ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 253 เจ้า! ดีมากจริงๆ!

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 253 เจ้า! ดีมากจริงๆ! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 253 เจ้า! ดีมากจริงๆ!

อย่างไรก็ตาม ตอนที่พวกเขาออกไปครั้งนี้ ไอ้พวกสารเลวพวกนั้นกล้าที่จะทำร้ายลูกสาวของเขา และยังกล้าที่จะไปเข้าทีมกับไอ้สารเลวที่ทำร้ายเซี่ยเหลียนนาอีกด้วย แล้วแบบนี้เขาจะไม่โกรธแค้นได้ยังไง

การบาดเจ็บของรากแห่งจิตวิญญาณไม่ใช่การบาดเจ็บเล็กๆ มันจะมีผลกับการฝึกตนในอนาคตและเป็นสิ่งที่รักษาได้ยากที่สุดอีกด้วย จะต้องไปหานักเล่นแร่แปรธาตุระดับอาจารย์เท่านั้นเพื่อที่จะหาวิธีรักษา

ถ้าเขาไม่ได้บดขยี้หลินหนานให้เป็นชิ้นๆ ก็คงยากที่จะเข้าใจถึงความเกลียดชังของเขาในตอนนี้ได้

“ท่านพ่อ เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” หลังจากที่นอนลง เซี่ยเหลียนนาก็ถามออกมาอีก เธอจะนอนหลับไปได้ยังไงถ้ายังไม่ได้เห็นจุดจบที่แสนทรมานของคนพวกนั้น แถมตอนนี้แผลของเธอก็ยังเจ็บอยู่ด้วย

เซี่ยเต๋าก้มหัวลงและถามต่อ “ลูกแน่ใจนะว่าเด็กหนุ่มคนนั้นอยู่แค่ระดับสีเหลืองนะ?” ถ้าหวู่พ่ายแพ้ให้พวกเขาจริงๆ งั้นก็มีเพียงเด็กหนุ่มนั้นคนเดียวที่จะสามารถทำเรื่องทุกอย่างได้

“ใช่! มีอะไรเหรอ? ท่านพ่อทำพลาดเหรอ?!” สีหน้าของเซี่ยเหลียนนาเปลี่ยนไป เธอกัดฟันอย่างโกรธแค้น บ้าเอ๊ย เป็นเพราะเขาที่ทำร้ายเธอ

“ท่านหวู่ ลูกรู้จักไหม ที่เป็นทหารรับจ้างที่รับงานนี้ พ่อเพิ่งไปถามข่าวเรื่องเขา เขาตายแล้ว…” จากคำอธิบายของลูกสาว เด็กหนุ่มนั่นอย่างมากก็อายุ 16 และระดับการฝึกตนก็ไม่ได้สูงอะไรมาก

“อะไรนะ?! เป็นไปได้ยังไง…” เซี่ยเหลียนนาเบิกตาอย่างไม่อยากจะเชื่อแล้วก็นึกถึงจังหวะที่เธอถูกทำร้าย เป็นเพราะก่อนหน้านี้เธอบาดเจ็บจากเจ้าอสูรฟันยักษ์ไม่ใช่เหรอ?!!!

“ท่านพ่อ อาการบาดเจ็บของข้าเป็นเพราะเด็กหนุ่มคนนั้น…” เซี่ยเหลียนนาพูดอย่างไม่เต็มใจ

“ลูกบอกว่าเป็นเพราะเจ้าอสูรฟันยักษ์ไม่ใช่เหรอ?” เซี่ยเต๋าถาม ตอนที่ลูกสาวเขากลับมาเมื่อวาน เขาตรวจร่างกายให้เธอ มีการบาดเจ็บสาหัสสองแห่ง แผลแรกเกิดที่หน้าอก ถึงแม้มันจะหนักอยู่แต่การฝึกตนก็น่าจะช่วยรักษาได้ภายในไม่กี่อาทิตย์ ส่วนอีกที่อยู่ที่ตันเถียน การระเบิดครั้งนี้ร้ายแรงจริงๆและมันทำลายรากของจิตวิญญาณอย่างแท้จริง

“เจ้าอสูรฟันยักษ์ทำร้ายข้าที่หน้าอกแล้วหลังจากนั้นข้าก็ถูกชายคนนั้นจู่โจมเข้าที่ตันเถียน ตอนแรกข้าคิดว่าเป็นเพราะเจ้าอสูรฟันยักษ์…” เมื่อมาคิดถึงเรื่องนี้ เธอก็กัดฟันด้วยความเกลียด

เซี่ยเต๋าสีหน้าเครียดขึ้น ถ้าเขาอยู่ในระดับสีฟ้า เซี่ยเหลียนน่าก็คงจะบาดเจ็บสาหัสได้แบบนี้แต่ในระดับสีเหลืองไม่มีทางทำได้แบบนี้อย่างแน่นอน

เขาพูดอย่างเย็นชา “ชายหนุ่มคนนั้นไม่มีทางอยู่ในระดับสีเหลืองแน่ๆ บางทีอาจจะอยู่ในชั้นสูงสุดของระดับสีฟ้า…” เขานึกถึงระดับสีม่วง แต่ในระดับสีม่วงจะขึ้นได้ง่ายๆแบบนั้นเลยเหรอ? เขาไม่รู้ว่าตัวเองต้องติดอยู่ในระดับสีฟ้าอยู่นานแค่ไหนจนกระทั่งถึงวันเกิดของตัวเอง จนสุดท้ายเขาก็ขึ้นไม่ถึงระดับสีม่วง ไม่งั้นคงไม่มีสถานการณ์แบบนี้

เดี๋ยวนี้มีหลายคนมากๆที่ขึ้นไม่ถึงระดับสีม่วง ตามประวัติศาสตร์ของทวีปเฟิงหยุ่น มีคนเพียงไม่ถึง 100 คนเท่านั้นที่ขึ้นมาถึงระดับสีม่วงได้

“แต่ข้าเห็นจริงๆว่าเขาอยู่ในระดับสีเหลือง…” เธอเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาเป็นผู้ฝึกตนในระดับสีเหลือง หลินหนานอยากที่จะตามชายคนนั้น อยากที่จะรอความตาย

