ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 25 การสอบสวน

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 25 การสอบสวน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 25 การสอบสวน

หลังเลิกเรียน หลังจากที่ได้ระบายให้กับเพื่อนที่ดีอย่าง โม่อ้ายลี่ไปแล้ว ในที่สุดมู่หรงเสวี่ยก็ได้กลับบ้านไปพร้อมกับอารมณ์ที่ดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้

ตลอดทางมู่หรงเสวี่ยคิดแต่ว่าจะบอกพ่อแม่ยังไงตอนที่ถึงบ้าน แต่เธอไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ งั้นก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวแต่เมื่อคิดถึงเสียงตะคอกของแม่ก็ทำให้เธอเป็นกังวลอยู่นิดหน่อย

ไม่ช้าเธอก็เห็นประตูบ้านอยู่ตรงหน้า มู่หรงเสวี่ยเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง

“ทำไมไม่รีบเข้ามา มัวยืนทำอะไรอยู่ที่ประตูฮะ?” จางเข่อเหรินรู้สึกโมโหมากเมื่อเห็นว่ามู่หรงเสวี่ยทำตัวลับๆล่อๆ

มู่หรงเสวี่ยทำท่าจับจมูกพร้อมรอยยิ้มอย่างเขินๆ “พ่อคะ, แม่คะ หนูกลับมาแล้วค่ะ”

มู่หรงเฟิงหัวโยนหนังสือพิมพ์ที่อยู่ในมือลงพื้นเสียงดัง “ปัง” “นี่ยังจำทางกลับบ้านได้อยู่อีกเหรอ?”

ไหล่ของมู่หรงเสวี่ยถึงกับสะดุ้ง “นี่มันอะไรกัน หนูไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะคะ”

“เข้ามานี่เลย นี่ยังกล้าพูดอีกเหรอว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด แล้วรูปพวกนี้มันอะไรกัน? ผู้ชายพวกนี้คือใครกัน?” จางเข่อเหรินชี้ไปที่รูปที่อยู่บนโต๊ะ

มู่หรงเสวี่ยไม่ได้เดินเข้าไปดู เธอรู้ว่าพวกนี้เป็นรูปที่เหมือนกับรูปที่โรงเรียน เสี่ยวเข่อลี่ทำได้ดีมาก ที่พยายามจะทำให้เธอขายหน้าที่โรงเรียนและอยากที่จะทำให้เธอเสียความรักจากครอบครัวอีกด้วยซึ่งถือเป็นเรื่องที่อภัยให้ไม่ได้ แต่ตอนนี้เป็นเวลาที่จะต้องปรับความเข้าใจกับคนในครอบครัว ในชีวิตที่แล้วเธอดื้อรั้นเกินไป และมักจะรู้สึกว่าพ่อกับแม่ไม่รักเธอจึงทำให้ทะเลาะกันตลอด ดังนั้นเธอเลยไม่รู้ว่าเหตุผลที่พวกท่านต้องทะเลาะกับเธอมันคืออะไร

ในชีวิตนี้ เธอจะต้องรักษาความสัมพันธ์ของเธอกับครอบครัวไว้

“พ่อคะ, แม่คะ ใครคือลูกสาวของพ่อกับแม่คะ? ไม่รู้เหรอคะ?! หนูถูกใส่ร้ายนะคะ” มู่หรงเสวี่ยพูดออกมาด้วยท่าทางน่าสงสาร

ดวงตาของมู่หรงเฟิงหัวจ้องเขม็ง “ถ้าลูกไม่ได้ทำเรื่องพวกนี้ คนอื่นจะถ่ายรูปพวกนี้ได้ยังไง?! พูดมาสิ! ผู้ชายพวกนี้เป็นใครกัน?”

มู่หรงเสวี่ยทำปากจุ๊จุ๊ “ดี ดี หนูจะพูด พ่อกับแม่อย่าเพิ่งโกรธนะคะ คนนี้ชื่อกู่หมิง เป็นหุ้นส่วนบริษัทของหนูเอง วันนั้นหนูไปกับพี่กู่เพื่อจะไปดูหินพนันแล้วก็ถูกถ่ายรูปไว้

คนนี้คือรุ่นพี่ที่โรงเรียน วันนั้นหลังจากเลิกเรียนเราออกไปทานอาหารด้วยกันเฉยๆ อันที่จริงมีเพื่อนผู้หญิงอีกคนไปด้วย ถ้าพ่อกับแม่ไม่เชื่อหนู หนูให้พวกเขามายืนยันต่อหน้าพ่อกับแม่ก็ได้นะคะ”

“ลูกมีบริษัทด้วยเหรอ มันเกิดขึ้นเมื่อไรกัน? ทำไมถึงไม่บอกพ่อกับแม่เรื่องนี้?” มู่หรงเฟิงหัวถามอย่างสงสัย

จางเข่อเหรินไม่สนใจเรื่องบริษัท แต่กลับรีบชี้นิ้วไปที่รูปของชูอี้เสิ่นที่กำลังจูบที่หน้าผากลูกสาวของเธอทันทีแล้วถามออกมาว่า “อย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่อง แล้วคนนี้ล่ะ? รูปนี้มันอะไรกัน?”

มู่หรงเสวี่ยรู้สึกเหมือนถูกเข้าใจผิด “ชายคนนี้เป็นเพื่อนบ้านหนู วันนั้นเขาได้รับบาดเจ็บที่แขนนิดหน่อย หนูช่วยทำแผลให้แล้วเขาก็เลยจุ๊บกู๊ดไนท์ก่อนที่เขาจะกลับ หนูก็รู้สึกแปลกๆแต่บางทีเขาอาจจะชินกับการอยู่เมืองนอกมานาน นี่เป็นวิธีที่พวกคนต่างชาติเขาใช้ทักทายกันนะคะ” แล้วมู่หรงเสวี่ยก็รีบยกนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว “หนูสาบานเลย ว่าทุกคำที่หนูพูดเป็นความจริง”

มู่หรงเฟิงหัวและภรรยาเห็นว่าสีหน้าของลูกสาวมีความจริงจังไม่มีร่องรอยของการโกหกเลยสักนิด พวกเขาเชื่ออย่างสุดใจแต่ก็ยังกังวลอยู่นิดหน่อย รูปพวกนี้ถ่ายออกมาได้ดีมากงั้นก็จะต้องมีคนที่กำลังแอบตามลูกสาวพวกเขาอยู่แน่ๆแต่วิธีนี้ไม่ฉลาดเลย และไม่เหมือนฝีมือของพวกมืออาชีพเลย นี่ลูกสาวพวกเขาไปทำให้ใครไม่พอใจหรือเปล่า?

