ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 248 เราเป็นเพื่อนกันแล้ว

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 248 เราเป็นเพื่อนกันแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 248

เราเป็นเพื่อนกันแล้ว

เสี่ยวไป๋เงียบไปเลย!!! อะไรกันเนี่ย…ถ้าไม่มีศักดิ์ศรี มันก็แค่ขยะตัวหนึ่ง เป็นอีกครั้งที่มันหันก้นใส่มู่หรงเสวี่ย

มู่หรงเสวี่ยชินกับท่าทางอวดรู้ของเสี่ยวไป๋นานแล้ว และขี้เกียจที่จะใส่ใจกับอารมณ์ไร้สาระแบบนี้ เธอเมินมันอยู่นานและไม่อยากจะพูดอะไรด้วยมาก

หลินหนานลงมือจัดการได้อย่างรวดเร็ว หลังจากประมาณสิบนาทีเจ้าอสูรฟันยักษ์ก็เหลือแค่โครงกระดูกกับเศษอวัยวะภายในเท่านั้น

“มู่เทียน เราต้องรีบออกไปจากที่นี่โดยเร็ว กลิ่นคาวของเลือดมันแรงเกินไป ไม่งั้นเราอาจจะต้องเจอเข้ากับอสูรแห่งจิตวิญญาณอีก…” หลินหนานและคนอื่นๆ เดินกลับมาพร้อมเอ่ยออกมา

มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า “โอเค ไปกันเถอะ! ไปจากที่นี่ก่อน”

“แล้ว…เรื่องของเซี่ยเหลียนน่าล่ะ…” หวู่เสี่ยวเหมยทนที่จะมองเซี่ยเหลียนน่าที่หยุดตะโกนไปแล้วไม่ได้ เธอยังนั่งอยู่ที่พื้น สีหน้าค่อนข้างซีดเชียว และเดาว่าอาการบาดเจ็บน่าจะยังเจ็บอยู่

สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเปลี่ยนเป็นเย็นชา ถ้าไม่ใช่เพราะคนพวกนี้ห้าม เธอก็คงจะฆ่าเธอไปแล้ว แบบนี้เธอจะสนใจได้ยังไงกัน

“เสี่ยวเหมย เจ้าใจอ่อนเกินไปนะ ลืมไปแล้วหรือไงว่าเมื่อกี้นางทำอะไรกับเจ้า?” จู้หมิงพูด

“ไปกันเถอะ ยังไงซะนางก็ไม่ปล่อยเราไว้อยู่ดี…” จ้าวฉีเองก็เดินตามมาด้วย

“ไปเถอะ” หลินหนานพูด ฝีเท้าก็ใช้พลังจิตวิญญานเพื่อที่จะเร่งตามมู่หรงเสวี่ยทีห่างออกไปให้ทัน

คนอื่นๆต่างก็ตามมาด้วย หวู่เสี่ยวเหมยหันไปมอง เซี่ยเหลียนน่าและพบว่าเธอกำลังมองมาที่พวกเธอด้วยสายตาเกลียดชัง จู่ๆแวบประกายความเจ็บปวดที่แสนเศร้าก็โผล่ขึ้นมาในสายตาเธอแล้วเธอก็หันหลังเดินตามหลินหนานไป

เซี่ยเหลียนน่ายังนั่งอยู่ที่เดิม เธอไม่อยากที่จะเชื่อว่าคนพวกนั้นจะกล้าทิ้งเธอไว้ที่นี่ เธอไม่ปล่อยพวกนั้นไว้แน่ เธออยากที่จะเห็นคนพวกนั้นคุกเข่าลงอ้อนวอนขอให้เธอช่วย! มีเสียงร้องโหยหวนของอสูรแห่งจิตวิญญาณดังมาจากไกลๆ เธอมองอย่างเย็นชา อย่างไรก็ตามในฐานะลูกสาวคนเดียวของปรมาจารย์ เธอจะไม่มีอะไรไว้คอยปกป้องชีวิตตัวเองเลยได้ยังไง? เธอหยิบหินมิติออกมาจากแหวนเก็บของ ทันทีที่เธอเปิดออก เธอก็หายตัวแวบไปจากตรงนั้นทันที

หลังจากที่เดินกันอยู่นาน มู่หรงเสวี่ยก็แวะพักใกล้ๆกับแม่น้ำ เสี่ยวไป๋บอกว่าเขาหิวแล้ว เขาตัวอ้วนอย่างกับหมู เธออุ้มมันไม่ไหวแล้ว หลังจากที่อุ้มอยู่สักพัก เธอก็รู้สึกว่าแขนเธอล้าไปหมดแล้ว