“บางทีเขาอาจจะมีเวทมนตร์อยู่ในร่างกายก็ได้…ไม่ต้องสนใจเรื่องนี้หรอก เดี๋ยวพ่อจัดการเอง ลูกอยู่นี่พยายามรักษาตัวให้ดีที่สุดแล้วกัน…”

เซี่ยเหลียนนาอยากที่จะพูดอะไรต่อแต่ก็เห็นว่าสีหน้าของพ่อไม่ค่อยจะดีเท่าไร ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงเงียบปากไว้ ยังไงซะพ่อเธอก็บอกว่าจะจัดการเรื่องนี้เอง ตั้งแต่เด็กจนโต ทุกเรื่องที่พ่อบอกว่าจะจัดการ ท่านก็จัดการได้ทั้งหมด

เซี่ยเต๋าที่เดินออกมาจากห้องของลูกสาวจิตใจวุ่นวายไปหมด ถ้าเขาอยากที่จะแก้แค้นให้ลูกสาว ก็มีเพียงทางเดียวคือต้องฆ่าเด็กพวกนั้นซะ เด็กหนุ่มนั่นขึ้นมาอยู่ในระดับการฝึกตนได้สูงขนาดนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย ถ้าเขาไม่จัดการซะตอนนี้ เขาก็กลัวว่าในอนาคตเขาจะต้องเดือดร้อนแน่ๆ

มู่หรงเสวี่ยที่ยังอยู่ในป่าแห่งความตายที่กำลังเดินทางอยู่ อย่างไรก็ตามในระหว่างทางเธอก็ได้เจอทหารรับจ้างหลายคน และดูเหมือนว่าในป่าแห่งความตายนี้จะยังมีอีกหลายคนด้วย

มู่หรงเสวี่ยมีแผนที่จะข้ามป่าแห่งความตายไปที่อีกฝั่งของทวีปเฟิงหยุ่น ตอนแรกพวกเขาไม่เห็นด้วยกับหลินหนานอย่างหนัก ในทวีปเฟิงหยุ่น ไม่มีใครรู้เลยว่าป่าแห่งความตายลึกมากแค่ไหนซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ที่อันตรายที่สุดที่จะเข้าไปแล้วจะไม่ได้กลับออกมาอีก

อย่างไรก็ตามหลังจากที่ได้ยินว่ามู่เทียนและเสี่ยวไป๋บอกว่าพวกเขาเพิ่งจะออกมาจากข้างใน พวกเขาจึงถึงกับตกใจกับเรื่องที่ได้ฟัง ครั้งต่อไปถ้ามีใครบอกพวกเขาว่ามู่เทียนหัวเราะออกมาเป็นก้อนหินได้ พวกเขาก็คงจะแค่ร้อง “โอ้” และไม่รู้สึกแปลกใจอะไรเลย เพียงเวลาสั้นๆที่ได้อยู่ด้วยกัน มู่เทียนก็ได้เปิดโลกของพวกเขาทั้งสามอย่างสิ้นเชิง

“น่าแปลก มีคนมากมายเข้ามาในป่าแห่งความตายลึกขนาดนี้ได้ยังไง?” จ้าวฉีพูด

“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?” หลินหนานพูด

ป่าแห่งความตายไม่ต้องพูดถึงเรื่องความลึกของป่าเลย แต่แม้แต่คนก็ยังไม่มีเลยด้วย จะมีก็ต่อพวกคนในระดับสูงๆที่อยากจะเข้ามาล่าอสูรแห่งจิตวิญญาณ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์วันนี้มันแปลกมากจริงๆ มีกลุ่มคนมากมายที่พุ่งตัวเข้ามาในป่าแห่งความตาย แถมยังมากันเป็นกลุ่มอีกด้วย จำนวนของกลุ่มคนที่มาเทียบได้กับกองทหารเลยทีเดียวและยังเข้ามาข้างในลึกมากด้วย

จู่ๆก็มีคนเข้ามามากมายจนพวกเขาเริ่มที่จะกังวลและต้องระวังตัวกันมากขึ้นด้วย ถึงแม้ครั้งที่แล้วพวกเขาจะจัดการชายแก่ไปได้แล้ว แต่เดาว่าอีกฝ่ายก็คงจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆแน่ๆ พวกเขาต่างก็รู้จักนิสัยของเซี่ยเต๋าดีและเขาก็พร้อมที่จะสู้เสมอด้วย

“ลองถามดูสิ!” มู่หรงเสวี่ยพูด

หลินหนานพยักหน้าและเดินไปรอบๆ เขาเจอเข้ากับสองคน เป็นชายหนึ่งและหญิงหนึ่งที่ดูแล้วน่าจะอายุพอๆกับพวกเขา

เขาเดินเข้าไป ก้มหัวกล่าวทักทายแล้วจึงถามออกไป “ทั้งสอง ขอโทษทีนะ พวกเราเพิ่งจะเข้ามาแล้วเจอคนมากมายเลย พวกเจ้าพอจะรู้ไหมว่าพวกเขาเข้ามาทำอะไรกันในป่าแห่งความตายนี่?”

ไม่ว่าจะในโลกไหนก็ตาม ถ้าเจอคนที่ไม่ยิ้มนั่นก็มีความหมายเดียวกันหมด ท่าทางของหลินหนานดีมากซึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างสุภาพ ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ชอบที่ถูกรบกวนแต่ก็ยังตอบออกมาอย่างหาได้ยาก “ว่ากันว่าในนั้นมีสมบัติ ส่วนจะจริงหรือเปล่านั่นยังไม่รู้ แต่ข่าวก็กระจายไปทั่วทั้งทวีปแล้วด้วย…”

คนที่ตอบคำถามออกมาบังเอิญคือเฟิง จือหลิง ศิษย์ของสำนักหลงหยุ่น เขาเป็นอันดับต้นๆของสำนักหลงหยุ่นด้วย ซึ่งอายุเพียงแค่ 16 เท่านั้นแต่ก็ขึ้นมาอยู่ในชั้นสูงสุดของระดับสีฟ้าได้แล้ว ความแข็งแกร่งของเขาดังกระจายไปทั่วทั้งโลกแล้ว เขายังมีฉายาว่า “ไอ้บ้าคลั่ง” อีกด้วย!

