ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 244 ผู้หญิงปลอมตัวเป็นผู้ชาย

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 244 ผู้หญิงปลอมตัวเป็นผู้ชาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 244

ผู้หญิงปลอมตัวเป็นผู้ชาย

เวลาผ่านไป…

“โอ้!” มู่หรงเสวี่ยปรากฏตัวพร้อมดาบใหญ่บนไหล่ของเธอ!

“เป็นเธออีกแล้วได้ยังไงเนี่ย!!! ทำไมถึงเป็นเธอตลอดเลย? ไป ไปเลย! ฉันไม่มีเวลามาเล่นกับเธอหรอกนะ” เจ้าอสูรสายฟ้าพูดอย่างเหลืออดพร้อมทั้งมองไปที่มู่หรงที่อยู่เบื้องหน้า ราวกับว่าเห็นแมลงวันที่น่ารำคาญ

ครั้งแรกตอนที่เจ้าอสูรสายฟ้าเห็นมู่หรงเสวี่ย มันรู้สึกตื่นเต้นและอยากที่จะกินเธอเข้าไปทั้งตัว ใครจะรู้ว่ามู่หรงเสวี่ยก็น่ารำคาญพอ ๆ กับแมลงสาบที่ฆ่าไม่ตาย ถึงแม้เขาจะสู้ให้ตายไม่ได้ แต่เขาก็จะสู้ให้หนักและแรงมากขึ้น ต่อมาเขาก็มีท่าทางรู้สึกผิด ถ้าเขารู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ เขาก็คงไม่มีวันโผล่มาตรงหน้าเธอแน่ๆ

“ลงมือมาเลย!” มู่หรงเสวี่ยเริ่มที่จะสู้โดยไม่พูดอะไร ถือดาบสองคมไว้ในมือทั้งสองข้างและยกขึ้นด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณที่ราวกับพายุฝนฟ้าคะนอง

“บ้าเอ๊ย ฉันบอกว่าไม่ว่างไง!” เจ้าอสูรสายฟ้าร้องตะโกนออกมาเสียงดังแล้วจึงลุกขึ้นเพื่อรับการโจมตีของมู่หรงเสวี่ย

ครึ่งชั่วโมงต่อมามู่หรงก็เช็ดดาบในมือตัวเองแต่เจ้าอสูรสายฟ้าหมอบอยู่ข้างหนึ่งและร้องอย่างโหยหวน เขาถูกจัดการได้ง่ายขนาดนี้เลยเหรอ?! แต่มันไม่รู้ว่าเจ้าแมลงสาบนี่เล่นงานมันตรงไหนเพราะมันเจ็บทั่วไปหมด ในตอนแรกก็เห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งและใหญ่ขึ้น บ้าเอ๊ย เธอแข็งแกร่งจนมันสู้ไม่ได้เลย

ไม่ว่ามันจะซ่อนอยู่ที่ไหน นังผู้หญิงบ้านี่ก็หามันเจอตลอดและเริ่มที่จะจู่โจมโดยไม่พูดอะไรเลย…หื้อหื้อ…ในโลกนี้ไม่มีความยุติธรรมเลย

“อย่าร้องสิ นายแก่ขนาดนี้แล้วนะยังจะมาร้องไห้อยู่อีก การแพ้นี่มันน่าขายหน้ามากเลยงั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถามอย่างดูถูก ลืมไปแล้วว่าในตอนแรกเธอรู้สึกทรมานมากแค่ไหน

“หื้อหื้อหื้อหื้อ…” ปีศาจ ผู้หญิงคนนี้เป็นปีศาจชัดๆ!!!

“เอ้านี่” มู่หรงเสวี่ยนำผลไม้แห่งจิตวิญญาณระดับกลางออกมาจากมิติลับและโยนไปให้เจ้าอสูรสายฟ้า

เจ้าอสูรสายฟ้าหยุดร้องไห้ทันที มันหยิบผลไม้ไปอย่างมีความสุขและเช็ดอย่างระวัง แล้วมันก็ใส่เข้าไปในปากและลิ้มรสอย่างละเอียด มันร้องไห้อยู่นานแต่เมื่อได้ผลไม้นี้ก็ถึงกับต้องหยุดเลยทีเดียว

มู่หรงเสวี่ยพร้อมที่จะหาคู่ต่อสู้ใหม่แล้ว แต่ตลอดทางที่ผ่านมา แม้แต่นกสักตัวก็ยังไม่เห็นเลย

เวลาผ่านไปนาน มู่หรงร้องตะโกนออกมาอย่างจนปัญญา “ออกมาให้หมด!!! ฉันมีผลไม้แห่งจิตวิญญาณให้ด้วยนะ”

เพียงเสี้ยววินาทีมู่หรงเสวี่ยก็ถูกล้อมรอบไปด้วยอสูรแห่งจิตวิญญาณ ทั้งหมดน่าจะมีประมาณ 6-8 ตัวได้ ถึงแม้เสี่ยวไป๋ (เสี่ยวไป๋คือเจ้าลูกบอลสีขาว เป็นชื่อที่มู่หรงเสวี่ยตั้งให้มัน!) จะบอกว่าที่นี่มีอสูรมากมายที่อยู่ในระดับเก้า แต่มู่หรงเสวี่ยหลงอยู่ที่นี่มาครึ่งปีแล้วแต่เธอก็ยังไม่เคยเจอเลยสักตัว

เมื่อเห็นกลุ่มสัตว์เรืองแสง มู่หรงเสวี่นก็มองพวกมันด้วยความรังเกียจเห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้เจ้าพวกนี้ไม่โผล่แม้เงาให้เห็นเลย เธอเผยรอยยิ้มและพูดออกไป “อยากจะกินงั้นเหรอ?!”