ความปลอดภัยของลูกสาวคือสิ่งที่สำคัญที่สุด มู่หรงเฟิงหัวจึงรีบถามออกไปว่า “เสี่ยวเสวี่ย ลูกคิดว่าลูกไปทำให้ใครไม่พอใจบ้างหรือเปล่า?”

มู่หรงเสวี่ยรู้สึกอบอุ่นและสบายใจ “วันนี้ที่โรงเรียนก็มีรูปพวกนี้แปะอยู่ด้วย หนูคิดว่ามันต้องเป็นฝีมือของคนในโรงเรียน ไม่ต้องห่วงนะคะ หนูดูแลตัวเองได้ เรื่องพวกนี้ทำอะไรหนูไม่ได้หรอกค่ะ”

“ลูกแน่ใจนะว่าจัดการเรื่องนี้ได้?”

มู่หรงเสวี่ยพยักหน้าอย่างเชื่อมั่น “ใช่ค่ะ ลูกเสือยังไงก็เป็นเสือนะคะ พ่อกับแม่ควรจะเชื่อนะคะว่าลูกสาวก็เก่งเหมือนกัน”

มู่หรงเฟิงหัวและภรรยาต่างก็มองหน้ากันและเห็นได้ชัดถึงความสุขในสายตาของอีกฝ่าย ลูกสาวของพวกเขาโตแล้วจริงๆด้วย

“งั้นพ่อกับแม่จะไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ ลูกก็จัดการด้วยตัวเองไปนะ แต่ถ้ามีปัญหาอะไรต้องมาบอกให้พวกเรารู้ด้วยนะ? แล้วหุ้นส่วนบริษัทของลูกไว้ใจได้หรือเปล่า? ว่างๆแล้วลองเชิญเขามาที่บ้านบ้างได้ไหม?”

“งั้นพรุ่งนี้หนูจะเชิญเขามาทานอาหารค่ำที่บ้านนะคะ พ่อกับแม่จะได้สบายใจ” มู่หรงเสวี่ยพูดโน้มน้าวพ่อกับแม่เพื่อที่จะทำให้พวกท่านสบายใจ
“พ่อกับแม่สบายใจเรื่องลูกแล้วนะ”
“ดีแล้วค่ะ หนูรักพ่อกับแม่ที่สุดเลย”
“เจ้าตัวแสบ…”
“…”

ที่อีกด้าน กู่หมิงกำลังดูมรกตที่อาจารย์ตัดหินเป็นคนตัด มันคงจะดีถ้ามีหยกในหินบ้างที่เขาเลือกซื้อไป วันนั้นเขาเลือกไปกว่า 80 ชิ้น แต่มีเพียง 5 ก้อนเท่านั้นที่เจอว่ามีหยกอยู่ข้างใน ครั้งนี้ปริมาณมันเพิ่มขึ้นมาอีกมากและมีหยกที่มีคุณภาพเยี่ยมๆอยู่ด้วยซึ่งทำให้กู่หมิงประทับใจมาก มันเหมือนกับม้าแข่งที่วิ่งแข่งมานานและก็ไม่สามารถที่จะหยุดพักได้

เช้าวันต่อมาเมื่อเธอไปถึงที่โรงเรียน เธอก็เจอหยางเฟิงยืนอยู่ที่ประตูจากไกลๆ รูปร่างที่หล่อเหลานั้นดึงดูดสายตาของสาวๆที่เดินผ่านไปผ่านมาได้อย่างไม่น้อย

มีเพียงใบหน้าที่เย็นชาของหยางเฟิงเท่านั้นที่ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะเข้าใกล้ เมื่อได้เห็นคนรู้จัก มู่หรงเสวี่ยจึงเดินเข้าไปด้วยความสงสัย “หยางเฟิง ทำไมถึงไม่เข้าไปในโรงเรียนล่ะ?”

หยางเฟิงมองลึกเข้าไปในตาของมู่หรงเสวี่ย ดวงตาดำเข้มของเขาทำให้เธอยากที่จะเข้าใจได้ “ฉันมารอเธออยู่ ตอนนี้เธอว่างไหม? ฉันอยากจะคุยด้วยหน่อย”

มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้วและเห็นว่านักเรียนที่เดินเข้าออกมีหลายคนที่กำลังมองมาด้วยความสงสัยจึงถามออกไปว่า “ที่นี่เหรอ?” มู่หรงเสวี่ยทำท่ามองไปที่ผู้คนที่อยู่รอบๆ

“กำลังจะเข้าเรียนแล้ว เราค่อยไปกินข้าวกันหลังเลิกเรียนดีไหม?” หยางเฟิงเสนอ

มู่หรงเสวี่ยคิดถึงข่าวลือของเธอเมื่อวานที่ดังไปทั่วโรงเรียน ถ้าวันนี้มีคนเห็นเธอออกไปกินข้าวกับหยางเฟิงอีกเธอก็คงกลับมาแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแน่ๆ เธอมองไปที่หยางเฟิงอย่างอึดอัด

หยางเฟิงเห็นท่าทางอัดอัดของเธอ ก็ฉายความเจ็บปวดขึ้นมาในสายตา “ฉันทำให้เธออายเหรอ เธอกลัวว่าแฟนจะเข้าใจเธอผิดหรือเปล่า?”