ฉายานี้ก็ได้มาจากความบ้าในการฝึกตนของเขาเอง ราวกับว่าเขาถูกปีศาจครอบงำ เขาท้าทายศิษย์ทุกคนที่เก่งๆในสำนัก แต่การสู้ก็เปล่าประโยชน์ ปัญหาคือว่าหลังจากการสู้ทุกครั้งเขาจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขาดูจะบ้าคลั่งมากขึ้นจนแทบจะหยุดไม่อยู่

ศิษย์ที่หลงหยุ่นทุกคนต่างก็กลัวเขา

คนที่ยืนข้างๆเขาคือน้องสาวของเขา ถึงแม้เธอจะดูน่ารัก และคิดว่าเธอคงจะต้องน่ารักมากแน่ๆ ถ้าคิดแบบนั้นก็คงจะต้องเสียใจ น้องสาวของเขาไม่ใช่พวกบ้าการต่อสู้แต่เธอเป็นคนที่อารมณ์ร้อนอย่างมาก ผู้ชายหลายคนที่เข้ามาหาเธอจะต้องถูกเธอจัดการทุกคน ถึงแม้ระดับความสำเร็จของเธอจะไม่สูงจนน่าตกใจแบบพี่ชาย แต่เธอก็เป็นอัจฉริยะที่หาตัวจับอย่างเหมือนกัน เธออายุเพียง 15 เท่านั้นแต่ก็ขึ้นมาอยู่ในระดับกลางของการฝึกตนได้แล้วซึ่งทำให้เหล่าหนุ่มๆที่ชื่นชอบเธอทำได้เพียงถอนหายใจและเฝ้ามองเท่านั้น

“ขอบคุณนะสำหรับข้อมูล ลาก่อน!” เมื่อได้ฟังคำตอบ หลินหนานก็กล่าวขอบคุณ

เฟิงจือหลิงพยักหน้าอย่างเย็นชา น้องสาวของเขา เฟิงซือแทบจะไม่แสดงอาการอะไรออกมาเลย เหตุผลหลักก็เพราะหลินหนานไม่มีอะไรให้ต้องสนใจ หลินหนานไม่ได้จ้องเธอเหมือนที่พวกเด็กหนุ่มๆชอบทำ ตรงกันข้ามเลย นอกจากการยิ้มและพยักหน้าที่ส่งให้เธอในตอนแรก สายตาหลินหนานก็เอาแต่จ้องไปที่พี่ชายของเธอ ดังนั้นเธอจึงยืนเงียบๆด้วยอารมณ์สบายๆ

เดิมทีทั้งสองฝ่ายไม่น่าที่จะมีอะไรต้องคุยกันอีก แต่เมื่อเฟิงจือหลิงเห็นมู่หรงเสวี่ย

ความรู้สึกของไอ้บ้าวิชาก็พุ่งขึ้นมาอีกครั้ง เขารีบเปลี่ยนสายตาในทันทีและเดินตรงเข้าไปหามู่หรงเสวี่ย เขามองตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่นาน จนเวลาผ่านไปนานมู่หรงเสวี่ยเริ่มที่จะสงสัยว่าเพิ่งเจอเข้ากับคนบ้าหรือเปล่า

เธออยากที่จะเดินออกไปเงียบๆ เธอไม่ชอบที่จะเป็นจุดสนใจ

“เจ้า! ดีมากเลย!” หลังจากที่มองอยู่นาน เฟิงจือหลิงก็พูดออกมา

คิ้วของมู่หรงเสวี่ยเลิกขึ้น ไม่มีคำพูดใดๆ นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย

เฟิงจือหลิงรีบดึงดาบที่อยู่ในมือขึ้นมาทันทีและลมหายใจของเขาก็เปลี่ยนไป มู่หรงเสวี่ยรับรู้ได้ถึงความรู้สึกเย็นชาของร่างกายชายตรงหน้าที่ส่งมาให้เธอ

เฟิงซือหลิงเห็นพี่ชายดึงดาบในมือออกมา สีหน้าเธอเปลี่ยนไป “พี่ชาย พี่จะทำอะไร เขาอยู่แค่ในระดับสีเหลืองเองนะรับฝีดาบพี่ไม่ได้หรอก!” ที่ผ่านมา เฟิงจือหลิงไม่เคยดึงดาบออกมาดวลเลย มีเพียงคนเดียวที่เขาจะดึงดาบออกมาดวลด้วยก็คืออาจารย์เขาเท่านั้นแต่อาจารย์ของพวกเขาก็อยู่ในชั้นสูงสุดของระดับสีม่วง อย่างไรก็ตามเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาก็แค่อยู่ในระดับสีเหลืองเท่านั้น

“เขารับได้สิ! เขาแข็งแกร่งจะตาย!” มือที่ถือดาบอยู่ของเฟิงจือหลิงไม่ขยับ สายตามองจ้องไปที่มู่หรงเสวี่ยด้วยประกายของการต่อสู้อย่างเต็มเปี่ยม

มู่หรงเสวี่ยแตะไปที่จมูกของตัวเอง นี่เขามองเห็นทะลุเลยงั้นเหรอ?!!!

สัญญาณการรับรู้ดีมากจริงๆ!!!

“ดึงดาบออกมาแล้วมาสู้กัน!” เฟิงจือหลิงพูด!

มุ่หรงเสวี่ยลูบไปที่ขนอันอ่อนนุ่มของเสี่ยวไป๋อย่างใจเย็น ตราบใดที่ไม่ใช่เซี่ยเหลียนนาที่รนหาเรื่อง “ข้าไม่สู้ด้วย!”

