ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 275 ข้าให้ยืมไหล่ร้องไห้

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 275 ข้าให้ยืมไหล่ร้องไห้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 275

ข้าให้ยืมไหล่ร้องไห้

เฟิงจือหลิงพยายามข่มหัวใจที่เต้นรัว เขารู้ว่าความรู้สึกของตัวเองไม่สามารถที่จะพูดออกไปได้ ตลอดกาล

เมื่อได้เห็นท่าทางโดดเดี่ยวของมู่เทียน เขาก็ถามออกมา “เกิดอะไรขึ้น?”

มู่หรงเสวี่ยไม่ตอบคำถาม หลังจากที่พวกเธอเข้าไปในห้องของโรงเตี้ยมแล้ว มู่หรงเสวี่ยก็ค่อยๆถอดหน้ากากบนใบหน้าออกและทันใดนั้นใบหน้าที่แปลกประหลาดก็เปิดเผยออกมาเบื้องหน้าเฟิงจือหลิง

เฟิงจือหลิงไม่อยากที่จะเชื่อและแตะไปที่หน้าของ มู่หรงเสวี่ย ใบหน้าของเธอถูกสลักไว้อย่างหนาแน่นด้วยอักษรรูนแปลก ๆ แม้แต่ที่ริมฝีปากของเธอก็กลายเป็นสีดำจนมองไม่เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาของเธอแล้ว ในหัวใจของเขา มู่เทียนมักจะภูมิใจกับใบหน้าของตัวเองเสมอ ดวงตาของเขาแดงระเรื่อและหัวใจก็รู้สึกเจ็บปวด

มู่หรงปัดมือเฟิงจือหลิงและพูดออกมาอย่างไม่สนใจ “ทำไมนายต้องทำหน้าเหมือนเห็นผีด้วยล่ะ? ข้าคิดว่าตอนนี้ข้าค่อนข้างที่จะเจ๋งอยู่นะ บางทีข้าน่าจะไปเป็นเทพเฝ้าประตูนะ คอยทำให้พวกผีตอนกลางคืนกลัวจนหนีไปเลย! ฮ่าฮ่าฮ่า…”

พูดตามตรง เธอไม่ได้สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับใบหน้าของเธอเลยจริงๆ อย่างมากมันก็เป็นแค่ปัญหาเล็กน้อย มันแตกต่างจากเดิมมากจนเธอทำเป็นไม่เห็นไม่ได้จริงๆ เธอกลัวว่านี่จะสร้างปัญหาอย่างมาก

เฟิงจือหลิงมองไปที่รอยยิ้มของมู่เทียน แต่จะยิ้มออกมาอยู่ได้ยังไงอีก หัวใจของเธอเจ็บปวด “หลายวันที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า? แล้วหลินหนานและคนอื่นๆล่ะ?”

“มาเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปหาพวกเขา!” มู่หรงจับมือเขา ทั้งสองหายแวบไปจากจุดที่ยืนทันที

มู่หรงพร้อมกับเฟิงจื่อหลิงเข้าไปในน้ำตกหลังถ้ำม่าน เธอจัดให้หลินหนานและคนอื่นๆอยู่ที่นี่!

“พวกเขาเป็นอะไรเหรอ?” เฟิงจือหลิงมองไปที่หลินหนานและคนอื่นๆที่ตัวแข็งนิ่งและทั่วทั้งร่างกายเองก็กลายเป็นสีดำไปหมดแล้ว ภาพที่เห็นก็ไม่ได้ดูดีไปกว่ามู่เทียนเท่าไร

มู่หรงเสวี่ยเดินเข้าไป แตะไปที่ก้อนน้ำแข็งอย่างอ่อนโยนและพูดเสียงกระซิบ “พวกเราถูกวิญญาณปีศาจครอบงำ อย่างที่เจ้าเห็น ข้าเป็นคนเดียวที่ฟื้นขึ้นมาได้…”

เธอยังจำวันที่เธอฟื้นขึ้นมาได้ ดวงตาของหลานซุนและเสี่ยวไป๋ตกตะลึง และตั้งแต่นั้นมาเธอก็ไม่ใช่มนุษย์อีกแล้ว!