“แฟนเหรอ? ฉันไปมีแฟนตั้งแต่เมื่อไรกัน?” มู่หรงเสวี่ยตอบอย่างไม่ปิดบัง

เมื่อหยางเฟิงได้ยินว่าเธอไม่มีแฟน ใจเขาก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขจนเก็บรอยยิ้มไว้ไม่อยู่ “งั้นทำไมเธอถึงไม่อยากออกไปกินข้าวกับฉันล่ะ”

มู่หรงเสวี่ยแทบจะตาบอดเพราะรอยยิ้มที่สดใสของเขา “ฉันไม่อยากออกไปกินข้าวกับนาย นี่นายไม่เห็นบอร์ดข่าวที่โรงเรียนเมื่อวานหรือไงกัน? ตอนนี้ฉันเป็นหัวข้อสนทนาของทั้งโรงเรียนไปแล้ว ซึ่งเดาได้ว่าถ้าวันนี้ฉันออกไปกินข้าวกับนายอีก พวกแฟนคลับของนายจะต้องมาฆ่าฉันแน่ๆ แต่วันนี้ฉันจะเชิญเพื่อนมากินข้าวที่บ้าน ถ้านายไม่รังเกียจจะมาด้วยก็ได้นะ ยังไงซะเราสองครอบครัวก็เป็นเพื่อนกันอยู่แล้วนี่ พ่อฉันกับพ่อนายก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ใช่ไหม?”

รอยยิ้มของหยางเฟิงยิ่งกว้างขึ้นไปอีก “โอเค งั้นไปหลังเลิกเรียนพร้อมกันไหม?”
เขายิ้มสดใสขนาดนั้นได้ยังไง นี่เขาเล่นตลกหรือไงกัน มู่หรงเสวี่ยพยักหน้าพร้อมทั้งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วพูดว่า “หลังเลิกเรียนแล้วโทรมา ตอนนี้ไปเข้าเรียนก่อน”

เหมือนกับเมื่อวานที่วันนี้มู่หรงเสวี่ยก็ยังได้รับความสนใจอย่างมากไปตลอดทาง

ท่าทางที่สงบนิ่งของมู่หรงเสวี่ยทำให้นักเรียนหลายคนมองเธอดีขึ้น แต่ข่าวลือก็ไม่ได้หยุดง่ายๆ
เมื่อเดินเข้าไปในห้องเรียนมู่หรงเสวี่ยก็เห็นสายตาเย็นชาของโม่อ้ายลี่ จนทำให้เธอสงสัยว่าตัวเองเป็นโรคร้ายอะไรหรือเปล่า “ราชินีโม่ นี่เธอกำลังทำอะไรเนี่ย?”

“เธอบอกไม่ใช่เหรอว่าจะแก้ไขเรื่องนี้น่ะ? นี่มันผ่านมาวันหนึ่งแล้วนะ ทั้งโรงเรียนยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอเลย เธอเป็นคนดี แล้วเธอก็ไม่กังวลเลยสักนิด เธอจะแก้ไขเรื่องนี้โดยการถามหาเหตุผลไม่ได้หรอกนะ ถ้าเธอจัดการไม่ได้มาบอกฉันเลยนะ แล้วฉันจะขอให้พี่ชายช่วย” โม่อ้ายลี่กัดฟันแน่น ราวกับว่าไม่พอใจอะไรอย่างมากจริงๆ

มู่หรงเสวี่ยหัวเราะและมีความสุขอย่างมาก ช่างเป็นเพื่อนที่ดีจริงๆที่เธอพลาดไปเมื่อชีวิตที่แล้ว “อย่าขมวดคิ้วสิ นี่เธอเกือบจะเป็นคนแก่แล้วนะเนี่ย”

โม่อ้ายลี่โมโหมาก “ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยนะ ฉันกำลังพูดเรื่องที่จริงจังกับเธออยู่นะ”

มู่หรงเสวี่ยรู้ว่าเธอเป็นห่วงจริงๆและไม่ได้แค่ล้อเธอเล่น “โอเคน่า เดี๋ยวอีกไม่กี่วันเรื่องก็เงียบไปเองแหละ เธอสบายใจได้เลย อีกอย่างนะคืนนี้เธอว่างหรือเปล่า? ทำไมไม่มากินข้าวที่บ้านฉันล่ะ?”

“ดีเลย ฉันอยากไปบ้านเธอมานานแล้ว” โม่อ้ายลี่มีความสุขอย่างมาก ก่อนหน้านี้เธอมีเพื่อนมาเยอะแต่แล้วก็ได้รู้ว่าคนพวกนั้นแค่เพียงสนใจครอบครัวของเธอเท่านั้นเองและพวกนั้นก็มักจะชอบเอาเธอมานินทาอีกด้วย เธอจึงค่อยๆทำตัวออกห่างจากคนพวกนั้นและเหลือแค่มู่หรงเสวี่ยที่เป็นเพื่อนแท้ของเธอ

“งั้นเป็นอันตกลงนะ”
หลังจากเลิกเรียน พวกเธอก็เดินออกจากประตูโรงเรียนและได้เจอเข้ากับคนที่ไม่คาดคิด โม่หลิวเฟิง

มู่หรงเสวี่ยมองมาที่โม่อ้ายลี่อย่างสงสัย
โม่อ้ายลี่หัวเราะออกมาอย่างไม่ตั้งใจ “ฉันเพิ่งโทรบอกพี่ว่าคืนนี้จะไม่กลับไปกินข้าวบ้านแต่จะไปบ้านเธอแทน แล้วพี่ฉันก็บอกว่าจะไปด้วยแล้วก็ว่างสายไปเลย ฉันลืมบอกเธอไปเลย”

นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะลืมกันได้ง่ายๆเลยนะแม่คุณ นี่สมองเธอจำได้แค่เรื่องกินงั้นเหรอ?!!! มู่หรงเสวี่ยพูดไม่ออก
“พี่โม่ พี่มาที่นี่ได้ยังไง? กลัวว่าฉันจะพาน้องสาวพี่หนีไปงั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยพูดแซว

“อะไรนะ? ไม่ต้อนรับพี่งั้นเหรอ? พี่อยากจะคุยกับเธอหน่อยเพราะเรื่องที่เธอพูดคราวที่แล้ว” พี่โม่เลิกคิ้วขึ้น

หยางเฟิงมองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า ใบหน้าที่หล่อเหลา, หุ่นที่ดูสมส่วนและท่าทางที่เป็นเอกลักษณ์ของโม่หลิวเฟิงบอกให้รู้ว่าเขาไม่ได้อายุเท่ากับพวกเรา อย่างไรก็ตาม เขาดูจะคุ้นเคยกับ มู่หรงเสวี่ยเป็นอย่างดี หยางเฟิงรู้สึกได้เลยว่าหัวใจเขาเต้นกระสับกระส่ายเป็นอย่างมาก

มู่หรงเสวี่ยจำได้ว่าครั้งที่แล้วขอให้พี่โม่ช่วยหาบอดี้การ์ดให้ ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ว่าช่วงนี้เกิดเรื่องมากมายจนทำให้เธอลืมที่จะโทรหาเขาไปเลย เธอเป็นคนขอให้พี่โม่ช่วยและขอให้เขาแวะมาหาเอง เธอรู้สึกผิดอย่างมาก

“ทำไมเหรอคะ? ฉันว่านี่มันก็เย็นมากแล้ว ทำไมพี่ไม่แวะไปทานอาหารที่บ้านฉันด้วยกันเลยล่ะคะ”

โม่หลิวเฟิงไม่ได้ปฏิเสธอะไร หลังจากที่เปิดประตู เขาก็ส่งสัญญาณบอกให้ทุกคนขึ้นรถ หลังจากที่ขึ้นไปบนรถ มู่หรงเสวี่ยก็โทรหาพี่กู่เพื่ออธิบายและเชิญไปทานอาหารที่บ้านด้วย เธอบอกที่อยู่ไปและกู่หมิงที่อยู่ปลายสายก็ตอบตกลงที่จะมา

ที่โถงทางเดินของตระกูลมู่หรง
มู่หรงเฟิงหัวและภรรยามองดูคนมากมายที่มู่หรงเสวี่ยพามาด้วย โม่อ้ายลี่ไร้เดียงสา และชายอีกสามคนก็ท่าทางดีมาก พวกเขามีท่าทางที่โดดเด่นทำให้พวกเขารู้สึกโล่งใจ อย่างน้อยครอบครัวของเพื่อนเสี่ยวเสวี่ยบางคนก็ดีมาก ดูเหมือนว่าเรื่องรูปพวกนั้นจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆ

ที่โต๊ะทานอาหาร โม่อ้ายลี่ไม่เก็บอาการอยากอาหารของเธอไว้เลย โดยเฉพาะผักที่มู่หรงเสวี่ยเอามาจากมิติลับเพื่อให้ป้าหวู่ทำอาหารหมดไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งอร่อยอย่างมาก โม่หลิวเฟิงเก็บอาการได้ดีกว่านิดหน่อย โม่อ้ายลี่ไม่สนใจเรื่องภาพลักษณ์เลยจริงๆซึ่งทำให้มู่หรงเฟิงหัวและภรรยาถึงกับตะลึง มู่หรงเสวี่ยเก็บอาการขำไว้ และโม่หลิวเฟิงก็ถึงกับยิ้มอย่างอายๆเพราะอาการของน้องสาว
บรรยากาศของมื้ออาหารสดชื่นอย่างประหลาดเพราะความเจริญอาหารของโม่อ้ายลี่และทุกคนต่างก็รู้สึกถึงความจริงใจที่มากขึ้น

หลังจากที่ทานอาหารเสร็จ มู่หรงเฟิงหัวก็บอกว่าอยากจะคุยเรื่องบริษัทกับกู่หมิง พวกเขาจึงไปที่ห้องหนังสือกัน

อย่างไรก็ตาม โม่อ้ายลี่ที่สนใจแต่เรื่องของกินก็ตามกวนคุณป้าจางเข่อเหริน แต่กลายเป็นว่าจางเข่อเหรินก็อยากจะรู้เรื่องสถานการณ์ที่โรงเรียนของมู่หรงเสวี่ยมากขึ้นด้วย พวกเธอจึงเดินออกไปกันสองคนเพื่อที่จะพูดคุยกัน

คนที่เหลือคือมู่หรงเสวี่ย, หยางเฟิงและโม่หลิวเฟิง ซึ่งต่างก็คุยกันเรื่องความรู้สึกของแต่ละคนและอยู่เพื่อที่จะพูดคุยกันต่อ

โม่หลิวเฟิงพูดออกมาก่อน “เสี่ยวเสวี่ย บอดี้การ์ดที่เธอขอให้พี่ช่วยหาครั้งที่แล้วได้แล้วนะ มีคนสมัครสองคน คนหนึ่งอายุ 30 ชื่อ จางเฟิง เขาเคยเป็นนายพลมาก่อนที่จะเกษียณจากกองทัพและอีกคนชื่อโม่จื่อเหวิน พี่แนะนำเขานะ เขามีทักษะที่ดีมากและซื่อสัตย์มากด้วย แต่สถานการณ์ของเขาค่อนข้างจะพิเศษ เขาโดดเด่นเรื่องความแข็งแกร่ง เขาควรที่จะได้รับการเลื่อนขั้นให้เป็นพลตรี แต่เขามีน้องชายที่ป่วยหนักที่ต้องดูแล ดังนั้นเขาจึงขอปลดประจำการภายใต้สถานการณ์พิเศษ เขาบอกว่าถ้าเขาได้รับเลือก เขาจะต้องพาน้องชายมาอยู่ด้วย มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเธอจะเลือกยังไง”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 25 การสอบสวน