เฟิงจือหลิงดูเหมือนจะไม่คิดว่าจะได้ยินคำตอบแบบนี้ สีหน้าที่เยือกเย็นของเขาดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ทำไมล่ะ?!” ทางหนึ่งเขาก็อาจจะขี้ขลาดและอีกทางเขาก็อาจจะกลัวว่ามันจะส่งผลต่อจิตใจของผู้ที่ฝึกฝนตนมาอย่างหนักก็ได้

ในตอนนี้ หลินหนานเองก็เดินเข้ามาและพูดว่า “ต้องขอโทษด้วยนะ พวกเราไม่มีเวลาที่จะสู้หรอก…” การท้าทายในดินแดนเฟิงหยุ่นไม่จำเป็นต้องเป็นการยั่วยุเสมอไป ตรงกันข้ามเลยมันหมายถึงความเคารพ จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งพอที่จะท้าทายได้

แน่นอนว่าก็มีพวกคนไม่ดีมากมายที่ใช้ประโยชน์ของการท้าทายเพื่อที่จะแก้แค้นส่วนตัวด้วย

คิ้วของเฟิงจือหลิงขมวดเข้าด้วยกันและใบหน้าหล่อๆก็ดูเสียใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกปฏิเสธการต่อสู้ แต่เขารู้สึกอยากที่จะสู้กับมู่หรงเสวี่ยจริงๆ ความรู้สึกของเขาบอกว่าผู้ชายคนนี้เป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง

มู่หรงเสวี่ยเผยรอยยิ้มและพูดออกไปว่า “อย่างที่เพื่อนข้าบอก พวกเรากำลังรีบ ข้าต้องขอโทษด้วยนะ…” ในช่วงที่ผ่านมาหลินหนานได้อธิบายให้เขาฟังเรื่องรายละเอียดของเมืองเฟิงหยุ่นบ้างแล้วและเธอก็ได้เรียนรู้อะไรมากมาย

“ไม่ได้ เจ้าต้องสู้กับข้า!” เฟิงจือหลิงขมวดคิ้วหนัก

มู่หรงเสวี่ยไม่รู้จะพูดยังไง หลินหนานและคนอื่นๆต่างก็มองเป็นตาเดียว สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจที่จะไม่สนใจชายคนนี้ มู่หรงเสวี่ยอุ้มเสี่ยวไป๋เดินอ้อมเฟิงจือหลิงและจะเดินจากไป

ตอนนี้พวกเขากำลังถูกตามล่า ไม่มีเวลาที่จะมาดวลด้วยหรอก

เฟิงจือหลิงรีบเข้าไปขวางทางพวกเขาได้ทันทีและไม่นานก็พูดออกมา “เมื่อกี้พวกเจ้ามาถามข้า ข้าก็ตอบนะ!” หลังจากนั้นเขาก็พยักหน้าอย่างจริงจัง เหมือนจะบอกเป็นนัยๆให้รู้ถึงบุญคุณ

มู่หรงเสวี่ยและคนอื่นๆต่างก็มีสีหน้าที่งุนงง แม้แต่น้องสาวของเฟิงจือหลิงก็ยังถึงกับพูดไม่ออก ปกติเขาจะเป็นคนที่ดีแต่เมื่อเจอคนที่แข็งแกร่งเขาจะถึงกับเดินไม่เป็น ราวกับเป็นไอ้โง่เวลาที่เจอสาวสวย

“พี่ชาย พวกเขามีเรื่องต้องไปจัดการกันจริงๆ ไว้ครั้งหน้าแล้วกันนะ! ครั้งหน้าข้าจะสู้ด้วยจริงๆ” มู่หรงเสวี่ยพูดพร้อมมือที่กำแน่นอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม เฟิงจือหลิงดูเหมือนอย่างที่จะดวลมากแต่ก็ไม่เท่าไร เขารีบจับแขนมู่หรงเสวี่ยไว้ทันทีและถามต่อ “ครั้งหน้าคือเมื่อไร?!”

“ครั้งหน้าก็คือครั้งหน้าที่เจอกัน…” เดาว่ามันคงจะเป็นเรื่องยากที่ในอนาคตจะได้เจอกันอีก

ชายคนนี้ปล่อยมือออก “ได้!”

มู่หรงเสวี่ยมองไปที่เขา นี่เขาจะยอมปล่อยไปจริงๆเหรอ?!! ไม่ว่ายังไงก็ชั่ง ไปกันเถอะ

ทันใดนั้นหลินหนานและคนอื่นๆก็รีบเข้าไปในป่าแห่งความตายด้วยความเร็วที่คาดไม่ถึง หลังจากที่เดินอยู่นาน พวกเขาก็มองไปข้างหลังและเห็นว่าทั้งสองพี่น้องเฟิงจือหลิงไม่ได้ตามพวกเขามาก พวกเขารู้สึกโล่งอก

ไม่ใช่ว่าพวกเขากลัวน้องพี่น้องนั่นหรอกแต่พวกเขาไม่อยากที่จะสู้ตอนนี้ เผื่อมีการบาดเจ็บแล้วพวกเขาบังเอิญไปเจอกับคนที่เซี่ยเหลียนนาส่งมา แบบนั้นก็คงจะเป็นเรื่องแย่แน่ๆ

นอกจากนี้มู่หรงเสวี่ยเองก็ยังรู้สึกด้วยว่าเฟิงจือหลิงเองก็ไม่ธรรมดา เธอมีความรู้สึกด้วยว่าตัวเองอาจจะแพ้ด้วย ถึงแม้เขาจะอยู่ในชั้นสูงสุดของระดับสีฟ้าแต่มู่หรงเสวี่ยก็ยังรู้สึกกลัวอยู่นิดหน่อย คนคนนั้นไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เธอรู้สึกต่างไปจากชายแก่ที่เจอก่อนหน้านี้มาก ไม่รู้ว่าทำไมแต่เธอก็แค่รู้สึกแปลกๆ

ดังนั้นเธอจึงไม่อยากที่จะดวลกับเขาในสภาพแบบนี้ ตอนนี้เพราะเธอกำลังถูกตามล่าอยู่ จึงเป็นเรื่องยากที่เธอจะสู้กับเขาด้วยความใจเย็นซึ่งถือเป็นความไม่ให้เกียรติอีกฝ่ายด้วย

ความแข็งแกร่งทางร่างกายของหวู่เสี่ยวเหมยมีจำกัดและระดับการฝึกตนของเธอก็ต่ำที่สุด ถึงแม้เธอจะไม่เคยขอให้พักแต่ทุกคนก็เห็นได้จากสีหน้าที่ซีดเผือดของเธอ ดังนั้นหลังจากที่เดินมานาน พวกเขาจึงหยุดพักและหาอะไรกินกัน

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 253 เจ้า! ดีมากจริงๆ!