หลินหนานและคนอื่นๆก็ตามมาเช่นกัน แต่เห็นได้ชัดว่าเหนื่อยมากกว่ามู่หรงเสวี่ยมาก หวู่เสี่ยวเหมยที่ระดับการฝึกตนอ่อนที่สุดหอบอย่างหนักและที่หน้าก็มีเหงื่อซึม ถ้าเธอต้องใช้พลังแห่งจิตวิญญาณนานๆ เธอก็จะทนไม่ไหว เธออยู่แค่ในระดับสีสัมเท่านั้นเอง โชคดีที่เธอรู้เรื่องการเล่นแร่แปรธาตุดังนั้นจึงได้เข้ามาอยู่ในทีมของหลินหนานได้ โดยปกติแล้วการจะเข้าทีมได้ต้องดูจากคะแนนของแต่ละคน และแน่นอนว่าคะแนนของหลินหนานไม่น้อยเลย

นอกจากนี้ก่อนหน้านี้ก็ยังมีเด็กสาวที่ชื่อเซี่ยเหลียนน่าด้วย ดังนั้นอาจารย์จึงต้องหาเพื่อนร่วมทีมมาให้ลูกสาวของเขาด้วย

“นั่งพักกันก่อนสิ” มู่หรงเสวี่ยรู้ว่าตัวเองลืมความจริงไปว่าระดับความสำเร็จของพวกเขาต่างกันเมื่อเห็นว่าพวกเขาหลายคนเดินมาอย่างเหน็ดเหนื่อย

“เมื่อกี้ เจ้าอสูรฟันยักษ์มีเนื้อเยอะมากจริงๆ เมื่อถึงเวลาเราน่าจะเอามาย่างกินนะ…” หลินหนานพูดพร้อมรอยยิ้ม การได้กินเนื้อของสัตว์อสูรแห่งจิตวิญญาณระดับห้าถือเป็นของหรูหรามาก

มู่หรงเสวี่ยที่เคยกินเนื้อไก่จากมิติลับแต่ยังไม่เคยกินเนื้อของอสูรแห่งจิตวิญญาณ เธอจึงพูดออกมาอย่างสนอกสนใจ “งั้นเอามาย่างเลย!”

เสี่ยวไป๋ไม่ค่อยที่จะสนใจ เขาไม่คิดว่าอาหารจากอสูรแห่งจิตวิญญาณจะอร่อยอะไร อย่างไรก็ตามทุกคนดูเหมือนจะสนใจจนเขารู้สึกว่าคงจะต้องลองชิมซะหน่อย

หลินหนานและคนอื่นๆรีบลุกขึ้นทันที พวกเขาลุกขึ้นไปเก็บกิ่งไม้ หลินหนานวิ่งไปที่แม่น้ำเพื่อล้างเนื้อของเจ้าอสูรฟันยักษ์ แล้วเขาก็เหล่ากิ่งไม้และเอามาเสียบเนื้อ หวู่เสี่ยวเหมยหาพื้นที่และเริ่มที่จะสร้างเตา ทั้งสองคนดูมีฝีมืออย่างมาก ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีความเข้าใจเป็นอย่างดี

มู่หรงเสวี่ยรู้สึกเขินๆเมื่อเห็นว่าตัวเองยืนอยู่คนเดียว เธอจึงถามออกไป “มีอะไรให้ข้าช่วยไหม?!!” เธอถามหวู่เสี่ยวเหมยก่อน

หวู่เสี่ยวเหมยรีบส่ายหน้าและโบกมือปฏิเสธทันที “ไม่ ไม่มีเลย เชิญนั่งได้เลย…” สีหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อและเธอดูน่ารักมากจริงๆ

เธอไม่ใช่คนที่สวยอะไรมาก ถ้าเห็นเธอครั้งแรกก็เป็นเรื่องง่ายมากที่จะมองผ่านๆไป เธอมีใบหน้าแบบทั่วๆไป อย่างไรก็ตามท่าทางเขินๆของเธอตอนนี้ทำให้เธอดูน่ารักและสดใสขึ้นมาอย่างมาก อย่างไรก็ตามเธอก็เป็นเด็กสาวธรรมดาๆ มู่หรงเสวี่ยคิด

เมื่อมองไปที่หวู่เสี่ยวเหมยที่ยังยืนงงๆอยู่เพราะเธอยังยืนอยู่ตรงนี้ มู่หรงเสวี่ยจึงทำได้เพียงยิ้มๆและเดินออกมา

“หลินหนาน มีอะไรให้ข้าช่วยไหม?” มู่หรงเสวี่ยนั่งยองๆลงข้างๆหลินหนาน พร้อมทั้งมองท่าทางคล่องแคล่วในการจัดการเนื้อของเขาและเตรียมถกขนเสื้อเพื่อที่จะช่วยเขา

หลินหนานรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันทีและเกือบที่จะทำเนื้อที่อยู่ในมือตก เขารีบพูดออกมาทันที “ไม่ต้อง เดี๋ยวมือจะเลอะหมด…” เขามองไปที่มู่เทียน การเข้าหาแบบนี้ทำให้พวกเขารู้สึกประทับใจอย่างมาก แล้วแบบนี้พวกเขาจะปล่อยให้เขาต้องมาทำงานหนักแบบนี้ได้ยังไง? ใบหน้าที่หล่อเหล่าของเขา ดวงตาที่เปล่งประกายและฟันที่สดใส ขนาดนิ้วมือของเขาก็ยังดูขาวผ่องและอ่อนนุ่มอย่างมาก ดูเหมือนเขาจะไม่เคยทำงานหนักอะไรมาเลยแล้วใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย บางทีเขาอาจจะเป็นนายน้อยของตระกูลใหญ่สักตระกูลที่ออกมาหาประสบการณ์ก็ได้

“แล้วเจ้าไม่กลัวเลอะบ้างหรือไง?” มู่รงเสวี่ยไม่ได้สนใจท่าทางประหลาดใจของเขา ก่อนหน้านี้ที่อยู่ในป่าแห่งความตาย เธอเองก็ต้องทำทุกอย่าง นี่ไม่ต้องพูดถึงงานง่ายๆอย่างการล้างเนื้อเลย เสี่ยวไป๋บอกให้เธออยู่ข้างนอกเป็นเดือนเพื่อที่จะฝึกความสามารถในการตัดสินใจด้วยตนเอง เธอไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในมิลับแม้แต่จะอาบน้ำด้วย ในตอนนั้น เธอยังไม่ขึ้นระดับสีม่วงเลย ทำได้เพียงเข้าไปหลบในบาร์เรีย ตลอดทั้งเดือนเธอแทบจะไม่กล้าที่จะหลับเลยและได้กินแต่ผลไม้

หลังจากที่ฝึกมาทั้งเดือน เธอก็ไวต่อการเปลี่ยนแปลงรอบๆตัวอย่างมาก

มู่หรงเสวี่ยหยิบมีดออกมาจากมิติลับและเริ่มที่จะจัดการกับเนื้อของเจ้าอสูรฟันยักษ์

หลินหนานเห็นว่ามู่เทียนมีฝีมือที่ดีมากจริงๆ หลังจากที่หายประหลาดใจเขาก็หยุดสักพักและกลับมาเริ่มลงมือด้วยความเร็วที่เร็วกว่าเดิมมาก

“เจ้าจะทำอะไรต่ออีกไหม?” มู่หรงเสวี่ยถามอย่างอ่อนโยน

“ในเมื่อพวกเราตั้งใจที่จะตามเจ้า งั้นเราก็จะไปทุกที่ที่เจ้าไป!” หลังจากที่เงียบไป เขาก็พูดต่อ “ถ้าเจ้ารำคาญพวกเรา เราจะไปก็ได้…”

“เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร?! แน่นอนว่าพวกเราควรที่จะต้องอยู่ด้วยกัน สิ่งที่ข้าถามก็คือเจ้ามีคำแนะนำอะไรดีๆบ้างไหม ถึงแม้ข้าจะไม่ได้กลัวผู้หญิงคนนั้น ถึงนางจะกลับมาล้างแค้นจริงๆก็เถอะ เดาว่าเดี๋ยวอีกหน่อยก็คงจะมีปัญหาตามมาแน่ๆ…แต่มีสำนักไหนที่สามารถเทียบกับสำนักเฟิงฮัวได้บ้างหรือเปล่า?! ไปที่นั้นกันเถอะ…” มู่หรงเสวี่ยพูด

เสี่ยวไป๋พูดถูก ถ้าเธอหาพ่อแม่ทั้งๆที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เดาว่าอีกร้อยปีเธอก็คงจะยังหาไม่เจออยู่ดี เธอคงจะหาพ่อแม่ได้เร็วขึ้นหลังจากที่เธอสร้างชื่อเสียงในดินแดนพายุซะก่อน หรือเธออาจจะไปทำงานที่สมาคมทหารรับจ้าง แต่เธอต้องไปแลกรางวัลซะก่อน มู่หรงเสวี่ยแตะไปที่กระเป๋า โอเค เงินจากโลกที่แล้วใช้ที่นี่ไม่ได้ เงินทั่วไปจะเอามาใช้ที่นี่ไม่ได้ เงินของที่นี่ก็คือเงินจากคริสตัล

“มีสิ สำนักหลงหยู่ไง! แต่ข้าไม่คิดว่าพวกเราจะเข้าไปที่สำนักหลงหยู่ได้หรอกนะ…” หลินหนานพูดเสียงเบา

