ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 282 ท้องฟ้าเบื้องล่างหน้าผา

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 282 ท้องฟ้าเบื้องล่างหน้าผา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 282

ท้องฟ้าเบื้องล่างหน้าผา

“เดี๋ยวก่อน อย่าปล่อยมือ ยิ่งคนมากก็ยิ่งอุ่นใจ!” มู่หรงพยักหน้าพร้อมทั้งพูดออกมา

ยิ่งลงมาลึกเท่าไร มู่หรงก็ยิ่งรู้สึกว่าร่างกายรู้สึกสบายมากขึ้นเท่านั้น

มันสายเกินไปที่พวกเขาจะมาเขินอายกันแล้ว

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน

มู่หรงเสวี่ยค่อยๆลืมตาขึ้น ความเจ็บปวดทั่วทั้งร่างกายทำให้เธอต้องขมวดคิ้ว หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ตอบสนอง เธอลุกขึ้นทันทีและพูดออกมา “จือหลิง…”

เธอมองไปรอบๆแต่ก็ไม่เห็นเงาของเฟิงจือหลิงเลย สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปในทันทีแล้วพยายามเก็บกดความเจ็บปวดและลุกขึ้นทันที

น่าแปลก ตอนที่เธอลงมาถึงเบื้องล่างหน้าผา มันไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณเลย เธอเงยหน้าขึ้นไปและเห็นพบว่าตัวเองเห็นท้องฟ้า นี่ไม่ใช่ปากเหว นี่มันสถานที่ผีสิงอะไรกันเนี่ย? มู่หรงเสวี่ยจำได้เพียงรางๆว่าพวกเธอยังตกลงมาก่อนที่จะสลบไป นี่มันที่แบบไหนกันเนี่ย!

ตอนนี้เธออยู่ที่แม่น้ำและไม่มีใครอยู่รอบๆเลย นี่เป็นความจริงที่แย่ที่สุดเลย เธอรวบรวมพลังแห่งจิตวิญญาณไม่ได้เลย สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเปลี่ยนไปอย่างหนัก หลังจากที่ลองอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณอยู่ดี

มู่หรงรีบหยิบยาออกมาและกินเข้าไปสองสามเม็ด ความเจ็บปวดที่ร่างกายคลายไปแล้วแต่เธอก็ยังรวบรวมพลังไม่ได้อยู่ดี

โชคดีที่ยังเข้าไปในมิติลับได้ พูดสั้นๆคือเธอควรจะหาเฟิงจือหลิงให้เจอก่อน!

“จือหลิง!” มู่หรงเสวี่ยร้องเรียกในระหว่างที่เดิน

“นั่นใคร?” ห่างไปไม่ไกลนักมีเสียงดังตอบกลับมา

ตอนนี้เธอหูฟาด เธอไม่ได้หูฟาด

เธอเงยหน้าขึ้นไปและเห็นว่าเป็นกองทหาร กลุ่มของทหารและรถม้าที่สวยงาม

“พระเจ้า มันเป็นปีศาจนิ”

“ฆ่ามันซะ…”

“…”

กลุ่มของทหารที่อยู่ห่างออกไปเริ่มที่จะพุ่งเข้ามา มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ผมสีม่วงของตัวเองและต้องขมวดคิ้ว ไม่ว่าจะไปที่ไหนผมนี่ก็เป็นปัญหากับเธอจริงๆเลย ถ้ามันจำเป็นเธอก็แค่ต้องแวบเข้าไปในมิติลับ

“เงียบ!” เสียงดังชัดเจนตะโกนขึ้นมา

แล้วมู่หรงก็ได้เห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาลงมาจากรถพร้อมกับแสงจันทร์ องครักษ์ที่อยู่ข้างๆรถม้าคุกเข่าลงทันที “นายท่าน!”

เมื่อเห็นชายคนนั้นลงจากรถและค่อยๆเดินมาในทิศทางของมู่หรง

“นายท่าน อันตรายนะขอรับ” องครักษ์รีบวิ่งมาล้อมรอบนายท่านไว้ทันที

“หลบไปให้พ้นทาง!” คำสั่งอย่างไม่พอใจดังออกมาจากชายคนนั้น

เหล่าทหารไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งจึงค่อยๆล่าถอยไป อย่างไรก็ตามพวกเขาก็จ้องมาที่มู่หรงเสวี่ยพร้อมอาวุธที่อยู่ในมือและมองเธออย่างระแวดระวัง

“เจ้าเป็นใคร?” นายท่านเดินมาที่มู่หรงเสวี่ยและถามออกมา

“มู่เทียน!” มู่หรงตอบไปแบบสบายๆ

“อวดดี! เวลาที่เห็นองค์ชายสามทำไมถึงไม่คุกเข่าลง!” องครักษ์คนหนึ่งพูดออกมา

มู่หรงขมวดคิ้ว สีหน้าของเธอยังคงเย็นชาอย่างมาก ให้เธอคุกเข่างั้นเหรอ?! ฝันไปเถอะ…”

องค์ชายสามโบกมือ “ไม่เป็นไร!”