เธอฟื้นขึ้นมาช้าเกินไป หลินหนานถูกวิญญาณปีศาจโจมตีไปซะแล้ว บางทีอาจจะเพราะระดับการฝึกตนของพวกเขาไม่ได้สูงเหมือนมู่หรงเสวี่ย ดังนั้นพวกเขาจึงยังไม่ฟื้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปนาน มู่หรงเสวี่ยก็กลัวว่าสักวันจะต้องเสียลมหายใจของพวกเขาไป

หลังจากที่อ้อนวอนหลานซุนซ้ำไปซ้ำมา เขาก็ได้รู้ว่าเขาต้องใช้น้ำแข็งสีดำหมื่นปีในการผนึกพวกเขาไว้ซึ่งจะสามารถระงับชีวิตของพวกเขาไว้ได้ชั่วคราว อย่างไรก็ตามถ้าเธออยากที่จะช่วยพวกเขา เธอจะต้องเข้าไปในโลกของปีศาจ

“เจ้าถูกวิญญาณปีศาจครอบงำได้ยังไงกัน?” เฟิงจือหลิงถาม

มู่หรงเสวี่ยเล่าถึงเหตุการณ์ของวันนั้น รวมทั้งเรื่องรองคณบดีและหน้าผาแปลกๆนั้น

หลังจากที่ได้ฟังเรื่องนี้ เฟิงจือหลิงก็กอดมู่เทียนด้วยมือที่สั่นเทิ้ม “ข้าขอโทษที่ข้าไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วย…”

มู่หรงผลักเขาออก “นี่มันผู้ชายสองคนนะ อย่ามาทำตุ้งติ้งแบบนี้สิ! ข้าดีใจนะที่วันนั้นเจ้าไม่ได้อยู่ด้วย…”

มือที่กอดมู่เทียนไว้ในอ้อมแขน เขาก็รู้สึกได้ว่ามู่เทียนผอมบางมากกว่าที่คิด แตกต่างจากเด็กหนุ่มคนอื่นๆ ร่างกายของมู่เทียนจะมีกลิ่นหอมจางๆซึ่งเป็นกลิ่นที่หอมอย่างมาก

เขาปล่อยมือและพูดออกมา “ถ้าเป็นอย่างงั้น ข้าจะลองทำให้พวกเขาฟื้น…” เขารู้ว่าหลินหนานและคนอื่นๆที่ยังไม่ฟื้น คงจะทำให้มู่เทียนรู้สึกเจ็บปวดหัวใจแน่ๆ เพราะพวกเขาอยู่กันมากนานจนเหมือนที่จะเป็นสมาชิกครอบครัวเดียวกันไปแล้ว

“เจ้าต้องทำอะไรสักอย่างนะ! หลายวันต่อจากนี้ข้าอาจจะไม่ได้กลับเข้ามาอีก ข้าต้องไปที่บ้านของท่านอาจารย์เพื่อฝึกเพียงลำพัง…” มู่หรงเสวี่ยพูดเสียงเบา

ไม่เพียงแค่เรื่องที่หลินหนานและคนอื่นๆที่ยังไม่ฟื้นเท่านั้นที่ทำให้เธอปวดใจแต่ยังมีเรื่องข่าวที่เธอขอให้หลานซุนช่วยตามหาพ่อแม่ของเธออีก ข่าวที่ได้กลับมาคือพ่อแม่ของเธอไม่ได้อยู่ในดินแดนเฟิงหยุนเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สองทางเท่านั้นคือ หนึ่งคือพ่อแม่ของเธอจากไปแล้ว และอีกทางคือพวกท่านตกออกไปจากมิตินี้

แต่จากบันทึกการเสียชีวิต ดูเหมือนจะไม่มีร่องรอยของพ่อแม่เธอเลย นี่ก็ดูเหมือนจะเป็นข่าวดีเดียวท่ามกลางข่าวร้ายมากมายๆ อย่างน้อยก็ยังมีความหวังอยู่บ้าง

เสี่ยวไป๋บอกว่าถ้าเธออยากที่จะไปมิติอื่น อย่างแรกเธอจะต้องขึ้นไปให้ถึงระดับการฝึกตนสีม่วงเพื่อที่จะไปให้ถึงกระจกแห่งมิติแล้วเธอก็จะสามารถไปที่ดินแดนมังกรที่อยู่ในทวีป เฟิงหยุ่นได้ เมื่อเธอผ่านระดับการฝึกตนได้ เธอก็สามารถข้ามผ่านไปได้โดยอัตโนมัติ

ครั้งหนึ่งมู่หรงเสวี่ยเคยถามเสี่ยวไป๋ว่ามันรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง แต่เสี่ยวไป๋กลับหันก้นให้เธอและดูเหมือนจะไม่เต็มใจที่จะพูดอะไรมากกว่านี้อีก

สุดท้ายหลานซุนก็อธิบายกับเธอว่าเสี่ยวไป๋ผ่านคุณสมบัติที่จะเข้าไปในดินแดนมังกรแล้วแต่มันถูกปิดผนึกพลังส่วนใหญ่ไว้ก่อนที่จะได้ก้าวข้ามไป

ดินแดนมังกรถูกแบ่งออกเป็นอีกหลายดินแดน ระดับต่ำสุดคือระดับสวรรค์และระดับที่สูงที่สุดคือระดับของเทพเจ้า เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน มู่เหลาหยูได้เจอกับจักรพรรดิที่ทำให้เธอทั้งมีความสุขและเสียใจไปพร้อมๆกัน!