“ค่าเรียนของสำนักหลงหยู่จะต้องจ่ายด้วยคริสตัลขาว 1,000 เหรียญในทุกๆเดือน พวกเราไม่มีเงินเยอะขนาดนั้นหรอก ถ้าเราอยากที่จะเรียนฟรี พวกเราก็ต้องขึ้นไปให้ถึงระดับสีเขียวซะก่อน แต่ก็มีเพียงแค่ข้าคนเดียว พวกเขาต่างก็เป็นเพื่อนของข้า ข้าจะทิ้งพวกเขาแล้วไปคนเดียวไม่ได้หรอก…”

เขามองไปที่มู่เทียนและพูดออกมา “มู่เทียน ด้วยความสามารถของเจ้า เจ้าเองก็น่าที่จะเข้าได้ พวกเราจะไปหาที่อื่นเอง…” เดิมทีพวกเขายืนยันที่จะติดตามมู่เทียน แต่มู่เทียนไม่ได้มีหน้าที่ที่จะต้องมาดูแลพวกเขา อีกอย่างเขาไม่ได้คิดให้รอบคอบและลืมเรื่องการหาที่พักไป ถ้าเป็นแบบนั้น พวกเขาก็มีแต่จะกลายเป็นภาระของเขา

สิ่งที่หลินหนานคิดก่อนหน้านี้คือพวกเขาต่างก็มีปัญหากับคนคนเดียวกัน และการสู้ก็จะมีประสิทธิภาพกว่าถ้ามารวมทีมด้วยกันซึ่งจะแข็งแกร่งมากกว่าแยกกัน

นอกจากนี้เขาเองก็เอาชนะเจ้าอสูรฟันยักษ์ได้ด้วยตัวเองคนเดียว ในตอนนั้น เขาคิดว่าบางทีมันอาจจะถูกต้องแล้วที่จะเดินตามคนแบบนี้

มู่หรงเสวี่ยวางเนื้อของเจ้าอสูรฟันยักษ์ในมือลงและหันหัวมามองหลินหนาน “ในสายตาเจ้า ข้าคือมู่เทียนคนที่สามารถจะทิ้งเพื่อนและหนีไปสบายคนเดียวได้งั้นเหรอ?!!”

หลินหนานเงยหน้าขึ้นมาและมองหน้าให้ชัดๆ เขารีบอธิบายออกมาทันที “ข้าไม่ได้หมายความแบบนั้น?”

“งั้นเจ้าหมายความว่าไง?! เมื่อกี้เจ้าตัดสินใจที่จะอยู่และตายเพื่อพวกเขาแต่ยอมให้ข้าเข้าไปที่สำนักคนเดียว เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนที่โลภมากและกลัวตายงั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยพูดอย่างเย็นชา

“แต่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนนะ…เจ้าไม่จำเป็นต้องมาอยู่กับพวกเราก็ได้…” หลินหนานรีบอธิบายออกมาอย่างลุกลี้ลุกลน

“ตอนนี้พวกเรากลายเป็นเพื่อนกันแล้ว” มู่หรงเสวี่ยพูดขัดเขาขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

หลินหนานตะลึง หลังจากนั้นสักพัก เขาก็พูดออกมาพร้อมรอยยิ้มกว้าง “ใช่ ใช่ ข้าผิดเอง ยกโทษให้กับสิ่งที่ข้าเพิ่งพูดออกไปด้วยนะ” ความรู้สึกภูมิใจพุ่งขึ้นมในหัวใจของเขา…เขาเลือกคนไม่ผิดจริงๆ

แล้วมู่หรงเสวี่ยก็เผยรอยยิ้มและพูดต่อ “เราตัดสินใจแล้วว่าจะไปที่สำนักหลงหยู่ด้วยกัน ส่วนเรื่องที่จะเข้าไปได้ยังไงนั้น เราน่าจะมาลองช่วยกันคิดว่าจะทำยังไงดี เป็นงานใหญ่เลยนะที่เราจะต้องช่วยกันล่าอสูรแห่งจิตวิญญาณในป่าแห่งความตายเพิ่มอีกมากแล้วเอาพวกมันไปขาย…”

ในทีมของพวกเขามีเพียง 3 คนเท่านั้นที่จะต้องจ่ายค่าเรียน ถ้าอย่างนั้นพวกเขาก็ต้องใช้คริสตัลขาว 3,000 เหรียญ ตราบใดที่พวกเขาหาคริสตัลขาว 3,000 เหรียญมาได้ทุกอย่างก็ไม่มีปัญหา

“ได้!” ถึงแม้อสูรแห่งจิตวิญญาณจะขาดได้เงินไม่มาก แต่ตราบใดที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน พวกเขาก็ไม่มีอะไรจะต้องกลัว

