทิศทางของพวกเขาพอดี

เมื่อเป็นแบบนี้พวกเขาจึงต้องแตกกระเจิงและเปิดเผยตัวเอง

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ยังมีหนูอีกตั้งเยอะให้เอามาทดลองได้…” ชายคนนั้นพูดพร้อมสีหน้าที่บิดเบี้ยวและมีท่าทางตื่นเต้นอย่างบ้าคลั่ง

ในตอนนี้โม่หลิวเฟิงที่ลุกขึ้นและเห็นเหตุการณ์ในห้องแล็บที่เปิดอยู่ มีศพมากมายที่ถูกผ่าและซากศพของพวกสัตว์อีกมากมาย นอกจากนี้ก็ยังมีคนอีกสองสามคนที่นอนร้องโหยหวนอยู่ ร่างกายของพวกเขากลายเป็นอะไรที่ดูแปลกมากๆ ที่บนโต๊ะในห้องแล็บมีขวดและโหลแก้ววางอยู่มากมาย และในขวดเหล่านั้นก็มีน้ำยาสีเขียวสีแดงอยู่ด้วย และในบางขวดก็มีฟองอยู่ด้วยซึ่งดูแปลกมากๆ

เมื่อโม่หลิวเฟิงเห็นคนพวกนั้นเขาก็รู้สึกปวดใจอย่างมาก คนพวกนี้ต่างก็เป็นคนจากประเทศของเขา!!!

เขารีบหยิบอาวุธออกมาและยิงไปที่ชายคนนั้น แต่ภาพต่อมาที่เขาเห็นคือชายคนนั้นไม่ได้หลบแต่ปล่อยให้เขายิง อย่างไรก็ตามอีกฝ่ายกลับเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระโดยไม่มีอาการบาดเจ็บอะไร เสื้อผ้าของเขาฉีกขาดเพราะลูกกระสุนไปหมด เขาเห็นรูกระสุนที่เสื้อผ้าของชายคนนั้นและเลือดสีดำก็ไหลออกจากรูเหล่านั้น

ชายคนนั้นหัวเราะอย่างดุร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วกระโดดเข้ามาอยู่ตรงหน้าพวกเขาทันที ฝ่ามือกลายเป็นกรงเล็บทันทีแล้วเขาก็แทรกเข้าไปในหัวใจของสมาชิกของทีมที่อยู่ข้างๆโม่หลิวเฟิงและกระชากออกมาอย่างรุนแรง แล้วเขาก็กลืนหัวใจเข้าไป

“ไม่นะ” โม่หลิวเฟิงตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง พร้อมเตรียมที่จะวิ่งเข้าไปสู้กับชายคนนั้น ทีมที่เหลือต่างก็วิ่งเข้ามาเช่นกันเพื่อมาช่วยโม่หลิวเฟิง หลายคนรั้งตัวเขาไว้แล้วตะโกนเรียกสติมาหลิวเฟิง “กัปตัน ไปกันเถอะ!”

“กัปตัน! ไปกันเถอะ เราต้องไปรายการองค์กร”

“ไปกันเถอะ…”

จนสุดท้ายโม่หลิวเฟิงก็ได้สติและรีบหนีออกมาอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครรู้ว่าเขากลับมาได้ยังไง ไม่มีใครรู้ว่าเขากลับมาด้วยความรู้สึกยังไง

นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าตัวเองเปล่าประโยชน์ ถ้าเขาไม่ต้องกลับมารายงานเรื่องที่ค้นพบนี้กับทางองค์กร เราเองก็อยากที่จะตายไปพร้อมกับลูกน้องเลยด้วยซ้ำ

เขามักจะไปไหนกับทีมด้วยกันเสมอซึ่งเรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกเสียใจอย่างมากจริงๆ “พี่โม่เป็นอะไรหรือเปล่า? พี่โอเคหรือเปล่าคะ?” เสียงสดใสของมู่หรงเสวี่ยดังเข้ามาในหูของเขา ทันใดนั้นโม่หลิวเฟิงก็กลับมาได้สติและมองไปที่สายตาเป็นห่วงอย่างชัดเจนของมู่หรงเสวี่ย เพียงเท่านี้เขาก็รู้ตัวได้ทันทีว่าตัวเองเพิ่งจะจมไปกับเรื่องฝันร้ายก่อนหน้านี้ เขาเอื้อมมือมาแตะดวงตาที่เปียกของเขา กลายเป็นว่าเขาร้องไห้ออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ

คุณปู่โม่ถอนหายใจเสียงเบา ตั้งแต่ตอนนั้นหลานชายของเขาก็โทษตัวเองมาตลอด

“ฉันไม่เป็นไร!” โม่หลิวเฟิงรีบเช็ดที่ตาตัวเอง

มู่หรงเสวี่ยเองก็อยากที่จะถามเรื่องที่เธอเพิ่งทำให้เขาบาดเจ็บไปเมื่อกี้ แต่แล้วก็เห็นสายตาของคุณปู่โม่ที่ส่ายหัวมาทางเธอ เพื่อให้มู่หรงเสวี่ยหยุด และอย่ามองไปที่พี่โม่อีก ในตอนนี้พี่โม่คงไม่อยากให้ใครมาเห็นเขาในสภาพแบบนี้

มู่หรงเสวี่ยแกล้งทำเป็นหันหน้าไปทางอื่นอย่างไม่ตั้งใจและพูดเรื่องที่เพิ่งคุยอยู่เมื่อกี้แทน “คุณปู่โม่ ตอนนี้หนูยังไม่มีวิธีแต่เดาอีกไม่นานก็จะสามารถที่จะทำได้แน่นอนค่ะ งั้นถ้าคนนั้นยังมีหน้าสีเทาดำอยู่บางทีหนูก็อาจจะรักษาเขาไว้ได้…แต่หนูก็รับรองได้ไม่ 100% เพียงแค่มีความคิดอยู่เล็กน้อย…” มู่หรงเสวี่ยพูด จากที่ชายคนนั้นพูด เธอจะต้องขึ้นระดับเหลืองก่อนเธอถึงจะเริ่มกลั่นยาได้ อย่างไรก็ตามหลังจากที่ได้อ่านหนังสือทางการแพทย์ ระดับเหลืองอธิบายไว้ว่าการฝึกแตกต่างจากการฝึกในปัจจุบันของเธออย่างมาก จึงเดาว่าเธอน่าจะยังไม่ถึงระดับนั้น

เพราะแบบนี้เธอถึงบอกคุณปู่โม่ว่าต้องใช้เวลาอีกสักพัก บางทีทุกอย่างน่าจะโอเค เพราะในมิติลับเวลาสิบปีจะเท่ากับหนึ่งวัน งั้นตราบใดที่เธอพยายามอย่างหนัก เธอก็น่าจะไปถึงระดับเหลืองได้ในเวลาอันสั้น

“ความหวังเป็นเรื่องที่ดี การมีความหวังเป็นเรื่องที่ดี…” ตอนนี้ถ้ามีคนแบบมู่หรงเสวี่ยที่จะพยายามอย่างดีที่สุดซึ่งก็เป็นความหวังที่ดีของประเทศอย่างมาก!

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 230 องค์กรลึกลับที่ดำมืด

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 230 องค์กรลึกลับที่ดำมืด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 230

องค์กรลึกลับที่ดำมืด

โม่หลิวเฟิงค่อยๆช้าลงเล็กน้อยแล้วจึงพูดออกมา “ไม่เป็นไร!” เพียงแต่มองเข้าไปในตาของมู่หรงเสวี่ย ก็ต้องคิดเพิ่มขึ้นไปอีก

คุณปู่โม่เองก็ลุกขึ้นเช่นกัน พร้อมก้มหัวลงและไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

มีเพียงโม่อ้ายลี่ที่วิ่งไปหาพี่ใหญ่ด้วยสีหน้าไร้เดียงสาและชกไปที่แผลของโม่หลิวเฟิง “พี่ใหญ่ เล่นอะไรเนี่ย?! ทำซะเหมือนเชียวนะ”

โม่หลิวเฟิงร้องออกมาทันที “ตัวแสบ! จะฆ่าพี่หรือไง?”