นอกจากนี้ถ้าเธออยากที่จะหาวิธีช่วยหลินหนานและคนอื่นๆจากเผ่าปีศาจ เธอจะต้องไปให้ถึงดินแดนมังกรก่อน มีเพียงดินแดนมังกรเท่านั้นที่จะมีทางเชื่อมไปดินแดนปีศาจ

“เจ้าจะไม่ออกมาเลยงั้นเหรอ? ทำไม…” เฟิงจือหลิงถามออกมาโดยไม่ได้คิด

มู่หรงเสวี่ยยิ้มบูดเบี้ยว “ดูข้าตอนนี้สิ ข้าคิดว่ามันคงไม่ค่อยดีเท่าไรที่จะออกมาโผล่หน้าให้คนอื่นๆได้เห็น…” ตอนที่เธอเข้ามาในโรงเตี้ยมวันนี้ เจ้าของโรงแรมที่เกือบที่จะไล่เธอออกไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของเฟิงจือหลิง เธอก็คงไม่รอดแน่ๆ

ยังไงซะผมสีม่วงของเธอก็เด่นชัดเกินไปด้วย อักษรรูนที่หน้าเธอยังใช้หน้ากากปิดบังไว้ได้แต่ผมนี่สิเป็นปัญหาใหญ่เลย

“ข้าขอโทษนะ…” เฟิงจื่อหลิงจือหลิงเปิดปากพูด น้ำเสียงที่เปล่งออกมาฟังได้อย่างเดียวคือความรู้สึกผิด

มู่หรงเสวี่ยยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “ไม่ใช่เรื่องอะไรของเจ้าซะหน่อย เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษอะไรหรอก อีกอย่างข้าก็ไม่ได้เสียใจอะไรเท่าไรด้วย ไม่ได้รู้สึกเหมือนท้องฟ้าจะถล่มลงมาตลอด ดูข้าตอนนี้สิ ข้าจะร้องไห้แล้ว อยากจะร้องไห้จริงๆ!”

เฟิงจือหลิงพยักหน้าอย่างจริงจัง “ร้องสิ ข้าจะให้เจ้ายืมไหล่เอง…”

มู่หรงทำหน้าราวกับเห็นผี นี่มันเทคนิคที่ใช้สำหรับจีบสาวชัดๆเลย!!! “ข้าไม่ร้องหรอก เป็นผู้ชายมาร้องไห้คงน่าเกลียดน่าดู! อีกอย่างนะข้าคงอยู่ที่ดินแดนเฟิงหยุ่นได้อีกไม่นาน ข้าอยากจะไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดดังนั้นข้าจริงมีแผนที่จะผ่านระดับการฝึกตนให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้…” มู่หรงเสวี่ยพูดเสียงเบา เธอจะต้องรีบออกไปตามหาพ่อแม่ให้เร็วที่สุดและช่วยหลินหนาน

สีหน้าของเฟิงจื่อหลิงเปลี่ยนไปทันทีและพูดออกมาอย่างตื่นเต้น “เจ้าอยากจะไปจากที่นี่งั้นเหรอ?! เจ้าจะกลับไปที่โลกของตัวเองงั้นเหรอ?” เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของเขาก็ถอดสีขึ้นมาในทันทีและสุดท้ายก็กลายเป็นซีดเผือด

มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า “ถึงแม้ข้าจะไม่อยากกลับไปที่โลกของตัวเอง แต่ไม่ช้าไม่นานข้าก็ต้องกลับไป ตอนนี้ข้าต้องตามหาพ่อแม่ให้เจอโดยเร็วที่สุด ท่านอาจารย์เพิ่งจะแจ้งข่าวมาว่าพ่อแม่ข้าไม่ได้อยู่ในดินแดนเฟิงหยุนด้วยซ้ำ…”

เธอเป็นห่วงเรื่องสถานการณ์ของพวกท่านอย่างมาก พวกท่านเป็นแค่คนธรรมดา แล้วจะอยู่รอดในโลกที่เคารพคนที่แข็งแกร่งได้ยังไงกัน? พวกท่านอาจจะต้องถูกรังแก มู่หรงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะดวงตาแดงระเรื่อ หยดน้ำตาไหลลงมาบนใบหน้าที่แปลกประหลาดของเธอ

เฟิงจือหลิงอยากที่จะใช้พลังที่แข็งแกร่งของตัวเองโอบกอดมู่เทียนไว้ในอ้อมแขน “งั้นข้าจะไปกับเจ้าด้วย!” เฟิงจือหลิงพูดอย่างหนักแน่น

หยดน้ำตาที่เอ่อล้นอยู่ในดวงตาที่เบิกกว้างของ มู่หรง “เจ้าเองก็อยากที่จะไปด้วยงั้นเหรอ?! ทำไมล่ะ? แต่เจ้ามีครอบครัวอยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอ?”