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 25 การสอบสวน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 25 การสอบสวน

หลังเลิกเรียน หลังจากที่ได้ระบายให้กับเพื่อนที่ดีอย่าง โม่อ้ายลี่ไปแล้ว ในที่สุดมู่หรงเสวี่ยก็ได้กลับบ้านไปพร้อมกับอารมณ์ที่ดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้

ตลอดทางมู่หรงเสวี่ยคิดแต่ว่าจะบอกพ่อแม่ยังไงตอนที่ถึงบ้าน แต่เธอไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ งั้นก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวแต่เมื่อคิดถึงเสียงตะคอกของแม่ก็ทำให้เธอเป็นกังวลอยู่นิดหน่อย

ไม่ช้าเธอก็เห็นประตูบ้านอยู่ตรงหน้า มู่หรงเสวี่ยเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง

“ทำไมไม่รีบเข้ามา มัวยืนทำอะไรอยู่ที่ประตูฮะ?” จางเข่อเหรินรู้สึกโมโหมากเมื่อเห็นว่ามู่หรงเสวี่ยทำตัวลับๆล่อๆ

มู่หรงเสวี่ยทำท่าจับจมูกพร้อมรอยยิ้มอย่างเขินๆ “พ่อคะ, แม่คะ หนูกลับมาแล้วค่ะ”

มู่หรงเฟิงหัวโยนหนังสือพิมพ์ที่อยู่ในมือลงพื้นเสียงดัง “ปัง” “นี่ยังจำทางกลับบ้านได้อยู่อีกเหรอ?”

ไหล่ของมู่หรงเสวี่ยถึงกับสะดุ้ง “นี่มันอะไรกัน หนูไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะคะ”

“เข้ามานี่เลย นี่ยังกล้าพูดอีกเหรอว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด แล้วรูปพวกนี้มันอะไรกัน? ผู้ชายพวกนี้คือใครกัน?” จางเข่อเหรินชี้ไปที่รูปที่อยู่บนโต๊ะ

มู่หรงเสวี่ยไม่ได้เดินเข้าไปดู เธอรู้ว่าพวกนี้เป็นรูปที่เหมือนกับรูปที่โรงเรียน เสี่ยวเข่อลี่ทำได้ดีมาก ที่พยายามจะทำให้เธอขายหน้าที่โรงเรียนและอยากที่จะทำให้เธอเสียความรักจากครอบครัวอีกด้วยซึ่งถือเป็นเรื่องที่อภัยให้ไม่ได้ แต่ตอนนี้เป็นเวลาที่จะต้องปรับความเข้าใจกับคนในครอบครัว ในชีวิตที่แล้วเธอดื้อรั้นเกินไป และมักจะรู้สึกว่าพ่อกับแม่ไม่รักเธอจึงทำให้ทะเลาะกันตลอด ดังนั้นเธอเลยไม่รู้ว่าเหตุผลที่พวกท่านต้องทะเลาะกับเธอมันคืออะไร

ในชีวิตนี้ เธอจะต้องรักษาความสัมพันธ์ของเธอกับครอบครัวไว้

“พ่อคะ, แม่คะ ใครคือลูกสาวของพ่อกับแม่คะ? ไม่รู้เหรอคะ?! หนูถูกใส่ร้ายนะคะ” มู่หรงเสวี่ยพูดออกมาด้วยท่าทางน่าสงสาร

ดวงตาของมู่หรงเฟิงหัวจ้องเขม็ง “ถ้าลูกไม่ได้ทำเรื่องพวกนี้ คนอื่นจะถ่ายรูปพวกนี้ได้ยังไง?! พูดมาสิ! ผู้ชายพวกนี้เป็นใครกัน?”

มู่หรงเสวี่ยทำปากจุ๊จุ๊ “ดี ดี หนูจะพูด พ่อกับแม่อย่าเพิ่งโกรธนะคะ คนนี้ชื่อกู่หมิง เป็นหุ้นส่วนบริษัทของหนูเอง วันนั้นหนูไปกับพี่กู่เพื่อจะไปดูหินพนันแล้วก็ถูกถ่ายรูปไว้

คนนี้คือรุ่นพี่ที่โรงเรียน วันนั้นหลังจากเลิกเรียนเราออกไปทานอาหารด้วยกันเฉยๆ อันที่จริงมีเพื่อนผู้หญิงอีกคนไปด้วย ถ้าพ่อกับแม่ไม่เชื่อหนู หนูให้พวกเขามายืนยันต่อหน้าพ่อกับแม่ก็ได้นะคะ”

“ลูกมีบริษัทด้วยเหรอ มันเกิดขึ้นเมื่อไรกัน? ทำไมถึงไม่บอกพ่อกับแม่เรื่องนี้?” มู่หรงเฟิงหัวถามอย่างสงสัย

จางเข่อเหรินไม่สนใจเรื่องบริษัท แต่กลับรีบชี้นิ้วไปที่รูปของชูอี้เสิ่นที่กำลังจูบที่หน้าผากลูกสาวของเธอทันทีแล้วถามออกมาว่า “อย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่อง แล้วคนนี้ล่ะ? รูปนี้มันอะไรกัน?”

มู่หรงเสวี่ยรู้สึกเหมือนถูกเข้าใจผิด “ชายคนนี้เป็นเพื่อนบ้านหนู วันนั้นเขาได้รับบาดเจ็บที่แขนนิดหน่อย หนูช่วยทำแผลให้แล้วเขาก็เลยจุ๊บกู๊ดไนท์ก่อนที่เขาจะกลับ หนูก็รู้สึกแปลกๆแต่บางทีเขาอาจจะชินกับการอยู่เมืองนอกมานาน นี่เป็นวิธีที่พวกคนต่างชาติเขาใช้ทักทายกันนะคะ” แล้วมู่หรงเสวี่ยก็รีบยกนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว “หนูสาบานเลย ว่าทุกคำที่หนูพูดเป็นความจริง”

มู่หรงเฟิงหัวและภรรยาเห็นว่าสีหน้าของลูกสาวมีความจริงจังไม่มีร่องรอยของการโกหกเลยสักนิด พวกเขาเชื่ออย่างสุดใจแต่ก็ยังกังวลอยู่นิดหน่อย รูปพวกนี้ถ่ายออกมาได้ดีมากงั้นก็จะต้องมีคนที่กำลังแอบตามลูกสาวพวกเขาอยู่แน่ๆแต่วิธีนี้ไม่ฉลาดเลย และไม่เหมือนฝีมือของพวกมืออาชีพเลย นี่ลูกสาวพวกเขาไปทำให้ใครไม่พอใจหรือเปล่า?