โม่อ้ายลี่อยากที่จะชกไปอีกรอบแต่ถูกมู่หรงเสวี่ยห้ามไว้ก่อน “อย่านะอ้ายลี่ พี่ชายเธอบาดเจ็บอยู่ เป็นความผิดฉันเอง ฉันหนักมือไปหน่อย…” มู่หรงเสวี่ยพูดด้วยความรู้สึกผิด ดูเหมือนว่าพลังแค่ 20% ก็ยังมากเกินไปอยู่ดี

โม่หลิวเฟิงโบกมือแล้วลุกขึ้นมายืนตัวตรง “มู่หรงเสวี่ยฉันไม่เป็นไร!” เขาลูบไปที่ผมของมู่หรงเสวี่ยเพื่อปลอบใจเธอ

“จริงเหรอคะ?” มู่หรงเสวี่ยมองไปที่โม่หลิวเฟิงอย่างกังวล

“ไม่เป็นไรจริงๆ เข้าไปคุยข้างในกันเถอะ” โม่หลิวเฟิงพูดอย่างเคร่งขรึม

ในตอนนี้คุณปู่โม่เองก็เดินเข้ามาด้วยและพูดกับคนทั้งสามที่ยืนอยู่ว่า “เข้าไปที่ห้องทำงานปู่เถอะ ปู่มีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย!”

“อ้ายลี่ หลานไม่ต้องเข้ามาหรอกนะ รอข้างนอกก่อน” เมื่อเดินมาถึงห้องทำงาน คุณปู่โม่ก็หันมาพูดกับโม่อ้ายลี่

“ปัง!”

โม่อ้ายลี่มองประตูที่ปิดลงเบื้องหน้าเธอ นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย?! เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองถูกปิดประตูใส่หน้า

หลังจากที่ยืนจ้องอยู่นานแล้วเธอก็เดินกระทืบเท้ากลับไปที่ห้องนั่งเล่น แต่หลังจากที่เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เธอก็รู้สึกไม่พอใจจึงหันหลังวิ่งกลับไปและเตะเข้าที่ประตูเสียงดัง

“ปัง!” เสียงดังจนทำให้คนทั้งสามที่อยู่ในห้องต่างก็ต้องสะดุ้งไปพร้อมๆกัน

คุณปู่โม่นั่ลงที่หัวโต๊ะและพูดกับมู่หรงเสวี่ย “หนูมู่หรง นั่งลงก่อนสิ…”

มู่หรงเสวี่ยนั่งลงที่โซฟาอย่างสุภาพ เธอรู้ว่าตัวเองเปิดเผยเรื่องฝีมือออกไปแล้วก็คงจะทำให้คนอื่นเกิดความสงสัยได้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่เธอยังไม่รู้คือคุณปู่โม่ไม่ได้สงสัยเรื่องนี้

หลังจากที่เงียบกันไปนาน คุณปู่โม่ก็ถามออกมา “หนู มู่หรง หนูรู้จักคนแก่พวกนั้นด้วยงั้นเหรอ?”

มู่หรงเสวี่ยตะลึงและไม่คิดว่าคำถามของคุณปู่โม่ที่ถามออกมาจะไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องฝีมือการต่อสู้ของเธอเลย “คนแก่พวกไหนเหรอ?” เธอถามอย่างสงสัย

“หนูไม่ได้เรียนมาจากพวกเขางั้นเหรอ?! ไม่มีเหตุผลเลยเพราะมีแต่พวกเขาเท่านั้นที่รู้วิชาอย่างที่หนูเพิ่งทำเมื่อกี้…” คุณปู่โม่ยิ่งสับสนมากขึ้นไปอีก

“เสี่ยวเสวี่ย เธอกังวลเรื่องอะไรหรือว่าทางสำนักห้ามไม่ให้เธอพูดถึงเรื่องนี้หรือเปล่า?” โม่หลิวเฟิงเองก็ถามเช่นกัน

เป็นเรื่องยากที่จะได้เจอคนพวกนั้นที่นี่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าทางสำนักจะขอให้ปิดเป็นความลับ

“เดี๋ยวนะคะคุณปู่โม่ นี่กำลังพูดถึงใครกันเหรอ?! หนูไม่เข้าใจเรื่องนี้จริงๆ…” มู่หรงเสวี่ยขัดข้อสงสัยของคนทั้งสองและถามออกมา

คุณปู่โม่และโม่หลิวเฟิงมองหน้ากันและกันเพราะท่าทางของมู่หรงเสวี่ยดูไม่เหมือนกำลังเสแสร้งเลย แต่เหมือนกับว่าเธอไม่รู้จริงๆว่าคนพวกนั้นคือใคร

“แล้วหนูไปเรียนพลังพวกนี้มาจากเหรอ?” คุณปู่โม่ถาม

“พลังเหรอคะ?! หนูไม่มีพลังอะไร…” มู่หรงเสวี่ยตอบกลับ เธอฝึกวิถีแห่งความจริงตามผนังถ้ำที่เธอเห็น ซึ่งแตกต่างจากการมีพลังอย่างมากเลย

คุณปู่โม่จ้องมาที่เธอทันที “หนูมีฝ่ามือลมและปล่อยพลังลมได้จากระยะไกล แบบนี้จะไม่เรียกว่าพลังได้งั้นเหรอ?”