เพราะเขาอยากที่จะไปกับเธอแต่ก็ไม่ได้พูดออกไป “เพราะข้าจะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งมากขึ้น สถานที่ที่เจ้าจะไปจะต้องใช้ความแข็งแกร่งที่มากพอเท่านั้น ข้าจะไม่พ่ายแพ้ให้เจ้าตลอดไปหรอกนะ ตอนนี้เราอยู่ในระดับเดียวกันแล้ว…”

เมื่อคิดถึงขนบธรรมเนียมของโลกนี้ก็ดูเหมือนว่าจะเข้าใจได้ว่าผู้คนต่างก็อยากที่จะไล่ตามเส้นทางของความแข็งแกร่ง การเป็นเทพคือความฝันของทุกคนในดินแดนเฟิงหยุน

เธอพยักหน้าแล้วจึงพูดออกมา “โอเค แต่ข้าจะไม่รอเจ้านะ ถ้าคุณสมบัติของข้าพร้อมเมื่อไร ข้าก็จะไปก่อน…” เธอไม่มีเวลาที่จะมารอ ทุกนาทีและวินาทีเธอจะต้องทุกทรมานเพราะเรื่องของพ่อแม่

เฟิงจื่อหลิงเลิกคิ้วขึ้น “เจ้าเองก็ดูถูกข้ามากเกินไปแล้วนะ บางทีข้าอาจจะถึงเป้าหมายได้เร็วกว่าเจ้าก็ได้นะ!”

มู่หรงเสวี่ยหัวเราะ สมเป็นเฟิงจือหลิงจริงๆ!

ทั้งสองกลับไปที่สำนักหลงหยู่ นิ้วของคนที่เดินผ่านไปผ่านมาตามถนนที่ชี้มาทำลายอารมณ์ของมู่หรงเสวี่ยไม่ได้ อย่างไรก็ตามเฟิงจือหลิงก็หยุดห่างไปไม่ไกลเพื่อที่จะหันกลับมาหาเหล่าคนที่กำลังนินทาและเปลี่ยนให้เป็นรูปปั้นน้ำแข็งไปเลย

ด้านนอกป่าไผ่ มู่หรงเสวี่ยเดินผ่านเข้าไปได้อย่างง่ายดายในขณะที่เฟิงจือหลิงถูกกันอยู่ด้านนอกป่าไผ่ นี่เป็นการปฏิบัติที่แตกต่าง

มู่หรงถาม “ทำไมเจ้าไม่เข้ามาล่ะ?” เธอมองไปที่ เฟิงจื่อหลิงที่ยืนนิ่งอยู่ด้านนอกป่าไผ่และถามออกมา

“ข้าเข้าไปไม่ได้ ในป่าไผ่มีเส้นแดนกั้นอยู่!”

“งั้นเจ้ารอเดี๋ยวนะ!” มู่หรงรีบวิ่งเข้าไปข้างใน

เธอผลักเปิดประตูไม้ไผ่เข้าไปโดยไม่สนใจว่าจะไม่สุภาพหรือเปล่า “อาจารย์ ให้เฟิงจือหลิงเข้ามาทีสิ!”

หลานซุนที่ถือถ้วยชาอยู่พูดออกมา “นี่ข้าเป็นโรงเตี้ยมหรือไง?”

“ท่านบอกเองไม่ใช่เหรอว่าจะรับเฟิงจือหลิงเป็นศิษย์ด้วย?” มู่หรงเสวี่ยนั่งลงที่เก้าอี้และจับไปที่ถ้วยชาในมือของหลานซุนอย่างไม่ลังเล เธอรู้สึกว่าชาของท่านอาจารย์รสชาติดีอย่างมาก ดูเหมือนกับว่ามันมีพลังแห่งจิตวิญญาณพิเศษอยู่ในนั่นด้วย หลังจากที่ดื่มเข้าไป ทั่วทั้งร่างกายก็จะรู้สึกอบอุ่น

หลานซุนมองไปที่รูปร่างที่น่ารังเกียจของหน้ากากบนหน้าเธอด้วยสายตาเย็นชา “อย่าสวมหน้ากากที่นี่ ถอดมันซะ!”

มู่หรงไม่ได้สนใจและรีบถอดหน้ากากออกแล้วใบหน้าของเธอก็รู้สึกสบายขึ้นมาทันที “รีบให้เฟิงจือหลิงเข้ามาเร็วๆสิ ท่านจะต้องให้คนรออีกนานแค่ไหน…” เธอพูดในระหว่างที่กำลังดื่มชาไปด้วย

หลานซุนคิด นี่ข้าติดหนี้เจ้าหรือไงเนี่ย?! สุดท้ายแล้วใครกันแน่ที่เป็นอาจารย์เนี่ย?!!

ไม่ว่าจะในชีวิตที่ผ่านมาหรือในชีวิตนี้ เธอก็เป็นคนที่เขาไม่เคยเอาชนะได้เลย!