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 248 เราเป็นเพื่อนกันแล้ว

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 248 เราเป็นเพื่อนกันแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 248

เราเป็นเพื่อนกันแล้ว

เสี่ยวไป๋เงียบไปเลย!!! อะไรกันเนี่ย…ถ้าไม่มีศักดิ์ศรี มันก็แค่ขยะตัวหนึ่ง เป็นอีกครั้งที่มันหันก้นใส่มู่หรงเสวี่ย

มู่หรงเสวี่ยชินกับท่าทางอวดรู้ของเสี่ยวไป๋นานแล้ว และขี้เกียจที่จะใส่ใจกับอารมณ์ไร้สาระแบบนี้ เธอเมินมันอยู่นานและไม่อยากจะพูดอะไรด้วยมาก

หลินหนานลงมือจัดการได้อย่างรวดเร็ว หลังจากประมาณสิบนาทีเจ้าอสูรฟันยักษ์ก็เหลือแค่โครงกระดูกกับเศษอวัยวะภายในเท่านั้น

“มู่เทียน เราต้องรีบออกไปจากที่นี่โดยเร็ว กลิ่นคาวของเลือดมันแรงเกินไป ไม่งั้นเราอาจจะต้องเจอเข้ากับอสูรแห่งจิตวิญญาณอีก…” หลินหนานและคนอื่นๆ เดินกลับมาพร้อมเอ่ยออกมา

มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า “โอเค ไปกันเถอะ! ไปจากที่นี่ก่อน”

“แล้ว…เรื่องของเซี่ยเหลียนน่าล่ะ…” หวู่เสี่ยวเหมยทนที่จะมองเซี่ยเหลียนน่าที่หยุดตะโกนไปแล้วไม่ได้ เธอยังนั่งอยู่ที่พื้น สีหน้าค่อนข้างซีดเชียว และเดาว่าอาการบาดเจ็บน่าจะยังเจ็บอยู่

สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเปลี่ยนเป็นเย็นชา ถ้าไม่ใช่เพราะคนพวกนี้ห้าม เธอก็คงจะฆ่าเธอไปแล้ว แบบนี้เธอจะสนใจได้ยังไงกัน

“เสี่ยวเหมย เจ้าใจอ่อนเกินไปนะ ลืมไปแล้วหรือไงว่าเมื่อกี้นางทำอะไรกับเจ้า?” จู้หมิงพูด

“ไปกันเถอะ ยังไงซะนางก็ไม่ปล่อยเราไว้อยู่ดี…” จ้าวฉีเองก็เดินตามมาด้วย

“ไปเถอะ” หลินหนานพูด ฝีเท้าก็ใช้พลังจิตวิญญานเพื่อที่จะเร่งตามมู่หรงเสวี่ยทีห่างออกไปให้ทัน

คนอื่นๆต่างก็ตามมาด้วย หวู่เสี่ยวเหมยหันไปมอง เซี่ยเหลียนน่าและพบว่าเธอกำลังมองมาที่พวกเธอด้วยสายตาเกลียดชัง จู่ๆแวบประกายความเจ็บปวดที่แสนเศร้าก็โผล่ขึ้นมาในสายตาเธอแล้วเธอก็หันหลังเดินตามหลินหนานไป

เซี่ยเหลียนน่ายังนั่งอยู่ที่เดิม เธอไม่อยากที่จะเชื่อว่าคนพวกนั้นจะกล้าทิ้งเธอไว้ที่นี่ เธอไม่ปล่อยพวกนั้นไว้แน่ เธออยากที่จะเห็นคนพวกนั้นคุกเข่าลงอ้อนวอนขอให้เธอช่วย! มีเสียงร้องโหยหวนของอสูรแห่งจิตวิญญาณดังมาจากไกลๆ เธอมองอย่างเย็นชา อย่างไรก็ตามในฐานะลูกสาวคนเดียวของปรมาจารย์ เธอจะไม่มีอะไรไว้คอยปกป้องชีวิตตัวเองเลยได้ยังไง? เธอหยิบหินมิติออกมาจากแหวนเก็บของ ทันทีที่เธอเปิดออก เธอก็หายตัวแวบไปจากตรงนั้นทันที

หลังจากที่เดินกันอยู่นาน มู่หรงเสวี่ยก็แวะพักใกล้ๆกับแม่น้ำ เสี่ยวไป๋บอกว่าเขาหิวแล้ว เขาตัวอ้วนอย่างกับหมู เธออุ้มมันไม่ไหวแล้ว หลังจากที่อุ้มอยู่สักพัก เธอก็รู้สึกว่าแขนเธอล้าไปหมดแล้ว