มู่หรงเสวี่ยรู้สึกเขินจนต้องลูบไปที่แขนซึ่งดูไม่เกินจริงเท่าไรเลย เธอไม่ได้มีฝ่ามือลมอะไร คืออันที่จริงเธอก็แค่โบกมือนิดหน่อย

“หนูกำลังฝึกค่ะ ไม่ได้มีพลังอะไร?! และก็ไม่มีใครสอนหนูด้วย หนูแค่ฝึกด้วยตัวเอง ยังมีอีกหลายเรื่องที่หนูไม่เข้าใจ…” มู่หรงเสวี่ยอธิบาย

“นี่มันเทคนิคการฝึกอะไรกันเนี่ย?” คุณปู่โม่นวดขมับที่รู้สึกปวดขึ้นมา

“ช่วงนี้มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นมากมายและไม่รู้ด้วยว่ามันมาจากไหน ทั้งพวกองค์กรก่อการร้าย มันแปลกมากที่อีกฝ่ายต่างจากเราๆมาก บางคนถึงขนาดพ่นไฟได้ด้วย…”

“ถึงแม้เรื่องพวกนี้จะถูกทางการปราบปรามไว้ได้ แต่ก็ยังหาทางออกไม่เจอเลย เรื่องพวกนี้ถูกรายงานไปที่ดราก้อน พาวิลเลี่ยนแล้ว ถึงแม้จะมีการควบคุมอยู่บ้างแต่พื้นที่การเกิดเรื่องก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆแล้วก็ยังมีพวกปัญหาเล็กๆอีก…” โม่หลิวเฟิงเองก็พูดเช่นกัน

ครั้งแรกที่เขาสู้กับคนพวกนั้น เขาเกือบที่จะต้องตาย เขาเกือบที่จะเอาชีวิตไม่รอดกลับมา

“งั้นเสี่ยวเสวี่ย ถ้าเธอรู้เรื่องอะไรก็บอกเราได้ นี่ก็เพื่อความปลอดภัยของคนทั้งประเทศด้วยเหมือนกัน!” พูดพร้อมขยิบตาไปด้วย

พวกเขาไม่เชื่อเรื่องที่เธอพูดงั้นเหรอ?! เธอเรียนด้วยตัวเองจริงๆนะ

มู่หรงเสวี่ยพูดอย่างจนปัญญา “คุณปู่โม่ พี่โม่ บางทีทุกคนอาจจะไม่เชื่อนะคะแต่หนูเรียนเองจริงๆ…”

เมื่อพวกเขาได้ยินดังนี้ พวกเขาก็เบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ ไม่สงสัยเลยว่าพวกเขายังไม่เชื่อเรื่องนี้อยู่ ใครกันที่จะเรียนเรื่องพวกนี้ได้โดยไม่มีใครสอน

“แต่มีบางคนบอกหนูว่าเดือนหน้าเขาจะพาหนูไปพบคนที่นิกายนะคะ…” มู่หรงเสวี่ยพูดต่อ

“จริงเหรอ มันเป็นนิกายอะไรงั้นเหรอ?” คุณปู่โม่ยังถามต่อ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าท่านตื่นเต้นมากแค่ไหน ในช่วงเวลาที่ผ่านมาท่านกังวลเรื่องนี้มากจนผมขาวไปหมดแล้ว จู่ๆก็มีพลังที่ไม่อาจต้านทานได้ปรากฏขึ้นซึ่งเป็นภัยอันยิ่งใหญ่ต่อประเทศ

“ไม่ใช่ว่าหนูไม่อยากบอกนะคะ แต่ว่าหนูไม่รู้แล้วบางทีหนูก็อาจจะเข้าไปไม่ได้ด้วย เพราะเขาบอกว่านิกายนี้ค่อนข้างที่จะเข้มงวด…” มู่หรงเสวี่ยพูดอย่างขอโทษ

“ว่าแต่ คุณปู่โม่คะ คุณปู่หมายถึงอะไรที่บอกว่าช่วงนี้เกิดเรื่องแปลกๆมากมาย?”