เจ้าอสูรรอบๆต่างก็พยักหน้าอย่างสิ้นหวัง

รอยยิ้มที่มุมปากของมู่หรงเสวี่ยเปล่งประกายมากขึ้นไปอีก “จะสู้กับฉันก็ได้นะถ้าพวกนายอยาก…”

ทันใดนั้นท่าทางของสัตว์เหล่านั้นก็ดูน่าเกลียดราวกับกำลังปวดท้อง พวกมันอยากที่จะโจมตีและไม่อยากที่จะยอมแพ้ แต่การถูกซ้อมมันก็เจ็บปวดมาก ดวงตาเล็กๆของพวกมันดูสับสนจนแม้แต่มู่หรงเสวี่ยเองก็ทนไม่ได้

เหล่าสัตว์ต่างที่ถือผลไม้ไว้ในมือต่างก็เจ็บปวดแต่ก็มีความสุข มู่หรงเสวี่ยได้ก้าวเข้าสู่ขั้นต้นของระดับสีม่วงแล้ว เธอฝึกตนอยู่ในมิติลับมาเป็นร้อยปีและได้ออกมาสู้กับอสูรแห่งจิตวิญญาณในระดับสูงๆมากมาย ความสำเร็จของเธอค่อยๆเพิ่มสูงขึ้นทุกวันๆ ความก้าวหน้าที่รวดเร็วของเธอทำให้เสี่ยวไป๋อดไม่ได้ที่จะรู้สึกยกย่อง ตอนนี้เธอบรรลุคุณสมบัติที่จะสามารถเดินออกจากป่าแห่งความตายได้แล้ว เธอไม่รู้ว่าข้างนอกเป็นโลกแบบไหนแล้วพ่อแม่จะอยู่ที่ไหน? !!

ในมิติลับ เจ้าลูกบอลสีขาวซึ่งแทบจะมองไม่เห็นลูกตาแล้ว ในช่วงเวลาที่ผ่านมาในมิติลับ แม้พลังของมันยังกู้คืนไม่ได้แต่มันก็น้ำหนักขึ้นมามาก

มู่หรงเสวี่ยมองไปที่มันอย่างพูดไม่ออก “เสี่ยวไป๋ ถ้านายกินอีก นายจะเดินไม่ได้แล้วนะ ดูไขมันที่ร่างกายของนายซะก่อนสิ นี่นายอ้วนกว่าหมูอีกนะ…”

“อ้วนอะไร…ผัก…กินแต่ผักนะ…” แก้มที่ปูดโปนของ เสี่ยวไป๋และเสียงที่พูดออกมาก็ไม่ค่อยจะชัดเจน

มู่หรงเสวี่ยกลอกตาและพูดออกมา “ฉันจะไปจากป่าแห่งความตายแล้วนะ…” ไม่ว่าเสี่ยวไป๋จะพูดอะไร เธอก็ไม่อยากจะอยู่ที่นี่อีกแล้ว

เสี่ยวไป๋มองไปที่เธอ ความสำเร็จของเธอตอนนี้คงไม่มีใครกล้าที่จะเข้ามารังแกแล้ว ตราบใดที่เธอไม่ได้ไปเจอตัวเทพๆ…”เธอจะออกไปก็ได้ถ้าเธอต้องการและไม่มีใครมาห้ามเธอได้หรอก…”

“แค่นี้เหรอ?! นายไม่มีอย่างอื่นที่จะพูดอีกเลยเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถาม

“ไม่มี” เสี่ยวไป๋พูดและหันกลับไปกินต่อ หลังจากนั้นสักพัก มันก็ดูเหมือนจะนึกเรื่องที่จะพูดขึ้นมาได้

“ถ้าเธอไม่อยากที่จะสร้างปัญหา เธอก็ควรที่จะเปลี่ยนชุดก่อนที่จะออกไปนะ ท่าทางของเธอตอนนี้มันเป็นที่สังเกตเกินไปหน่อย…”

การฝึกตนของมู่หรงเสวี่ยยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะเพิกเฉยต่อทุกสิ่ง ในดินแดนที่เต็มไปด้วยพายุ ระดับสีม่วงไม่ใช่ระดับสูงสุด มีหลายคนที่ชอบจับผู้หญิงที่มีความแข็งแกร่งมาเป็นเตาหลอม มีสารพัดกลเม็ดให้ใช้

“นายหมายถึง…ให้แต่งเป็นผู้ชายเหรอ แต่ฉันกลัวว่าถ้าแต่งเป็นผู้ชายคนจะเห็นง่ายนะ…” มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้ว

“เธอเคยเปิดตู้ชั้นที่สองของหอคอยเก้าชั้นมาก่อนหรือเปล่า? ในนั้นน่าจะมีจิตวิญญาณในการป้องกันตัวด้วย เธอลองไปดูก่อนได้…” เสี่ยวไป๋พูดพร้อมทั้งอ้าปากเคี้ยวผลไม้แห่งจิตวิญญาณไปด้วย

จากที่เสี่ยวไป๋บอก นี่เป็นอุปกรณ์วิเศษคุณภาพเยี่ยมซึ่งสามารถย่อขยายได้ หน้าที่หลักคือไว้ป้องกัน ส่วนอานุภาพในการคุ้มครองนั้น ทำให้ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ เพราะเรื่องหอคอยเก้าชั้นเป็นเพียงตำนาน แต่ไม่คิดว่าจะได้มาเห็นที่นี่ แต่เสี่ยวไป๋ก็ไม่ได้มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ มันก็เป็นแค่ตำนานซึ่งเป็นหนึ่งในเรื่องเดียวกับเรื่องหอคอยเก้าชั้น

หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยขึ้นมาสู่ระดับสีม่วง จู่ๆชั้นที่สองของหอคอยเก้าชั้นก็เปิดออกทันที เสี่ยวไป๋บอกว่าการเปิดหอคอยเก้าชั้นน่าจะเกี่ยวข้องกับระดับชั้นของเธอ หลังจากที่ปีนขึ้นไปบนชั้นสองแล้ว เธอก็พบว่าที่ชั้นสองเต็มไปด้วยเครื่องมือแห่งจิตวิญญาณระดับสูง มู่หรงเสวี่ยตรงเข้าไปหยิบมีดใหญ่ที่ดูถนัดมือขึ้นมาลอง ด้ามมีดแกะสลักด้วยลวดลายนกฟีนิกซ์ ใบมีดมีรูปร่างเหมือนพระจันทร์เสี้ยวซึ่งมีขนาดเล็กกว่าเธอครึ่งหนึ่ง เธอลองขึ้นไปที่ชั้นสาม แต่ก็พบว่ามันไม่มีทางเข้า แม้ว่าเธอจะบินเข้าไปจากทางด้านนอก แต่ก็ไม่มีทางเข้าอยู่ดี ดูเหมือนว่าเธอทำได้เพียงการฝึกตนเท่านั้น อย่างไรก็ตามเธอพบว่าตำราฟินิกซ์ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ที่เธอเข้าสู่ระดับสีม่วง ไม่ว่าเธอจะลองอะไร มันก็จะแสดงการฝึกตนในระดับขั้นต่อไปขึ้นมาอย่างอัตโนมัติเลย ทักษะจะแสดงออกมา เธอถามเสี่ยวไป๋ มันก็ตอบเธอเพียงว่าบางทีระดับของเธออาจจะยังไม่พอ

หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของเสี่ยวไป๋แล้ว มู่หรงเสวี่ยตรงไปที่ชั้นสองของหอคอยเก้าชั้นและเริ่มมองหาเครื่องมือทางจิตวิญญาณที่มีประโยชน์

บนชั้นสองมีการจัดประเภทโบราณวัตถุอย่างเป็นระเบียบ มู่หรงเสวี่ยสามารถมองเห็นของได้อย่างง่ายดาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหน้ากาก ถึงแม้ว่าการเปลี่ยนหน้าตาจะเป็นเรื่องดี แต่มู่หรงเสวี่ยก็ยังอยากที่จะเห็นว่ามีอันไหนที่ดีกว่ากัน เมื่อไม่รู้ว่าภายนอกเป็นยังไง ดังนั้นเธอจึงอยากที่จะทำตัวไม่เป็นจุดสังเกตมากนัก

หลังจากค้นหาอยู่นานเธอก็เห็นแหวนที่สึกกร่อนอยู่ที่มุมหนึ่งซึ่งมีคราบสนิมเกาะอยู่ แต่มู่หรงเสวี่ยก็ไม่ได้ดูถูกมันเพราะกำไลของเธอในตอนแรกก็เป็นสนิมเหมือนกันและมันก็จะไม่ยอมเผยรูปร่างเดิมจนกว่าพวกมันจะยอมรับ

มู่หรงเสวี่ยกัดนิ้วตัวเองและหยดเลือดลงไปที่แหวนโดยตรง จู่ๆก็มีเสียงมังกรร้องออกมา

อย่างไรก็ตามแหวนไม่ได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ดั้งเดิมเหมือนกำไล มันยังคงดูเก่าอยู่ หรือเธอจะมองพลาดไปเอง

ไม่น่าจะเป็นไปได้ เธอเชื่อว่ามันไม่น่าที่จะเป็นแหวนธรรมดาๆเพราะเสียงร้องของมังกรเมื่อกี้

เธอสวมแหวนไปที่นิ้วและแหวนก็กลายเป็นไซต์ที่พอดีกับนิ้วของมู่หรงเสวี่ยขึ้นมาทันที มู่หรงเสวี่ยพยายามที่จะถอดมันออกแต่ก็ทำไม่ได้

มู่หรงเสวี่ยแยกแหวนแห่งการตรวจจับความรู้สึกทางวิญญาณออกจากจิตใจของเธอ มันไม่ได้ขัดขืนอะไร ราวกับว่ามันได้เจอเจ้าของที่สมบูรณ์แบบแล้ว

แหวนมังกร : สถานะหลัก, สามารถเปลี่ยนเพศได้, ซ่อนการฝึกตนได้ สามารถต้านทานการโจมตีที่ต่ำกว่าระดับ 7 ได้ในครั้งเดียว หลังจากการโจมตีแต่ละครั้งต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัว คุณสมบัติอื่น ๆ ยังไม่ได้รับการพัฒนา

มู่หรงเสวี่ยเรียกคืนสติทางจิตวิญญาณของเธอและดีใจที่ได้รู้ว่าการเปลี่ยนเพศคือสิ่งที่เธอต้องการมากที่สุดในตอนนี้ มาช่วยได้ทันเวลาพอดีเลย

เธอใช้จิตของตัวเองเพื่อควบคุมแหวนมังกรและเข้าถึงขั้นตอนการแปลงร่าง แล้วเธอก็เดินไปดูที่กระจก ก็พบว่ามันปิดบังรูปร่างลักษณะความเป็นผู้หญิงของเธอไปจนหมด ที่คอของเธอมีลูกกระเดือกเล็กๆอยู่ด้วย ใบหน้าก็ยังเป็นใบหน้าของเธอแต่กลับดูสวยมากขึ้น เป็นความสวยที่แยกไม่ออกระหว่างผู้หญิงและผู้ชาย อีกอย่างมู่หรงเสวี่ยยังสูงขึ้นด้วย ซึ่งสูงประมาณ 1.75 ซม. เลย โชคดีที่เธออยู่ในช่วงเวลานี้ การต่อสู้กับสัตว์วิญญาณภายนอกทำให้อารมณ์ของเธอเปลี่ยนไปอย่างมาก ตอนนี้มู่หรงเสวี่ยดูจะเยือกเย็นขึ้นมานิดหน่อย การต่อสู้จริงๆที่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อไม่ได้สูญเปล่าเลยจริงๆ

มู่หรงเสวี่ยเจอชุดกีฬาลำลองของผู้ชาย เธอหยิบมันมาสวมและรวบผมขึ้นจนกลายเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาไปเลย

เมื่อเธอเดินออกมา ผลไม้ที่อยู่ในอ้อมแขนของเสี่ยวไป๋ก็ล่วงลงมาที่พื้นจนหมด

“เธอ…ทำไมอยู่ดีๆเธอกลายเป็นผู้ชายได้แบบนี้เลยล่ะ?” เสี่ยวไป๋กระโดดตรงเข้ามาที่ร่างของมู่หรงเสวี่ยและพยายามที่จะแตะไปที่หน้าอกเธอ

มู่หรงไม่พูดอะไรแต่ปัดมือมันออกพร้อมทั้งส่ายแหวนที่อยู่ในมือของเธอ “ฉันสวมเจ้านี่ไง…”

เสี่ยวไป่คิดว่ามันจะเป็นสมบัติล้ำค่าแต่เมื่อมองดูดีๆมันก็เห็นว่ามันเป็นแหวนที่น่าเกลียดมาก มันพูดออกมา “นี่มันอะไรกันเนี่ย?! น่าเกลียดจริงๆ”

มู่หรงเสวี่ยเคาะไปที่หัวของมันและพูดออกมาอย่างดูถูก “มันสวยกว่าตัวอ้วนๆของนายสะอีกนะ…” เธอไม่ได้รู้สึกว่าแหวนมังกรน่าเกลียดเลยสักนิด บางทีอาจจะเป็นเพราะในตอนนี้เธอเชื่อมโยงกับมันอย่างใกล้ชิดก็ได้ เธอรู้สึกได้ว่าแหวนมังกรเหมือนจะกำลังร้องไห้ เธอรู้สึกว่ามันจะต้องเป็นแหวนที่มีเรื่องราวแน่ๆ

….