ความปลอดภัยของลูกสาวคือสิ่งที่สำคัญที่สุด มู่หรงเฟิงหัวจึงรีบถามออกไปว่า “เสี่ยวเสวี่ย ลูกคิดว่าลูกไปทำให้ใครไม่พอใจบ้างหรือเปล่า?”

มู่หรงเสวี่ยรู้สึกอบอุ่นและสบายใจ “วันนี้ที่โรงเรียนก็มีรูปพวกนี้แปะอยู่ด้วย หนูคิดว่ามันต้องเป็นฝีมือของคนในโรงเรียน ไม่ต้องห่วงนะคะ หนูดูแลตัวเองได้ เรื่องพวกนี้ทำอะไรหนูไม่ได้หรอกค่ะ”

“ลูกแน่ใจนะว่าจัดการเรื่องนี้ได้?”

มู่หรงเสวี่ยพยักหน้าอย่างเชื่อมั่น “ใช่ค่ะ ลูกเสือยังไงก็เป็นเสือนะคะ พ่อกับแม่ควรจะเชื่อนะคะว่าลูกสาวก็เก่งเหมือนกัน”

มู่หรงเฟิงหัวและภรรยาต่างก็มองหน้ากันและเห็นได้ชัดถึงความสุขในสายตาของอีกฝ่าย ลูกสาวของพวกเขาโตแล้วจริงๆด้วย

“งั้นพ่อกับแม่จะไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ ลูกก็จัดการด้วยตัวเองไปนะ แต่ถ้ามีปัญหาอะไรต้องมาบอกให้พวกเรารู้ด้วยนะ? แล้วหุ้นส่วนบริษัทของลูกไว้ใจได้หรือเปล่า? ว่างๆแล้วลองเชิญเขามาที่บ้านบ้างได้ไหม?”

“งั้นพรุ่งนี้หนูจะเชิญเขามาทานอาหารค่ำที่บ้านนะคะ พ่อกับแม่จะได้สบายใจ” มู่หรงเสวี่ยพูดโน้มน้าวพ่อกับแม่เพื่อที่จะทำให้พวกท่านสบายใจ
“พ่อกับแม่สบายใจเรื่องลูกแล้วนะ”
“ดีแล้วค่ะ หนูรักพ่อกับแม่ที่สุดเลย”
“เจ้าตัวแสบ…”
“…”

ที่อีกด้าน กู่หมิงกำลังดูมรกตที่อาจารย์ตัดหินเป็นคนตัด มันคงจะดีถ้ามีหยกในหินบ้างที่เขาเลือกซื้อไป วันนั้นเขาเลือกไปกว่า 80 ชิ้น แต่มีเพียง 5 ก้อนเท่านั้นที่เจอว่ามีหยกอยู่ข้างใน ครั้งนี้ปริมาณมันเพิ่มขึ้นมาอีกมากและมีหยกที่มีคุณภาพเยี่ยมๆอยู่ด้วยซึ่งทำให้กู่หมิงประทับใจมาก มันเหมือนกับม้าแข่งที่วิ่งแข่งมานานและก็ไม่สามารถที่จะหยุดพักได้

เช้าวันต่อมาเมื่อเธอไปถึงที่โรงเรียน เธอก็เจอหยางเฟิงยืนอยู่ที่ประตูจากไกลๆ รูปร่างที่หล่อเหลานั้นดึงดูดสายตาของสาวๆที่เดินผ่านไปผ่านมาได้อย่างไม่น้อย

มีเพียงใบหน้าที่เย็นชาของหยางเฟิงเท่านั้นที่ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะเข้าใกล้ เมื่อได้เห็นคนรู้จัก มู่หรงเสวี่ยจึงเดินเข้าไปด้วยความสงสัย “หยางเฟิง ทำไมถึงไม่เข้าไปในโรงเรียนล่ะ?”

หยางเฟิงมองลึกเข้าไปในตาของมู่หรงเสวี่ย ดวงตาดำเข้มของเขาทำให้เธอยากที่จะเข้าใจได้ “ฉันมารอเธออยู่ ตอนนี้เธอว่างไหม? ฉันอยากจะคุยด้วยหน่อย”

มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้วและเห็นว่านักเรียนที่เดินเข้าออกมีหลายคนที่กำลังมองมาด้วยความสงสัยจึงถามออกไปว่า “ที่นี่เหรอ?” มู่หรงเสวี่ยทำท่ามองไปที่ผู้คนที่อยู่รอบๆ

“กำลังจะเข้าเรียนแล้ว เราค่อยไปกินข้าวกันหลังเลิกเรียนดีไหม?” หยางเฟิงเสนอ

มู่หรงเสวี่ยคิดถึงข่าวลือของเธอเมื่อวานที่ดังไปทั่วโรงเรียน ถ้าวันนี้มีคนเห็นเธอออกไปกินข้าวกับหยางเฟิงอีกเธอก็คงกลับมาแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแน่ๆ เธอมองไปที่หยางเฟิงอย่างอึดอัด

หยางเฟิงเห็นท่าทางอัดอัดของเธอ ก็ฉายความเจ็บปวดขึ้นมาในสายตา “ฉันทำให้เธออายเหรอ เธอกลัวว่าแฟนจะเข้าใจเธอผิดหรือเปล่า?”