นี่เป็นครั้งแรกที่ประเทศต้องเผชิญหน้ากับแรงที่ไม่อาจต้านทานได้ แน่นอนว่ามันเป็นข้อยกเว้นของดราก้อนพาวิลเลี่ยนซึ่งตั้งอยู่บนผลประโยชน์ในการพัฒนาของคนทั้งโลก อย่างไรก็ตามองค์กรลับ ซึ่งเร็วๆนี้มีท่าทีที่ผยองขึ้นมาก “ช่วงนี้มีคนหายตัวไปตลอดแล้วก็จะกลับมาโดยกลายเป็นพวกปีศาจที่เป็นครึ่งคนครึ่งผี…”

“มีหน้าเป็นสีเทาดำหรือเปล่าคะ?” มู่หรงเสวี่ยถาม

“หนูรู้ได้ยังไง?” คุณปู่โม่ถามอย่างแปลกใจ พวกเขาเก็บเรื่องนี้มานานและไม่น่าที่จะมีใครรู้เรื่องนี้ “และไม่เพียงเท่านี้นะแต่ยังมีบางคนที่มือถูกเปลี่ยนไปเป็นกรงเล็บเหยี่ยวอีกด้วยและเท้าของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นกีบ…รูปร่างมันน่ากลัวและน่าเกลียดอย่างมากเลย มีเพียงหน้าเท่านั้นที่ยังคงเป็นของเจ้าของ แต่ส่วนที่เหลือของร่างกายก็จะถูกทำการทดลองที่เลวร้ายมาก และเมื่อถูกปล่อยตัวออกมา พวกเขาก็จะสูญเสียสติไปอย่างสิ้นเชิงเลย…”

“คุณปู่โม่คะ ก่อนหน้านี้หนูเข้าร่วมกับทีมแพทย์ของดราก้อนพาวิลเลี่ยน หนูจึงได้รู้อะไรมาบ้าง…” สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยกลายเป็นเคร่งขรึม เธอต้องเข้าร่วมนิกายกับชางกวนหลินอย่างเร็วที่สุด บางทีจากเรื่องนี้เธออาจจะได้ข้อมูลอะไรมาเพิ่มบ้าง อย่างน้อยชายที่เธอเจอวันก่อนก็รู้วิธีที่จะถอนพิษ

“หนูเข้าดราก้อนพาวิลเลี่ยนได้งั้นเหรอ?” คุณปู่โม่ยิ่งตื่นเต้นขึ้นไปอีก แม้แต่ผู้นำของประเทศพวกนี้ก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในดราก้อนพาวิลเลี่ยนเลย

“ตอนนี้หนูออกมาแล้ว มีบางอย่างเกิดขึ้นแต่ไม่ต้องกังวลนะคะคุณปู่โม่ หนูจะไม่อยู่เฉยๆแน่…” มู่หรงเสวี่ยคิดอยู่สักพักแล้วจึงถามออกมา “คุณปู่โม่ คนที่ถูกปล่อยตัวมาก่อนหน้านี้ยังมีอยู่บ้างไหมคะ? มีใครที่มีหน้าเป็นสีเทาดำไหมคะ?”

“ยังมีอยู่นะ พวกเขาถูกขังอย่างลับๆไว้และมีการ์ดเฝ้าอยู่แน่นหนาเลย ตอนนี้ทีมแพทย์นานาชาติต่างก็กำลังหาวิธีรักษาพวกเขาอยู่…” แต่ก็ยังไม่คืบหน้าเท่าไรเลย

“คุณปู่โม่คะ ขอหนูลองรักษาชายที่มีหน้าสีเทาดำหน่อยได้ไหมคะ?” มู่หรงเสวี่ยถาม

คุณปู่โม่รู้ดีว่าทักษะทางการแพทย์ของมู่หรงเสวี่ยอยู่ในระดับสุดยอด จึงถามออกมาด้วยความตื่นเต้นทันที “หนูมีวิธีงั้นเหรอ?”