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 275 ข้าให้ยืมไหล่ร้องไห้

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 275 ข้าให้ยืมไหล่ร้องไห้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 275

ข้าให้ยืมไหล่ร้องไห้

เฟิงจือหลิงพยายามข่มหัวใจที่เต้นรัว เขารู้ว่าความรู้สึกของตัวเองไม่สามารถที่จะพูดออกไปได้ ตลอดกาล

เมื่อได้เห็นท่าทางโดดเดี่ยวของมู่เทียน เขาก็ถามออกมา “เกิดอะไรขึ้น?”

มู่หรงเสวี่ยไม่ตอบคำถาม หลังจากที่พวกเธอเข้าไปในห้องของโรงเตี้ยมแล้ว มู่หรงเสวี่ยก็ค่อยๆถอดหน้ากากบนใบหน้าออกและทันใดนั้นใบหน้าที่แปลกประหลาดก็เปิดเผยออกมาเบื้องหน้าเฟิงจือหลิง

เฟิงจือหลิงไม่อยากที่จะเชื่อและแตะไปที่หน้าของ มู่หรงเสวี่ย ใบหน้าของเธอถูกสลักไว้อย่างหนาแน่นด้วยอักษรรูนแปลก ๆ แม้แต่ที่ริมฝีปากของเธอก็กลายเป็นสีดำจนมองไม่เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาของเธอแล้ว ในหัวใจของเขา มู่เทียนมักจะภูมิใจกับใบหน้าของตัวเองเสมอ ดวงตาของเขาแดงระเรื่อและหัวใจก็รู้สึกเจ็บปวด

มู่หรงปัดมือเฟิงจือหลิงและพูดออกมาอย่างไม่สนใจ “ทำไมนายต้องทำหน้าเหมือนเห็นผีด้วยล่ะ? ข้าคิดว่าตอนนี้ข้าค่อนข้างที่จะเจ๋งอยู่นะ บางทีข้าน่าจะไปเป็นเทพเฝ้าประตูนะ คอยทำให้พวกผีตอนกลางคืนกลัวจนหนีไปเลย! ฮ่าฮ่าฮ่า…”

พูดตามตรง เธอไม่ได้สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับใบหน้าของเธอเลยจริงๆ อย่างมากมันก็เป็นแค่ปัญหาเล็กน้อย มันแตกต่างจากเดิมมากจนเธอทำเป็นไม่เห็นไม่ได้จริงๆ เธอกลัวว่านี่จะสร้างปัญหาอย่างมาก

เฟิงจือหลิงมองไปที่รอยยิ้มของมู่เทียน แต่จะยิ้มออกมาอยู่ได้ยังไงอีก หัวใจของเธอเจ็บปวด “หลายวันที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า? แล้วหลินหนานและคนอื่นๆล่ะ?”

“มาเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปหาพวกเขา!” มู่หรงจับมือเขา ทั้งสองหายแวบไปจากจุดที่ยืนทันที

มู่หรงพร้อมกับเฟิงจื่อหลิงเข้าไปในน้ำตกหลังถ้ำม่าน เธอจัดให้หลินหนานและคนอื่นๆอยู่ที่นี่!

“พวกเขาเป็นอะไรเหรอ?” เฟิงจือหลิงมองไปที่หลินหนานและคนอื่นๆที่ตัวแข็งนิ่งและทั่วทั้งร่างกายเองก็กลายเป็นสีดำไปหมดแล้ว ภาพที่เห็นก็ไม่ได้ดูดีไปกว่ามู่เทียนเท่าไร

มู่หรงเสวี่ยเดินเข้าไป แตะไปที่ก้อนน้ำแข็งอย่างอ่อนโยนและพูดเสียงกระซิบ “พวกเราถูกวิญญาณปีศาจครอบงำ อย่างที่เจ้าเห็น ข้าเป็นคนเดียวที่ฟื้นขึ้นมาได้…”

เธอยังจำวันที่เธอฟื้นขึ้นมาได้ ดวงตาของหลานซุนและเสี่ยวไป๋ตกตะลึง และตั้งแต่นั้นมาเธอก็ไม่ใช่มนุษย์อีกแล้ว!