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 253 เจ้า! ดีมากจริงๆ! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 253 เจ้า! ดีมากจริงๆ!

อย่างไรก็ตาม ตอนที่พวกเขาออกไปครั้งนี้ ไอ้พวกสารเลวพวกนั้นกล้าที่จะทำร้ายลูกสาวของเขา และยังกล้าที่จะไปเข้าทีมกับไอ้สารเลวที่ทำร้ายเซี่ยเหลียนนาอีกด้วย แล้วแบบนี้เขาจะไม่โกรธแค้นได้ยังไง

การบาดเจ็บของรากแห่งจิตวิญญาณไม่ใช่การบาดเจ็บเล็กๆ มันจะมีผลกับการฝึกตนในอนาคตและเป็นสิ่งที่รักษาได้ยากที่สุดอีกด้วย จะต้องไปหานักเล่นแร่แปรธาตุระดับอาจารย์เท่านั้นเพื่อที่จะหาวิธีรักษา

ถ้าเขาไม่ได้บดขยี้หลินหนานให้เป็นชิ้นๆ ก็คงยากที่จะเข้าใจถึงความเกลียดชังของเขาในตอนนี้ได้

“ท่านพ่อ เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” หลังจากที่นอนลง เซี่ยเหลียนนาก็ถามออกมาอีก เธอจะนอนหลับไปได้ยังไงถ้ายังไม่ได้เห็นจุดจบที่แสนทรมานของคนพวกนั้น แถมตอนนี้แผลของเธอก็ยังเจ็บอยู่ด้วย

เซี่ยเต๋าก้มหัวลงและถามต่อ “ลูกแน่ใจนะว่าเด็กหนุ่มคนนั้นอยู่แค่ระดับสีเหลืองนะ?” ถ้าหวู่พ่ายแพ้ให้พวกเขาจริงๆ งั้นก็มีเพียงเด็กหนุ่มนั้นคนเดียวที่จะสามารถทำเรื่องทุกอย่างได้

“ใช่! มีอะไรเหรอ? ท่านพ่อทำพลาดเหรอ?!” สีหน้าของเซี่ยเหลียนนาเปลี่ยนไป เธอกัดฟันอย่างโกรธแค้น บ้าเอ๊ย เป็นเพราะเขาที่ทำร้ายเธอ

“ท่านหวู่ ลูกรู้จักไหม ที่เป็นทหารรับจ้างที่รับงานนี้ พ่อเพิ่งไปถามข่าวเรื่องเขา เขาตายแล้ว…” จากคำอธิบายของลูกสาว เด็กหนุ่มนั่นอย่างมากก็อายุ 16 และระดับการฝึกตนก็ไม่ได้สูงอะไรมาก

“อะไรนะ?! เป็นไปได้ยังไง…” เซี่ยเหลียนนาเบิกตาอย่างไม่อยากจะเชื่อแล้วก็นึกถึงจังหวะที่เธอถูกทำร้าย เป็นเพราะก่อนหน้านี้เธอบาดเจ็บจากเจ้าอสูรฟันยักษ์ไม่ใช่เหรอ?!!!

“ท่านพ่อ อาการบาดเจ็บของข้าเป็นเพราะเด็กหนุ่มคนนั้น…” เซี่ยเหลียนนาพูดอย่างไม่เต็มใจ

“ลูกบอกว่าเป็นเพราะเจ้าอสูรฟันยักษ์ไม่ใช่เหรอ?” เซี่ยเต๋าถาม ตอนที่ลูกสาวเขากลับมาเมื่อวาน เขาตรวจร่างกายให้เธอ มีการบาดเจ็บสาหัสสองแห่ง แผลแรกเกิดที่หน้าอก ถึงแม้มันจะหนักอยู่แต่การฝึกตนก็น่าจะช่วยรักษาได้ภายในไม่กี่อาทิตย์ ส่วนอีกที่อยู่ที่ตันเถียน การระเบิดครั้งนี้ร้ายแรงจริงๆและมันทำลายรากของจิตวิญญาณอย่างแท้จริง

“เจ้าอสูรฟันยักษ์ทำร้ายข้าที่หน้าอกแล้วหลังจากนั้นข้าก็ถูกชายคนนั้นจู่โจมเข้าที่ตันเถียน ตอนแรกข้าคิดว่าเป็นเพราะเจ้าอสูรฟันยักษ์…” เมื่อมาคิดถึงเรื่องนี้ เธอก็กัดฟันด้วยความเกลียด

เซี่ยเต๋าสีหน้าเครียดขึ้น ถ้าเขาอยู่ในระดับสีฟ้า เซี่ยเหลียนน่าก็คงจะบาดเจ็บสาหัสได้แบบนี้แต่ในระดับสีเหลืองไม่มีทางทำได้แบบนี้อย่างแน่นอน

เขาพูดอย่างเย็นชา “ชายหนุ่มคนนั้นไม่มีทางอยู่ในระดับสีเหลืองแน่ๆ บางทีอาจจะอยู่ในชั้นสูงสุดของระดับสีฟ้า…” เขานึกถึงระดับสีม่วง แต่ในระดับสีม่วงจะขึ้นได้ง่ายๆแบบนั้นเลยเหรอ? เขาไม่รู้ว่าตัวเองต้องติดอยู่ในระดับสีฟ้าอยู่นานแค่ไหนจนกระทั่งถึงวันเกิดของตัวเอง จนสุดท้ายเขาก็ขึ้นไม่ถึงระดับสีม่วง ไม่งั้นคงไม่มีสถานการณ์แบบนี้

เดี๋ยวนี้มีหลายคนมากๆที่ขึ้นไม่ถึงระดับสีม่วง ตามประวัติศาสตร์ของทวีปเฟิงหยุ่น มีคนเพียงไม่ถึง 100 คนเท่านั้นที่ขึ้นมาถึงระดับสีม่วงได้

“แต่ข้าเห็นจริงๆว่าเขาอยู่ในระดับสีเหลือง…” เธอเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาเป็นผู้ฝึกตนในระดับสีเหลือง หลินหนานอยากที่จะตามชายคนนั้น อยากที่จะรอความตาย