“มู่เทียนงั้นเหรอ?! ข้าคิดว่าเจ้าบาดเจ็บหนักนะ ในระยะหนึ่งร้อยไมล์นี้ไม่มีใครเลย เจ้าอยากให้ข้าไปส่งไหม?” องค์ชายสามไม่ได้สนใจสีหน้าที่เย็นชาของมู่หรงแต่กลับพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม ถ้าสังเกตที่สายตาของเขาดีๆ ก็จะเห็นได้ว่าองค์ชายสามมีดวงตาสีม่วง

“ไม่ต้อง ข้าไม่เป็นไร ขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจ ตอนนี้ข้าขอตัวก่อน” เธอต้องไปตามหาเฟิงจือหลิง

“กล้ามากนะที่ปฏิเสธองค์ชายสาม ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่รู้ชะตาตัวเองสินะ!” องครักษ์สองคนรีบเข้ามาล้อมรอบมู่หรงเสวี่ยไว้ทันที ดูเหมือนว่าตราบใดที่องค์ชายสามออกคำสั่ง มู่หรงเสวี่ยก็จะถูกจัดการในทันที

“กระแอ่ม!” มู่หรงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะไอเลือดออกมานิดหน่อย ร่างกายของเธอบาดเจ็บสาหัส น่าจะเป็นจากการที่เธอตกลงมาจากหน้าผา แต่ก็ยังโชคดีที่เธอไม่ได้รับการกระทบกระเทือน ถึงแม้เธอจะกินยาเข้าไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้หายได้อย่างรวดเร็วขนาดนั้นแต่เพียงแค่ช่วยผ่อนคลายความเจ็บปวด

“ถอยไป!” องค์ชายสามสั่งองครักษ์ แล้วเขาก็หันมาที่ มู่หรงเสวี่ยและพูดว่า “อย่าอวดดีหน่อยเลย ถ้าเจ้าไม่มากับข้า เจ้าก็คงไม่มีชีวิตรอดออกไปจากป่านี่แน่…” เขาไม่ได้ขู่แต่มันเป็นเรื่องจริง เพราะดวงตาสีม่วงทำให้เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ถ้าไม่ใช่เพราะเกียรติยศของเขา เขาก็คงจะตายไปนานแล้ว

มู่หรงเสวี่ยเช็ดรอยเลือดที่มุมปากตัวเอง “ข้าอยากที่จะตามหาเพื่อน…” ดูเหมือนว่าองค์ชายสามจะมีเจตนาที่ดีและน้ำเสียงของเขาก็ดีขึ้นมา

“ขึ้นรถมาก่อนเถอะ ข้าจะส่งคนออกไปตามหาให้ ในที่มืดแบบนี้เจ้าหาคนเดียวไม่เจอหรอก”

เมื่อชีวิตต้องเจอเรื่องที่ลำบากก็จะมีคนเข้ามาช่วย มู่หรงเสวี่ยเป็นคนที่โชคดีจริงๆ เธอไม่ได้ปฏิเสธและพยักหน้า “ขอบคุณนะ!”

“งั้นไปกันเถอะ” องค์ชายสามยื่นมือออกไปช่วย

มู่หรงเลี่ยงเล็กน้อย เมื่อเห็นมือที่เก้ๆกังๆขององค์ชายสามที่ค้างอยู่กลางอากาศ เธอรู้สึกเขินเล็กน้อยและหัวเราะออกมา “ข้าขอโทษ ข้าแค่ไม่ค่อยชินเท่าไร…”

องค์ชายสามไม่ได้คิดมาก เขาดึงมือตัวเองกลับมาและพูดว่า “เจ้าเดินได้ไหม?”

“ไม่เป็นไร ข้าเดินเองได้”

เหล่าองครักษ์ที่อยู่ใกล้ๆเกือบที่จะโยนเธอเข้าตะรางไปแล้วและสายตาของพวกเขาที่มองเธอก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย!