เธอฟื้นขึ้นมาช้าเกินไป หลินหนานถูกวิญญาณปีศาจโจมตีไปซะแล้ว บางทีอาจจะเพราะระดับการฝึกตนของพวกเขาไม่ได้สูงเหมือนมู่หรงเสวี่ย ดังนั้นพวกเขาจึงยังไม่ฟื้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปนาน มู่หรงเสวี่ยก็กลัวว่าสักวันจะต้องเสียลมหายใจของพวกเขาไป

หลังจากที่อ้อนวอนหลานซุนซ้ำไปซ้ำมา เขาก็ได้รู้ว่าเขาต้องใช้น้ำแข็งสีดำหมื่นปีในการผนึกพวกเขาไว้ซึ่งจะสามารถระงับชีวิตของพวกเขาไว้ได้ชั่วคราว อย่างไรก็ตามถ้าเธออยากที่จะช่วยพวกเขา เธอจะต้องเข้าไปในโลกของปีศาจ

“เจ้าถูกวิญญาณปีศาจครอบงำได้ยังไงกัน?” เฟิงจือหลิงถาม

มู่หรงเสวี่ยเล่าถึงเหตุการณ์ของวันนั้น รวมทั้งเรื่องรองคณบดีและหน้าผาแปลกๆนั้น

หลังจากที่ได้ฟังเรื่องนี้ เฟิงจือหลิงก็กอดมู่เทียนด้วยมือที่สั่นเทิ้ม “ข้าขอโทษที่ข้าไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วย…”

มู่หรงผลักเขาออก “นี่มันผู้ชายสองคนนะ อย่ามาทำตุ้งติ้งแบบนี้สิ! ข้าดีใจนะที่วันนั้นเจ้าไม่ได้อยู่ด้วย…”

มือที่กอดมู่เทียนไว้ในอ้อมแขน เขาก็รู้สึกได้ว่ามู่เทียนผอมบางมากกว่าที่คิด แตกต่างจากเด็กหนุ่มคนอื่นๆ ร่างกายของมู่เทียนจะมีกลิ่นหอมจางๆซึ่งเป็นกลิ่นที่หอมอย่างมาก

เขาปล่อยมือและพูดออกมา “ถ้าเป็นอย่างงั้น ข้าจะลองทำให้พวกเขาฟื้น…” เขารู้ว่าหลินหนานและคนอื่นๆที่ยังไม่ฟื้น คงจะทำให้มู่เทียนรู้สึกเจ็บปวดหัวใจแน่ๆ เพราะพวกเขาอยู่กันมากนานจนเหมือนที่จะเป็นสมาชิกครอบครัวเดียวกันไปแล้ว

“เจ้าต้องทำอะไรสักอย่างนะ! หลายวันต่อจากนี้ข้าอาจจะไม่ได้กลับเข้ามาอีก ข้าต้องไปที่บ้านของท่านอาจารย์เพื่อฝึกเพียงลำพัง…” มู่หรงเสวี่ยพูดเสียงเบา

ไม่เพียงแค่เรื่องที่หลินหนานและคนอื่นๆที่ยังไม่ฟื้นเท่านั้นที่ทำให้เธอปวดใจแต่ยังมีเรื่องข่าวที่เธอขอให้หลานซุนช่วยตามหาพ่อแม่ของเธออีก ข่าวที่ได้กลับมาคือพ่อแม่ของเธอไม่ได้อยู่ในดินแดนเฟิงหยุนเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สองทางเท่านั้นคือ หนึ่งคือพ่อแม่ของเธอจากไปแล้ว และอีกทางคือพวกท่านตกออกไปจากมิตินี้

แต่จากบันทึกการเสียชีวิต ดูเหมือนจะไม่มีร่องรอยของพ่อแม่เธอเลย นี่ก็ดูเหมือนจะเป็นข่าวดีเดียวท่ามกลางข่าวร้ายมากมายๆ อย่างน้อยก็ยังมีความหวังอยู่บ้าง

เสี่ยวไป๋บอกว่าถ้าเธออยากที่จะไปมิติอื่น อย่างแรกเธอจะต้องขึ้นไปให้ถึงระดับการฝึกตนสีม่วงเพื่อที่จะไปให้ถึงกระจกแห่งมิติแล้วเธอก็จะสามารถไปที่ดินแดนมังกรที่อยู่ในทวีป เฟิงหยุ่นได้ เมื่อเธอผ่านระดับการฝึกตนได้ เธอก็สามารถข้ามผ่านไปได้โดยอัตโนมัติ

ครั้งหนึ่งมู่หรงเสวี่ยเคยถามเสี่ยวไป๋ว่ามันรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง แต่เสี่ยวไป๋กลับหันก้นให้เธอและดูเหมือนจะไม่เต็มใจที่จะพูดอะไรมากกว่านี้อีก

สุดท้ายหลานซุนก็อธิบายกับเธอว่าเสี่ยวไป๋ผ่านคุณสมบัติที่จะเข้าไปในดินแดนมังกรแล้วแต่มันถูกปิดผนึกพลังส่วนใหญ่ไว้ก่อนที่จะได้ก้าวข้ามไป

ดินแดนมังกรถูกแบ่งออกเป็นอีกหลายดินแดน ระดับต่ำสุดคือระดับสวรรค์และระดับที่สูงที่สุดคือระดับของเทพเจ้า เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน มู่เหลาหยูได้เจอกับจักรพรรดิที่ทำให้เธอทั้งมีความสุขและเสียใจไปพร้อมๆกัน!