“บางทีเขาอาจจะมีเวทมนตร์อยู่ในร่างกายก็ได้…ไม่ต้องสนใจเรื่องนี้หรอก เดี๋ยวพ่อจัดการเอง ลูกอยู่นี่พยายามรักษาตัวให้ดีที่สุดแล้วกัน…”

เซี่ยเหลียนนาอยากที่จะพูดอะไรต่อแต่ก็เห็นว่าสีหน้าของพ่อไม่ค่อยจะดีเท่าไร ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงเงียบปากไว้ ยังไงซะพ่อเธอก็บอกว่าจะจัดการเรื่องนี้เอง ตั้งแต่เด็กจนโต ทุกเรื่องที่พ่อบอกว่าจะจัดการ ท่านก็จัดการได้ทั้งหมด

เซี่ยเต๋าที่เดินออกมาจากห้องของลูกสาวจิตใจวุ่นวายไปหมด ถ้าเขาอยากที่จะแก้แค้นให้ลูกสาว ก็มีเพียงทางเดียวคือต้องฆ่าเด็กพวกนั้นซะ เด็กหนุ่มนั่นขึ้นมาอยู่ในระดับการฝึกตนได้สูงขนาดนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย ถ้าเขาไม่จัดการซะตอนนี้ เขาก็กลัวว่าในอนาคตเขาจะต้องเดือดร้อนแน่ๆ

มู่หรงเสวี่ยที่ยังอยู่ในป่าแห่งความตายที่กำลังเดินทางอยู่ อย่างไรก็ตามในระหว่างทางเธอก็ได้เจอทหารรับจ้างหลายคน และดูเหมือนว่าในป่าแห่งความตายนี้จะยังมีอีกหลายคนด้วย

มู่หรงเสวี่ยมีแผนที่จะข้ามป่าแห่งความตายไปที่อีกฝั่งของทวีปเฟิงหยุ่น ตอนแรกพวกเขาไม่เห็นด้วยกับหลินหนานอย่างหนัก ในทวีปเฟิงหยุ่น ไม่มีใครรู้เลยว่าป่าแห่งความตายลึกมากแค่ไหนซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ที่อันตรายที่สุดที่จะเข้าไปแล้วจะไม่ได้กลับออกมาอีก

อย่างไรก็ตามหลังจากที่ได้ยินว่ามู่เทียนและเสี่ยวไป๋บอกว่าพวกเขาเพิ่งจะออกมาจากข้างใน พวกเขาจึงถึงกับตกใจกับเรื่องที่ได้ฟัง ครั้งต่อไปถ้ามีใครบอกพวกเขาว่ามู่เทียนหัวเราะออกมาเป็นก้อนหินได้ พวกเขาก็คงจะแค่ร้อง “โอ้” และไม่รู้สึกแปลกใจอะไรเลย เพียงเวลาสั้นๆที่ได้อยู่ด้วยกัน มู่เทียนก็ได้เปิดโลกของพวกเขาทั้งสามอย่างสิ้นเชิง

“น่าแปลก มีคนมากมายเข้ามาในป่าแห่งความตายลึกขนาดนี้ได้ยังไง?” จ้าวฉีพูด

“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?” หลินหนานพูด

ป่าแห่งความตายไม่ต้องพูดถึงเรื่องความลึกของป่าเลย แต่แม้แต่คนก็ยังไม่มีเลยด้วย จะมีก็ต่อพวกคนในระดับสูงๆที่อยากจะเข้ามาล่าอสูรแห่งจิตวิญญาณ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์วันนี้มันแปลกมากจริงๆ มีกลุ่มคนมากมายที่พุ่งตัวเข้ามาในป่าแห่งความตาย แถมยังมากันเป็นกลุ่มอีกด้วย จำนวนของกลุ่มคนที่มาเทียบได้กับกองทหารเลยทีเดียวและยังเข้ามาข้างในลึกมากด้วย

จู่ๆก็มีคนเข้ามามากมายจนพวกเขาเริ่มที่จะกังวลและต้องระวังตัวกันมากขึ้นด้วย ถึงแม้ครั้งที่แล้วพวกเขาจะจัดการชายแก่ไปได้แล้ว แต่เดาว่าอีกฝ่ายก็คงจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆแน่ๆ พวกเขาต่างก็รู้จักนิสัยของเซี่ยเต๋าดีและเขาก็พร้อมที่จะสู้เสมอด้วย

“ลองถามดูสิ!” มู่หรงเสวี่ยพูด

หลินหนานพยักหน้าและเดินไปรอบๆ เขาเจอเข้ากับสองคน เป็นชายหนึ่งและหญิงหนึ่งที่ดูแล้วน่าจะอายุพอๆกับพวกเขา

เขาเดินเข้าไป ก้มหัวกล่าวทักทายแล้วจึงถามออกไป “ทั้งสอง ขอโทษทีนะ พวกเราเพิ่งจะเข้ามาแล้วเจอคนมากมายเลย พวกเจ้าพอจะรู้ไหมว่าพวกเขาเข้ามาทำอะไรกันในป่าแห่งความตายนี่?”

ไม่ว่าจะในโลกไหนก็ตาม ถ้าเจอคนที่ไม่ยิ้มนั่นก็มีความหมายเดียวกันหมด ท่าทางของหลินหนานดีมากซึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างสุภาพ ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ชอบที่ถูกรบกวนแต่ก็ยังตอบออกมาอย่างหาได้ยาก “ว่ากันว่าในนั้นมีสมบัติ ส่วนจะจริงหรือเปล่านั่นยังไม่รู้ แต่ข่าวก็กระจายไปทั่วทั้งทวีปแล้วด้วย…”

คนที่ตอบคำถามออกมาบังเอิญคือเฟิง จือหลิง ศิษย์ของสำนักหลงหยุ่น เขาเป็นอันดับต้นๆของสำนักหลงหยุ่นด้วย ซึ่งอายุเพียงแค่ 16 เท่านั้นแต่ก็ขึ้นมาอยู่ในชั้นสูงสุดของระดับสีฟ้าได้แล้ว ความแข็งแกร่งของเขาดังกระจายไปทั่วทั้งโลกแล้ว เขายังมีฉายาว่า “ไอ้บ้าคลั่ง” อีกด้วย!