มู่หรงเสวี่ยส่ายหน้า

ความตื่นเต้นของคุณปู่โม่จางลง

โม่หลิวเฟิงนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง ไม่มีใครรู้ว่าองค์กรที่ดำมืดนั้นเลวร้ายมากแค่ไหน เขาถูกส่งตัวออกไปเพื่อเช็กฐานที่มั่น เขาบังเอิญได้เจอกับชายแปลกๆคนหนึ่งจึงตามไปพร้อมด้วยสหายหลายคนในทีมเดียวกัน นี่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขาและประเทศอย่างมาก

ในวันนั้นพวกเขาตามอีกฝ่ายเข้าไปในฐานลับ ฐานไม่ได้ใหญ่อะไรนักดูแล้วน่าจะเป็นเพียงแค่ห้องลับซึ่งน่าจะมีสาขาเล็กๆอีก

เมื่ออีกฝ่ายกดปุ่มเปิดประตู เขาก็อดไม่ได้ที่จะตามเข้าไป

“เข้ามาเลย! พวกมดตัวน้อย ฉันรู้ว่าพวกนายตามมาด้วย ฮ่าฮ่า” อีกฝ่ายหัวเราะพร้อมทั้งมองมาในทิศทางของพวกเขา

โม่หลิวเฟิงและคนอื่นๆต่างก็กลั้นหายใจ รู้ได้อย่างแน่นอนแล้วว่าอีกฝ่ายล่อพวกเขาเข้ามา แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะยิงลูกไฟขนาดใหญ่ออกมาจากมือและยิงตรงมาในทิศทางของพวกเขาพอดี

เมื่อเป็นแบบนี้พวกเขาจึงต้องแตกกระเจิงและเปิดเผยตัวเอง

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ยังมีหนูอีกตั้งเยอะให้เอามาทดลองได้…” ชายคนนั้นพูดพร้อมสีหน้าที่บิดเบี้ยวและมีท่าทางตื่นเต้นอย่างบ้าคลั่ง

ในตอนนี้โม่หลิวเฟิงที่ลุกขึ้นและเห็นเหตุการณ์ในห้องแล็บที่เปิดอยู่ มีศพมากมายที่ถูกผ่าและซากศพของพวกสัตว์อีกมากมาย นอกจากนี้ก็ยังมีคนอีกสองสามคนที่นอนร้องโหยหวนอยู่ ร่างกายของพวกเขากลายเป็นอะไรที่ดูแปลกมากๆ ที่บนโต๊ะในห้องแล็บมีขวดและโหลแก้ววางอยู่มากมาย และในขวดเหล่านั้นก็มีน้ำยาสีเขียวสีแดงอยู่ด้วย และในบางขวดก็มีฟองอยู่ด้วยซึ่งดูแปลกมากๆ

เมื่อโม่หลิวเฟิงเห็นคนพวกนั้นเขาก็รู้สึกปวดใจอย่างมาก คนพวกนี้ต่างก็เป็นคนจากประเทศของเขา!!!

เขารีบหยิบอาวุธออกมาและยิงไปที่ชายคนนั้น แต่ภาพต่อมาที่เขาเห็นคือชายคนนั้นไม่ได้หลบแต่ปล่อยให้เขายิง อย่างไรก็ตามอีกฝ่ายกลับเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระโดยไม่มีอาการบาดเจ็บอะไร เสื้อผ้าของเขาฉีกขาดเพราะลูกกระสุนไปหมด เขาเห็นรูกระสุนที่เสื้อผ้าของชายคนนั้นและเลือดสีดำก็ไหลออกจากรูเหล่านั้น

ชายคนนั้นหัวเราะอย่างดุร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วกระโดดเข้ามาอยู่ตรงหน้าพวกเขาทันที ฝ่ามือกลายเป็นกรงเล็บทันทีแล้วเขาก็แทรกเข้าไปในหัวใจของสมาชิกของทีมที่อยู่ข้างๆโม่หลิวเฟิงและกระชากออกมาอย่างรุนแรง แล้วเขาก็กลืนหัวใจเข้าไป

“ไม่นะ” โม่หลิวเฟิงตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง พร้อมเตรียมที่จะวิ่งเข้าไปสู้กับชายคนนั้น ทีมที่เหลือต่างก็วิ่งเข้ามาเช่นกันเพื่อมาช่วยโม่หลิวเฟิง หลายคนรั้งตัวเขาไว้แล้วตะโกนเรียกสติมาหลิวเฟิง “กัปตัน ไปกันเถอะ!”