“ระวังด้วย!” องค์ชายสามยกม่านของรถม้าขึ้นแล้วก็ยื่นมือออกมาเพื่อดึงมู่เทียนขึ้นไปบนรถ

สีหน้าของเหล่าองครักษ์ดูไม่พอใจมากกว่าเดิมและสายตาของพวกเขาก็ดูจะดุดันมากยิ่งขึ้นไปอีก เบาะถูกปูด้วยผ้าไหมสีอ่อน เมื่อนั่งลงไปก็รู้สึกได้ว่ามันอ่อนนุ่มมากๆ!

องค์ชายสามเปิดช่องลับที่ซ่อนอยู่ข้างๆรถม้าและหยิบขวดยาออกมา “ถอดเสื้อผ้าออกสิ ข้าจะช่วยทายาให้” เขาพูดพร้อมทั้งเปิดฝาขวด

“ฮ่ะ!” มู่หรงเสวี่ยขึ้นเสียงสูงขึ้นมาทันทีและต่อมาก็รีบยกมือขึ้นมาโบกทันที “ไม่ต้อง ข้าไม่เป็นไร!”

ตลกแหละ ถึงแม้เธอจะเป็นผู้ชายเพราะแหวน แต่เธอก็ยังเป็นผู้หญิงด้วยเหมือนกัน แล้วเธอจะมาถอดเสื้อผ้าออกได้ยังไง

“ไม่ต้องห่วง นี่ไม่มียาพิษหรอก…” องค์ชายสามเองก็ตั้งใจป้ายขี้ผึ้งด้วยมือของเขาเอง

เขาเห็นว่าเสื้อผ้าของมู่เทียนฉีกขาดหลายจุดและก็มีรอยเลือดด้วย น่าจะต้องได้รับบาดเจ็บ

“ข้ารู้ว่ามันไม่มียาพิษ ข้าไม่อยากที่จะทายาจริงๆนะ! พวกนี้ก็แค่บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น…”

“บาดเจ็บเล็กน้อยก็ต้องรักษาอยู่ดี เป็นผู้ชายแต่ทำไมทำตัวเป็นผู้หญิงไปได้ล่ะ?” องค์ชายสามพูดอย่างไม่พอใจ

สีหน้าของมู่หรงเครียดขึ้น นี่อยากจะบอกว่าเธอไม่ใช่ผู้ชายงั้นเหรอ?!!

“ร่างกายของข้าไม่ค่อยปกติเลยไม่อยากที่จะเปิดให้ใครเห็น ยกโทษให้ข้าด้วย…” มู่หรงพูดเสียงเบา

มือขององค์ชายสามหยุดไปและสุดท้ายก็ยื่นขวดยาให้ มู่เทียน “งั้นข้าจะหันหลังแล้วเจ้าก็ทายาเองแล้วกัน! แล้วก็ถอดหน้ากากออกด้วย ไม่ร้อนหรือไงกัน?”

มู่หรงเสวี่ยแตะไปที่หน้ากากเงินเย็นๆที่อยู่บนใบหน้าและพูดออกมา “ข้ากลัวว่าจะทำให้เจ้ากลัว…” ใบหน้าของเธอมันน่ากลัวมากจนแม้แต่คนที่เคยเห็นเรื่องแปลกๆในทวีปเฟิงหยนมามากมายก็ยังรับใบหน้าที่เต็มไปด้วยอักษรรูนของเธอไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนที่นี่จะรับได้ อีกอย่างเธอเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าออร่าที่นี่ค่อนข้างบางอย่างมาก

ก็เห็นอยู่ชัดๆว่านี่เป็นก้นบึ้งของหน้าผาแต่ทำไมถึงรู้สึกเหมือนเป็นโลกอื่นแบบนี้ล่ะ?! นี่เป็นภาพลวงตาหรือเปล่า?! เธอหยิกตัวเองอย่างแรง บ้าเอ๊ย! เจ็บจริงนิ!!

“ฟิ้ว” องค์ชายสามอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

หลังจากที่ได้ยินเสียงหัวเราะ มู่หรงเสวี่ยก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างงงๆแล้วก็พบว่าตัวเองเพิ่งจะทำเรื่องงี่เง่าอะไรลงไป

“ข้าไม่ใช่คนบ้องตื้นหรอกนะ ข้าไม่สนใจเรื่องหน้าตาของเจ้าหรอก! ถอดออกซะ”

มู่หรงเพียงแค่ลังเลอยู่สักพัก แล้วก็ถอดหน้ากากที่หน้าออก ผิวหน้าขาวดั่งหิมะ

ถ้าใบหน้าแบบนี้ทำให้คนกลัวได้ งั้นเขาจะเป็นคนหน้าไม่อายหรือเปล่าถ้าไม่อยากให้ใครได้เห็นใบหน้านี้?!!