ฉายานี้ก็ได้มาจากความบ้าในการฝึกตนของเขาเอง ราวกับว่าเขาถูกปีศาจครอบงำ เขาท้าทายศิษย์ทุกคนที่เก่งๆในสำนัก แต่การสู้ก็เปล่าประโยชน์ ปัญหาคือว่าหลังจากการสู้ทุกครั้งเขาจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขาดูจะบ้าคลั่งมากขึ้นจนแทบจะหยุดไม่อยู่

ศิษย์ที่หลงหยุ่นทุกคนต่างก็กลัวเขา

คนที่ยืนข้างๆเขาคือน้องสาวของเขา ถึงแม้เธอจะดูน่ารัก และคิดว่าเธอคงจะต้องน่ารักมากแน่ๆ ถ้าคิดแบบนั้นก็คงจะต้องเสียใจ น้องสาวของเขาไม่ใช่พวกบ้าการต่อสู้แต่เธอเป็นคนที่อารมณ์ร้อนอย่างมาก ผู้ชายหลายคนที่เข้ามาหาเธอจะต้องถูกเธอจัดการทุกคน ถึงแม้ระดับความสำเร็จของเธอจะไม่สูงจนน่าตกใจแบบพี่ชาย แต่เธอก็เป็นอัจฉริยะที่หาตัวจับอย่างเหมือนกัน เธออายุเพียง 15 เท่านั้นแต่ก็ขึ้นมาอยู่ในระดับกลางของการฝึกตนได้แล้วซึ่งทำให้เหล่าหนุ่มๆที่ชื่นชอบเธอทำได้เพียงถอนหายใจและเฝ้ามองเท่านั้น

“ขอบคุณนะสำหรับข้อมูล ลาก่อน!” เมื่อได้ฟังคำตอบ หลินหนานก็กล่าวขอบคุณ

เฟิงจือหลิงพยักหน้าอย่างเย็นชา น้องสาวของเขา เฟิงซือแทบจะไม่แสดงอาการอะไรออกมาเลย เหตุผลหลักก็เพราะหลินหนานไม่มีอะไรให้ต้องสนใจ หลินหนานไม่ได้จ้องเธอเหมือนที่พวกเด็กหนุ่มๆชอบทำ ตรงกันข้ามเลย นอกจากการยิ้มและพยักหน้าที่ส่งให้เธอในตอนแรก สายตาหลินหนานก็เอาแต่จ้องไปที่พี่ชายของเธอ ดังนั้นเธอจึงยืนเงียบๆด้วยอารมณ์สบายๆ

เดิมทีทั้งสองฝ่ายไม่น่าที่จะมีอะไรต้องคุยกันอีก แต่เมื่อเฟิงจือหลิงเห็นมู่หรงเสวี่ย

ความรู้สึกของไอ้บ้าวิชาก็พุ่งขึ้นมาอีกครั้ง เขารีบเปลี่ยนสายตาในทันทีและเดินตรงเข้าไปหามู่หรงเสวี่ย เขามองตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่นาน จนเวลาผ่านไปนานมู่หรงเสวี่ยเริ่มที่จะสงสัยว่าเพิ่งเจอเข้ากับคนบ้าหรือเปล่า

เธออยากที่จะเดินออกไปเงียบๆ เธอไม่ชอบที่จะเป็นจุดสนใจ

“เจ้า! ดีมากเลย!” หลังจากที่มองอยู่นาน เฟิงจือหลิงก็พูดออกมา

คิ้วของมู่หรงเสวี่ยเลิกขึ้น ไม่มีคำพูดใดๆ นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย

เฟิงจือหลิงรีบดึงดาบที่อยู่ในมือขึ้นมาทันทีและลมหายใจของเขาก็เปลี่ยนไป มู่หรงเสวี่ยรับรู้ได้ถึงความรู้สึกเย็นชาของร่างกายชายตรงหน้าที่ส่งมาให้เธอ

เฟิงซือหลิงเห็นพี่ชายดึงดาบในมือออกมา สีหน้าเธอเปลี่ยนไป “พี่ชาย พี่จะทำอะไร เขาอยู่แค่ในระดับสีเหลืองเองนะรับฝีดาบพี่ไม่ได้หรอก!” ที่ผ่านมา เฟิงจือหลิงไม่เคยดึงดาบออกมาดวลเลย มีเพียงคนเดียวที่เขาจะดึงดาบออกมาดวลด้วยก็คืออาจารย์เขาเท่านั้นแต่อาจารย์ของพวกเขาก็อยู่ในชั้นสูงสุดของระดับสีม่วง อย่างไรก็ตามเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาก็แค่อยู่ในระดับสีเหลืองเท่านั้น

“เขารับได้สิ! เขาแข็งแกร่งจะตาย!” มือที่ถือดาบอยู่ของเฟิงจือหลิงไม่ขยับ สายตามองจ้องไปที่มู่หรงเสวี่ยด้วยประกายของการต่อสู้อย่างเต็มเปี่ยม

มู่หรงเสวี่ยแตะไปที่จมูกของตัวเอง นี่เขามองเห็นทะลุเลยงั้นเหรอ?!!!

สัญญาณการรับรู้ดีมากจริงๆ!!!

“ดึงดาบออกมาแล้วมาสู้กัน!” เฟิงจือหลิงพูด!

มุ่หรงเสวี่ยลูบไปที่ขนอันอ่อนนุ่มของเสี่ยวไป๋อย่างใจเย็น ตราบใดที่ไม่ใช่เซี่ยเหลียนนาที่รนหาเรื่อง “ข้าไม่สู้ด้วย!”