ในส่วนลึกของป่าแห่งความตายชายหนุ่มที่หล่อเหลาสวมชุดแปลก ๆ มืออุ้มสิ่งมีชีวิตที่รูปร่างเหมือนลูกบอลไว้ ที่ด้านหลังก็แบกดาบเล่มใหญ่ที่ไม่เข้ากับใบหน้าอันหล่อเหลาเลยพร้อมทั้งเดินอย่างสบายอารมณ์อยู่ที่สนามหญ้าด้านหลังของตัวเอง

คนๆนี้คือมู่หรงเสวี่ย ในเวลานี้เธอได้ออกไปจากส่วนลึกของป่าแห่งความตายและผ่านส่วนบรรยากาศที่เป็นพิษด้วย โชคดีที่เธอผลิตยาต้านมาจำนวนมาก ไม่งั้นเธอคงจะพึ่งการฝึกตนระดับสีม่วงอย่างเดียวคงไม่ไหว อย่างไรก็ตามเสี่ยวไป๋ เจ้าลูกบอลอ้วนไม่อยากที่จะอยู่ในมิติลับ ว่ากันว่ามันจะขึ้นราหลังจากอยู่นานเกินไป แน่นอนว่าเธอเป็นคนที่ดูแลก็ต้องปกป้องเรื่องนี้ มู่หรงเสวี่ยเป็นคนดี เธอต้องเหนื่อยมาหลายครั้งแล้ว

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามู่หรงเสวี่ยได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เธอเป็นแพทย์แผนจีนและเธอต้องเข้าใจเภสัชวิทยาดีกว่าคนทั่วไป ดังนั้นเธอจึงได้ผลลัพธ์เป็นสองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียวในปรุงแต่งยา

อย่างไรก็ตามเพื่อให้พบพ่อแม่ของเธอโดยเร็วสิ่งที่เธอต้องทำก็คือการฝึกตน การเล่นแร่แปรธาตุเป็นความสำเร็จเพียงเล็กน้อย ตอนนี้ระดับสูงสุดคือการปรับแต่งยาระดับ 6 ให้ได้เท่านั้นซึ่งเป็นยาระดับสูงสำหรับนักเล่นแร่แปรธาตุ แต่หากเธอต้องการที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเล่นแร่แปรธาตุ เธอต้องปรับแต่งยาระดับ 7 ให้ได้

“น่าเบื่อจริงๆ!” เสี่ยวไป๋ถอนหายใจในอ้อมแขนของ มู่หรงเสวี่ย

มู่หรงเสวี่ยเองก็รู้สึกเบื่อๆเช่นเดียวกัน ตลอดทางแม้แต่กระต่ายสักตัวเธอก็ยังไม่เจอเลยและเธอก็เริ่มรู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมาแล้วด้วย

เสี่ยวไป๋จ้องไปที่มู่หรงเสวี่ย “นี่เป็นส่วนกลางของป่าแห่งความตายแล้วนะ ปกติมักจะมีสัตว์อสูรที่สูงกว่าระดับ 4 และ 5 เธอเป็นผู้ฝึกตนระดับสีม่วงที่หลงเข้ามาที่นี่ แล้วแบบนี้พวกอสูรตัวไหนจะกล้าออกมาล่ะ…” มันกำลังคิดว่าจะแยกทางกับ มู่หรงเสวี่ยดีหรือเปล่า การอยู่แบบนี้กับการอยู่ในมิติลับมันจะต่างอะไรกัน

“พวกอสูรตรวจจับการฝึกตนของฉันได้ด้วยเหรอ?! แล้วทำไมไม่บอกเร็วกว่านี้ล่ะ” มู่หรงเสวี่ยเปิดใช้ฟังค์ชันที่สองของแหวนมังกรทันทีและลดระดับความสำเร็จเหลือเพียงระดับสีเหลือง

เจ้าลูกบอลสีขาวตะลึงและพูดออกมา “บ้าจริง เธอซ่อนมันได้ด้วยเหรอ งั้นทำไมไม่ทำแบบนี้ตั้งแต่แรกเล่า!”

มู่หรงเสวี่ยมองไปที่มัน เรื่องนี้จะโทษเธอได้งั้นเหรอ?!”

แน่นอนว่า ชายหนุ่มและเจ้าอสูรยังเดินไปไหนไม่ได้ไกล ก็เจอเข้ากับอสูรตัวหนึ่งที่อยากจะตายเดินเข้ามา

สิ่งที่อยู่ตรงหน้ามู่หรงเสวี่ยคือเจ้าอสูรฟันยักษ์ระดับ 5 มีเพียงอสูรระดับหกเป็นต้นไปที่จะสามารถเปลี่ยนภาษามาพูดภาษามนุษย์ได้ ดังนั้นเจ้าอสูรฟันยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าจึงพูดไม่ได้

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า คู่ฝึกโผล่มาแล้วหนึ่ง!” มู่หรงเสวี่ยวาง เสี่ยวไป๋ลงอย่างมีความสุขพร้อมทั้งดึงดาบใหญ่ออกมา

เจ้าอสูรฟันยักษ์ดูโมโห เป็นแค่มนุษย์ระดับสีเหลืองแต่ยังกล้ามาปากเก่งอีก เจ้าอสูรฟันยักษ์เป็นสัตว์แห่งจิตวิญญาณที่ทรงอำนาจและมีความเร็วอย่างมาก ผู้ฝึกตนหลายคนที่ต้องพ่ายแพ้ให้กับความเร็วของมัน

มันรีบพุ่งเข้ามาหามู่หรง และมุมแหลมยาวทั้งสองบนหัวของมันก็เป็นหนึ่งในอาวุธของมันเช่นกัน

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 244 ผู้หญิงปลอมตัวเป็นผู้ชาย

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 244 ผู้หญิงปลอมตัวเป็นผู้ชาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 244

ผู้หญิงปลอมตัวเป็นผู้ชาย

เวลาผ่านไป…

“โอ้!” มู่หรงเสวี่ยปรากฏตัวพร้อมดาบใหญ่บนไหล่ของเธอ!