หลินหนานและคนอื่นๆก็ตามมาเช่นกัน แต่เห็นได้ชัดว่าเหนื่อยมากกว่ามู่หรงเสวี่ยมาก หวู่เสี่ยวเหมยที่ระดับการฝึกตนอ่อนที่สุดหอบอย่างหนักและที่หน้าก็มีเหงื่อซึม ถ้าเธอต้องใช้พลังแห่งจิตวิญญาณนานๆ เธอก็จะทนไม่ไหว เธออยู่แค่ในระดับสีสัมเท่านั้นเอง โชคดีที่เธอรู้เรื่องการเล่นแร่แปรธาตุดังนั้นจึงได้เข้ามาอยู่ในทีมของหลินหนานได้ โดยปกติแล้วการจะเข้าทีมได้ต้องดูจากคะแนนของแต่ละคน และแน่นอนว่าคะแนนของหลินหนานไม่น้อยเลย

นอกจากนี้ก่อนหน้านี้ก็ยังมีเด็กสาวที่ชื่อเซี่ยเหลียนน่าด้วย ดังนั้นอาจารย์จึงต้องหาเพื่อนร่วมทีมมาให้ลูกสาวของเขาด้วย

“นั่งพักกันก่อนสิ” มู่หรงเสวี่ยรู้ว่าตัวเองลืมความจริงไปว่าระดับความสำเร็จของพวกเขาต่างกันเมื่อเห็นว่าพวกเขาหลายคนเดินมาอย่างเหน็ดเหนื่อย

“เมื่อกี้ เจ้าอสูรฟันยักษ์มีเนื้อเยอะมากจริงๆ เมื่อถึงเวลาเราน่าจะเอามาย่างกินนะ…” หลินหนานพูดพร้อมรอยยิ้ม การได้กินเนื้อของสัตว์อสูรแห่งจิตวิญญาณระดับห้าถือเป็นของหรูหรามาก

มู่หรงเสวี่ยที่เคยกินเนื้อไก่จากมิติลับแต่ยังไม่เคยกินเนื้อของอสูรแห่งจิตวิญญาณ เธอจึงพูดออกมาอย่างสนอกสนใจ “งั้นเอามาย่างเลย!”

เสี่ยวไป๋ไม่ค่อยที่จะสนใจ เขาไม่คิดว่าอาหารจากอสูรแห่งจิตวิญญาณจะอร่อยอะไร อย่างไรก็ตามทุกคนดูเหมือนจะสนใจจนเขารู้สึกว่าคงจะต้องลองชิมซะหน่อย

หลินหนานและคนอื่นๆรีบลุกขึ้นทันที พวกเขาลุกขึ้นไปเก็บกิ่งไม้ หลินหนานวิ่งไปที่แม่น้ำเพื่อล้างเนื้อของเจ้าอสูรฟันยักษ์ แล้วเขาก็เหล่ากิ่งไม้และเอามาเสียบเนื้อ หวู่เสี่ยวเหมยหาพื้นที่และเริ่มที่จะสร้างเตา ทั้งสองคนดูมีฝีมืออย่างมาก ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีความเข้าใจเป็นอย่างดี

มู่หรงเสวี่ยรู้สึกเขินๆเมื่อเห็นว่าตัวเองยืนอยู่คนเดียว เธอจึงถามออกไป “มีอะไรให้ข้าช่วยไหม?!!” เธอถามหวู่เสี่ยวเหมยก่อน

หวู่เสี่ยวเหมยรีบส่ายหน้าและโบกมือปฏิเสธทันที “ไม่ ไม่มีเลย เชิญนั่งได้เลย…” สีหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อและเธอดูน่ารักมากจริงๆ

เธอไม่ใช่คนที่สวยอะไรมาก ถ้าเห็นเธอครั้งแรกก็เป็นเรื่องง่ายมากที่จะมองผ่านๆไป เธอมีใบหน้าแบบทั่วๆไป อย่างไรก็ตามท่าทางเขินๆของเธอตอนนี้ทำให้เธอดูน่ารักและสดใสขึ้นมาอย่างมาก อย่างไรก็ตามเธอก็เป็นเด็กสาวธรรมดาๆ มู่หรงเสวี่ยคิด

เมื่อมองไปที่หวู่เสี่ยวเหมยที่ยังยืนงงๆอยู่เพราะเธอยังยืนอยู่ตรงนี้ มู่หรงเสวี่ยจึงทำได้เพียงยิ้มๆและเดินออกมา

“หลินหนาน มีอะไรให้ข้าช่วยไหม?” มู่หรงเสวี่ยนั่งยองๆลงข้างๆหลินหนาน พร้อมทั้งมองท่าทางคล่องแคล่วในการจัดการเนื้อของเขาและเตรียมถกขนเสื้อเพื่อที่จะช่วยเขา

หลินหนานรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันทีและเกือบที่จะทำเนื้อที่อยู่ในมือตก เขารีบพูดออกมาทันที “ไม่ต้อง เดี๋ยวมือจะเลอะหมด…” เขามองไปที่มู่เทียน การเข้าหาแบบนี้ทำให้พวกเขารู้สึกประทับใจอย่างมาก แล้วแบบนี้พวกเขาจะปล่อยให้เขาต้องมาทำงานหนักแบบนี้ได้ยังไง? ใบหน้าที่หล่อเหล่าของเขา ดวงตาที่เปล่งประกายและฟันที่สดใส ขนาดนิ้วมือของเขาก็ยังดูขาวผ่องและอ่อนนุ่มอย่างมาก ดูเหมือนเขาจะไม่เคยทำงานหนักอะไรมาเลยแล้วใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย บางทีเขาอาจจะเป็นนายน้อยของตระกูลใหญ่สักตระกูลที่ออกมาหาประสบการณ์ก็ได้

“แล้วเจ้าไม่กลัวเลอะบ้างหรือไง?” มู่รงเสวี่ยไม่ได้สนใจท่าทางประหลาดใจของเขา ก่อนหน้านี้ที่อยู่ในป่าแห่งความตาย เธอเองก็ต้องทำทุกอย่าง นี่ไม่ต้องพูดถึงงานง่ายๆอย่างการล้างเนื้อเลย เสี่ยวไป๋บอกให้เธออยู่ข้างนอกเป็นเดือนเพื่อที่จะฝึกความสามารถในการตัดสินใจด้วยตนเอง เธอไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในมิลับแม้แต่จะอาบน้ำด้วย ในตอนนั้น เธอยังไม่ขึ้นระดับสีม่วงเลย ทำได้เพียงเข้าไปหลบในบาร์เรีย ตลอดทั้งเดือนเธอแทบจะไม่กล้าที่จะหลับเลยและได้กินแต่ผลไม้

หลังจากที่ฝึกมาทั้งเดือน เธอก็ไวต่อการเปลี่ยนแปลงรอบๆตัวอย่างมาก

มู่หรงเสวี่ยหยิบมีดออกมาจากมิติลับและเริ่มที่จะจัดการกับเนื้อของเจ้าอสูรฟันยักษ์

หลินหนานเห็นว่ามู่เทียนมีฝีมือที่ดีมากจริงๆ หลังจากที่หายประหลาดใจเขาก็หยุดสักพักและกลับมาเริ่มลงมือด้วยความเร็วที่เร็วกว่าเดิมมาก

“เจ้าจะทำอะไรต่ออีกไหม?” มู่หรงเสวี่ยถามอย่างอ่อนโยน

“ในเมื่อพวกเราตั้งใจที่จะตามเจ้า งั้นเราก็จะไปทุกที่ที่เจ้าไป!” หลังจากที่เงียบไป เขาก็พูดต่อ “ถ้าเจ้ารำคาญพวกเรา เราจะไปก็ได้…”

“เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร?! แน่นอนว่าพวกเราควรที่จะต้องอยู่ด้วยกัน สิ่งที่ข้าถามก็คือเจ้ามีคำแนะนำอะไรดีๆบ้างไหม ถึงแม้ข้าจะไม่ได้กลัวผู้หญิงคนนั้น ถึงนางจะกลับมาล้างแค้นจริงๆก็เถอะ เดาว่าเดี๋ยวอีกหน่อยก็คงจะมีปัญหาตามมาแน่ๆ…แต่มีสำนักไหนที่สามารถเทียบกับสำนักเฟิงฮัวได้บ้างหรือเปล่า?! ไปที่นั้นกันเถอะ…” มู่หรงเสวี่ยพูด

เสี่ยวไป๋พูดถูก ถ้าเธอหาพ่อแม่ทั้งๆที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เดาว่าอีกร้อยปีเธอก็คงจะยังหาไม่เจออยู่ดี เธอคงจะหาพ่อแม่ได้เร็วขึ้นหลังจากที่เธอสร้างชื่อเสียงในดินแดนพายุซะก่อน หรือเธออาจจะไปทำงานที่สมาคมทหารรับจ้าง แต่เธอต้องไปแลกรางวัลซะก่อน มู่หรงเสวี่ยแตะไปที่กระเป๋า โอเค เงินจากโลกที่แล้วใช้ที่นี่ไม่ได้ เงินทั่วไปจะเอามาใช้ที่นี่ไม่ได้ เงินของที่นี่ก็คือเงินจากคริสตัล

“มีสิ สำนักหลงหยู่ไง! แต่ข้าไม่คิดว่าพวกเราจะเข้าไปที่สำนักหลงหยู่ได้หรอกนะ…” หลินหนานพูดเสียงเบา