ดวงตาขององค์ชายสามแวบประกายประหลาดใจและก็จางหายไปในทันที “เจ้าสวมหน้ากากกลับไปจะดีกว่านะ!”

มู่หรงนิ่งไป พร้อมจับไปที่ใบหน้าด้วยความอับอายและพูดออกมา “มันน่าเกลียดขนาดนั้นเลยเหรอ?” แต่ก่อนเธอเป็นถึงดอกไม้งามของมหาลัย แต่ตอนนี้สิ

องค์ชายสามเกือบจะสำลักน้ำลายตัวเอง ชายคนนี้เป็นอะไรกัน? เขาเนี่ยนะน่าเกลียด?!

สุดท้ายเขาก็อดไม่ได้ที่จะหยิบกระจกทองแดงออกมาจากรถม้าและส่งให้มู่หรงเสวี่ย “เจ้าดูเอาเองก็แล้วกัน!”

มู่หรงรับกระจกทองแดงมาและพูดอย่างประหลาดใจ “ข้านี่ช่างหล่อเหลาและเป็นธรรมชาติจริงๆ ฮ่าฮ่า หน้าข้าหายแล้ว!”

ช่างมหัศจรรย์จริงๆ

“ผู้ชายอะไรสนใจเรื่องรูปร่างหน้าตา เจ้าเสียสติไปแล้วหรือไง?” องค์ชายสามพูดอย่างดูถูก

“เจ้าจะไปรู้อะไร? ข้าเรียกมันว่าความหลงตัวเอง ด้วยหน้าตาอย่างเจ้า เจ้าไม่มีทางเข้าใจความภูมิใจของการมีใบหน้าที่หล่อเหลาหรอก…” มู่หรงเสวี่ยถือกระจกทองแดงและมองซ้าย มองขวา

เขาพูดเรื่องอะไรกัน?!! เขาก็เป็นชายที่หล่อเหลาเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?! เขาอยากจะบ้าจริงๆ

เขาทนไม่ไหวแล้วจึงยื่นมือออกไปดึงกระจกทองแดงในมือมู่เทียนคืนมา

ตากลมโตของมู่หรงเสวี่ยกะพริบปริบๆ “มีอะไรเหรอ? เจ้าอิจฉาใบหน้าที่หล่อเหลาของข้างั้นเหรอ?!!”

แต่อยู่บ้านคนอื่นเธอก็ควรที่จะยับยั้งชั่งใจตัวเองหน่อย มู่หรงเสวี่ยเลิกทำสีหน้าทะเล้นและถามออกไป “ที่นี่ที่ไหนเหรอ?”

องค์ชายสามมองมาที่มู่เทียนราวกับเพิ่งได้ยินอะไรที่งี่เง่า เขาไม่น่าที่จะรับพวกโง่นี่ขึ้นมาเลย “…”

มู่หรงเสวี่ยที่ยังไม่ได้ยินคำตอบ อดไม่ได้ที่จะมองไปที่องค์ชายสาม หลังจากที่มองไปที่ดวงตาของเขา เธอก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากพูดออกมา “ข้าไม่ได้โง่นะ!” ใช่ไหม? มันก็แค่ความสงสัย

“ที่นี่คือป่าไร้ขอบเขตของดินแดนหิมะ!”

“อะไรคือดินแดนหิมะกันล่ะ?” มู่หรงเสวี่ยพลั้งปากพูดออกมาโดยไม่ทันคิด!

องค์ชายสามกำหมัดแน่นและพูดออกมาอย่างอดทน “ดินแดนหิมะไม่ใช่เรื่องบ้าบอนะ ดินแดนหิมะก็คือดินแดนไง! นี่หัวเจ้ากระทบกระเทือนหรือไง โง่หรือไง?”