“เป็นเธออีกแล้วได้ยังไงเนี่ย!!! ทำไมถึงเป็นเธอตลอดเลย? ไป ไปเลย! ฉันไม่มีเวลามาเล่นกับเธอหรอกนะ” เจ้าอสูรสายฟ้าพูดอย่างเหลืออดพร้อมทั้งมองไปที่มู่หรงที่อยู่เบื้องหน้า ราวกับว่าเห็นแมลงวันที่น่ารำคาญ

ครั้งแรกตอนที่เจ้าอสูรสายฟ้าเห็นมู่หรงเสวี่ย มันรู้สึกตื่นเต้นและอยากที่จะกินเธอเข้าไปทั้งตัว ใครจะรู้ว่ามู่หรงเสวี่ยก็น่ารำคาญพอ ๆ กับแมลงสาบที่ฆ่าไม่ตาย ถึงแม้เขาจะสู้ให้ตายไม่ได้ แต่เขาก็จะสู้ให้หนักและแรงมากขึ้น ต่อมาเขาก็มีท่าทางรู้สึกผิด ถ้าเขารู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ เขาก็คงไม่มีวันโผล่มาตรงหน้าเธอแน่ๆ

“ลงมือมาเลย!” มู่หรงเสวี่ยเริ่มที่จะสู้โดยไม่พูดอะไร ถือดาบสองคมไว้ในมือทั้งสองข้างและยกขึ้นด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณที่ราวกับพายุฝนฟ้าคะนอง

“บ้าเอ๊ย ฉันบอกว่าไม่ว่างไง!” เจ้าอสูรสายฟ้าร้องตะโกนออกมาเสียงดังแล้วจึงลุกขึ้นเพื่อรับการโจมตีของมู่หรงเสวี่ย

ครึ่งชั่วโมงต่อมามู่หรงก็เช็ดดาบในมือตัวเองแต่เจ้าอสูรสายฟ้าหมอบอยู่ข้างหนึ่งและร้องอย่างโหยหวน เขาถูกจัดการได้ง่ายขนาดนี้เลยเหรอ?! แต่มันไม่รู้ว่าเจ้าแมลงสาบนี่เล่นงานมันตรงไหนเพราะมันเจ็บทั่วไปหมด ในตอนแรกก็เห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งและใหญ่ขึ้น บ้าเอ๊ย เธอแข็งแกร่งจนมันสู้ไม่ได้เลย

ไม่ว่ามันจะซ่อนอยู่ที่ไหน นังผู้หญิงบ้านี่ก็หามันเจอตลอดและเริ่มที่จะจู่โจมโดยไม่พูดอะไรเลย…หื้อหื้อ…ในโลกนี้ไม่มีความยุติธรรมเลย

“อย่าร้องสิ นายแก่ขนาดนี้แล้วนะยังจะมาร้องไห้อยู่อีก การแพ้นี่มันน่าขายหน้ามากเลยงั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถามอย่างดูถูก ลืมไปแล้วว่าในตอนแรกเธอรู้สึกทรมานมากแค่ไหน

“หื้อหื้อหื้อหื้อ…” ปีศาจ ผู้หญิงคนนี้เป็นปีศาจชัดๆ!!!

“เอ้านี่” มู่หรงเสวี่ยนำผลไม้แห่งจิตวิญญาณระดับกลางออกมาจากมิติลับและโยนไปให้เจ้าอสูรสายฟ้า

เจ้าอสูรสายฟ้าหยุดร้องไห้ทันที มันหยิบผลไม้ไปอย่างมีความสุขและเช็ดอย่างระวัง แล้วมันก็ใส่เข้าไปในปากและลิ้มรสอย่างละเอียด มันร้องไห้อยู่นานแต่เมื่อได้ผลไม้นี้ก็ถึงกับต้องหยุดเลยทีเดียว

มู่หรงเสวี่ยพร้อมที่จะหาคู่ต่อสู้ใหม่แล้ว แต่ตลอดทางที่ผ่านมา แม้แต่นกสักตัวก็ยังไม่เห็นเลย

เวลาผ่านไปนาน มู่หรงร้องตะโกนออกมาอย่างจนปัญญา “ออกมาให้หมด!!! ฉันมีผลไม้แห่งจิตวิญญาณให้ด้วยนะ”

เพียงเสี้ยววินาทีมู่หรงเสวี่ยก็ถูกล้อมรอบไปด้วยอสูรแห่งจิตวิญญาณ ทั้งหมดน่าจะมีประมาณ 6-8 ตัวได้ ถึงแม้เสี่ยวไป๋ (เสี่ยวไป๋คือเจ้าลูกบอลสีขาว เป็นชื่อที่มู่หรงเสวี่ยตั้งให้มัน!) จะบอกว่าที่นี่มีอสูรมากมายที่อยู่ในระดับเก้า แต่มู่หรงเสวี่ยหลงอยู่ที่นี่มาครึ่งปีแล้วแต่เธอก็ยังไม่เคยเจอเลยสักตัว

เมื่อเห็นกลุ่มสัตว์เรืองแสง มู่หรงเสวี่นก็มองพวกมันด้วยความรังเกียจเห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้เจ้าพวกนี้ไม่โผล่แม้เงาให้เห็นเลย เธอเผยรอยยิ้มและพูดออกไป “อยากจะกินงั้นเหรอ?!”