เฟิงจือหลิงดูเหมือนจะไม่คิดว่าจะได้ยินคำตอบแบบนี้ สีหน้าที่เยือกเย็นของเขาดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ทำไมล่ะ?!” ทางหนึ่งเขาก็อาจจะขี้ขลาดและอีกทางเขาก็อาจจะกลัวว่ามันจะส่งผลต่อจิตใจของผู้ที่ฝึกฝนตนมาอย่างหนักก็ได้

ในตอนนี้ หลินหนานเองก็เดินเข้ามาและพูดว่า “ต้องขอโทษด้วยนะ พวกเราไม่มีเวลาที่จะสู้หรอก…” การท้าทายในดินแดนเฟิงหยุ่นไม่จำเป็นต้องเป็นการยั่วยุเสมอไป ตรงกันข้ามเลยมันหมายถึงความเคารพ จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งพอที่จะท้าทายได้

แน่นอนว่าก็มีพวกคนไม่ดีมากมายที่ใช้ประโยชน์ของการท้าทายเพื่อที่จะแก้แค้นส่วนตัวด้วย

คิ้วของเฟิงจือหลิงขมวดเข้าด้วยกันและใบหน้าหล่อๆก็ดูเสียใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกปฏิเสธการต่อสู้ แต่เขารู้สึกอยากที่จะสู้กับมู่หรงเสวี่ยจริงๆ ความรู้สึกของเขาบอกว่าผู้ชายคนนี้เป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง

มู่หรงเสวี่ยเผยรอยยิ้มและพูดออกไปว่า “อย่างที่เพื่อนข้าบอก พวกเรากำลังรีบ ข้าต้องขอโทษด้วยนะ…” ในช่วงที่ผ่านมาหลินหนานได้อธิบายให้เขาฟังเรื่องรายละเอียดของเมืองเฟิงหยุ่นบ้างแล้วและเธอก็ได้เรียนรู้อะไรมากมาย

“ไม่ได้ เจ้าต้องสู้กับข้า!” เฟิงจือหลิงขมวดคิ้วหนัก

มู่หรงเสวี่ยไม่รู้จะพูดยังไง หลินหนานและคนอื่นๆต่างก็มองเป็นตาเดียว สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจที่จะไม่สนใจชายคนนี้ มู่หรงเสวี่ยอุ้มเสี่ยวไป๋เดินอ้อมเฟิงจือหลิงและจะเดินจากไป

ตอนนี้พวกเขากำลังถูกตามล่า ไม่มีเวลาที่จะมาดวลด้วยหรอก

เฟิงจือหลิงรีบเข้าไปขวางทางพวกเขาได้ทันทีและไม่นานก็พูดออกมา “เมื่อกี้พวกเจ้ามาถามข้า ข้าก็ตอบนะ!” หลังจากนั้นเขาก็พยักหน้าอย่างจริงจัง เหมือนจะบอกเป็นนัยๆให้รู้ถึงบุญคุณ

มู่หรงเสวี่ยและคนอื่นๆต่างก็มีสีหน้าที่งุนงง แม้แต่น้องสาวของเฟิงจือหลิงก็ยังถึงกับพูดไม่ออก ปกติเขาจะเป็นคนที่ดีแต่เมื่อเจอคนที่แข็งแกร่งเขาจะถึงกับเดินไม่เป็น ราวกับเป็นไอ้โง่เวลาที่เจอสาวสวย

“พี่ชาย พวกเขามีเรื่องต้องไปจัดการกันจริงๆ ไว้ครั้งหน้าแล้วกันนะ! ครั้งหน้าข้าจะสู้ด้วยจริงๆ” มู่หรงเสวี่ยพูดพร้อมมือที่กำแน่นอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม เฟิงจือหลิงดูเหมือนอย่างที่จะดวลมากแต่ก็ไม่เท่าไร เขารีบจับแขนมู่หรงเสวี่ยไว้ทันทีและถามต่อ “ครั้งหน้าคือเมื่อไร?!”

“ครั้งหน้าก็คือครั้งหน้าที่เจอกัน…” เดาว่ามันคงจะเป็นเรื่องยากที่ในอนาคตจะได้เจอกันอีก

ชายคนนี้ปล่อยมือออก “ได้!”

มู่หรงเสวี่ยมองไปที่เขา นี่เขาจะยอมปล่อยไปจริงๆเหรอ?!! ไม่ว่ายังไงก็ชั่ง ไปกันเถอะ

ทันใดนั้นหลินหนานและคนอื่นๆก็รีบเข้าไปในป่าแห่งความตายด้วยความเร็วที่คาดไม่ถึง หลังจากที่เดินอยู่นาน พวกเขาก็มองไปข้างหลังและเห็นว่าทั้งสองพี่น้องเฟิงจือหลิงไม่ได้ตามพวกเขามาก พวกเขารู้สึกโล่งอก

ไม่ใช่ว่าพวกเขากลัวน้องพี่น้องนั่นหรอกแต่พวกเขาไม่อยากที่จะสู้ตอนนี้ เผื่อมีการบาดเจ็บแล้วพวกเขาบังเอิญไปเจอกับคนที่เซี่ยเหลียนนาส่งมา แบบนั้นก็คงจะเป็นเรื่องแย่แน่ๆ

นอกจากนี้มู่หรงเสวี่ยเองก็ยังรู้สึกด้วยว่าเฟิงจือหลิงเองก็ไม่ธรรมดา เธอมีความรู้สึกด้วยว่าตัวเองอาจจะแพ้ด้วย ถึงแม้เขาจะอยู่ในชั้นสูงสุดของระดับสีฟ้าแต่มู่หรงเสวี่ยก็ยังรู้สึกกลัวอยู่นิดหน่อย คนคนนั้นไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เธอรู้สึกต่างไปจากชายแก่ที่เจอก่อนหน้านี้มาก ไม่รู้ว่าทำไมแต่เธอก็แค่รู้สึกแปลกๆ

ดังนั้นเธอจึงไม่อยากที่จะดวลกับเขาในสภาพแบบนี้ ตอนนี้เพราะเธอกำลังถูกตามล่าอยู่ จึงเป็นเรื่องยากที่เธอจะสู้กับเขาด้วยความใจเย็นซึ่งถือเป็นความไม่ให้เกียรติอีกฝ่ายด้วย

ความแข็งแกร่งทางร่างกายของหวู่เสี่ยวเหมยมีจำกัดและระดับการฝึกตนของเธอก็ต่ำที่สุด ถึงแม้เธอจะไม่เคยขอให้พักแต่ทุกคนก็เห็นได้จากสีหน้าที่ซีดเผือดของเธอ ดังนั้นหลังจากที่เดินมานาน พวกเขาจึงหยุดพักและหาอะไรกินกัน

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+