นี่ยังมีคนที่ไม่รู้จักดินแดนหิมะด้วยงั้นเหรอ?! เมื่อมองเสื้อผ้าของมู่เทียนก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ นี่ไม่ใช่ชุดของที่นี่ องค์ชายสามมองมาที่มู่หรงเสวี่ยอีกครั้ง

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 282 ท้องฟ้าเบื้องล่างหน้าผา

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 282 ท้องฟ้าเบื้องล่างหน้าผา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 282

ท้องฟ้าเบื้องล่างหน้าผา

“เดี๋ยวก่อน อย่าปล่อยมือ ยิ่งคนมากก็ยิ่งอุ่นใจ!” มู่หรงพยักหน้าพร้อมทั้งพูดออกมา

ยิ่งลงมาลึกเท่าไร มู่หรงก็ยิ่งรู้สึกว่าร่างกายรู้สึกสบายมากขึ้นเท่านั้น

มันสายเกินไปที่พวกเขาจะมาเขินอายกันแล้ว

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน

มู่หรงเสวี่ยค่อยๆลืมตาขึ้น ความเจ็บปวดทั่วทั้งร่างกายทำให้เธอต้องขมวดคิ้ว หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ตอบสนอง เธอลุกขึ้นทันทีและพูดออกมา “จือหลิง…”

เธอมองไปรอบๆแต่ก็ไม่เห็นเงาของเฟิงจือหลิงเลย สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปในทันทีแล้วพยายามเก็บกดความเจ็บปวดและลุกขึ้นทันที

น่าแปลก ตอนที่เธอลงมาถึงเบื้องล่างหน้าผา มันไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณเลย เธอเงยหน้าขึ้นไปและเห็นพบว่าตัวเองเห็นท้องฟ้า นี่ไม่ใช่ปากเหว นี่มันสถานที่ผีสิงอะไรกันเนี่ย? มู่หรงเสวี่ยจำได้เพียงรางๆว่าพวกเธอยังตกลงมาก่อนที่จะสลบไป นี่มันที่แบบไหนกันเนี่ย!

ตอนนี้เธออยู่ที่แม่น้ำและไม่มีใครอยู่รอบๆเลย นี่เป็นความจริงที่แย่ที่สุดเลย เธอรวบรวมพลังแห่งจิตวิญญาณไม่ได้เลย สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเปลี่ยนไปอย่างหนัก หลังจากที่ลองอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณอยู่ดี

มู่หรงรีบหยิบยาออกมาและกินเข้าไปสองสามเม็ด ความเจ็บปวดที่ร่างกายคลายไปแล้วแต่เธอก็ยังรวบรวมพลังไม่ได้อยู่ดี

โชคดีที่ยังเข้าไปในมิติลับได้ พูดสั้นๆคือเธอควรจะหาเฟิงจือหลิงให้เจอก่อน!

“จือหลิง!” มู่หรงเสวี่ยร้องเรียกในระหว่างที่เดิน

“นั่นใคร?” ห่างไปไม่ไกลนักมีเสียงดังตอบกลับมา

ตอนนี้เธอหูฟาด เธอไม่ได้หูฟาด

เธอเงยหน้าขึ้นไปและเห็นว่าเป็นกองทหาร กลุ่มของทหารและรถม้าที่สวยงาม

“พระเจ้า มันเป็นปีศาจนิ”

“ฆ่ามันซะ…”

“…”

กลุ่มของทหารที่อยู่ห่างออกไปเริ่มที่จะพุ่งเข้ามา มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ผมสีม่วงของตัวเองและต้องขมวดคิ้ว ไม่ว่าจะไปที่ไหนผมนี่ก็เป็นปัญหากับเธอจริงๆเลย ถ้ามันจำเป็นเธอก็แค่ต้องแวบเข้าไปในมิติลับ

“เงียบ!” เสียงดังชัดเจนตะโกนขึ้นมา

แล้วมู่หรงก็ได้เห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาลงมาจากรถพร้อมกับแสงจันทร์ องครักษ์ที่อยู่ข้างๆรถม้าคุกเข่าลงทันที “นายท่าน!”

เมื่อเห็นชายคนนั้นลงจากรถและค่อยๆเดินมาในทิศทางของมู่หรง

“นายท่าน อันตรายนะขอรับ” องครักษ์รีบวิ่งมาล้อมรอบนายท่านไว้ทันที

“หลบไปให้พ้นทาง!” คำสั่งอย่างไม่พอใจดังออกมาจากชายคนนั้น

เหล่าทหารไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งจึงค่อยๆล่าถอยไป อย่างไรก็ตามพวกเขาก็จ้องมาที่มู่หรงเสวี่ยพร้อมอาวุธที่อยู่ในมือและมองเธออย่างระแวดระวัง

“เจ้าเป็นใคร?” นายท่านเดินมาที่มู่หรงเสวี่ยและถามออกมา

“มู่เทียน!” มู่หรงตอบไปแบบสบายๆ

“อวดดี! เวลาที่เห็นองค์ชายสามทำไมถึงไม่คุกเข่าลง!” องครักษ์คนหนึ่งพูดออกมา

มู่หรงขมวดคิ้ว สีหน้าของเธอยังคงเย็นชาอย่างมาก ให้เธอคุกเข่างั้นเหรอ?! ฝันไปเถอะ…”

องค์ชายสามโบกมือ “ไม่เป็นไร!”