เจ้าอสูรรอบๆต่างก็พยักหน้าอย่างสิ้นหวัง

รอยยิ้มที่มุมปากของมู่หรงเสวี่ยเปล่งประกายมากขึ้นไปอีก “จะสู้กับฉันก็ได้นะถ้าพวกนายอยาก…”

ทันใดนั้นท่าทางของสัตว์เหล่านั้นก็ดูน่าเกลียดราวกับกำลังปวดท้อง พวกมันอยากที่จะโจมตีและไม่อยากที่จะยอมแพ้ แต่การถูกซ้อมมันก็เจ็บปวดมาก ดวงตาเล็กๆของพวกมันดูสับสนจนแม้แต่มู่หรงเสวี่ยเองก็ทนไม่ได้

เหล่าสัตว์ต่างที่ถือผลไม้ไว้ในมือต่างก็เจ็บปวดแต่ก็มีความสุข มู่หรงเสวี่ยได้ก้าวเข้าสู่ขั้นต้นของระดับสีม่วงแล้ว เธอฝึกตนอยู่ในมิติลับมาเป็นร้อยปีและได้ออกมาสู้กับอสูรแห่งจิตวิญญาณในระดับสูงๆมากมาย ความสำเร็จของเธอค่อยๆเพิ่มสูงขึ้นทุกวันๆ ความก้าวหน้าที่รวดเร็วของเธอทำให้เสี่ยวไป๋อดไม่ได้ที่จะรู้สึกยกย่อง ตอนนี้เธอบรรลุคุณสมบัติที่จะสามารถเดินออกจากป่าแห่งความตายได้แล้ว เธอไม่รู้ว่าข้างนอกเป็นโลกแบบไหนแล้วพ่อแม่จะอยู่ที่ไหน? !!

ในมิติลับ เจ้าลูกบอลสีขาวซึ่งแทบจะมองไม่เห็นลูกตาแล้ว ในช่วงเวลาที่ผ่านมาในมิติลับ แม้พลังของมันยังกู้คืนไม่ได้แต่มันก็น้ำหนักขึ้นมามาก

มู่หรงเสวี่ยมองไปที่มันอย่างพูดไม่ออก “เสี่ยวไป๋ ถ้านายกินอีก นายจะเดินไม่ได้แล้วนะ ดูไขมันที่ร่างกายของนายซะก่อนสิ นี่นายอ้วนกว่าหมูอีกนะ…”

“อ้วนอะไร…ผัก…กินแต่ผักนะ…” แก้มที่ปูดโปนของ เสี่ยวไป๋และเสียงที่พูดออกมาก็ไม่ค่อยจะชัดเจน

มู่หรงเสวี่ยกลอกตาและพูดออกมา “ฉันจะไปจากป่าแห่งความตายแล้วนะ…” ไม่ว่าเสี่ยวไป๋จะพูดอะไร เธอก็ไม่อยากจะอยู่ที่นี่อีกแล้ว

เสี่ยวไป๋มองไปที่เธอ ความสำเร็จของเธอตอนนี้คงไม่มีใครกล้าที่จะเข้ามารังแกแล้ว ตราบใดที่เธอไม่ได้ไปเจอตัวเทพๆ…”เธอจะออกไปก็ได้ถ้าเธอต้องการและไม่มีใครมาห้ามเธอได้หรอก…”

“แค่นี้เหรอ?! นายไม่มีอย่างอื่นที่จะพูดอีกเลยเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถาม

“ไม่มี” เสี่ยวไป๋พูดและหันกลับไปกินต่อ หลังจากนั้นสักพัก มันก็ดูเหมือนจะนึกเรื่องที่จะพูดขึ้นมาได้

“ถ้าเธอไม่อยากที่จะสร้างปัญหา เธอก็ควรที่จะเปลี่ยนชุดก่อนที่จะออกไปนะ ท่าทางของเธอตอนนี้มันเป็นที่สังเกตเกินไปหน่อย…”

การฝึกตนของมู่หรงเสวี่ยยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะเพิกเฉยต่อทุกสิ่ง ในดินแดนที่เต็มไปด้วยพายุ ระดับสีม่วงไม่ใช่ระดับสูงสุด มีหลายคนที่ชอบจับผู้หญิงที่มีความแข็งแกร่งมาเป็นเตาหลอม มีสารพัดกลเม็ดให้ใช้

“นายหมายถึง…ให้แต่งเป็นผู้ชายเหรอ แต่ฉันกลัวว่าถ้าแต่งเป็นผู้ชายคนจะเห็นง่ายนะ…” มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้ว

“เธอเคยเปิดตู้ชั้นที่สองของหอคอยเก้าชั้นมาก่อนหรือเปล่า? ในนั้นน่าจะมีจิตวิญญาณในการป้องกันตัวด้วย เธอลองไปดูก่อนได้…” เสี่ยวไป๋พูดพร้อมทั้งอ้าปากเคี้ยวผลไม้แห่งจิตวิญญาณไปด้วย

จากที่เสี่ยวไป๋บอก นี่เป็นอุปกรณ์วิเศษคุณภาพเยี่ยมซึ่งสามารถย่อขยายได้ หน้าที่หลักคือไว้ป้องกัน ส่วนอานุภาพในการคุ้มครองนั้น ทำให้ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ เพราะเรื่องหอคอยเก้าชั้นเป็นเพียงตำนาน แต่ไม่คิดว่าจะได้มาเห็นที่นี่ แต่เสี่ยวไป๋ก็ไม่ได้มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ มันก็เป็นแค่ตำนานซึ่งเป็นหนึ่งในเรื่องเดียวกับเรื่องหอคอยเก้าชั้น

หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยขึ้นมาสู่ระดับสีม่วง จู่ๆชั้นที่สองของหอคอยเก้าชั้นก็เปิดออกทันที เสี่ยวไป๋บอกว่าการเปิดหอคอยเก้าชั้นน่าจะเกี่ยวข้องกับระดับชั้นของเธอ หลังจากที่ปีนขึ้นไปบนชั้นสองแล้ว เธอก็พบว่าที่ชั้นสองเต็มไปด้วยเครื่องมือแห่งจิตวิญญาณระดับสูง มู่หรงเสวี่ยตรงเข้าไปหยิบมีดใหญ่ที่ดูถนัดมือขึ้นมาลอง ด้ามมีดแกะสลักด้วยลวดลายนกฟีนิกซ์ ใบมีดมีรูปร่างเหมือนพระจันทร์เสี้ยวซึ่งมีขนาดเล็กกว่าเธอครึ่งหนึ่ง เธอลองขึ้นไปที่ชั้นสาม แต่ก็พบว่ามันไม่มีทางเข้า แม้ว่าเธอจะบินเข้าไปจากทางด้านนอก แต่ก็ไม่มีทางเข้าอยู่ดี ดูเหมือนว่าเธอทำได้เพียงการฝึกตนเท่านั้น อย่างไรก็ตามเธอพบว่าตำราฟินิกซ์ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ที่เธอเข้าสู่ระดับสีม่วง ไม่ว่าเธอจะลองอะไร มันก็จะแสดงการฝึกตนในระดับขั้นต่อไปขึ้นมาอย่างอัตโนมัติเลย ทักษะจะแสดงออกมา เธอถามเสี่ยวไป๋ มันก็ตอบเธอเพียงว่าบางทีระดับของเธออาจจะยังไม่พอ

หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของเสี่ยวไป๋แล้ว มู่หรงเสวี่ยตรงไปที่ชั้นสองของหอคอยเก้าชั้นและเริ่มมองหาเครื่องมือทางจิตวิญญาณที่มีประโยชน์

บนชั้นสองมีการจัดประเภทโบราณวัตถุอย่างเป็นระเบียบ มู่หรงเสวี่ยสามารถมองเห็นของได้อย่างง่ายดาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหน้ากาก ถึงแม้ว่าการเปลี่ยนหน้าตาจะเป็นเรื่องดี แต่มู่หรงเสวี่ยก็ยังอยากที่จะเห็นว่ามีอันไหนที่ดีกว่ากัน เมื่อไม่รู้ว่าภายนอกเป็นยังไง ดังนั้นเธอจึงอยากที่จะทำตัวไม่เป็นจุดสังเกตมากนัก

หลังจากค้นหาอยู่นานเธอก็เห็นแหวนที่สึกกร่อนอยู่ที่มุมหนึ่งซึ่งมีคราบสนิมเกาะอยู่ แต่มู่หรงเสวี่ยก็ไม่ได้ดูถูกมันเพราะกำไลของเธอในตอนแรกก็เป็นสนิมเหมือนกันและมันก็จะไม่ยอมเผยรูปร่างเดิมจนกว่าพวกมันจะยอมรับ

มู่หรงเสวี่ยกัดนิ้วตัวเองและหยดเลือดลงไปที่แหวนโดยตรง จู่ๆก็มีเสียงมังกรร้องออกมา

อย่างไรก็ตามแหวนไม่ได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ดั้งเดิมเหมือนกำไล มันยังคงดูเก่าอยู่ หรือเธอจะมองพลาดไปเอง

ไม่น่าจะเป็นไปได้ เธอเชื่อว่ามันไม่น่าที่จะเป็นแหวนธรรมดาๆเพราะเสียงร้องของมังกรเมื่อกี้

เธอสวมแหวนไปที่นิ้วและแหวนก็กลายเป็นไซต์ที่พอดีกับนิ้วของมู่หรงเสวี่ยขึ้นมาทันที มู่หรงเสวี่ยพยายามที่จะถอดมันออกแต่ก็ทำไม่ได้

มู่หรงเสวี่ยแยกแหวนแห่งการตรวจจับความรู้สึกทางวิญญาณออกจากจิตใจของเธอ มันไม่ได้ขัดขืนอะไร ราวกับว่ามันได้เจอเจ้าของที่สมบูรณ์แบบแล้ว

แหวนมังกร : สถานะหลัก, สามารถเปลี่ยนเพศได้, ซ่อนการฝึกตนได้ สามารถต้านทานการโจมตีที่ต่ำกว่าระดับ 7 ได้ในครั้งเดียว หลังจากการโจมตีแต่ละครั้งต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัว คุณสมบัติอื่น ๆ ยังไม่ได้รับการพัฒนา

มู่หรงเสวี่ยเรียกคืนสติทางจิตวิญญาณของเธอและดีใจที่ได้รู้ว่าการเปลี่ยนเพศคือสิ่งที่เธอต้องการมากที่สุดในตอนนี้ มาช่วยได้ทันเวลาพอดีเลย

เธอใช้จิตของตัวเองเพื่อควบคุมแหวนมังกรและเข้าถึงขั้นตอนการแปลงร่าง แล้วเธอก็เดินไปดูที่กระจก ก็พบว่ามันปิดบังรูปร่างลักษณะความเป็นผู้หญิงของเธอไปจนหมด ที่คอของเธอมีลูกกระเดือกเล็กๆอยู่ด้วย ใบหน้าก็ยังเป็นใบหน้าของเธอแต่กลับดูสวยมากขึ้น เป็นความสวยที่แยกไม่ออกระหว่างผู้หญิงและผู้ชาย อีกอย่างมู่หรงเสวี่ยยังสูงขึ้นด้วย ซึ่งสูงประมาณ 1.75 ซม. เลย โชคดีที่เธออยู่ในช่วงเวลานี้ การต่อสู้กับสัตว์วิญญาณภายนอกทำให้อารมณ์ของเธอเปลี่ยนไปอย่างมาก ตอนนี้มู่หรงเสวี่ยดูจะเยือกเย็นขึ้นมานิดหน่อย การต่อสู้จริงๆที่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อไม่ได้สูญเปล่าเลยจริงๆ

มู่หรงเสวี่ยเจอชุดกีฬาลำลองของผู้ชาย เธอหยิบมันมาสวมและรวบผมขึ้นจนกลายเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาไปเลย

เมื่อเธอเดินออกมา ผลไม้ที่อยู่ในอ้อมแขนของเสี่ยวไป๋ก็ล่วงลงมาที่พื้นจนหมด

“เธอ…ทำไมอยู่ดีๆเธอกลายเป็นผู้ชายได้แบบนี้เลยล่ะ?” เสี่ยวไป๋กระโดดตรงเข้ามาที่ร่างของมู่หรงเสวี่ยและพยายามที่จะแตะไปที่หน้าอกเธอ

มู่หรงไม่พูดอะไรแต่ปัดมือมันออกพร้อมทั้งส่ายแหวนที่อยู่ในมือของเธอ “ฉันสวมเจ้านี่ไง…”

เสี่ยวไป่คิดว่ามันจะเป็นสมบัติล้ำค่าแต่เมื่อมองดูดีๆมันก็เห็นว่ามันเป็นแหวนที่น่าเกลียดมาก มันพูดออกมา “นี่มันอะไรกันเนี่ย?! น่าเกลียดจริงๆ”

มู่หรงเสวี่ยเคาะไปที่หัวของมันและพูดออกมาอย่างดูถูก “มันสวยกว่าตัวอ้วนๆของนายสะอีกนะ…” เธอไม่ได้รู้สึกว่าแหวนมังกรน่าเกลียดเลยสักนิด บางทีอาจจะเป็นเพราะในตอนนี้เธอเชื่อมโยงกับมันอย่างใกล้ชิดก็ได้ เธอรู้สึกได้ว่าแหวนมังกรเหมือนจะกำลังร้องไห้ เธอรู้สึกว่ามันจะต้องเป็นแหวนที่มีเรื่องราวแน่ๆ

….