“กัปตัน! ไปกันเถอะ เราต้องไปรายการองค์กร”

“ไปกันเถอะ…”

จนสุดท้ายโม่หลิวเฟิงก็ได้สติและรีบหนีออกมาอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครรู้ว่าเขากลับมาได้ยังไง ไม่มีใครรู้ว่าเขากลับมาด้วยความรู้สึกยังไง

นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าตัวเองเปล่าประโยชน์ ถ้าเขาไม่ต้องกลับมารายงานเรื่องที่ค้นพบนี้กับทางองค์กร เราเองก็อยากที่จะตายไปพร้อมกับลูกน้องเลยด้วยซ้ำ

เขามักจะไปไหนกับทีมด้วยกันเสมอซึ่งเรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกเสียใจอย่างมากจริงๆ “พี่โม่เป็นอะไรหรือเปล่า? พี่โอเคหรือเปล่าคะ?” เสียงสดใสของมู่หรงเสวี่ยดังเข้ามาในหูของเขา ทันใดนั้นโม่หลิวเฟิงก็กลับมาได้สติและมองไปที่สายตาเป็นห่วงอย่างชัดเจนของมู่หรงเสวี่ย เพียงเท่านี้เขาก็รู้ตัวได้ทันทีว่าตัวเองเพิ่งจะจมไปกับเรื่องฝันร้ายก่อนหน้านี้ เขาเอื้อมมือมาแตะดวงตาที่เปียกของเขา กลายเป็นว่าเขาร้องไห้ออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ

คุณปู่โม่ถอนหายใจเสียงเบา ตั้งแต่ตอนนั้นหลานชายของเขาก็โทษตัวเองมาตลอด

“ฉันไม่เป็นไร!” โม่หลิวเฟิงรีบเช็ดที่ตาตัวเอง

มู่หรงเสวี่ยเองก็อยากที่จะถามเรื่องที่เธอเพิ่งทำให้เขาบาดเจ็บไปเมื่อกี้ แต่แล้วก็เห็นสายตาของคุณปู่โม่ที่ส่ายหัวมาทางเธอ เพื่อให้มู่หรงเสวี่ยหยุด และอย่ามองไปที่พี่โม่อีก ในตอนนี้พี่โม่คงไม่อยากให้ใครมาเห็นเขาในสภาพแบบนี้

มู่หรงเสวี่ยแกล้งทำเป็นหันหน้าไปทางอื่นอย่างไม่ตั้งใจและพูดเรื่องที่เพิ่งคุยอยู่เมื่อกี้แทน “คุณปู่โม่ ตอนนี้หนูยังไม่มีวิธีแต่เดาอีกไม่นานก็จะสามารถที่จะทำได้แน่นอนค่ะ งั้นถ้าคนนั้นยังมีหน้าสีเทาดำอยู่บางทีหนูก็อาจจะรักษาเขาไว้ได้…แต่หนูก็รับรองได้ไม่ 100% เพียงแค่มีความคิดอยู่เล็กน้อย…” มู่หรงเสวี่ยพูด จากที่ชายคนนั้นพูด เธอจะต้องขึ้นระดับเหลืองก่อนเธอถึงจะเริ่มกลั่นยาได้ อย่างไรก็ตามหลังจากที่ได้อ่านหนังสือทางการแพทย์ ระดับเหลืองอธิบายไว้ว่าการฝึกแตกต่างจากการฝึกในปัจจุบันของเธออย่างมาก จึงเดาว่าเธอน่าจะยังไม่ถึงระดับนั้น

เพราะแบบนี้เธอถึงบอกคุณปู่โม่ว่าต้องใช้เวลาอีกสักพัก บางทีทุกอย่างน่าจะโอเค เพราะในมิติลับเวลาสิบปีจะเท่ากับหนึ่งวัน งั้นตราบใดที่เธอพยายามอย่างหนัก เธอก็น่าจะไปถึงระดับเหลืองได้ในเวลาอันสั้น

“ความหวังเป็นเรื่องที่ดี การมีความหวังเป็นเรื่องที่ดี…” ตอนนี้ถ้ามีคนแบบมู่หรงเสวี่ยที่จะพยายามอย่างดีที่สุดซึ่งก็เป็นความหวังที่ดีของประเทศอย่างมาก!

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+