“มู่เทียนงั้นเหรอ?! ข้าคิดว่าเจ้าบาดเจ็บหนักนะ ในระยะหนึ่งร้อยไมล์นี้ไม่มีใครเลย เจ้าอยากให้ข้าไปส่งไหม?” องค์ชายสามไม่ได้สนใจสีหน้าที่เย็นชาของมู่หรงแต่กลับพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม ถ้าสังเกตที่สายตาของเขาดีๆ ก็จะเห็นได้ว่าองค์ชายสามมีดวงตาสีม่วง

“ไม่ต้อง ข้าไม่เป็นไร ขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจ ตอนนี้ข้าขอตัวก่อน” เธอต้องไปตามหาเฟิงจือหลิง

“กล้ามากนะที่ปฏิเสธองค์ชายสาม ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่รู้ชะตาตัวเองสินะ!” องครักษ์สองคนรีบเข้ามาล้อมรอบมู่หรงเสวี่ยไว้ทันที ดูเหมือนว่าตราบใดที่องค์ชายสามออกคำสั่ง มู่หรงเสวี่ยก็จะถูกจัดการในทันที

“กระแอ่ม!” มู่หรงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะไอเลือดออกมานิดหน่อย ร่างกายของเธอบาดเจ็บสาหัส น่าจะเป็นจากการที่เธอตกลงมาจากหน้าผา แต่ก็ยังโชคดีที่เธอไม่ได้รับการกระทบกระเทือน ถึงแม้เธอจะกินยาเข้าไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้หายได้อย่างรวดเร็วขนาดนั้นแต่เพียงแค่ช่วยผ่อนคลายความเจ็บปวด

“ถอยไป!” องค์ชายสามสั่งองครักษ์ แล้วเขาก็หันมาที่ มู่หรงเสวี่ยและพูดว่า “อย่าอวดดีหน่อยเลย ถ้าเจ้าไม่มากับข้า เจ้าก็คงไม่มีชีวิตรอดออกไปจากป่านี่แน่…” เขาไม่ได้ขู่แต่มันเป็นเรื่องจริง เพราะดวงตาสีม่วงทำให้เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ถ้าไม่ใช่เพราะเกียรติยศของเขา เขาก็คงจะตายไปนานแล้ว

มู่หรงเสวี่ยเช็ดรอยเลือดที่มุมปากตัวเอง “ข้าอยากที่จะตามหาเพื่อน…” ดูเหมือนว่าองค์ชายสามจะมีเจตนาที่ดีและน้ำเสียงของเขาก็ดีขึ้นมา

“ขึ้นรถมาก่อนเถอะ ข้าจะส่งคนออกไปตามหาให้ ในที่มืดแบบนี้เจ้าหาคนเดียวไม่เจอหรอก”

เมื่อชีวิตต้องเจอเรื่องที่ลำบากก็จะมีคนเข้ามาช่วย มู่หรงเสวี่ยเป็นคนที่โชคดีจริงๆ เธอไม่ได้ปฏิเสธและพยักหน้า “ขอบคุณนะ!”

“งั้นไปกันเถอะ” องค์ชายสามยื่นมือออกไปช่วย

มู่หรงเลี่ยงเล็กน้อย เมื่อเห็นมือที่เก้ๆกังๆขององค์ชายสามที่ค้างอยู่กลางอากาศ เธอรู้สึกเขินเล็กน้อยและหัวเราะออกมา “ข้าขอโทษ ข้าแค่ไม่ค่อยชินเท่าไร…”

องค์ชายสามไม่ได้คิดมาก เขาดึงมือตัวเองกลับมาและพูดว่า “เจ้าเดินได้ไหม?”

“ไม่เป็นไร ข้าเดินเองได้”

เหล่าองครักษ์ที่อยู่ใกล้ๆเกือบที่จะโยนเธอเข้าตะรางไปแล้วและสายตาของพวกเขาที่มองเธอก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย!