“ค่าเรียนของสำนักหลงหยู่จะต้องจ่ายด้วยคริสตัลขาว 1,000 เหรียญในทุกๆเดือน พวกเราไม่มีเงินเยอะขนาดนั้นหรอก ถ้าเราอยากที่จะเรียนฟรี พวกเราก็ต้องขึ้นไปให้ถึงระดับสีเขียวซะก่อน แต่ก็มีเพียงแค่ข้าคนเดียว พวกเขาต่างก็เป็นเพื่อนของข้า ข้าจะทิ้งพวกเขาแล้วไปคนเดียวไม่ได้หรอก…”

เขามองไปที่มู่เทียนและพูดออกมา “มู่เทียน ด้วยความสามารถของเจ้า เจ้าเองก็น่าที่จะเข้าได้ พวกเราจะไปหาที่อื่นเอง…” เดิมทีพวกเขายืนยันที่จะติดตามมู่เทียน แต่มู่เทียนไม่ได้มีหน้าที่ที่จะต้องมาดูแลพวกเขา อีกอย่างเขาไม่ได้คิดให้รอบคอบและลืมเรื่องการหาที่พักไป ถ้าเป็นแบบนั้น พวกเขาก็มีแต่จะกลายเป็นภาระของเขา

สิ่งที่หลินหนานคิดก่อนหน้านี้คือพวกเขาต่างก็มีปัญหากับคนคนเดียวกัน และการสู้ก็จะมีประสิทธิภาพกว่าถ้ามารวมทีมด้วยกันซึ่งจะแข็งแกร่งมากกว่าแยกกัน

นอกจากนี้เขาเองก็เอาชนะเจ้าอสูรฟันยักษ์ได้ด้วยตัวเองคนเดียว ในตอนนั้น เขาคิดว่าบางทีมันอาจจะถูกต้องแล้วที่จะเดินตามคนแบบนี้

มู่หรงเสวี่ยวางเนื้อของเจ้าอสูรฟันยักษ์ในมือลงและหันหัวมามองหลินหนาน “ในสายตาเจ้า ข้าคือมู่เทียนคนที่สามารถจะทิ้งเพื่อนและหนีไปสบายคนเดียวได้งั้นเหรอ?!!”

หลินหนานเงยหน้าขึ้นมาและมองหน้าให้ชัดๆ เขารีบอธิบายออกมาทันที “ข้าไม่ได้หมายความแบบนั้น?”

“งั้นเจ้าหมายความว่าไง?! เมื่อกี้เจ้าตัดสินใจที่จะอยู่และตายเพื่อพวกเขาแต่ยอมให้ข้าเข้าไปที่สำนักคนเดียว เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนที่โลภมากและกลัวตายงั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยพูดอย่างเย็นชา

“แต่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนนะ…เจ้าไม่จำเป็นต้องมาอยู่กับพวกเราก็ได้…” หลินหนานรีบอธิบายออกมาอย่างลุกลี้ลุกลน

“ตอนนี้พวกเรากลายเป็นเพื่อนกันแล้ว” มู่หรงเสวี่ยพูดขัดเขาขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

หลินหนานตะลึง หลังจากนั้นสักพัก เขาก็พูดออกมาพร้อมรอยยิ้มกว้าง “ใช่ ใช่ ข้าผิดเอง ยกโทษให้กับสิ่งที่ข้าเพิ่งพูดออกไปด้วยนะ” ความรู้สึกภูมิใจพุ่งขึ้นมในหัวใจของเขา…เขาเลือกคนไม่ผิดจริงๆ

แล้วมู่หรงเสวี่ยก็เผยรอยยิ้มและพูดต่อ “เราตัดสินใจแล้วว่าจะไปที่สำนักหลงหยู่ด้วยกัน ส่วนเรื่องที่จะเข้าไปได้ยังไงนั้น เราน่าจะมาลองช่วยกันคิดว่าจะทำยังไงดี เป็นงานใหญ่เลยนะที่เราจะต้องช่วยกันล่าอสูรแห่งจิตวิญญาณในป่าแห่งความตายเพิ่มอีกมากแล้วเอาพวกมันไปขาย…”

ในทีมของพวกเขามีเพียง 3 คนเท่านั้นที่จะต้องจ่ายค่าเรียน ถ้าอย่างนั้นพวกเขาก็ต้องใช้คริสตัลขาว 3,000 เหรียญ ตราบใดที่พวกเขาหาคริสตัลขาว 3,000 เหรียญมาได้ทุกอย่างก็ไม่มีปัญหา

“ได้!” ถึงแม้อสูรแห่งจิตวิญญาณจะขาดได้เงินไม่มาก แต่ตราบใดที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน พวกเขาก็ไม่มีอะไรจะต้องกลัว

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+