“แฟนเหรอ? ฉันไปมีแฟนตั้งแต่เมื่อไรกัน?” มู่หรงเสวี่ยตอบอย่างไม่ปิดบัง

เมื่อหยางเฟิงได้ยินว่าเธอไม่มีแฟน ใจเขาก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขจนเก็บรอยยิ้มไว้ไม่อยู่ “งั้นทำไมเธอถึงไม่อยากออกไปกินข้าวกับฉันล่ะ”

มู่หรงเสวี่ยแทบจะตาบอดเพราะรอยยิ้มที่สดใสของเขา “ฉันไม่อยากออกไปกินข้าวกับนาย นี่นายไม่เห็นบอร์ดข่าวที่โรงเรียนเมื่อวานหรือไงกัน? ตอนนี้ฉันเป็นหัวข้อสนทนาของทั้งโรงเรียนไปแล้ว ซึ่งเดาได้ว่าถ้าวันนี้ฉันออกไปกินข้าวกับนายอีก พวกแฟนคลับของนายจะต้องมาฆ่าฉันแน่ๆ แต่วันนี้ฉันจะเชิญเพื่อนมากินข้าวที่บ้าน ถ้านายไม่รังเกียจจะมาด้วยก็ได้นะ ยังไงซะเราสองครอบครัวก็เป็นเพื่อนกันอยู่แล้วนี่ พ่อฉันกับพ่อนายก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ใช่ไหม?”

รอยยิ้มของหยางเฟิงยิ่งกว้างขึ้นไปอีก “โอเค งั้นไปหลังเลิกเรียนพร้อมกันไหม?”
เขายิ้มสดใสขนาดนั้นได้ยังไง นี่เขาเล่นตลกหรือไงกัน มู่หรงเสวี่ยพยักหน้าพร้อมทั้งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วพูดว่า “หลังเลิกเรียนแล้วโทรมา ตอนนี้ไปเข้าเรียนก่อน”

เหมือนกับเมื่อวานที่วันนี้มู่หรงเสวี่ยก็ยังได้รับความสนใจอย่างมากไปตลอดทาง

ท่าทางที่สงบนิ่งของมู่หรงเสวี่ยทำให้นักเรียนหลายคนมองเธอดีขึ้น แต่ข่าวลือก็ไม่ได้หยุดง่ายๆ
เมื่อเดินเข้าไปในห้องเรียนมู่หรงเสวี่ยก็เห็นสายตาเย็นชาของโม่อ้ายลี่ จนทำให้เธอสงสัยว่าตัวเองเป็นโรคร้ายอะไรหรือเปล่า “ราชินีโม่ นี่เธอกำลังทำอะไรเนี่ย?”

“เธอบอกไม่ใช่เหรอว่าจะแก้ไขเรื่องนี้น่ะ? นี่มันผ่านมาวันหนึ่งแล้วนะ ทั้งโรงเรียนยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอเลย เธอเป็นคนดี แล้วเธอก็ไม่กังวลเลยสักนิด เธอจะแก้ไขเรื่องนี้โดยการถามหาเหตุผลไม่ได้หรอกนะ ถ้าเธอจัดการไม่ได้มาบอกฉันเลยนะ แล้วฉันจะขอให้พี่ชายช่วย” โม่อ้ายลี่กัดฟันแน่น ราวกับว่าไม่พอใจอะไรอย่างมากจริงๆ

มู่หรงเสวี่ยหัวเราะและมีความสุขอย่างมาก ช่างเป็นเพื่อนที่ดีจริงๆที่เธอพลาดไปเมื่อชีวิตที่แล้ว “อย่าขมวดคิ้วสิ นี่เธอเกือบจะเป็นคนแก่แล้วนะเนี่ย”

โม่อ้ายลี่โมโหมาก “ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยนะ ฉันกำลังพูดเรื่องที่จริงจังกับเธออยู่นะ”

มู่หรงเสวี่ยรู้ว่าเธอเป็นห่วงจริงๆและไม่ได้แค่ล้อเธอเล่น “โอเคน่า เดี๋ยวอีกไม่กี่วันเรื่องก็เงียบไปเองแหละ เธอสบายใจได้เลย อีกอย่างนะคืนนี้เธอว่างหรือเปล่า? ทำไมไม่มากินข้าวที่บ้านฉันล่ะ?”

“ดีเลย ฉันอยากไปบ้านเธอมานานแล้ว” โม่อ้ายลี่มีความสุขอย่างมาก ก่อนหน้านี้เธอมีเพื่อนมาเยอะแต่แล้วก็ได้รู้ว่าคนพวกนั้นแค่เพียงสนใจครอบครัวของเธอเท่านั้นเองและพวกนั้นก็มักจะชอบเอาเธอมานินทาอีกด้วย เธอจึงค่อยๆทำตัวออกห่างจากคนพวกนั้นและเหลือแค่มู่หรงเสวี่ยที่เป็นเพื่อนแท้ของเธอ

“งั้นเป็นอันตกลงนะ”
หลังจากเลิกเรียน พวกเธอก็เดินออกจากประตูโรงเรียนและได้เจอเข้ากับคนที่ไม่คาดคิด โม่หลิวเฟิง

มู่หรงเสวี่ยมองมาที่โม่อ้ายลี่อย่างสงสัย
โม่อ้ายลี่หัวเราะออกมาอย่างไม่ตั้งใจ “ฉันเพิ่งโทรบอกพี่ว่าคืนนี้จะไม่กลับไปกินข้าวบ้านแต่จะไปบ้านเธอแทน แล้วพี่ฉันก็บอกว่าจะไปด้วยแล้วก็ว่างสายไปเลย ฉันลืมบอกเธอไปเลย”

นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะลืมกันได้ง่ายๆเลยนะแม่คุณ นี่สมองเธอจำได้แค่เรื่องกินงั้นเหรอ?!!! มู่หรงเสวี่ยพูดไม่ออก
“พี่โม่ พี่มาที่นี่ได้ยังไง? กลัวว่าฉันจะพาน้องสาวพี่หนีไปงั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยพูดแซว

“อะไรนะ? ไม่ต้อนรับพี่งั้นเหรอ? พี่อยากจะคุยกับเธอหน่อยเพราะเรื่องที่เธอพูดคราวที่แล้ว” พี่โม่เลิกคิ้วขึ้น

หยางเฟิงมองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า ใบหน้าที่หล่อเหลา, หุ่นที่ดูสมส่วนและท่าทางที่เป็นเอกลักษณ์ของโม่หลิวเฟิงบอกให้รู้ว่าเขาไม่ได้อายุเท่ากับพวกเรา อย่างไรก็ตาม เขาดูจะคุ้นเคยกับ มู่หรงเสวี่ยเป็นอย่างดี หยางเฟิงรู้สึกได้เลยว่าหัวใจเขาเต้นกระสับกระส่ายเป็นอย่างมาก

มู่หรงเสวี่ยจำได้ว่าครั้งที่แล้วขอให้พี่โม่ช่วยหาบอดี้การ์ดให้ ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ว่าช่วงนี้เกิดเรื่องมากมายจนทำให้เธอลืมที่จะโทรหาเขาไปเลย เธอเป็นคนขอให้พี่โม่ช่วยและขอให้เขาแวะมาหาเอง เธอรู้สึกผิดอย่างมาก

“ทำไมเหรอคะ? ฉันว่านี่มันก็เย็นมากแล้ว ทำไมพี่ไม่แวะไปทานอาหารที่บ้านฉันด้วยกันเลยล่ะคะ”

โม่หลิวเฟิงไม่ได้ปฏิเสธอะไร หลังจากที่เปิดประตู เขาก็ส่งสัญญาณบอกให้ทุกคนขึ้นรถ หลังจากที่ขึ้นไปบนรถ มู่หรงเสวี่ยก็โทรหาพี่กู่เพื่ออธิบายและเชิญไปทานอาหารที่บ้านด้วย เธอบอกที่อยู่ไปและกู่หมิงที่อยู่ปลายสายก็ตอบตกลงที่จะมา

ที่โถงทางเดินของตระกูลมู่หรง
มู่หรงเฟิงหัวและภรรยามองดูคนมากมายที่มู่หรงเสวี่ยพามาด้วย โม่อ้ายลี่ไร้เดียงสา และชายอีกสามคนก็ท่าทางดีมาก พวกเขามีท่าทางที่โดดเด่นทำให้พวกเขารู้สึกโล่งใจ อย่างน้อยครอบครัวของเพื่อนเสี่ยวเสวี่ยบางคนก็ดีมาก ดูเหมือนว่าเรื่องรูปพวกนั้นจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆ

ที่โต๊ะทานอาหาร โม่อ้ายลี่ไม่เก็บอาการอยากอาหารของเธอไว้เลย โดยเฉพาะผักที่มู่หรงเสวี่ยเอามาจากมิติลับเพื่อให้ป้าหวู่ทำอาหารหมดไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งอร่อยอย่างมาก โม่หลิวเฟิงเก็บอาการได้ดีกว่านิดหน่อย โม่อ้ายลี่ไม่สนใจเรื่องภาพลักษณ์เลยจริงๆซึ่งทำให้มู่หรงเฟิงหัวและภรรยาถึงกับตะลึง มู่หรงเสวี่ยเก็บอาการขำไว้ และโม่หลิวเฟิงก็ถึงกับยิ้มอย่างอายๆเพราะอาการของน้องสาว
บรรยากาศของมื้ออาหารสดชื่นอย่างประหลาดเพราะความเจริญอาหารของโม่อ้ายลี่และทุกคนต่างก็รู้สึกถึงความจริงใจที่มากขึ้น

หลังจากที่ทานอาหารเสร็จ มู่หรงเฟิงหัวก็บอกว่าอยากจะคุยเรื่องบริษัทกับกู่หมิง พวกเขาจึงไปที่ห้องหนังสือกัน

อย่างไรก็ตาม โม่อ้ายลี่ที่สนใจแต่เรื่องของกินก็ตามกวนคุณป้าจางเข่อเหริน แต่กลายเป็นว่าจางเข่อเหรินก็อยากจะรู้เรื่องสถานการณ์ที่โรงเรียนของมู่หรงเสวี่ยมากขึ้นด้วย พวกเธอจึงเดินออกไปกันสองคนเพื่อที่จะพูดคุยกัน

คนที่เหลือคือมู่หรงเสวี่ย, หยางเฟิงและโม่หลิวเฟิง ซึ่งต่างก็คุยกันเรื่องความรู้สึกของแต่ละคนและอยู่เพื่อที่จะพูดคุยกันต่อ

โม่หลิวเฟิงพูดออกมาก่อน “เสี่ยวเสวี่ย บอดี้การ์ดที่เธอขอให้พี่ช่วยหาครั้งที่แล้วได้แล้วนะ มีคนสมัครสองคน คนหนึ่งอายุ 30 ชื่อ จางเฟิง เขาเคยเป็นนายพลมาก่อนที่จะเกษียณจากกองทัพและอีกคนชื่อโม่จื่อเหวิน พี่แนะนำเขานะ เขามีทักษะที่ดีมากและซื่อสัตย์มากด้วย แต่สถานการณ์ของเขาค่อนข้างจะพิเศษ เขาโดดเด่นเรื่องความแข็งแกร่ง เขาควรที่จะได้รับการเลื่อนขั้นให้เป็นพลตรี แต่เขามีน้องชายที่ป่วยหนักที่ต้องดูแล ดังนั้นเขาจึงขอปลดประจำการภายใต้สถานการณ์พิเศษ เขาบอกว่าถ้าเขาได้รับเลือก เขาจะต้องพาน้องชายมาอยู่ด้วย มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเธอจะเลือกยังไง”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+