“ระวังด้วย!” องค์ชายสามยกม่านของรถม้าขึ้นแล้วก็ยื่นมือออกมาเพื่อดึงมู่เทียนขึ้นไปบนรถ

สีหน้าของเหล่าองครักษ์ดูไม่พอใจมากกว่าเดิมและสายตาของพวกเขาก็ดูจะดุดันมากยิ่งขึ้นไปอีก เบาะถูกปูด้วยผ้าไหมสีอ่อน เมื่อนั่งลงไปก็รู้สึกได้ว่ามันอ่อนนุ่มมากๆ!

องค์ชายสามเปิดช่องลับที่ซ่อนอยู่ข้างๆรถม้าและหยิบขวดยาออกมา “ถอดเสื้อผ้าออกสิ ข้าจะช่วยทายาให้” เขาพูดพร้อมทั้งเปิดฝาขวด

“ฮ่ะ!” มู่หรงเสวี่ยขึ้นเสียงสูงขึ้นมาทันทีและต่อมาก็รีบยกมือขึ้นมาโบกทันที “ไม่ต้อง ข้าไม่เป็นไร!”

ตลกแหละ ถึงแม้เธอจะเป็นผู้ชายเพราะแหวน แต่เธอก็ยังเป็นผู้หญิงด้วยเหมือนกัน แล้วเธอจะมาถอดเสื้อผ้าออกได้ยังไง

“ไม่ต้องห่วง นี่ไม่มียาพิษหรอก…” องค์ชายสามเองก็ตั้งใจป้ายขี้ผึ้งด้วยมือของเขาเอง

เขาเห็นว่าเสื้อผ้าของมู่เทียนฉีกขาดหลายจุดและก็มีรอยเลือดด้วย น่าจะต้องได้รับบาดเจ็บ

“ข้ารู้ว่ามันไม่มียาพิษ ข้าไม่อยากที่จะทายาจริงๆนะ! พวกนี้ก็แค่บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น…”

“บาดเจ็บเล็กน้อยก็ต้องรักษาอยู่ดี เป็นผู้ชายแต่ทำไมทำตัวเป็นผู้หญิงไปได้ล่ะ?” องค์ชายสามพูดอย่างไม่พอใจ

สีหน้าของมู่หรงเครียดขึ้น นี่อยากจะบอกว่าเธอไม่ใช่ผู้ชายงั้นเหรอ?!!

“ร่างกายของข้าไม่ค่อยปกติเลยไม่อยากที่จะเปิดให้ใครเห็น ยกโทษให้ข้าด้วย…” มู่หรงพูดเสียงเบา

มือขององค์ชายสามหยุดไปและสุดท้ายก็ยื่นขวดยาให้ มู่เทียน “งั้นข้าจะหันหลังแล้วเจ้าก็ทายาเองแล้วกัน! แล้วก็ถอดหน้ากากออกด้วย ไม่ร้อนหรือไงกัน?”

มู่หรงเสวี่ยแตะไปที่หน้ากากเงินเย็นๆที่อยู่บนใบหน้าและพูดออกมา “ข้ากลัวว่าจะทำให้เจ้ากลัว…” ใบหน้าของเธอมันน่ากลัวมากจนแม้แต่คนที่เคยเห็นเรื่องแปลกๆในทวีปเฟิงหยนมามากมายก็ยังรับใบหน้าที่เต็มไปด้วยอักษรรูนของเธอไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนที่นี่จะรับได้ อีกอย่างเธอเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าออร่าที่นี่ค่อนข้างบางอย่างมาก

ก็เห็นอยู่ชัดๆว่านี่เป็นก้นบึ้งของหน้าผาแต่ทำไมถึงรู้สึกเหมือนเป็นโลกอื่นแบบนี้ล่ะ?! นี่เป็นภาพลวงตาหรือเปล่า?! เธอหยิกตัวเองอย่างแรง บ้าเอ๊ย! เจ็บจริงนิ!!

“ฟิ้ว” องค์ชายสามอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

หลังจากที่ได้ยินเสียงหัวเราะ มู่หรงเสวี่ยก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างงงๆแล้วก็พบว่าตัวเองเพิ่งจะทำเรื่องงี่เง่าอะไรลงไป

“ข้าไม่ใช่คนบ้องตื้นหรอกนะ ข้าไม่สนใจเรื่องหน้าตาของเจ้าหรอก! ถอดออกซะ”

มู่หรงเพียงแค่ลังเลอยู่สักพัก แล้วก็ถอดหน้ากากที่หน้าออก ผิวหน้าขาวดั่งหิมะ

ถ้าใบหน้าแบบนี้ทำให้คนกลัวได้ งั้นเขาจะเป็นคนหน้าไม่อายหรือเปล่าถ้าไม่อยากให้ใครได้เห็นใบหน้านี้?!!