นอกจากนี้ถ้าเธออยากที่จะหาวิธีช่วยหลินหนานและคนอื่นๆจากเผ่าปีศาจ เธอจะต้องไปให้ถึงดินแดนมังกรก่อน มีเพียงดินแดนมังกรเท่านั้นที่จะมีทางเชื่อมไปดินแดนปีศาจ

“เจ้าจะไม่ออกมาเลยงั้นเหรอ? ทำไม…” เฟิงจือหลิงถามออกมาโดยไม่ได้คิด

มู่หรงเสวี่ยยิ้มบูดเบี้ยว “ดูข้าตอนนี้สิ ข้าคิดว่ามันคงไม่ค่อยดีเท่าไรที่จะออกมาโผล่หน้าให้คนอื่นๆได้เห็น…” ตอนที่เธอเข้ามาในโรงเตี้ยมวันนี้ เจ้าของโรงแรมที่เกือบที่จะไล่เธอออกไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของเฟิงจือหลิง เธอก็คงไม่รอดแน่ๆ

ยังไงซะผมสีม่วงของเธอก็เด่นชัดเกินไปด้วย อักษรรูนที่หน้าเธอยังใช้หน้ากากปิดบังไว้ได้แต่ผมนี่สิเป็นปัญหาใหญ่เลย

“ข้าขอโทษนะ…” เฟิงจื่อหลิงจือหลิงเปิดปากพูด น้ำเสียงที่เปล่งออกมาฟังได้อย่างเดียวคือความรู้สึกผิด

มู่หรงเสวี่ยยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “ไม่ใช่เรื่องอะไรของเจ้าซะหน่อย เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษอะไรหรอก อีกอย่างข้าก็ไม่ได้เสียใจอะไรเท่าไรด้วย ไม่ได้รู้สึกเหมือนท้องฟ้าจะถล่มลงมาตลอด ดูข้าตอนนี้สิ ข้าจะร้องไห้แล้ว อยากจะร้องไห้จริงๆ!”

เฟิงจือหลิงพยักหน้าอย่างจริงจัง “ร้องสิ ข้าจะให้เจ้ายืมไหล่เอง…”

มู่หรงทำหน้าราวกับเห็นผี นี่มันเทคนิคที่ใช้สำหรับจีบสาวชัดๆเลย!!! “ข้าไม่ร้องหรอก เป็นผู้ชายมาร้องไห้คงน่าเกลียดน่าดู! อีกอย่างนะข้าคงอยู่ที่ดินแดนเฟิงหยุ่นได้อีกไม่นาน ข้าอยากจะไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดดังนั้นข้าจริงมีแผนที่จะผ่านระดับการฝึกตนให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้…” มู่หรงเสวี่ยพูดเสียงเบา เธอจะต้องรีบออกไปตามหาพ่อแม่ให้เร็วที่สุดและช่วยหลินหนาน

สีหน้าของเฟิงจื่อหลิงเปลี่ยนไปทันทีและพูดออกมาอย่างตื่นเต้น “เจ้าอยากจะไปจากที่นี่งั้นเหรอ?! เจ้าจะกลับไปที่โลกของตัวเองงั้นเหรอ?” เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของเขาก็ถอดสีขึ้นมาในทันทีและสุดท้ายก็กลายเป็นซีดเผือด

มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า “ถึงแม้ข้าจะไม่อยากกลับไปที่โลกของตัวเอง แต่ไม่ช้าไม่นานข้าก็ต้องกลับไป ตอนนี้ข้าต้องตามหาพ่อแม่ให้เจอโดยเร็วที่สุด ท่านอาจารย์เพิ่งจะแจ้งข่าวมาว่าพ่อแม่ข้าไม่ได้อยู่ในดินแดนเฟิงหยุนด้วยซ้ำ…”

เธอเป็นห่วงเรื่องสถานการณ์ของพวกท่านอย่างมาก พวกท่านเป็นแค่คนธรรมดา แล้วจะอยู่รอดในโลกที่เคารพคนที่แข็งแกร่งได้ยังไงกัน? พวกท่านอาจจะต้องถูกรังแก มู่หรงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะดวงตาแดงระเรื่อ หยดน้ำตาไหลลงมาบนใบหน้าที่แปลกประหลาดของเธอ

เฟิงจือหลิงอยากที่จะใช้พลังที่แข็งแกร่งของตัวเองโอบกอดมู่เทียนไว้ในอ้อมแขน “งั้นข้าจะไปกับเจ้าด้วย!” เฟิงจือหลิงพูดอย่างหนักแน่น

หยดน้ำตาที่เอ่อล้นอยู่ในดวงตาที่เบิกกว้างของ มู่หรง “เจ้าเองก็อยากที่จะไปด้วยงั้นเหรอ?! ทำไมล่ะ? แต่เจ้ามีครอบครัวอยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอ?”