ในส่วนลึกของป่าแห่งความตายชายหนุ่มที่หล่อเหลาสวมชุดแปลก ๆ มืออุ้มสิ่งมีชีวิตที่รูปร่างเหมือนลูกบอลไว้ ที่ด้านหลังก็แบกดาบเล่มใหญ่ที่ไม่เข้ากับใบหน้าอันหล่อเหลาเลยพร้อมทั้งเดินอย่างสบายอารมณ์อยู่ที่สนามหญ้าด้านหลังของตัวเอง

คนๆนี้คือมู่หรงเสวี่ย ในเวลานี้เธอได้ออกไปจากส่วนลึกของป่าแห่งความตายและผ่านส่วนบรรยากาศที่เป็นพิษด้วย โชคดีที่เธอผลิตยาต้านมาจำนวนมาก ไม่งั้นเธอคงจะพึ่งการฝึกตนระดับสีม่วงอย่างเดียวคงไม่ไหว อย่างไรก็ตามเสี่ยวไป๋ เจ้าลูกบอลอ้วนไม่อยากที่จะอยู่ในมิติลับ ว่ากันว่ามันจะขึ้นราหลังจากอยู่นานเกินไป แน่นอนว่าเธอเป็นคนที่ดูแลก็ต้องปกป้องเรื่องนี้ มู่หรงเสวี่ยเป็นคนดี เธอต้องเหนื่อยมาหลายครั้งแล้ว

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามู่หรงเสวี่ยได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เธอเป็นแพทย์แผนจีนและเธอต้องเข้าใจเภสัชวิทยาดีกว่าคนทั่วไป ดังนั้นเธอจึงได้ผลลัพธ์เป็นสองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียวในปรุงแต่งยา

อย่างไรก็ตามเพื่อให้พบพ่อแม่ของเธอโดยเร็วสิ่งที่เธอต้องทำก็คือการฝึกตน การเล่นแร่แปรธาตุเป็นความสำเร็จเพียงเล็กน้อย ตอนนี้ระดับสูงสุดคือการปรับแต่งยาระดับ 6 ให้ได้เท่านั้นซึ่งเป็นยาระดับสูงสำหรับนักเล่นแร่แปรธาตุ แต่หากเธอต้องการที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเล่นแร่แปรธาตุ เธอต้องปรับแต่งยาระดับ 7 ให้ได้

“น่าเบื่อจริงๆ!” เสี่ยวไป๋ถอนหายใจในอ้อมแขนของ มู่หรงเสวี่ย

มู่หรงเสวี่ยเองก็รู้สึกเบื่อๆเช่นเดียวกัน ตลอดทางแม้แต่กระต่ายสักตัวเธอก็ยังไม่เจอเลยและเธอก็เริ่มรู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมาแล้วด้วย

เสี่ยวไป๋จ้องไปที่มู่หรงเสวี่ย “นี่เป็นส่วนกลางของป่าแห่งความตายแล้วนะ ปกติมักจะมีสัตว์อสูรที่สูงกว่าระดับ 4 และ 5 เธอเป็นผู้ฝึกตนระดับสีม่วงที่หลงเข้ามาที่นี่ แล้วแบบนี้พวกอสูรตัวไหนจะกล้าออกมาล่ะ…” มันกำลังคิดว่าจะแยกทางกับ มู่หรงเสวี่ยดีหรือเปล่า การอยู่แบบนี้กับการอยู่ในมิติลับมันจะต่างอะไรกัน

“พวกอสูรตรวจจับการฝึกตนของฉันได้ด้วยเหรอ?! แล้วทำไมไม่บอกเร็วกว่านี้ล่ะ” มู่หรงเสวี่ยเปิดใช้ฟังค์ชันที่สองของแหวนมังกรทันทีและลดระดับความสำเร็จเหลือเพียงระดับสีเหลือง

เจ้าลูกบอลสีขาวตะลึงและพูดออกมา “บ้าจริง เธอซ่อนมันได้ด้วยเหรอ งั้นทำไมไม่ทำแบบนี้ตั้งแต่แรกเล่า!”

มู่หรงเสวี่ยมองไปที่มัน เรื่องนี้จะโทษเธอได้งั้นเหรอ?!”

แน่นอนว่า ชายหนุ่มและเจ้าอสูรยังเดินไปไหนไม่ได้ไกล ก็เจอเข้ากับอสูรตัวหนึ่งที่อยากจะตายเดินเข้ามา

สิ่งที่อยู่ตรงหน้ามู่หรงเสวี่ยคือเจ้าอสูรฟันยักษ์ระดับ 5 มีเพียงอสูรระดับหกเป็นต้นไปที่จะสามารถเปลี่ยนภาษามาพูดภาษามนุษย์ได้ ดังนั้นเจ้าอสูรฟันยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าจึงพูดไม่ได้

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า คู่ฝึกโผล่มาแล้วหนึ่ง!” มู่หรงเสวี่ยวาง เสี่ยวไป๋ลงอย่างมีความสุขพร้อมทั้งดึงดาบใหญ่ออกมา

เจ้าอสูรฟันยักษ์ดูโมโห เป็นแค่มนุษย์ระดับสีเหลืองแต่ยังกล้ามาปากเก่งอีก เจ้าอสูรฟันยักษ์เป็นสัตว์แห่งจิตวิญญาณที่ทรงอำนาจและมีความเร็วอย่างมาก ผู้ฝึกตนหลายคนที่ต้องพ่ายแพ้ให้กับความเร็วของมัน

มันรีบพุ่งเข้ามาหามู่หรง และมุมแหลมยาวทั้งสองบนหัวของมันก็เป็นหนึ่งในอาวุธของมันเช่นกัน

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+