ดวงตาขององค์ชายสามแวบประกายประหลาดใจและก็จางหายไปในทันที “เจ้าสวมหน้ากากกลับไปจะดีกว่านะ!”

มู่หรงนิ่งไป พร้อมจับไปที่ใบหน้าด้วยความอับอายและพูดออกมา “มันน่าเกลียดขนาดนั้นเลยเหรอ?” แต่ก่อนเธอเป็นถึงดอกไม้งามของมหาลัย แต่ตอนนี้สิ

องค์ชายสามเกือบจะสำลักน้ำลายตัวเอง ชายคนนี้เป็นอะไรกัน? เขาเนี่ยนะน่าเกลียด?!

สุดท้ายเขาก็อดไม่ได้ที่จะหยิบกระจกทองแดงออกมาจากรถม้าและส่งให้มู่หรงเสวี่ย “เจ้าดูเอาเองก็แล้วกัน!”

มู่หรงรับกระจกทองแดงมาและพูดอย่างประหลาดใจ “ข้านี่ช่างหล่อเหลาและเป็นธรรมชาติจริงๆ ฮ่าฮ่า หน้าข้าหายแล้ว!”

ช่างมหัศจรรย์จริงๆ

“ผู้ชายอะไรสนใจเรื่องรูปร่างหน้าตา เจ้าเสียสติไปแล้วหรือไง?” องค์ชายสามพูดอย่างดูถูก

“เจ้าจะไปรู้อะไร? ข้าเรียกมันว่าความหลงตัวเอง ด้วยหน้าตาอย่างเจ้า เจ้าไม่มีทางเข้าใจความภูมิใจของการมีใบหน้าที่หล่อเหลาหรอก…” มู่หรงเสวี่ยถือกระจกทองแดงและมองซ้าย มองขวา

เขาพูดเรื่องอะไรกัน?!! เขาก็เป็นชายที่หล่อเหลาเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?! เขาอยากจะบ้าจริงๆ

เขาทนไม่ไหวแล้วจึงยื่นมือออกไปดึงกระจกทองแดงในมือมู่เทียนคืนมา

ตากลมโตของมู่หรงเสวี่ยกะพริบปริบๆ “มีอะไรเหรอ? เจ้าอิจฉาใบหน้าที่หล่อเหลาของข้างั้นเหรอ?!!”

แต่อยู่บ้านคนอื่นเธอก็ควรที่จะยับยั้งชั่งใจตัวเองหน่อย มู่หรงเสวี่ยเลิกทำสีหน้าทะเล้นและถามออกไป “ที่นี่ที่ไหนเหรอ?”

องค์ชายสามมองมาที่มู่เทียนราวกับเพิ่งได้ยินอะไรที่งี่เง่า เขาไม่น่าที่จะรับพวกโง่นี่ขึ้นมาเลย “…”

มู่หรงเสวี่ยที่ยังไม่ได้ยินคำตอบ อดไม่ได้ที่จะมองไปที่องค์ชายสาม หลังจากที่มองไปที่ดวงตาของเขา เธอก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากพูดออกมา “ข้าไม่ได้โง่นะ!” ใช่ไหม? มันก็แค่ความสงสัย

“ที่นี่คือป่าไร้ขอบเขตของดินแดนหิมะ!”

“อะไรคือดินแดนหิมะกันล่ะ?” มู่หรงเสวี่ยพลั้งปากพูดออกมาโดยไม่ทันคิด!

องค์ชายสามกำหมัดแน่นและพูดออกมาอย่างอดทน “ดินแดนหิมะไม่ใช่เรื่องบ้าบอนะ ดินแดนหิมะก็คือดินแดนไง! นี่หัวเจ้ากระทบกระเทือนหรือไง โง่หรือไง?”

นี่ยังมีคนที่ไม่รู้จักดินแดนหิมะด้วยงั้นเหรอ?! เมื่อมองเสื้อผ้าของมู่เทียนก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ นี่ไม่ใช่ชุดของที่นี่ องค์ชายสามมองมาที่มู่หรงเสวี่ยอีกครั้ง

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+