เพราะเขาอยากที่จะไปกับเธอแต่ก็ไม่ได้พูดออกไป “เพราะข้าจะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งมากขึ้น สถานที่ที่เจ้าจะไปจะต้องใช้ความแข็งแกร่งที่มากพอเท่านั้น ข้าจะไม่พ่ายแพ้ให้เจ้าตลอดไปหรอกนะ ตอนนี้เราอยู่ในระดับเดียวกันแล้ว…”

เมื่อคิดถึงขนบธรรมเนียมของโลกนี้ก็ดูเหมือนว่าจะเข้าใจได้ว่าผู้คนต่างก็อยากที่จะไล่ตามเส้นทางของความแข็งแกร่ง การเป็นเทพคือความฝันของทุกคนในดินแดนเฟิงหยุน

เธอพยักหน้าแล้วจึงพูดออกมา “โอเค แต่ข้าจะไม่รอเจ้านะ ถ้าคุณสมบัติของข้าพร้อมเมื่อไร ข้าก็จะไปก่อน…” เธอไม่มีเวลาที่จะมารอ ทุกนาทีและวินาทีเธอจะต้องทุกทรมานเพราะเรื่องของพ่อแม่

เฟิงจื่อหลิงเลิกคิ้วขึ้น “เจ้าเองก็ดูถูกข้ามากเกินไปแล้วนะ บางทีข้าอาจจะถึงเป้าหมายได้เร็วกว่าเจ้าก็ได้นะ!”

มู่หรงเสวี่ยหัวเราะ สมเป็นเฟิงจือหลิงจริงๆ!

ทั้งสองกลับไปที่สำนักหลงหยู่ นิ้วของคนที่เดินผ่านไปผ่านมาตามถนนที่ชี้มาทำลายอารมณ์ของมู่หรงเสวี่ยไม่ได้ อย่างไรก็ตามเฟิงจือหลิงก็หยุดห่างไปไม่ไกลเพื่อที่จะหันกลับมาหาเหล่าคนที่กำลังนินทาและเปลี่ยนให้เป็นรูปปั้นน้ำแข็งไปเลย

ด้านนอกป่าไผ่ มู่หรงเสวี่ยเดินผ่านเข้าไปได้อย่างง่ายดายในขณะที่เฟิงจือหลิงถูกกันอยู่ด้านนอกป่าไผ่ นี่เป็นการปฏิบัติที่แตกต่าง

มู่หรงถาม “ทำไมเจ้าไม่เข้ามาล่ะ?” เธอมองไปที่ เฟิงจื่อหลิงที่ยืนนิ่งอยู่ด้านนอกป่าไผ่และถามออกมา

“ข้าเข้าไปไม่ได้ ในป่าไผ่มีเส้นแดนกั้นอยู่!”

“งั้นเจ้ารอเดี๋ยวนะ!” มู่หรงรีบวิ่งเข้าไปข้างใน

เธอผลักเปิดประตูไม้ไผ่เข้าไปโดยไม่สนใจว่าจะไม่สุภาพหรือเปล่า “อาจารย์ ให้เฟิงจือหลิงเข้ามาทีสิ!”

หลานซุนที่ถือถ้วยชาอยู่พูดออกมา “นี่ข้าเป็นโรงเตี้ยมหรือไง?”

“ท่านบอกเองไม่ใช่เหรอว่าจะรับเฟิงจือหลิงเป็นศิษย์ด้วย?” มู่หรงเสวี่ยนั่งลงที่เก้าอี้และจับไปที่ถ้วยชาในมือของหลานซุนอย่างไม่ลังเล เธอรู้สึกว่าชาของท่านอาจารย์รสชาติดีอย่างมาก ดูเหมือนกับว่ามันมีพลังแห่งจิตวิญญาณพิเศษอยู่ในนั่นด้วย หลังจากที่ดื่มเข้าไป ทั่วทั้งร่างกายก็จะรู้สึกอบอุ่น

หลานซุนมองไปที่รูปร่างที่น่ารังเกียจของหน้ากากบนหน้าเธอด้วยสายตาเย็นชา “อย่าสวมหน้ากากที่นี่ ถอดมันซะ!”

มู่หรงไม่ได้สนใจและรีบถอดหน้ากากออกแล้วใบหน้าของเธอก็รู้สึกสบายขึ้นมาทันที “รีบให้เฟิงจือหลิงเข้ามาเร็วๆสิ ท่านจะต้องให้คนรออีกนานแค่ไหน…” เธอพูดในระหว่างที่กำลังดื่มชาไปด้วย

หลานซุนคิด นี่ข้าติดหนี้เจ้าหรือไงเนี่ย?! สุดท้ายแล้วใครกันแน่ที่เป็นอาจารย์เนี่ย?!!

ไม่ว่าจะในชีวิตที่ผ่านมาหรือในชีวิตนี้ เธอก็เป็นคนที่เขาไม่เคยเอาชนะได้เลย!

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+